เส้นทางและสัดส่วนพื้นที่โดยคร่าวของไนนิตาล
แถวบริเวณท่าจอดรถตรงส่วนนั้นจะเรียกว่า Tallital
ถัดมาจะเป็นย่านตลาดร้านค้าทั่วไปก็คือ Mall road
จวบไปจนถึงแถวลานด้านหน้าจามามัสยิด ถัดไปจากตรงนั้น
จะเป็นที่ตั้งของชุมชนท้องถิ่น แถวนั้นจะเรียกว่า Mallital
การเดินเที่ยวชมไนนิตาล ดูไม่ซับซ้อนอะไรมากนัก
เพราะเป็นเส้นทางเลียบทะเลสาบเพียงแค่ซีกด้านเดียวเท่านั้น
หากเป็นอีกด้านหนึ่งก็จะเป็นที่ตั้งของศาลเทพเจ้าฮินดูขนาดเล็ก
ที่เรียงรายไปตามแนวทางเดินเลียบเขาอันเงียบสงบ
นอกจากที่นี่จะมีมัสยิดและวัดฮินดูแล้ว ก็ยังมีที่ตั้งของคริสตจักร
อยู่หลากหลายคณะอีกด้วย อาทิเช่น
โบสถ์คาธอลิก "เซนต์ฟรานซิส" ที่อยู่บริเวณ Tallital ใกล้กับสวนสัตว์
โบสถ์เมธอดิสท์ ที่ซึ่งเป็นที่ตั้งคริสตจักรแห่งแรก(ของคณะนี้)ในอินเดีย
โบสถ์แองกลิกันที่ชื่อว่า "Church of Saint John in the wilderness"
นอกจากนี้ก็มีวัดของพุทธแบบทิเบตอีกด้วย
ซึ่งตำแหน่งที่ตั้งอาจมองเห็นจากธงมนตรา
ที่ถูกโยงแขวนให้พอสังเกตได้จากบนเขา
Central Methodist Church - สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1858
จามามัสยิด และบริเวณลานกิจกรรมด้านหน้า (Nainital Stadium)
ฝั่งตรงข้ามมัสยิด ตรงบริเวณริมน้ำ จะเป็นที่ตั้งของวัดฮินดูที่ชื่อว่า Naina Devi
ถัดจากวัด Naina Devi ไป จะเป็นพื้นที่ทางเดินติดเขา ที่ไม่มีรถวิ่งผ่านและมีที่ตั้งของศาลต่าง ๆ
หลังจากผิดหวังกับแหล่งที่พักย่านแรกที่แพงกระฉูดถึง 1,000 รูปี/คืน ไปแล้ว
(ซึ่งลดได้เต็มที่ 800) ฉันจึงมุ่งเป้าไปยัง Youth Hostel โดยทันที
มันตั้งอยู่ในเขตชุมชนท้องถิ่นที่ไม่ใช่ย่านการค้าและหลุดไกลจาก Mallital
ไปมาก เส้นทางเดินนั้นจะต้องผ่านศาลสูงแห่งรัฐอุตตราขัณฑ์ โรงเรียน
และเป็นทางเดียวกันกับที่จะผ่านไปโบสถ์เซนต์จอห์นฯ
ปากทางเข้าที่พักจะมีลุงยามคอยนั่งดูแลคนที่ เข้า-ออก อยู่
และมีเหล่าลิงหางยาวคุมถิ่นอยู่หลายตัวทั้งบนต้นไม้และแนวกำแพง
ถึงหน้าตาที่พักครั้งนี้จะไม่ได้ดูดีนัก และอยู่ลึกมาก ๆ
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันต้องเปลี่ยนใจเดินกลับ
มันแค่ 120 รูปี / คืน เท่านั้น ...
ช่างเป็นราคาที่น่าตกใจกว่า 1,000 รูปี นั่นซะอีก !!!!
