มีพรมแดนติดต่อกับเขตปกครองต่าง ๆ ดังนี้
ทิศเหนือ - Ladakh
ทิศตะวันออก - Tibet
ทิศตะวันออกเฉียงใต้ - Kinnaur
ทิศใต้ - Kullu
ถึงแม้ว่าหุบเขาสปิติ จะเพิ่งเปิดตัวให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้เข้ามาเยี่ยมเยือน
อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี ค.ศ.1991 แต่ก็ใช่ว่าในอดีตที่ผ่านมามันจะเป็นพื้นที่
ตกสำรวจไปจากสายตาคนต่างชาติมานับศตวรรษเสียเมื่อไหร่ ข้อมูลบางส่วนที่
ฉันได้ค้นเจอหลังจากนั้น ก็ทำให้รู้ว่า ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ได้เคยมีการเก็บบันทึก
ภาพของหุบเขาสปิติเอาไว้บ้างแล้ว เมื่อปี ค.ศ.1863 โดยช่างภาพชาวอังกฤษ
ที่ชื่อว่า Samuel Bourne
สะพานที่เชื่อมต่อระหว่าง เขตเก่า และ ใหม่ (kaza khas กับ kaza soma) เด็กนักเรียน กำลังเดินข้ามสะพานไปยังอีกฟากพื้นที่
แผนที่ของเมือง kaza
อาคารบ้านเรือน เจดีย์ และวัด ที่ตั้งอยู่กลางหุบเขา
Sakya Tangyud Monastery ที่ตั้งอยู่ในตัวเมือง kaza
ภาพเมืองมุมสูงจากเนินเขาหลัง Sakya Tangyud Monastery
ท่ารถขนส่งสาธารณะที่ฝั่ง kaza khas (หรือ old kaza)
ลักษณะสภาพภูมิประเทศ ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบสูงกึ่งทะเลทราย มีอากาศ
ค่อนข้างหนาวเย็น และในช่วงฤดูหนาวอุณหภูมิเคยลดต่ำลงจนถึง -37 ํC
จำนวนตัวเลขของประชากรทั้งเขตปกครองนี้ มีอยู่ราว ๆ 3,xxx คน
โดยการตั้งถิ่นฐาน จะกระจายตัวอยู่ตามหมู่บ้านต่าง ๆ ซึ่งจะมีระยะทาง
เชื่อมต่อที่ห่างไกลจากกัน บางครั้งพวกเขาก็อาศัยระบบขนส่งสาธารณะ
อย่างรถประจำทางที่จะมีตารางการวิ่งที่จำกัด แต่บางครั้งพวกเขาก็จะอาศัย
การเดินเท้าลัดเลียบไหล่เขาที่ตัดเส้นเป็นทางแคบไปยังหมู่บ้านอื่นได้
ฉันได้เอ่ยถึง กาซ่า จากครั้งก่อน ว่าค่อนข้างเจริญกว่าที่อื่นในย่านเดียวกัน
เพราะเป็นหัวเมืองใหญ่ของเขตการปกครองพื้นที่สปิติ ดังนั้นมันจึงมีสิ่งอำนวย
ความสะดวกขั้นพื้นฐานในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะร้านบริการอินเตอร์เน็ตคาเฟ่
ขนาดเล็ก (ที่มีความไวไม่ทันใจ),ตู้ ATM, ปั๊มน้ำมัน, ร้านอาหาร, โรงแรมที่พัก
และที่ทำการธนาคาร
ทั้งยังมี โรงพยาบาล โรงเรียน ท่ารถขนส่ง ศูนย์บริการรถรับจ้าง ที่ทำการ
ไปรษณีย์ รวมถึงร้านจำหน่ายข้าวของอุปโภคและบริโภคทั่วไป -- ผู้คนจาก
