Group Blog
 
<<
มกราคม 2558
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
9 มกราคม 2558
 
All Blogs
 
SPITI (ปี 1) นั่งรถไต่เขาบนถนนเส้นสีขาว



บันทึกการเดินทางในอินเดีย ครั้งที่ 2 : ตุลาคม 2014
(ได้เรียบเรียงเนื้อหาใหม่อีกครั้งในปี 2018)





รถจี๊ปวิ่งวนไปมา กับเส้นทางเลียบไหล่เขาที่ไร้เขตกั้นและไต่ระดับความสูง
ขึ้นมาเรื่อย ๆ 
จนกระทั่งภาพของต้นไม้ใหญ่ที่เห็นระหว่างทางด้านล่างก็ลาลับ
หายไปจนเหลื่อแต่ทุ่งหญ้า
บนเนินเขา ที่ซึ่งบางจุดนั้นจะเห็นฝูงม้าที่ชาวบ้านเลี้ยง
ไว้กำลังยืนเล็มหญ้าหาอาหารอย่างประปราย

โดยระหว่างนั้นจะมองเห็นน้ำตกสายเล็ก ๆ แทรกตัวอยู่
ตามผนังหินภูเขาที่ถูกตัด
แซะออกสำหรับพื้นที่สัญจร หยดน้ำที่ไหลซึมผ่านโขดหินและพุ่มกอหญ้า
ก็กลับ
กลายเป็นแท่งน้ำแข็งที่เกาะตามหินผามองดูแล้วก็คล้ายกับหินงอกหินย้อย   

อุณหภูมิด้านนอกรถฯ จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้... มีแต่เสียงหวีดหวิวของลมที่ฟัง
แล้วก็ขนลุก มันได้
ลอดผ่านมาจากหน้าต่างฝั่งตรงข้าม ที่ถูกเปิดแง้มออกมาเพื่อ
ระบายอากาศและรับลม
ของผู้โดยสารรายหนึ่ง 

"ปิดกระจกเถอะ" 

ชายหนุ่มผู้ไว้ผมสกินเฮด ที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับฉันได้คว้าหมวกแก๊ปขึ้นมาใส่คลุม
ศีรษะเพื่อป้องกันความหนาวไว้ พลางสะกิดบอกเพื่อนร่วมทางที่นั่งเบาะหน้า
ให้เลื่อนปิดบานหน้าต่างนั้นลงเสีย

"หนาวจนหูจะขาดแล้ว!"

และท่าทีของเขาได้สาธยายให้ฉันได้รู้ว่า
ลมที่ตีพัดมาจากข้างนอกนั้นมันเย็นขนาดไหนกัน 



Marhi จุดแวะพักแห่งแรก ที่มีร้านน้ำชาและร้านขายของตั้งอยู่ 



แล้วในที่สุดเราก็ถึงพื้นที่แรก ที่รถได้หยุดจอดพักช่วง 8.30 น. บริเวณนั้น
มีชื่อว่า Marhi (สูงจากระดับน้ำทะเล 3,360 เมตร) 
มีการตั้งเพิงขายของและร้าน-
ขายอาหารสำหรับให้บริการนักท่องเที่ยวพอประมาณ และจุดโดดเด่นอื่น ๆ ของ
Marhi ก็เห็นเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนา
ขนาดเล็กของฮินดู (สีเหลือง) และแบบ
พุทธทิเบต (สถูปสีขาว)
ตั้งอยู่บนเนินไม่ไกลจากกันนัก 

ชาวบ้านที่อยู่บนรถฝั่งด้านหน้า ต่างก็เริ่มทยอยออกมาจากรถกันทีละคน
และก่อนที่ชายสองคนกำลังจะเปิดประตูหลังเพื่อลงจากรถ พวกเขาก็ได้หันมา
บอกเตือนฉันเกี่ยวกับเสื้อแจ็คเก็ตที่ใส่อยู่นั้น '
มันบางเกินไป' และหากฉันมีเสื้อ
กันหนาวตัวอื่นพกติดมาด้วย ก็ควรรีบเอามาสวมทับก่อนลงจากรถเลยดีกว่า

สเวตเตอร์ตัวหนาที่เพิ่งซื้อมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้ จึงได้ถูกนำมาสวมทับทันทีและดู
เหมือนว่ามันจะทำหน้าที่กันหนาวได้ดีพอสมควร  และเมื่อลงจากรถแล้ว 
ฉันก็ได้
พบกับลมแรงที่พัดกรรโชกมาตีปะทะหน้าเข้าแบบจัง ๆ  

นี่อาจจะเป็นจริงอย่างที่เขาว่าไว้ ยิ่งสูง ยิ่งหนาว
และไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไป
มันจะสูงกว่านี้อีกมั้ย?
ส่วนความคิดที่ว่า เดี๋ยวพอมีแดดช่วงสายก็ร้อน 
คงต้องเอากลับไปใช้ที่เมืองไทยอย่างเดียวซะแล้ว 

ฉันจึงตัดสินใจเดินไปซื้อถุงมือกันหนาวมาใช้เพิ่มโดยไม่ลังเล




รถรับจ้างฯ ที่พากันมาหยุดจอดพักกันชั่วครู่




ที่ตั้งของจุดบริการห้องน้ำชั่วคราว (เพิงสีเขียว)


ไม่นานนักเราก็ต้องวิ่งกลับมาขึ้นรถกันต่อ เพื่อออกเดินทางไปยังจุดหมาย
ที่ยังอยู่ไกลแสนไกลถัดจากนี้ บนเส้นถนนที่มองไปทางไหนก็เจอแต่หิมะสีขาว 
ปกคลุมเต็มพื้นเต็มไปหมด อาจจะเว้นแต่ก็ตรงทางรถวิ่ง

ความกว้างของถนนก็ค่อนข้างแคบ จนน่ากลัวว่าอาจมีพลาดหรือลื่นไถลได้ 
แต่ถึงอย่างนั้น พอเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง ก็จะอาจได้เห็นการวิ่งสวนของรถ
คันอื่น ๆ ผ่านมา อย่างเช่น รถโดยสารประจำทางที่วิ่งมาจาก Keylong เป็นต้น

และนั่นก็เป็นอีกสาเหตุ ที่ฉันไม่กล้าเผลองีบหลับ
(เว้นแต่ชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่เห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติ)

ที่จริงแล้ว ฉันเองก็อยากจะนั่งรถเมล์เข้ามายังพื้นที่แห่งนี้แทนที่จะเป็นรถจี๊ปนะ
แต่ที่เส้นทางวิ่งตรงไปยัง Kaza จาก Kullu ได้ปิดลงไปก่อนหน้าเพียงไม่กี่สัปดาห์
เพราะสภาพอากาศและทางวิ่งรถในช่วงนี้ เริ่มดูไม่เอื้ออำนวยต่อยวดยานพาหนะ
คันใหญ่เสียแล้ว





รถเมล์คันหนึ่งวิ่งสวนผ่านมา 



สภาพของพื้นถนนและไหล่ทางที่เปิดโล่ง




รถของเราได้ไต่เขาขึ้นมาถึงยังบริเวณหนึ่ง และหยุดจอดชั่วครู่ตรงทางโค้ง
ฉันไม่แน่ใจนักว่าเพราะอะไร แต่คาดว่าคงไม่ได้หยุดพักกินข้าวเหมือนกับ
ที่ Marhi แน่ เพราะมันดูเหมือนจะไม่มี
อะไรไปมากกว่า อาคารหลังเล็ก ๆ
สองหลัง กับ รถขุด และอุปกรณ์
สำหรับงานโยธาฯ ...ซึ่งต่อมา ก็มีคนแถวนั้น
เดินออกมายืนรอตรงข้างทางสองราย





ภาพบางส่วนของเส้นทาง เมื่อเทียบกับขนาดของพาหนะที่นั่งมา



นี่คือหน้าตาของที่นั่งตรงส่วนท้ายรถจี๊ป (เบาะหนึ่งน่าจะแบ่งได้ 3 ที่) 



เพื่อนร่วมทางที่นั่งท้ายรถมาพร้อมกันตั้งแต่มะนาลี พี่หมวกแก๊ป และพี่เสื้อหนัง ส่วนโกร่า (คนขับรถ)
กำลังยืนใช้โทรศัพท์คุยธุระบางอย่างอยู่ - ส่วนลุงที่สวมหมวกไหมพรมขาวกับชายอีกคน คือคนที่
ออกมายืนรอรถที่กลางทาง



โกร่า เดินมาเปิดท้ายรถ ให้พวกเราชาวหลังกระบะได้ออกมายืดเส้นยืดสาย
และสูดอากาศภายนอกกันพักหนึ่งก่อน 
เพราะต้องออกมารอคุยกับรถจี๊ปคันอื่น
ที่กำลังเดินทางตามมา  
คาดว่า...คงน่าจะรอเจรจาเรื่องการแบ่งพื้นที่นั่งของ
ผู้โดยสารบนรถ

หลังจากได้ข้อตกลงที่ลงตัวแล้ว ลุงกับคนหนุ่มอีกคนที่โผล่มาเจอกลางทาง
ก็ได้ร่วมนั่งโดยสารมากับเราด้วย แน่นอนว่าจะเป็นที่ไหนไม่ได้เลย หากไม่ใช่
บริเวณท้ายรถที่ยังคงเหลือที่ว่างอยู่  
บรรยากาศบนรถในตอนนี้จึงเริ่มดูอุ่นหนา
ฝาคั่งไปกับเพื่อนร่วมทางที่มีจำนวนทั้งสิ้น 12 คน

ถัดมาเจ้าเส้นทางถนนลาดยางกับทางที่วกวน ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นทางวิบาก
ขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าแถวนี้จะดูแห้งแล้งและกันดารพอสมควร 
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็
ยังมีแม่น้ำสีฟ้าสดสายหนึ่งไหลผ่านมาให้เห็นระหว่างนั้นอีกด้วย





แม่น้ำ chandra สีฟ้าสด ที่ไหลผ่านถิ่นทุรกันดาร 



...