ถึงจะไกล เดินทางลำบากและแอบเปลี่ยวไปหน่อย
ฉันก็ไม่มีปัญหานะ เพราะไม่คิดจะออกไปเดินตอนมืดค่ำอยู่แล้ว
อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ดูแล มีเวลาเปิด- ปิด สถานที่
และที่สำคัญฉันได้ห้องพักชั้นล่างที่อยู่ตรงข้ามกับแผนกต้อนรับ
ที่มีพื้นที่กว้างมาก ๆ เมื่อเทียบกับขนาดเตียงเดี่ยวที่วางติดริมข้างฝานั่น
ผู้ดูแลบอกว่า หากได้นอนรวมที่ดอร์มเขาก็คิดราคาเดียวกันนั่นแหละ
ขณะที่กรอกข้อมูลบางอย่างที่สมุดลงทะเบียนเข้าพัก
ก็พบว่า ห้องของฉันเพิ่งก็จะมีคนมาเข้าพักก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน
และมากไปกว่านั้น พวกเขาต่างอยู่นานมาก สองสัปดาห์ สี่สัปดาห์
เอาจริง ๆ นะ ถ้าตัดความกังวลเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวก
ความห่างไกลจากย่าน Mall Road หรือห้องน้ำที่ต้องใช้รวมไปได้
ที่นี่ช่างเหมาะกับการปักหลักพักยาว ๆ ได้โดยไม่สะเทือนงบประมาณเลย
ที่ตั้งของ High Court of Uttrakhand หากเป็นช่วงสายกว่านี้ก็จะเห็นคนที่ทำงานในศาลฯ
สวมชุดครุย ออกมาเดินไปเดินมา ที่บริเวณด้านนอกด้วย เส้นทางระหว่างเขตชุมชนนี้กับ
ย่าน Mallital ค่อนข้างไกลและเป็นเนิน แล้วไหนจะเสี่ยงต่อรถที่ขับกันบนถนนอีก ดังนั้นด้านใน
ของศาลสูงฯ จึงถูกใช้เป็นทางลัดสำหรับชาวบ้านละแวกนี้ เราก็เลยได้มีโอกาสเห็นบรรยากาศ
ข้างในนั้นด้วย แต่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพนะคะ เพราะเนื่องจากเป็นสถานที่ราชการ
ที่ตั้งของโรงเรียน ทางผ่านก่อนถึงที่พัก
St. John's Church หรือ St. John in the Wilderness เป็นคริสตจักรแองกลิกัน
สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1847 - ชื่อของโบสถ์นี้ถูกตั้งโดย "บิชอพแห่งโกลกาตา"
ซึ่งช่วงนั้นที่ตั้งบริเวณพื้นที่แถวนี้ยังถูกปกคลุมไปด้วยป่าทึบ
แล้วก็มาถึงที่หมาย Youth Hostel - ถึงไม่ Youth ก็พักได้นะ :)
ราคา นักเรียน 80 รูปี / ผู้ใหญ่ 120 รูปี ส่วนที่เป็นบ้านพักรับรอง 500 รูปี/คืน
(การกลับมาเขียนใหม่รอบนี้เราไม่ลงรูปห้องพักนะคะ เพราะตอนที่ถ่ายภาพไว้ลืมมองไปว่า
วางของได้เกะกะมาก เอาเป็นว่ามันมีแค่ห้องโล่ง ๆ กับเตียงติดมุมและมีพรมที่ปูพื้นเอาไว้ -
ในสภาพที่ไม่ดีนัก)
....
หลังจากหมดห่วงกับเรื่องที่พักแล้ว ก็ออกมาเตร็ดเตร่หาทางไป
ขึ้นกระเช้าเพื่อเที่ยวชมพื้นที่ด้านบนกันดีกว่า เห็นว่าวิวของหิมาลัย
จะออกมาเผยโฉมจากตรงนั้นด้วย
การขึ้นไปยังจุดชมวิวของเมืองนี้นั้น ทำได้ไม่ยาก
จะมีป้ายบอกทางไป Ropeway ติดบอกไว้ที่บริเวณตอนบนของ Mall Road
ตั้งเยื้องกับ Nainital Stadium เมื่อเจอแล้วก็เลี้ยวไปซื้อตั๋วได้เลย ราคา 150 รูปี
โดยจะมีลำดับคิวเรียกบอกไว้ หลังจากนั้นก็ให้ไปนั่งรอที่อาคารจนกว่าหมายเลข
ของเราจะปรากฏที่ป้ายไฟ
การนั่งกระเช้าขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบนนั้นจะจำกัดจำนวนผู้โดยสาร
อยู่ที่ 8 คน ต่อหนึ่งเที่ยวเท่านั้น
วันนี้มีหมอกค่อนข้างมาก ทำให้มองไม่เห็นวิวของหิมาลัยได้เลย นึกซะว่าขึ้นมาดูทะเลหมอกละกัน
ตอนนั้นเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวด้วย จึงยังมีฝนลงอยู่บางช่วง ^^"
พอเห็นทะเลสาบมุมนึัก็นึกถึงคำกล่าวที่ว่า รูปทรงของมันมีลักษณะคล้ายกับ 'ดวงตา'