หมู่บ้านอื่นที่อยู่ห่างไกลไปจากนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องลงมาที่กาซ่าในบางครั้ง
ก็เพื่อซื้อหาอาหารและเครื่องใช้ในครัวเรือนที่ผลิตเองไม่ได้ (คล้าย ๆ กับว่า
ต้องแวะมาซื้อของ หรือติดต่อธุระ ในตัวเมืองนั่นแหละ)
ร้านอาหารท้องถิ่น กับการตกแต่งร้านแบบเรียบง่ายที่มีผืนผ้ากันลมหน้าประตูทางเข้า
และมุมวางตะเกียงบูชาที่ริมผนัง ให้ความรู้สึกเหมือนทิเบตเลย แต่จะมีบางสิ่ง
ที่ดูขัด ๆ ตาไปบ้าง ก็ตรงหน้าจอโทรทัศน์ที่กำลังเปิดเพลงเต้นของอินเดียอยู่นั่นไง ปั๊มน้ำสาธารณะที่ตั้งอยู่กลางชุมชน
การเดินทางในช่วงปลายเดือนตุลาคม
มันอาจเป็นจังหวะที่ดี ที่ในเวลานี้กำลังจะย่างเข้าต้นฤดูหนาว และมีจำนวน
นักท่องเที่ยวปรากฏให้เห็นบางตาจนแทบจะนับคนได้ คงเป็นฤดูกาลที่เหมาะ
กับคนที่อยากมองหาความเงียบสงบกลางหุบเขาเช่นนี้
ในทางกลับกัน ฉันอาจจะโชคร้ายที่อดได้เห็นภาพชีวิตในยามฤดูร้อน ที่ท้องทุ่ง
แถวนี้คงจะดูเขียวชอุ่มไปด้วยทุ่งหญ้า และพืชพันธุ์ที่ถูกเพาะหว่านและเติบโต
ในแปลงเกษตร เพราะอีกใจหนึ่งฉันก็อยากเห็นการเพาะปลูกของพวกเขาด้วย
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและแปลกประหลาดดีนะ...จากที่รู้มาสภาพดิน
ฟ้าอากาศแถวนี้ จะมีฝนตกลงมาให้เห็นมากสุดเพียงแค่สองครั้งต่อปี!
แต่เดี๋ยวก่อน...มันไม่น่าจะมีอะไรให้ดูกังวลแทนเสียหน่อย เพราะพืชผลแถวนี้
ก็จะเพาะปลูกเพียงแต่ ข้าวบาร์เลย์ มันฝรั่ง และพืชตระกูลถั่ว และยังมีไม้พุ่ม
ท้องถิ่นที่มีผลเล็กรสเปรี้ยวอย่าง sea buckthorn ขึ้นให้เก็บเกี่ยวเพื่อนำเอาไป
ทำเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปขายได้อีกด้วย
พืชผักและธัญญหารเหล่านี้ ก็ล้วนแต่เป็นอาหารหลักประจำถิ่น
ที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพพื้นที่เช่นนี้ มีตารางเวลาเก็บเกี่ยว
กักเก็บ และเพาะปลูก ไปตามวิถีของพวกเขา ที่รู้จักการปรับตัวให้เข้า
กับสภาพแวดล้อมได้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ในเมื่อไม่มีฝนชุกหรือมีฤดูฝนแบบบ้านเรา เกษตรกรจะอาศัยน้ำที่เกิดจาก
การละลายตัวของหิมะบนเขา หลังสิ้นฤดูหนาวก็จะเริ่มเตรียมทำร่องน้ำขนาด-
เล็ก (kulhs) มารองรับการไหลผ่านของน้ำเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก
ส่วนเรื่องปศุสัตว์ ตามที่เห็นในกาซ่ามีเพียง แพะ แกะ และ วัว
(ในหมู่บ้านทางตอนบนก็จะมีสัตว์จำพวกจามรี ลา และม้า ไว้ใช้แรงงานเพิ่มเติม)