Batal โรงอาหารกลางหุบเขา (บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 3,950 เมตร)

ในเวลาช่วงเที่ยงวัน โกร่าก็ได้หยุดพักการเดินทางอีกครั้งเพื่อแวะกินข้าวตรง
บริเวณที่ชื่อว่า Batal  แต่
ครั้งนี้ มันดูไม่เหมือนกับจุดพักจอดรถที่ Marhi 
อาจเพราะเมื่อผ่านช่องเขา
ที่เรียกว่า Rohtang La ไปแล้ว ก็ไม่ค่อยจะมีผู้คน
เดินทางเข้ามาลึกไปกว่านั้นเท่าไหร่  และแม้ว่าฉันจะพกของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ
ติดตัวมา...
แต่ใจหนึ่งก็ยังคิดลังเล ว่าจะแวะกินข้าวกลางวันจากที่นี่ไปเลยดีมั้ย?

ที่จริงแล้ว ฉันไม่มีปัญหากับการ
กินอาหารต่างถิ่นนะ แต่จะมีปัญหากับการสั่ง
ข้าวกิน เพราะไม่ค่อยรู้จักชื่ออาหารดีพอ  ลองนึกดูสิ ว่าการสื่อสารมันจะลำบาก
แค่ไหนในกรณีที่คนแถวนั้น
พูดกันเพียงแค่ภาษาของเขา และตอบรับเราได้เพียง
yes, no, O.K. , thank you! แค่นั้น

พี่หมวกแก๊ป ได้เตือนว่าหลังจากนี้รถอาจจะวิ่งยาวหลายชั่วโมงและ
ยากที่จะ
แวะจอดพักแบบนี้ ดังนั้นฉันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่่อฟังคนท้องถิ่น

ก่อนที่จะลงจากรถ มันก็จำเป็นที่จะต้องคิดให้รอบคอบสักหน่อย
เพราะหน้าตาของ
สภาพอากาศแถวนี้มันดูไม่น่าวางใจนัก ตรง Batal คงจะหนาว
กว่าจุดพักแรกแน่นอน
ฉันคิดที่จะแวะเข้าห้องน้ำก่อน 




"โกร่า ห้องน้ำอยู่ที่ไหน?" ไม่เห็นมีที่ตั้งสุขาชั่วคราวแบบใน marhi เลยแฮะ

"จะไปตรงไหนก็ได้ ได้หมดทุกที!" แล้วตาคนขับรถก็วิ่งไปหามุมทำธุระส่วนตัว
ที่เนินด้านล่างถัดไปไม่ไกล
จากเพิงร้านค้า มันก็ดูลับสายตาอยู่ (ในกรณีที่เป็นผู้ชาย) 

นี่มันปัญหาโลกแตกสำหรับผู้หญิงเลยนะ ฉันยืนหันหลังแบบนั้นได้ที่ไหนกัน!


ตอนนั้นพี่หมวกแก๊ปก็เพิ่งเดินลงมาจากรถ คิดว่าคงได้ยินเรื่องที่ฉันพูดถาม กับ
นายโกร่า เมื่อครู่นี้เข้า...
เขาเลยชี้ให้ไปยังด้านหลังที่ตั้งของอาคารหลังหนึ่งซึ่ง
น่าจะเป็นโรงเก็บของ โดยจะมีมุมเล็ก ๆ 
ให้พอหลบได้พอสมควร หากมองจาก
ทางรถวิ่ง  แต่ที่ด้านหลังถัดไปจากนั้นมันก็เป็นลานโล่ง ไม่มีพุ่มไม้มาบัง แถมยัง
จะมีเกล็ดน้ำค้างแข็ง
ที่ยังไม่ละลายเกาะให้เห็นอยู่ตามพื้นอีก

มันช่างเย็นยะเยือกเสียเหลือเกิน

"เอาน่า เดี๋ยวฉันจะยืนตรงนี้ และถ้าจะมีใครเลี้ยวเข้าไปก็จะห้ามไว้ให้"

โอ้ เป็นความคิดที่ดีมาก ๆ ค่ะ!

ว่าแล้วฉันก็รีบแว้บหนีเข้าไปทำธุระส่วนตัวตามที่เขาบอกโดยไว





เรื่องอาหารการกินตรงเพิงร้าน ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าแกงถั่วที่เขาทำสำเร็จรูป
ไว้แล้ว ส่วนพื้นที่นั่ง
ด้านในก็ไม่มีโต๊ะหรือเก้าอี้ (ตามฉบับสากลโลก) แต่กลับเป็น
โต๊ะยาวระดับเตี้ยกับ
ม้านั่งตัวเล็ก และต้องนั่งกินร่วมกับคนอื่น

ฉันสั่งอาหารตามแบบที่ทุกคนกินกัน  
ซึ่งมันก็จะมี 
จาปาตี ข้าว แกง แล้วก็ชาร้อนอีกหนึ่งถ้วย 

บรรยากาศใต้ชายคา ดูเหมือนกับที่พักของเหล่านักเดินทางยุคก่อนซะจริง
มันเป็นเพิงผ้าใบที่ใช้ปูคลุมแบบชั่วคราว โดยมีโครงสร้างของอิฐที่ก่อเป็นฐาน
ไว้แบบง่าย ๆ และคาดว่าผืนหลังคาแบบนี้ ก็น่าจะมีแนวโน้มปลิวหลุดไปกับแรง
ลมได้ทุกเมื่อ

นอกเหนือไปจากนี้ สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ก็เห็นจะเป็นที่พักค้างแรม
สำหรับผู้ที่จะเดินทางไกลไปยังทะเลสาบ chandra (เส้นทาง chandra taal
trek) ในช่วงฤดูร้อน กับ
จุดให้บริการโทรศัพท์ทางไกลฯ และยังมีการจำหน่าย
เนื้อแกะสดอีกด้วย





อุปกรณ์ทำครัว ที่วางกองเอาไว้ตรงจุดซักล้างหน้าเต็นท์ 



Batal โรงอาหารกลางหุบเขา ที่ได้แวะมาพักกินมื้อเที่ยงกันที่นี่



เมื่อได้เวลากลับไปขึ้นรถจี๊ปเพื่อเดินทางต่อ...ก็พบว่ามีพ่อลูกคู่หนึ่งขึ้นรถมากับ
เราเพิ่มอีก ดังนั้นจึงต้องมีการสลับตำแหน่งนั่งกันเล็กน้อย
 สองพ่อลูกได้นั่งอยู่ตรง
เบาะฝั่งเดียวกับฉัน  ส่วนลุงกับคนหนุ่มอีกรายก็ย้ายไป
นั่งกับพี่หมวกแก๊ป และพี่
เสื้อหนังก็ได้ย้ายที่ไปยังเบาะหน้าเบียดติดกับสาวท้องถิ่น (ที่คาดว่าพวกเขา
เดิน
ทางมาด้วยกัน) 

เอาหล่ะ ตอนนี้ก็ปาไป 14 คนเข้าแล้ว แน่นเป็นปลากระป๋องเชียว
นี่ยังไม่รวมกับเหล่าสัมภาระของคนหน้าใหม่ที่แบกขนขึ้นมาอีกนะนั่น

คุณลุงคนเดิมที่ติดรถมากับเรา ก็ได้อุ้มถุงกระสอบขนาดเล็กขึ้นมาด้วย
ฉันเห็นคราบเลือดกับอะไรบางอย่างแว้บ ๆ ที่เล็ดลอดโผล่ออกมามันน่าจะเป็นตัว
อะไรสักอย่างที่ตายแล้ว ...
พอลองถามดู ลุงแกก็บอกว่ามันคือ 'แกะ'  พร้อมกับ
หัวเราะร่วน เมื่อได้เห็นอาการตกใจของฉันเข้า

แหม ฉันไม่เคยเห็นใครเขาซื้อขายกันในแบบที่ยังไม่ได้ถูก
ชำแหละนี่นา 



พอหลุดจาก Batal ไป รถจี๊ปปลากระป๋อง ก็ได้พาเราวิ่งผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง 
ที่ซึ่งฉันเองก็ไม่คิดว่า จะมีใครที่ไหนมาก่อสร้างเอาไว้ตรงกลางทางแบบนี้?