ฉันก็พยายามมองให้เป็นภาพที่ว่าอยู่เช่นกัน แม้จะไม่ค่อยจะเป็นไปตามนั้นนัก
พื้นที่ด้านบนเขา นอกเหนือไปจากจุดชมวิว ก็ยังจะมีร้านอาหารเล็ก ๆ กิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ
ให้เลือกมากมาย ดูเหมาะกับการพาครอบครัวมาพักผ่อน เพราะมีเครื่องเล่นของเด็กเยอะพอควร
และยังมีที่พักที่ตั้งบริเวณนี้ด้วยนะคะ ซึ่งการเดินทางขึ้นมาบนนี้หากไม่ใช้ Ropeway ก็เหมา
รถรับจ้างขึ้นมาได้
พอหลังจากได้ขึ้นมาเห็นพื้นที่ในมุมสูงของไนนิตาลแล้ว เราก็ยิ่งชอบที่นี่มาก
เพราะเต็มไปด้วยป่าไม้สีเขียวล้อมรอบเต็มไปหมด แม้จะมีที่อยู่อาศัยบนเขา
บ้างก็ตาม แต่มันก็อยู่ในลักษณะแทรกตัวไปกับป่ามากกว่าไปรุกล้ำแผ้วถาง
โดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืนจะยิ่งสวยสุด ๆ เพราะแสงไฟจากบ้านเรือนตรงนั้น
จะส่องลอดผ่านความมืด เผยให้เห็นการซ่อนตัวของอาคารต่าง ๆ ที่หลบแอบ
อยู่ในตอนกลางวัน และเมื่อได้มองด้วยตาเปล่าจากข้างลำน้ำในคืนเดือนมืดแล้ว
มันก็คงจะดูคล้ายกับว่ามีใครสักคนจงใจนำไฟประดับดวงเล็กดวงน้อยขึ้นไปติด
อยู่ตามภูเขาให้ส่งแสงแข่งกับดาวที่อยู่บนท้องฟ้าเลย
แต่บางครั้งฉันก็คิดว่า การมีที่พักอันไกลโพ้นแบบนั้นมันทำให้ตัวเองเสียโอกาส
มานั่งชมวิวข้างทะเลสาบตอนกลางคืนเป็นอย่างมากเลยนะเนี่ย!
มีเรื่องหนึ่งที่ยังติดค้างในความคิดอยู่ไม่หาย นั่นคือตำนานของทะเลสาบแห่งนี้
จากที่ได้ฟังมา สถานที่แห่งนี้คือจุดที่ชิ้นส่วนดวงตาของ 'นางสตี' ตกหล่นลงมา
อืม...แล้วนางเป็นใครกันหนอ ???
นั่นคือคำถามแรกที่นึกขึ้น
เรื่องของเทววิทยาในศาสนาฮินดู อาจยากเกินกว่าที่เราจะไปเข้าใจได้
ไหนจะมีศัพท์เรียกเฉพาะอีกการเปิดตำราอ่านจากที่แล้วมาทำให้ฉันสับสน
ดังนั้นซีรีย์อินเดีย Devon ke Dev...Mahadev
จึงกลายเป็นหนึ่งในทางเลือกที่เราใช้ดูเรื่องราวของนางสตี
ผู้เป็นชายาคนแรกของพระศิวะ และนำมาใช้ประกอบการเขียนที่มา
ของทะเลสาบที่ชื่อว่าเป็น 'ดวงตาของเทวี' มาใน ณ ที่นี้ซะเลย
มาเกริ่นนำสั้น ๆ ก่อนเข้าบรรยากาศสู่ท้องเรื่องกันสักนิด
ณ บริเวณทิศเหนือของทะเลสาบตรงข้ามกับมัสยิด จะมีวัดฮินดูที่ชื่อว่า
Naina Devi ซึ่งผูกเชื่อมโยงกับตำนานของ นางสตี ผู้เป็นชายาคนแรก
ของพระศิวะ ผู้ชื่อว่าได้แสดงความจงรักภักดีต่อสามีโดยการพลีร่างของตน
ให้ถูกเผาในกองเพลิง
นางสตี เป็นหนึ่งในบุตรสาวของ พระทักษะ ผู้เย่อหยิ่ง
เนื่องจากตนเองนั้นกำเนิดมาจากพระพรหมโดยตรง
และนับถือพระวิษณุ (นารายณ์) เป็นเทพเจ้าสูงสุดเท่านั้น
ในขณะที่ พระศิวะ ผู้มีศักดิ์เป็นบุตรเขย
ถึงจะชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามมหาเทพและมีฤทธิ์มากก็ตาม
แต่กลับดูไร้สง่าราศี สวมใส่เครื่องนุ่งห่มที่ดูไม่ดี
และไม่มั่งคั่งเท่ากับเทพองค์อื่น ๆ หนำซ้ำยังทำตัว
เหมือนกับหัวหน้าเหล่าภูติผีอีกต่างหาก
พระทักษะ จึงแสดงท่าทีว่า 'ไม่ชอบ' อย่างออกนอกหน้า
เรื่องที่ดูเหมือนจะจัดหนักล้ำเส้นเกินไปหน่อย
ก็ตรงที่วันหนึ่งพระทักษะได้จัดพิธีบวงสรวงฯ ครั้งยิ่งใหญ่
และได้อัญเชิญเทพยดาทั้งหลายมาร่วมงานอย่างคับคั่ง
เว้นแต่พระศิวะ
นางสตี จึงได้แอบถามไถ่ถึงเหตุผล
ว่าทำไมต้องแสดงท่าทีแบบนี้ต่อมหาเทพด้วย ?