มันเป็นพื้นลานที่เล็ก ๆ ซึ่งมีสถูปขาวตั้งอยู่ และมีหน้าตาคล้ายกับศิลปะแบบ
ทิเบต บริเวณนั้นได้ถูกรายล้อมไปด้วยผืนธง
มนตรา ที่มีคนเอามาโยงผูกไว้จน
ดูละลานตาไปหมด

สีสันของกลุ่มผืนธง ช่างดูเข้ากับฉากหลังที่ถูกคลุมด้วยพื้นสีขาวของหิมะจริง ๆ
ฉันได้แต่มองจนภาพนั้นเคลื่อนผ่านไป และยกกล้องขึ้นมากดรูปไม่ทัน

แต่ก่อนที่จะหมดหวัง 
โกร่าก็ได้หักเลี้ยวมายังอีกทางเพื่อวกมาจอด
ตรงหน้าสถานที่ดังกล่าว
พร้อมกับเปิดรถให้ทุก ๆ คนได้ลงมา 





จุดที่ตั้งของบริเวณช่องเขาที่ชื่อ Kunzum (Kunzum La) 



ผู้คนท้องถิ่น ได้มุ่งตรงไปยังแท่นปูนสีขาวที่ก่อขึ้นเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม
พร้อมกับทำท่าแสดงความเคารพ 


หากนี่จะเป็นการเดินทางที่ว่าจ้างนำเที่ยวแบบทั่วไป ฉันคงไม่คิดสงสัยเท่าไหร่
แล้วตาโกร่าจะมาหยุดรถที่นี่ทำไมกัน? ทั้งที่มันไม่ได้เป็นจุดแวะพักกินน้ำชา
แต่ความก็มากระจ่างตรงที่ลุงแกะสด (ขอเรียกแทนแบบนี้ละกัน) ได้บอกฉันว่า 
ที่ตรงนี้เป็นสถานที่ศักดื์สิทธิ์ 

กลุ่มชาวบ้านที่มากับรถคันอื่น ๆ ต่างพากันเดินออกจากรถ เพื่อตรงไปกราบ
ไหว้ขอพรที่
หน้าแท่นบูชารูปทรงสี่เหลี่ยมกัน บริเวณนี้เป็นช่องเขาที่ชื่อว่า
"Kunzum" ซึ่ง
ตั้งบนความสูงจากระดับน้ำทะเล 4,550 เมตร 

เราได้ใช้เวลาอยู่ที่นี่กันครู่หนึ่งราวสิบนาที และกลับไปขึ้นรถ
เพื่อเดินทางกันต่อ ซึ่ง
ในเวลานั้นก็เพิ่งจะบ่ายโมงกว่า ๆ ... 

ระยะเวลา 10 ชั่วโมง ของการเดินทาง พอฟังดูแล้วช่างแสนธรรมดา   
มีหลายพื้นที่บนรัฐหิมาจัลประเทศ (Himachal Pradesh) ตั้งมากมายที่ต้องใช้
เวลานั่งรถข้ามเมืองยาวนานเช่นนี้...แต่หนนี้ฉันกลับรู้สึกว่ามันดูแตกต่าง 
ด้วย
หน้าตาของดินแดนใหม่บนที่ราบสูง ซึ่งเมื่อได้เข้าพื้นที่ลึกไปเรื่อย ๆ 
ก็ยิ่งทำให้
ฉันรู้สึกแปลกใจไม่น้อย 
ตกลงแล้วมันคือประเทศอินเดียจริง ๆ รึปล่าวเนี่ย?  






หมู่บ้าน losar ที่น่าจะเป็นเขตชุมชนแรกที่ได้เจอ หลังจากนั่งรถจี๊ปเดินทางมาเกือบค่อนวัน



ประตูสู่ Spiti Valley หมู่บ้าน Losar
(ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 4,000 เมตร)


บ่ายสองโมงครึ่ง ฉันได้เห็นภาพของหมู่บ้านแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมาบ้างแล้ว
หลังจากที่มองไปทางไหนก็มีแต่ หุบเขา หน้าผา ท้องฟ้า และเส้นถนน

เป็นอีกครั้ง ที่รถของเราจะได้หยุดจอดกันอีกรอบ ถึงแม้ว่าบริเวณนี้จะไม่มี
ปุยหิมะขาวโพลนให้เห็นบนพื้นแบบที่ Batal หรือ Kunzum La ก็ตาม แต่ฉันก็ได้
เห็นจุดปล่อยน้ำที่ไหลผ่านท่อส่งขนาดเล็ก 
ได้เปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งไปบ้าง
แล้วบางส่วน 
(และมีชาวบ้านเดินเวียนไปหักแท่งน้ำแข็งออกอยู่เรื่อย ๆ)

หมู่บ้าน Losar แห่งนี้มีบ้านเรือนและไร่นา ตั้งอยู่กลางหุบเขา แม้จะมีพื้นที่
สำหรับทำการเกษตร แต่
ในขณะนั้นการเก็บเกี่ยวก็ได้สิ้นสุดลงเป็นที่เรียบร้อย
ผืนดินบนแปลงนา
จึงดูเกลี้ยงกริบ เหลือไว้แต่รอยไถและเศษฟางให้ดูต่างหน้า
ส่วนเหล่าต้นไม้ใบหญ้า
ต่างก็พากันผลัดใบเป็นสีน้ำตาล ไม่ก็ร่วงโกร๋นจนหมด


ผู้โดยสารบนรถต่างก็พากันไปนั่งดื่มชากันที่ร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งกัน...และก่อนที่
ฉันจะแยกตัวออกไปเดินเล่น ก็ได้ยินคนทักว่า ฉันจำเป็นต้องไปลงชื่อรายงานตัว
เข้าพื้นที่เสียก่อน...ซึ่งขั้นตอนนี้ นอกจากคนขับรถจะต้องมาแจ้งบอกให้ทางการฯ
ได้ลงบันทึกรายละเอียดบางอย่างแล้ว "คนต่างชาติ" ก็จำเป็นจะ
ต้องมาแสดงตัว
ต่อกับเจ้าหน้าที่อีกด้วย (โดยมากแล้ว คนขับรถ
จะต้องพาเราไปรายงานตัว)  



อาคารที่ใช้เป็นสำนักงานเล็ก ๆ สำหรับการรายงานตัวต่อทางการ จะมีเจ้าหน้าที่ฯ คอยจดบันทึก
ประวัติการนำรถเข้าพื้นที่ฯ และข้อมูลทั่วไปของชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังสปิติ 



พื้นที่เพาะปลูกของหมู่บ้าน และวัวที่กำลังยืนเล็มหญ้า 



หลังจากที่ได้นั่งรถเดินทางผ่านพื้นที่ต่าง ๆ มานานหลายชั่วโมง จนไม่นึกว่า
จะมีที่ตั้งของหมู่บ้านไหนจะมาผุดโผล่ให้เจอได้ 
และเมื่อมาถึงชุมชนเล็ก ๆ
แห่งแรกนี้เข้า มันก็ทำให้ฉันเกิดอาการ
ตื่นเต้นไปกับเขตที่อยู่อาศัยของผู้คนใน
หุบเขาอย่างไม่มีสาเหตุ  
อาจเพราะยังไม่เคยเห็นภาพของอาคารบ้านเรือนและ
ภูมิประเทศในลักษณะนี้มาก่อนด้วย 

เจ้ารถจี๊ปของเราเริ่มติดเครื่องยนต์อีกครั้ง และทุกคนก็กลับไปนั่งประจำที่กัน
ครบแล้ว  
คงเหลือแต่ฉัน...ที่ยังมัวแต่ยืนถ่ายรูปตรงแปลงนาอยู่คนเดียว และมา
รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงตะโกนลั่นทุ่งของโกร่านี่แหละ 
เขาเรียกให้ฉันกลับ
มาขี้นรถโดยไว หลังจากเผลอออกตัววิ่งรถไปได้หน่อยนึง 

ลุงแกะสดกับเพื่อนของเขา ได้ลงจากรถไปแล้ว  
พี่เสื้อหนัง จึงกลับมาอยู่ที่ท้ายรถดังเดิม
ส่วนคู่พ่อลูกก็ย้ายมานั่งตรง
เบาะเดียวกันกับฉัน

เราเดินทางออกจากหมู่บ้าน Losar ในเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง และระยะทาง
ถัดจากนี้ไป จะไม่มีหน้าตาของภูเขาที่มีหิมะปกคลุมมาปรากฏให้เห็นอีก
จะเหลือแต่ก็ทางลูกรังแดง ๆ ท่ามกลางเนินเขาหัวโล้นรอบข้างกับเส้นทาง
โล่ง ๆ 
ไร้ร่มไม้บ้านเรือนและผู้คน 


แล้วฉันก็คาดการณ์ผิดจนได้! อยู่ ๆ ก็มีคนโผล่มาให้เห็นสองรายกลางทาง
กำลังยืนโบกรถกันอยู่  
ทีแรกก็ไม่รู้ว่าเป็นใครเพราะสวมผ้าสีแดงเลือดหมู เหมือน
กับสีจีวรพระทิเบต 
กางร่มกันคนละคัน แถมยังคลุมหน้าเพื่อบังแดดจนเหลือเว้น
ไว้แต่ส่วนตา 
แต่ก็ยังสวมแว่นกันแดดทับอีกที  

พอเมื่อได้เห็นในระยะใกล้ จึงได้รู้ว่าเป็นแม่ชีนั่นเอง 

เธอเดินมาคุยกับโกร่าที่หน้ารถ คาดว่าอาจขอโดยสารติดไปด้วย 
แต่รถของเรา
มันก็ดูท่าจะเต็มและไม่น่าจะสะดวกเสียด้วยสิ ...
โกร่า พยายามเจรจาอยู่พักใหญ่
ตลอดจนพี่หมวกแก๊ป ก็ได้ชะโงกหน้า
ไปช่วยพูดคุยด้วย ก่อนที่จะตกลงกันได้ด้วยดี

ฉันคิดว่าแม่ชีทั้งสองรูป อาจต้องไปขึ้นรถคันอื่น
ที่กำลังจะตามมาสมทบภายหลังแทน




ในเส้นทางบางจุด รถจี๊ปต้องวิ่งเลียบไปตามถนนแคบ ๆ ซึ่งติดกับภูเขาที่ถูกเจาะทางเอาไว้




รถบรรทุกรายหนึ่ง กำลังทำการเปลี่ยนยางที่กลางทางตรงหัวโค้งพอดี 


ต่อมารถของเราได้หยุดจอดลงอีกครั้ง และพักนานจนเกือบครึ่งชั่วโมงได้ 
ที่ตรงนี้ไม่ใช่ทั้งจุดแวะพัก หรือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เพราะเส้นทาง
วิ่งรถแคบ ๆ นี้ กลับถูกกีดขวางทางไว้ด้วยรถบรรทุกยางแตกคันหนึ่ง 

กว่าพวกเขาจะเปลี่ยนล้อเสร็จก็ใช้เวลานานอยู่พอสมควร เราเองก็ทำอะไร
มาก-
ไม่ได้นอกเสียจากนั่งรอบนรถ หรือไม่ก็เดินลงมาดูสถานการณ์ด้านนอกแก้เซ็งกัน



...



ชั่วโมงสุดท้ายของการเดินทาง 

รถของเราได้วิ่งร่อนผ่านพื้นที่แห้งแล้งกึ่งทะเลทราย จนผ่านที่ตั้งของเนินสูงแห่ง
หนึ่ง
แต่นั่นก็เป็นระยะการมองเห็นจากที่ไกล ๆ เท่านั้น...มีสิ่งก่อสร้างบางอย่างที่
ดูคล้ายกับบ้านดิน 
ไล่เรียงลดหลั่นกันลงมาและกระจุกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยว

ฉันมองภาพที่เห็นอย่างไม่อาจละสายตาได้ 
และเมื่อพี่เสื้อหนังบอกว่า
ที่นั่นคืออารามสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดของสปิติ ก็ยิ่งใจเต้นขึ้นด้วยความดีใจ
มันเป็นภาพเดียวกับที่ฉันได้เห็นตามโปสการ์ด ที่ดูคล้ายกับสัญลักษณ์
ที่โดดเด่น
ของหุบเขาสปิติ นั่นไงล่ะ ...

ฉันคงเชื่องช้าและประมาทเกินไป
เลยไม่ทันหยิบกล้องออกมาจากกระเป๋า
คราวนี้...โกร่าก็ไม่ได้หยุดจอดรถเสียด้วย

ช่างเหอะน่า แค่ไม่ได้บันทึกภาพ
ก็ไม่ได้แปลว่ามาไม่ถึงเสียหน่อยเนอะ



ช่วงเวลาบ่ายสี่โมงกว่า  รถของเราก็ได้เลี้ยวมาจอดลงที่ย่านตลาดใหม่
ของตัวเมืองกาซ่า 
หลังจากที่โกร่าขับรถตระเวนส่งชาวบ้านไปตามจุดต่าง ๆ
กระทั่งเหลือคนที่จะไปลงปลายทาง
ตรงท่ารถเพียงแค่สี่คน

"ถ้ามาไวกว่านี้สักสองอาทิตย์ ก็จะได้เจอกับนักท่องเที่ยวที่เยอะมากเชียวล่ะ"

พี่หมวกแก๊ป ผู้ซึ่งจะไปลงยังปลายทางเหมือนฉัน ได้บอกถึงบรรยากาศของช่วง
ฤดูนี้
ให้พอทำใจคร่าว ๆ ว่าฉันอาจจะเป็นหนึ่งในจำนวนของนักท่องเที่ยวที่หลง
เข้ามาผิดเวลา

"ที่นี่เริ่มหนาวแล้ว เลยไม่ค่อยมีใครอยากเข้ามาสักเท่าไหร่ 
แต่ก็ดีไปอย่าง เธอจะได้รู้สึกว่ามัน unique ไง" 

อืม...ฟังแล้วก็เข้าท่าเหมือนกันแฮะ



ที่ตั้งของบ้านเรือนในเขตตลาดใหม่ของเมืองกาซ่า 



ไม่นานนัก ก็ถึงคิวของพี่เสื้อหนังที่ต้องลงรถไปกับแฟนสาวของเขา
และสุดท้ายก็เหลือแค่ฉันกับพี่หมวกแก๊ปที่ยังคงนั่งรถไปต่อ 

ก่อนที่จะจบการเดินทางอันแสนจะยาวนานในวันนี้ลง
นายโกร่า ได้หันมาถามว่าฉันจะไปลงที่ไหน?

"แถว ๆ สถานีรถประจำทาง"

ฉันหยิบสมุดที่เขียนจดสถานที่ที่จะไปพักเอาไว้
ตามข้อมูลที่ได้มามันเป็นเกสท์เฮาส์ที่อยู่ไม่ไกลจากท่ารถนัก 

"เธอรู้จัก Budh Guesthouse หรือปล่าว?"

ดูเหมือนว่าโกร่าจะไม่รู้จัก แต่เขารับปากว่าจะพยายามช่วยเดินหาให้ 

เรานั่งรถผ่านท่ารถ และไปหยุดจอดยังอาคารหลังหนึ่ง ที่เป็นจุดหมายของ
พี่หมวกแก๊ป ซึ่งเขาก็ได้ลงจากรถตรงนี้นั่นแหละ  
แต่ว่าข้าวของต่าง ๆ ที่
ขนซื้อมาจากมะนาลี หลายมัดใหญ่ มันยังคงวางไว้ที่ใต้เบาะดังเดิม

จะว่าลืมก็ไม่น่าใช่ ฉันเห็นแกเดินลงไปตัวเปล่า

โกร่า เดินมายังท้ายรถที่เปิดประตูทิ้งไว้ ในตอนนี้เหลือเพียงแค่ฉันที่นั่งอยู่คน
เดียวแล้ว เขาบอกว่าอย่าเพิ่งด่วนลงมาจากรถ 
เพราะอากาศด้านนอกหนาวมาก
และให้นั่งรอจนกว่าพี่หมวกแก๊ปจะเดินกลับ
มา

สักพักหนึ่ง พี่หมวกแก๊ปก็กลับมาที่รถ เพื่อขนข้าวของที่วางเก็บไว้ใต้เบาะนั่ง
คราวนี้เขาดูต่างไปจากเดิมเล็กน้อย แม้ว่าจะสวมหมวกแก๊ปทับผมทรงสกินเฮด
ตามเดิม และสวมเสื้อกันหนาวชุดเดียวกับ
ที่เห็นกันมาตั้งแต่ที่่มะนาลีก็เถอะนะ

กางเกงขายาวของเขา 
ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นผ้าผืนแดง
อย่างที่พระทิเบตใช้นุ่งห่มกัน 

เหวอออ...นี่ฉันนั่งคุยกับพระมาตลอดทางรึเนี่ย !? 