พระทักษะจึงได้ทีพูดจาเชิงดูถูก
และกล่าวล่วงเกินพระศิวะต่าง ๆ นา ๆ
ให้นางสตีฟัง ด้วยเหตุนี้นางก็ถึงกับทนไม่ได้
และไม่กล้ากลับไปพอหน้าพระศิวะได้อีก
จึงอธิษฐานให้ไฟเผามอดร่างของตนเสีย
(บางตำนานก็บอกว่ากระโดดเข้าในกองเพลิง)
เพื่อประกาศปกป้องเกียรติของสามีตน
หลังจากที่พระศิวะทราบเรื่องนี้เข้าก็ถึงกับโกรธ
และส่งอสูรเข้าไปทำลายพิธีบวงสรวงฯ ของพระทักษะผู้เป็นพ่อตา
จนเหล่าเทพทั้งหลายหนีกระเจิงไปด้วยความกลัว สุดท้ายพระทักษะ
ก็ถูกลงโทษด้วยการตัดศีรษะ ...แต่ภรรยาของเขาได้ร้องขอให้พระศิวะ
คืนชีวิตสามีของตนกลับคืนมา ดังนั้น 'หัวแพะ' จึงถูกนำมาสวมแทนศีรษะเดิม
เพื่อสั่งสอนให้สำนึกถึงความโอหัง และนับจากนั้นมาพระทักษะก็มีร่างเป็นคน
และมีศีรษะเป็นแพะ
....
หลังจากร่างของนางสตี ได้ถูกมอดไหม้ในกองเพลิงและหมดทางช่วยเหลือแล้ว
พระศิวะ เสียใจเป็นอย่างมากที่ทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่อุ้มร่างของนางสตีไว้และ
เหาะไปยังที่ไกลแสนไกล...
ด้วยความเศร้านี้เอง ทำให้พระศิวะไม่เป็นอันทำอะไร
นอกจากร่ำไห้และกอดร่างที่ถูกเผาของชายาตนเองไว้อยู่อย่างนั้น
พระวิษณุ เห็นว่าขืนปล่อยไว้แบบนี้คงไม่ดีแน่ จักรวาลคงจะปั่นป่วน
เลยขว้างจักรมาทำลายร่างของนางสตีจนชิ้นส่วนกระจัดกระจายไปยังที่ต่าง ๆ
โดยชิ้นส่วนของดวงตาได้พลัดตกหล่นมายังพื้นที่วัดแห่งนี้นั่นเอง
เรื่องราวของสายน้ำก็มักจะมีตำนานที่คู่ไปกับความเชื่อของชาวอินเดียเสมอ
และหลายพื้นที่ก็กลับมีปัญหาเรื่องการรักษาสภาพแวดล้อมเอาไว้ไม่ได้
อย่างเช่นภาพของ แม่น้ำคงคา, แม่น้ำยมุนา ที่เมื่อเลยจากต้นสายไปไกลแล้ว
ในบางจุดบางบริเวณกลับพบเห็นสิ่งที่ขัดตามากทีเดียวกับของเสียทั้งหลาย
ที่ถูกปล่อยปละละเลยจากการควบคุมดูแลมานานแสนนาน
แล้วอย่างทะเลสาบ ซึ่งเป็นพื้นที่ปิดเช่นนี้จะมีปัญหาบ้างหรือปล่าวนะ ?
โชคยังดีที่จุดขายของไนนิตาลคือความสะอาดของลำน้ำ
แม้ว่ามันจะไม่ได้ใช้เป็นสถานที่ลอยสิ่งบูชาทั้งหลายลงไป
อย่างลำน้ำศักดิ์สิทธิ์เช่นที่อื่น ๆ ตามอย่างที่กล่าวไว้ก็ตาม
ตามเที่ยวอินเดียค่ะ
ฉายไปหลายตอนแล้วเหรอคะ T___T
ไม่ได้มาสองสามวันค่ะ
เดี๋ยวจะไปตามอ่านกำลังสนุก
โฮสเทลเห็นทางเข้าแล้วแบบว่าทึ่ง
คุณฟ้าไปคนเดียวได้ไง เก่งมาก
เป็นนุ่นกลัวแย่ค่ะ
อยากเห็นวิวหิมาลัยจัง
ไปคราวนี้ไปจุดที่ไม่ได้ไปงวดก่อนเหรอคะ
อินเดียที่สวยๆเยอะเหมือนกันนะคะ
มีเวลามากๆน่าไปเที่ยวจังค่ะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าสนุกๆ ภาพสวยๆค่า