ก็ตกตะลึงมึนงงไปครู่หนึ่งเลยล่ะ 





ที่พักแห่งแรกของฉันในเมืองกาซ่า 



โกร่า สะกิดบอกให้ฉันลงจากรถได้แล้ว เขาช่วยหอบหิ้วเป้ใบโต
ของฉัน
และพาเดินตระเวนถามชาวบ้านละแวกนั้นให้ 
จนเจอกับที่พักดังกล่าว  

เจ้าของที่พัก Budh เป็นชาวสปิติ ที่แบ่งพื้นที่ของบ้านให้คนมาเข้าพัก โดยกั้น
ห้องเอาไว้แบบเรียบง่าย
ตามแบบห้องพักทั่วไป ที่ไม่ได้เน้นสิ่งอำนวยความ-
สะดวกอะไรมากนัก

นอกจากห้องนอนที่มีเตียงใหญ่ กับผืนผ้าห่มหนาสองชั้นที่เจ้าของบ้านเอามา
จัดวางให้ 
(ฉันเลือกพักที่ห้องริมสุด จะได้เปิดหน้าต่างดูวิวได้สองฝั่ง) และแสงไฟ
ที่ส่องแบบริบหรี่ ๆ อีกสองดวง 

ส่วนห้องน้ำที่ใช้รวมนั้น 
ก็มีหน้าตาแบบทั่วไป
แถมยังมีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ใช้อีกด้วย



...

หิวเมื่อไหร่ก็แวะมาที่ร้านตี๋ 

ฉันแวะไปกินมื้อเย็นร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ที่เปิดขายอยู่แค่เพียงเจ้าเดียว
ในเวลานั้น ประตูทางเข้าด้านหน้าร้านถูกปิดกันลมไว้
ด้วยผ้าผืนใหญ่สีขาว
มันถูกแง้มเปิดไว้นิดหน่อย ให้พอรู้ว่า
บริเวณภายในนั้นยังคงมีอาหารขายอยู่




ห้องแถวสองชั้นที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับท่ารถฯ เป็นพื้นที่สำหรับค้าขาย รวมถึงร้านอาหารท้องถิ่น 


เมื่อเดินเข้าไปก็พบกับที่ตั้งของหม้อใส่นมต้ม และพื้นที่ทำครัวที่ตั้งอยู่ไม่ห่างไป
จากโต๊ะอาหารที่วางติดตรงมุมผนังอีกฝั่ง ซึ่ง
ตอนนั้นมีชาวบ้านมานั่งกินอาหารกัน
อยู่ก่อนแล้ว

ฉันจึงเลือกมานั่งยังโต๊ะที่ใกล้กับประตูทางเข้า เพราะมันว่างอยู่
ก่อนจะสั่งเมนูสิ้นคิดอย่างโชวเมียน กับหนุ่มหน้าตี๋ (อ่านไม่ผิดหรอก)
ที่น่าจะเป็นลูกชายของเจ้าของร้าน 

เขาพอพูดสื่อสารกับฉันได้บ้าง แต่ก็ตะกุกตะกักเล็กน้อย

"half หรือ full?"

ฉันบอกไปว่าเอาหมี่ผัดขนาดครึ่ง

และมันคงจะดีกว่านี้ หากฉันรู้จักชื่ออาหารและสามารถอธิบาย
ให้เข้าใจได้ในครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นเรื่องวุ่น ๆ คงไม่เกิด

"เดี๋ยวนะ  มีไก่ไหม?  ขอเป็นโชวเมียนใส่ไก่" 

ฉันเพิ่มรายละเอียดสำหรับอาหารที่สั่งไปอีกนิด 
จากนั้นเขาก็เดินไปบอกกับพ่อ ที่กำลังเตรียมจุดเตาทำอาหาร 

"ที่นี่ไม่มีไก่ จะมีขายแต่ แกะ กับ มังสวิรัติ"

ชายผู้เป็นพ่อครัวได้บอกฉันกลับมา ว่ามีแค่สองตัวเลือก

"ขอเป็น มังสวิรัติ ก็แล้วกัน" ฉันตอบกลับไป

ระหว่างที่นั่งรออยู่นั้น ก็มีลูกค้ารายใหม่คนหนึ่งมานั่งร่วมโต๊ะกับฉันด้วย
ดูจากหน้าตาแล้วก็คงเป็นชาวสปิติ ...
เขาสั่งโมโม่ (เกี๊ยว) มาหนึ่งถาดใหญ่
พร้อมกับแบ่งถ้วย
ใส่แยกให้ฉันลองกินสี่ชิ้น "ลองกินดูสิ กินเนื้อแกะได้ใช่มั้ย"

จากนั้นก็ชวนคุยถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ ตามแต่ที่ลุงจะนึกออก
ว่ามาถึงกาซ่าตั้งแต่เมื่อไหร่ และทำ permit เข้าพื้นที่หรือยัง ฯลฯ

ต่อมาหมี่ผัดมังสวิรัติของฉันก็ถูกนำมาเสิร์ฟเสียที โดยหนุ่มตี๋ผู้นั้น
แต่ก่อนที่ฉันจะเทซอสพริกราดลงไป ก็ดันสงสัยเรื่องบางอย่างขึ้น

"เอ่อ ... นี่มัน half หรือ full อ่ะ?"

ความใหญ่ของจานนี้ก็ระดับส้มตำถาด และน่าจะแบ่งกินได้ถึงสี่คน

"full ครับ" หนุ่มตี๋ได้ตอบกลับมา

ในขณะที่ตอนนั้นเขาเดินกลับไป
อยู่ในพื้นที่ครัว
เพื่อเตรียมอุ่นนมสำหรับต้มชา 

"แต่เมื่อกี้นี้ เราสั่งแค่ครึ่งนึง" ฉันยืนยันว่านี่ไม่ใช่ขนาดที่บอกไป 

หนุ่มตี๋ ได้แต่ยืนอึ้งกิมกี่ ดูจากสีหน้าของเขาที่เริ่มแดงขึ้นจนชัดเจน 
สงสัยจะมึน ในตอนที่ฟังถึงเนื้อไก่ ไล่มายันเนื้อแกะ จนฉันเปลี่ยนใจขอเป็น
มังสวิรัติแน่ ๆ....
ส่วนพ่อ (ผู้เป็นคนทำอาหาร) ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลกันนัก ก็ได้วาง
ตะหลิว
และหันมาทำทีออกมะเหงกใส่ คงจะประมาณว่า จำมาผิดอีกแล้ว!

ลุงคนที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกับฉันจึงได้พูดแซวกลับไป 
และหนุ่มตี๋ผู้นั้นก็ได้แสดงอาการเขินอายอย่างหนักทีเดียว

"มาคนเดียว ตัวเล็กนิดเดียว ขนาดครึ่งก็เหลือแหล่"

มีสาวร่างใหญ่วัยกลางคนผู้หนึ่งเดินผลุนผลันเปิดม่านเข้ามาในร้าน 
(เธอเป็นแม่ของหนุ่มตี๋) แล้วก็พูดภาษาถิ่นกับกับพ่อครัว คงจะถามว่า
คุยเสียงดังอะไรกันอยู่แน่ ๆ 

เรื่องราวของตี๋ ก็ถูกนำกลับมาเล่าใหม่ให้แม่ได้ฟังอีกหน

ชักเริ่มสงสารตี๋แล้วแฮะ  
เขายืนตัวลีบและหน้าแดงก่ำจนเห็นได้ชัด

"กินได้ กินไปเลย สั่ง half ได้ full ... เราก็จ่ายแค่ที่เราบอกไง"

ลุงคนที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน ได้พูดแนะนำฉันไม่ให้รู้สึกกังวลหลังจากที่
เห็นหมี่ผัดจานนั้นยังคงวางอยู่ตรงหน้า และยังไม่ได้ลงมือกินเสียที

"พูดงี้ จ่ายเองสิยะ" แม่ของตี๋ ได้พูดกลับไป

แต่จากบรรยากาศที่เล่ามา มันก็ไม่ได้ตึงเครียดอะไรหรอกนะ 
พวกเขายังคงพากันหัวเราะไปกับความเบลอของตี๋กันอยู่

"เดี๋ยวจะกินเอง"

แล้วแม่ของตี๋ ก็ได้แก้ไขสถานการณ์นี้ด้วยการหยิบจานโชวเมียน 
ที่ฉันยังไม่
ทันได้แตะต้องนั่นไป เธอนำจานขนาดปกติออกมาจากครัว
และเทแบ่งออกมา
ให้ได้ขนาดคนปกติเขากินกัน จากนั้นก็เอามาวางเสิร์ฟให้ฉันแทน    

ส่วนแบ่งของหมี่ผัดที่จัดเกินขนาดที่สั่งมา 
แม่ของตี๋ก็ช่วยจัดการกินให้แทน
ไม่เสียของ ไม่เสียหาย และไม่ผิดใจ




ขวดใส่น้ำกระเทียมหมักรสซ่า



ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า ระหว่างที่พักอยู่ในกาซ่า ร้านนี้ก็ได้มากลายเป็นร้านประจำ
ของฉันไปซะแล้ว 
แต่เมื่อใดที่ฉันสั่งโชวเมียน พ่อครัวก็มักจะแกล้งทำเป็นพูดแซว
เพื่อหยอกให้ตี๋ได้ยินทุกครั้ง  "ตกลง ไม่เอาขนาด full แล้วเหรอ?"

หากข้อสันนิษฐานของฉันจะไม่มีอะไรผิดพลาด สาเหตุหนึ่งที่ทำให้แม่ของ
หนุ่มตี๋ตัวใหญ่ได้ขนาดนี้ 
คงเป็นเพราะเจ้าลูกชายน่าจะฟังการสั่งของลูกค้า
ผิดบ่อย ๆ แหงเลย



...





ถึงครั้งนี้ ฉันจะเดินทางมาถึงที่หมายอย่างปลอดภัย และได้เข้าพักยัง
เกสท์เฮาท์ตามที่วางแผนไว้...แต่มันก็ดูเหมือนว่า ฉันยังไม่สามารถเข้าถึง
และเข้าใจพื้นที่แห่งนี้ได้ดีสักเท่าไหร่ ก็ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นการเดินทาง
เข้ามา
เพื่อ "ทักทาย" ให้รู้จักหน้าค่าตากันก่อนเท่านั้น





พื้นที่ตลาดของเมืองกาซ่า



ภาพที่ตั้งของกาซ่า และภูเขา เมื่อมองจากมุมไกลตรงบริเวณลานเพาะปลูก  


กาซ่า ที่ฉันมาพักอยู่คือเขตเมืองใหญ่ของหุบเขาสปิติ ซึ่งก็ถือว่าเข้าถึงความ
เจริญพอตัว หากจะเอาเปรียบเทียบกับหมู่บ้านโคมิก
ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลไปจากนี้...

มันคือหมู่บ้านที่โมฮัมหมัด เคยไปพักอยู่นานราวสองอาทิตย์ 
เมื่อช่วงกลางเดือนกันยายน แม้ว่าเขาจะบอกเล่าถึงสิ่งเรียบง่ายให้ฟัง 
แต่มันกลับดูเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อจนเกินจริงสำหรับฉันไปซะได้ 

"...ในหมู่บ้านที่ชื่อว่าโคมิก มีประชากรราว ๆ ร้อยกว่าคน  ที่นั่นไม่มี
การใช้นาฬิกาเพื่อตั้งกำหนดเวลา แต่ทุกคนจะทำงาน
ตามการขึ้น และ
ตกของดวงอาทิตย์ ช่วงเวลานั้นพวกเขาเริ่มเก็บเกี่ยวพืชผลทางการ
เกษตร
ไว้ในยุ้งฉางเพื่อเตรียมพร้อมให้ทันก่อนเข้าฤดูหนาวกันแล้ว 

ไม่มีอินเตอร์เน็ต 
ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์
และมีกระแสไฟฟ้าให้ใช้วันละไม่กี่ชั่วโมง

ทุกอย่างมันเงียบสงบมาก ๆ และกระทั่งได้ยินเสียงเลือดที่วิ่งพล่านอยู่
ใต้ผิวหนังอย่างชัดเจน ส่วนในช่วงกลางคืนภาพดาวบนท้องฟ้าคือฉาก
ที่งดงามที่สุด"



...



พลบค่ำของคืนนี้ เมื่อฉันได้มองออกไปข้างนอกผ่านทางหน้าต่าง บ้านเรือน
แต่
ละหลังจะเปิดไฟดวงเล็ก ๆ ให้พอได้มองเห็นอยู่บ้าง แต่แสงไฟเหล่านั้น
มันก็ดู
ริบหรี่ เมื่อเทียบกับเงาความมืดที่มาปกคลุมพร้อมกับความเงียบสงัด

และระหว่างที่ฉันกำลังจินตนาการถึง
หมู่บ้านประหลาดที่ว่านั่นอย่างเพลิน ๆ  
กลับมีบางสิ่งที่ได้ดึงดูดความสนใจเข้าให้ นั่นคือเงาทะมึนของภูเขาใหญ่
ตรงทิศเบื้องหน้ากับหมู่ดาวที่ส่องแสงระยิบระยับเต็มไปหมด และที่ด้านมุมหนึ่ง
ของท้องฟ้าก็มีแสงสีขาวลาง ๆ คล้าย
ละอองฝุ่น หรือไม่ก็ไอหมอก มาเกาะกลุ่ม
รวมกันเป็นกระจุกและพาดเป็นแนวยาว ... 
ทางช้างเผือก! 

ฉันสามารถมองเห็นทางช้างเผือกได้จากที่นี่จริงด้วย  

ถึงมันจะอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่ง ๆ โดยไม่ได้รีบขยับย้ายหายไปไหน
แต่ก็แย่จริง ๆ นะ ฉันตั้งค่ากล้องสำหรับถ่ายภาพดาวบนท้องฟ้าไม่เป็น


ช่างเหอะน่า แค่ไม่ได้บันทึกภาพเก็บไว้
ก็ไม่ได้แปลว่า ไม่เคยได้เห็นเสียหน่อย



Create Date : 09 มกราคม 2558
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2561 9:15:05 น. 32 comments
Counter : 742 Pageviews.

 
สวยจังค่ะ ตามเที่ยวด้วยค่ะ


โดย: mariabamboo วันที่: 9 มกราคม 2558 เวลา:19:56:23 น.  

 
สวัสดี น้องฟ้า แฮ่ พี่ก็นะ ทันทีเลย น่าจะเด็กกว่าพี่แยะ

พี่ก็เป็นแบบนี้บ่อยนะ แบบ มาถึงที่ แต่ไม่ได้ถ่ายรูป 555 แต่คนมักจะเข้าใจว่าพี่ถ่ายทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้าล่ะ

ชอบภาพก่อนสุดท้ายค่ะ ที่ตั้งเมืองกาซ่า

หมู่บ้าน Komic ที่ว่า มีแบบนี้จริงๆ มัง พี่ถามตัวเองก่อนว่า ถ้าให้ไป จะไปมั้ย

พี่คิดภาพตามค่ะ...ดาวระยิบเต็มท้องฟ้า อยากเห็นๆ


โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 9 มกราคม 2558 เวลา:20:07:10 น.  

 
อืม ไม่รู้มาก่อนว่านั่งมากะพระเนอะ ไม่งั้นอาจจะได้มีปุจฉา วิสัจชนา วิสาสะ อุตสาหะ กิจจะ วิมังสา กันมาตลอดทาง ไอ้อีกสามสี่คำนั่นพี่เติมเองมั่วๆ นะจ๊ะ อย่าพยายามแปล

บรรยากาศบ้านเมืองเล็กจิ๋ว ขนาดประชากร 100 กว่าคนแบบนี้ และมีสาธารณูปโภคพอดีพองามแบบนี้ พี่ว่ามันให้ความรู้สึกถ่อมตนดีนะ เกรงอกเกรงใจพื้นโลกและสิ่งอื่นๆ
ที่อาศัยอยู่บนดาวดวงนี้ด้วยกัน

คงจะเป็นโลกที่น่าอยู่มากขึ้นนะ ถ้าคนจะมีความรู้สึกนอบน้อมให้กับธรรมชาติบ้าง อย่างน้อยก็ทำให้ได้ยินเสียงอะไรเล็กๆ ที่ปรกติอาจไม่มีโอกาสได้ยิน อย่างเช่นเสียงเลือดของตัวเองที่วิ่งไปตามเส้นนั่นแหละค่า ชอบจัง

มาตอบ นายฟรายเดย์เป็นแมว ที่ตอนนี้กำลังจะแปรสภาพจากแมวคล้ายเสือน้อยๆ ไปเป็นแมวหน้าเสือที่หุ่นเหมือนลูกหมู ไม่เหมือนตัวตุ่นอะไรซักอย่างล่ะค่า



โดย: secreate วันที่: 9 มกราคม 2558 เวลา:23:33:52 น.  

 
ลืมไปอีกเรื่อง น้ำองุ่นขาวที่ใช้ทำแยมยี่ห้อ dallfourre ใช่ป่ะ พี่ชอบนะคะยี่แยมห้อนี้(เขียนชื่อผิดหรือเปล่านะ) ถ้าใช้น้ำองุ่นก็ลดน้ำตาลทรายลงได้เยอะเลยค่ะ
ทำแยมเองมันดีตรงนี้แหละ ควบคุมความหวานได้ตามใจคนทำ

ไม่ใช้เพคตินก็ใส่น้ำมะนาวเยอะหน่อย ทดแทนได้ค่ะ รสชาดดีด้วย
พี่ไม่ค่อยชอบรสและกลิ่นของเพคตินเลยค่ะ อันที่จริง
ใส่เพราะทำให้แยมอยู่ตัวและใช้น้ำตาลน้อยลง



โดย: secreate วันที่: 9 มกราคม 2558 เวลา:23:43:50 น.  

 
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
aphsara Technology Blog ดู Blog
ขุนเพชรขุนราม Science Blog ดู Blog
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น

อรุณสวัสดิ์จ้ะ


โดย: Opey วันที่: 10 มกราคม 2558 เวลา:5:40:48 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับน้องฟ้า


เหมือนเมืองในหุบเขาเลยครับ
วิวภูเขาสวยอลังการมากๆ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 มกราคม 2558 เวลา:6:52:32 น.  

 
มาแล้วจ้า ช่วงนี้คิวเม้นท์แยะจริงๆ

กว่าจะฝ่าฟันมาถึงบ้านนี้นี่ คนคอยดักตีหัวแยะเลย 555

เปิดมาประโยคแรกนี่ เลือด อ.เต๊ะ สูบฉีดปรี๊ดด กันเลยทีเดียว อิอิ


ไม่บันทึกภาพ ไม่ได้แปลว่ามาไม่ถึงเสียหน่อยเนอะ


เพราะไอ้คำว่า ถึง ในหมู่นักเที่ยวนี่ ผู้หญิงกับผู้ชาย ไม่เหมือนกันน้า

เรียกว่าคนละเรื่องกันทีเดียว 555

อ.เต๊ะ พูดใหม่ก็จะได้แบบนี้

ถ้าจะมาให้ถึง ก็อย่าบันทึกภาพเด็ดขาด อิอิ

เพราะภาพทุกภาพ จะเป็นพยานหลักฐาน มัดตัวเรา เวลาแก้ตัวกับเจ้านายที่บ้านได้ อิอิ

มันดิ้นไม่หลุดจริงๆน้า ขอบอก555

แล้วก็ อกอีแป้นจะแตก น้องฟ้านั่งคุยกับพระมาตลอดทาง

ไม่รู้ศีลท่านจะอยู่ครบมั้ยเนี่ย อ.เต๊ะ ละเป็นห่วงจริ้งจริงเลย อิอิ

ไอ้บร้า อ.เต๊ะ น้องฟ้าเค้าเป็นกุลสตรี มีมารยาท ไม่เหมือนเอ็งหรอก

ชอบเล่าเรื่อง ทะลึ่งทะเล้น ให้พระท่านฟัง ท่านฟังเอ็งเล่า 5นาที ก็แทบจะลาสึกกันจีวรปลิวแล้ววว 555

โห แล้วน้องฟ้าไปสั่งอาหาร กินแต่มังสะวิรัติเลยเหรอนี่

ถ้าอ.เต๊ะไปด้วยละก้หมี่ซั่วจานใหญ่นี่อาจจะไม่พอนะขอบอก ยิ่งเดินทางระหกระเหินแบบนี้ นั่งรถกระเด้งกระดอน หลาย ชม. แป๊บเดียวก้หิวแล้ว นะขอบอก

ดูภาพบรรยากาศเมืองนี้แล้ว คนไปเที่ยว คนจะมานี่ต้องรักความสงบ สันโดษมากๆเลยน้า ดุแล้วเหมาะกับ คนอกหัก นักแต่งนิยาย คนช่างฝัน
แล้วก็นักโทษหนีคดี นี่แหละ ใช่เลย 555

ปล. ภาพทีเด้ด ทางช้างเผือกนี่ ขอบอกว่า ใจร้ายมากเลยน้า ไม่ถ่ายมาให้ดูบ้างเลย แง้ๆๆๆๆ


โดย: multiple วันที่: 10 มกราคม 2558 เวลา:7:26:40 น.  

 
สวัสดีค่ะ

...ทุกครั้งที่หายใจ มักกลืนคำว่า “คิดถึง” เข้าไปด้วย

สัมผัสได้ว่า ชื่นใจมากค่ะ อิอิ





โดย: ญามี่ วันที่: 10 มกราคม 2558 เวลา:9:57:19 น.  

 
นาขั้นบันไดอยู่ที่แม่กลางหลวง ดอยอินทนนท์ครับน้องฟ้า
พี่ก๋าไปเจอโดยบังเอิญครับ

บทกวีของพี่ก๋าเวลาเขียนเศร้าๆ
คนชอบคิดว่าเขียนจากชีวิตจริงนะครับ 555
จริงๆไม่ใช่เลย

มาจากจินตนาการล้วนๆเลยครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 มกราคม 2558 เวลา:11:29:39 น.  

 
ขอบคุณ link ค่ะ

พี่ตามไปดูแล้ว สวยหยด...ขอใช้คำนี้ละกัน วิวเขา แลดูสมบุกสมบันดี ตัดกับฟ้าสีฟ้าเข้ม สวยมาก หญิงชาวเมืองเค้าด้วย ชอบค่ะ ถ้าได้ไปถ่ายรูปพี่คงกดไปเยอะเหมือนกัน

ห่อหมกคุณยาย พี่ไม่ได้ซื้อหรอก แต่ชอบแววตาคุณยาย เลยเก็บภาพมา

พี่มีขาตั้งกล้องค่ะ แต่ไม่เคยแบกไปไหนเลย ยังนอนนิ่งในกล่องจนป่านนี้ น่าสงสาร (ขาตั้ง) เนาะ

ตรอกบ้านจีน บ้านแต่ละหลัง มหึมาขนาดนั้น แล้วนี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว ถามพี่ร้านขายยาเค้า บอกว่า ซ่อมหนักเอาเรื่องค่ะ พยายามคงรูปเดิมให้มากที่สุดล่ะ ติดใจลายแกะไม้ของบ้านแต่ละหลังเหมือนกันค่ะ




โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 10 มกราคม 2558 เวลา:16:10:10 น.  

 
ตามมาเที่ยวต่อนะคะ
แต่ยังส่งกำลังใจไม่ได้ คงต้องมาใหม่อีกรอบจ้า..

มันแกวมีไม่เยอะค่ะแค่ 3 หัวเอง
แต่เพราะเขาไม่ใช่ส่วนผสมหลัก ๆ เป็นแค่ตัวประกอบ
แต่ละเมนูก็เลยใช้ไม่มากค่ะ
เสิร์ฟมาสองเมนูเบื่อมันแกวแล้วเหรอคะ
งั้นบล็อกหน้าเสิร์ฟอย่างอื่นแทนก็ได้ 55555


โดย: เนินน้ำ วันที่: 10 มกราคม 2558 เวลา:16:50:17 น.  

 
คุณฟ้า ถ่ายภาพสวยจริง ๆ แต่ดูแล้ว เหงา......

ไปต่างถิ่น เจอแบบนี้ แรก ๆ คงตื่นเต้นแปลกตาดี แต่ถ้าอยู่
เกิน 2 วันคงจะคิดหนัก

เคยไปทำงานที่สาขาในภาคตะวันออกของไทย หลายสิบปี
มาแล้วตรับ.... ไฟฟ้าปิดตอน 3 ทุ่มครึ่ง จะกระพริบบอกก่อน
ไม่ถึง 5 นาทีก็มืดสนิท

กลับจากที่ทำงาน เกินสองทุ่มจะไม่มีอะไรกิน ต้องกินผัด
ไท (จันทน์) ประจำ

ดูภาพบข้างบนซ้ำอีกครั้ง มีแต่เขาหิน เขามีดินปลูกหรือ
ครับ

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
foreverlovemom Art Blog ดู Blog
ญามี่ Literature Blog ดู Blog
Close To Heaven Food Blog ดู Blog
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 10 มกราคม 2558 เวลา:20:26:37 น.  

 
น่าจะถ่ายภาพขนาดจานมาด้วยนะครับ อยากเห็นขนาดเหมือนกันว่าใหญ่ขนาดไหน

ดูเป็นทรายไปหมดเลย ห้องพักดูเรียบง่ายดีครับ

+


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 11 มกราคม 2558 เวลา:0:58:56 น.  

 

บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น

อรุณสวัสดิ์ขอรับ... ดินแดนที่ว่าไร้แสงไฟนีออน ยังมีหลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้น่าศึกษาขอรับ


โดย: ขุนเพชรขุนราม วันที่: 11 มกราคม 2558 เวลา:5:05:50 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณฟ้า


บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น




โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 11 มกราคม 2558 เวลา:5:39:49 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับน้องฟ้า


พี่ก๋าโหวตบล็อกท่องเที่ยวให้เลยครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 มกราคม 2558 เวลา:6:28:16 น.  

 
มาดื่มด่ำกับธรรมชาติค่ะ
เป็นการท่องเที่ยวคนเดียวที่น่าประทับใจมาก ๆ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog


โดย: เนินน้ำ วันที่: 11 มกราคม 2558 เวลา:7:39:40 น.  

 
กรี้ดดดดด

พอบอกว่าเห็นทางช้างเผือกเท่านั้น กรี้ดเลยยย
แสดงว่าท้องฟ้าโล่งกว้างและมืดใช่ไหมคะ
เคยเห็นครั้งนึงแบบไม่เต็มตานักเพราะมันมืดมาก
และขับรถอยู่คันเดียวแถบนั้น ถ้าปิดไฟหน้ารถเหมือนปิดไฟเลย มืดมากก
ลงจากรถแหงนมองฟ้าแป้บเดียวเอง เสียดายมากตอนนั้นปอดแหกไปหน่อย คือว่ามันวังเวง เลยกลัว 555

ที่อยู่ขนาดนี้ยังมีผู้คนอาสัย แถมยังมีนักท่องเที่ยวด้วย
มันคงเป็นการบอกทางอ้อมว่ามนุษย์เป็นนักสำรวจและนักค้นหาจริงๆ

เรื่อง altitude sickness เดี๋ยวเขียนบล็อกดีกว่าค่ะ อยากเขียนมานานแล้ว
ไหนๆก็ไหนๆ เขียนเสร็จแล้วจะมาเคาะเรียกนะคะ ^_^


โดย: AdrenalineRush วันที่: 11 มกราคม 2558 เวลา:10:24:23 น.  

 
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 11 มกราคม 2558 เวลา:14:40:15 น.  

 
สวัสดีค่า คุณฟ้า ^^
กาซ่า เมืองกลางหุบเขาแห้งแล้ง
ดูแล้งมากจริงๆ
ฝุ่นคงเยอะมากเลยนะคะ ภูเขาแทบไม่มีต้นไม้เลยอะ

สงสัยจัง มองเห็นทางช้างเผือกยังไงเหรอคะ
คุณฟ้าเอามาโชว์ให้ดูด้วยน๊า อยากเห็นมากเลยค่ะ

จิปิติ น่าสนใจจค่ะ ไม่ค่อยมีใครนำเสนอ
คุณฟ้าคงศึกษาละเอียดยิบ ถึงได้แบคแพ็คไปได้
แบบเพอร์เฟคด้วยสิ อยากไปค่ะ T T

ห้องพักสีเจ็บมาก
อ่านแล้วก็ขำเรื่องชือเกสต์เฮ้าส์ ดีไม่ผิดที่นะคะ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวน่าสนุก
เปิดโลกทัศน์นุ่นเยอะเลยค่ะ



โดย: lovereason วันที่: 11 มกราคม 2558 เวลา:20:57:42 น.  

 
thx u crab


โดย: Kavanich96 วันที่: 12 มกราคม 2558 เวลา:4:07:05 น.  

 
แวะมาทักทายวันแรกของสัปดห์ขอรับ


โดย: ขุนเพชรขุนราม วันที่: 12 มกราคม 2558 เวลา:7:45:44 น.  

 
โหวตจ้าา

ฮาข้อสันนิษฐานของฟ้าเรื่องแม่ตัวใหญ่เพราะลูกฟังผิด ท่าทางลูกจะขี้เขินนะนั่น ฮาา

ง่ะ เพิ่งเห็นรูปน้ำกระเทียมซ่า เค้าเอาไว้ทำอะไรนะ?


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 12 มกราคม 2558 เวลา:9:39:50 น.  

 
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
kae+aoe Parenting Blog ดู Blog
เนินน้ำ Food Blog ดู Blog
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog

หายไข้แล้วค่อยมาคุนะครับ



โดย: nulaw.m (คนบ้า(น)ป่า ) วันที่: 12 มกราคม 2558 เวลา:14:16:59 น.  

 
สวัสดีอีกรอบจ้า

อิลังอิลังพี่ก็เพิ่งรู้ตอนพนักงานบอกจ้ะ แฮ่..

อ้อ มันเป็นเช่นนั้นนั่นเอง ขอบคุณที่ไปตอบนะจ๊ะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 12 มกราคม 2558 เวลา:17:45:12 น.  

 
PMS ก็เป็นเหมือนกันค่า 555
เป็นมันทุกอย่าง กลัวตกเทรนด์
คุณฟ้าถือว่าโชคดีมากที่ขึ้นที่สูงแล้วไม่เป็นอะไร
ยิ่งเที่ยวเองคนเดียวแบบนี้ด้วย
บางคนเป็นโงหัวไม่ขึ้นเลยนา เห้นเพื่อนเป็นแล้วสงสาร เพราะมันทำให้หมดสนุกไปเหมือนกันค่ะ

เรื่องนี้อยากเขียนมานานมากแล้วค่ะ จนลืมไปเลย
ขอบคุณนะคะที่ช่วยกันเตือน เลยได้เขียนเป็นจริงเป็นจังวรอบนี้
เขียนยากเหมือนกันนะคะ เพราะวิชาการไปมันก็น่าเบื่อเนอะ


โดย: AdrenalineRush วันที่: 12 มกราคม 2558 เวลา:19:11:34 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตนะครับน้องฟ้า

พี่ก๋าเชื่อเรื่องใจ หรือ ความคิดนะ
มันเป็นตัวกำหนดทุกอย่างเลยจริงๆ




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 มกราคม 2558 เวลา:20:51:42 น.  

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
 
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
หอมกร Movie Blog ดู Blog
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุด
ในแต่ละวันเท่านั้น

อุ้มตามมาเที่ยวต่อค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 12 มกราคม 2558 เวลา:23:25:56 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับน้องฟ้า



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 มกราคม 2558 เวลา:6:09:15 น.  

 
ข้อที่ 100

พี่ก๋าตั้งใจสื่อแค่ว่า

ถ้าเด็กคนไหนไม่มีพ่อแม่คอยอ่านนิทานให้ฟัง
จินตนาการส่วนหนึ่งของเด็กคนนั้น
ก็อาจจะขาดหายไป

จริงพ่อแม่พี่ก๋าก็ไม่เคยอ่านนิทานให้ฟังเลยนะครับ 555
ทำแต่งานครับ

มีพี่ก๋านี่ล่ะ
ที่อ่านนิทานให้หมิงหมิงฟังเยอะมากครับ
ฟังเกือบจะทุกวันเลย



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 มกราคม 2558 เวลา:10:59:53 น.  

 
วันนี้ ลุงเนื่อยเอาการ "ตามข่าวฯ"พยามเปลี่ยนมุ่ม ไปอัพเรื่องการ"ท่องฮานอยตอนที่6"เพื่อเปลี่ยนอารมณ์...

เมื่อได้เวลาตามที่กำหนดไว้...สมองจะต้องว่างๆ...

แต่เกิดมีประเด็น"จะต้องคิดต่ออีก"สมองเลยไม่ว่าง...

อ้าวๆๆๆลุง....มาบ่นอะไร?...ที่นี่....?

ลุงคาดว่า เพื่อนๆ...ของหลานฟ้า คงจะไม่มาแอบอ่าน,

ปล.
เรื่องที่ไอดอล...ของลุงรีวิวให้อ่านนี้.....สมองจะต้องว่างจริงๆมันถึงจะพบ เนื้อหาที่สมบูรณ์,


โดย: ธนู ลุงแอ็ดชวนเที่ยว (สมาชิกหมายเลข 4365762 ) วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา:1:09:13 น.  

 
ว้าววววววววววววว....
เมือง"โคมิก"หรือนั่น.....
เห็นทางช้างเผือก ด้วย ความเงียบสงัด ดวงดาวระยับระยิบ ปลอดแสงไฟ ทั้งสิ้น,

ประเทศอินเดีย เป็นประเทศที่แปลกที่สุด เท่าที่ลุงแอ็ด มีจินตนากาลมา มันมีอะไร?ต่อมิอะไร? จนตัวตนลุงแอ็ดนี้ หมดปัญญาจะคิดนึกไปถึงได้,

โลกใบกลมๆใบนี้ เราผู้เป็นสัตว์โลกด้วยชีวิตหนึ่ง เราจึงเล็กยิ่งกว่า อนูที่เล็กที่สุด เหตุนั้น จึงชอบยิ่งนัก ถ้าได้มีโอกาสได้อ่าน/ได้ชม
เรื่องฯลฯ....จากผู้ที่ มีปัญญามากกว่าตนแล,

สิ่งที่เราคิดว่ามันไม่มี, เราอย่าคิดว่ามันไม่มี, เหตุนี้ ตาแก่ตนนี้จึงบ้าแอบอ่านเอย ถ้าเป็นเรื่องฯลฯ...ที่ใช่,



โดย: ธนู ลุงแอ็ดชวนเที่ยว (สมาชิกหมายเลข 4365762 ) วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา:0:54:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กาบริเอล
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




ชอบต้นไม้, แมว, หนังสือ
และออกเดินทางท่องเที่ยวบ้าง

ไม่ชอบพบปะผู้คนมากนัก
เป็นมนุษย์จำพวก introvert

การเขียนบล็อก
คืออีกพื้นที่บอกเล่าผ่านตัวอักษร
และตัวตนของเราก็อยู่ในสิ่งที่เขียนค่ะ

ขอบคุณ Bloggang
สำหรับพื้นที่แบ่งปันตรงนี้

....

เริ่มต้นลงบันทึกอย่างเป็นทางการ
ณ วันที่ 16 ม.ค. 2014


###ไม่สะดวกพูดคุยหลังไมค์นะคะ###

© ขอสงวนลิขสิทธิ์ ภาพถ่าย 
ห้ามนำไปใช้ ดัดแปลง แก้ไข 
โดยไม่แจ้งที่มา ก่อนได้รับอนุญาต


New Comments
Friends' blogs
[Add กาบริเอล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.