แม้ว่าที่ตลาดจะมีไข่ไก่ วางจำหน่ายอยู่เป็นแผง แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นการเลี้ยงไก่
หรือสัตว์ปีกประเภทอื่นในกาซ่า ไม่แน่ว่ามันอาจจะถูกขนส่งมาจากพื้นที่อื่นอย่าง
ในมะนาลี หรือไม่ก็เมืองอื่นจากละแวกใกล้เคียงก็เป็นได้
ทั้งแกะและแพะ จะถูกเลี้ยงไว้เพื่อขายและกินเป็นอาหาร
ส่วน วัว จะอยู่ในสถานะของสัตว์เลี้ยงสำหรับใช้แรงงาน
และเลี้ยงเพื่อรีดนม อย่างไรก็ตาม งานในไร่นาก็อาจมีการ
นำเครื่องยนต์อย่างรถไถ มาใช้เพื่อผ่อนแรงแทนเช่นกัน
หญิงชาวท้องถิ่น กำลังเดินถือกระป๋องใบโตที่มีน้ำนมวัวบรรจุอยู่
ฉันถ่ายภาพนี้ หลังจากที่เธอรีดนมจากวัวตัวนั้้นเสร็จสิ้นแล้ว
ผู้คนที่นี่จะไม่บริโภคเนื้อวัว เช่นเดียวกับชาวอินเดียในภูมิภาคอื่น
ในเมนูอาหารประเภท non-veg ที่มีขายอยู่ตามร้านอาหาร ก็มักจะเป็น
"เนื้อแกะ" ฉันไม่แน่ใจนักว่า ในฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างเช่นหน้าร้อน
จะมีเนื้อประเภทชนิดอื่น มาขายเพิ่มเติมไปจากนี้หรือเปล่า?
ลูกสุนัข ที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานช่วงต้นฤดูหนาว
ส่วนสุนัขที่เห็นเดินไปเดินมาอยู่ในหมู่บ้าน พวกมันไม่ได้ถูกเลี้ยงไว้อย่างสัตว์เลี้ยง
สุนัขจรจัดเหล่านี้จะอาศัยอยู่นอกตัวอาคารบ้านเรือนและรวมตัวกันเป็นฝูง พอถึง
ช่วงฤดูหนาว หากตัวไหนไม่แข็งแรงพอก็คงยากจะเอาชีวิตรอดได้
ชุดพื้นเมืองแบบดั้งเดิมของชายชาวสปิติ ที่แขวนอยู่ในมุมหนึ่งของ Deyzor hotel & restaurant
เจดีย์แบบทิเบต ที่ตั้งเป็นแถวเรียงยาวบริเวณด้านหน้า Sakya Tangyud Monastery ลักษณะชาติพันธุ์ของชาวสปิติ แทบจะไม่มีความเหมือนชาวอินเดียทั่วไป พวกเขาจะดูละม้ายไปทางทิเบต และพื้นที่ใกล้เคียงเช่น ลาดักห์ รวมถึงวัฒนธรรมบางอย่างที่รับอิทธิพลทางศาสนาพุทธวัชรยานแบบเต็ม ๆ ฉันไม่รู้ว่าภาษาถิ่นของที่นี่ จะกระเดียดคล้ายกับทิเบตมากน้อยแค่ไหน แต่พวกเขาก็สามารถพูดฮินดี (หนึ่งในภาษาราชการของ อินเดีย) ได้ดีอย่างไรก็ตาม คำทักทายอย่าง จูเล ก็สามารถนำมาใช้กับชาวสปิติได้
ในบริบทเดียวกันกับในลาดักห์ ดังเช่น การทักทาย รวมไปถึงพูดขอบคุณ
และลาก่อน (อย่างไม่เป็นทางการ)
ถึงมันจะสามารถสื่อได้มากกว่าหนึ่งความหมาย
แต่ฉันไม่อยากใช้คำ ๆ นี้ ในโอกาส จากลา เอาเสียเลย
บริเวณแปลงเพาะปลูกที่ฟาก kaza khas หลังสิ้นฤดูเก็บเกี่ยว
คนงานกำลังใช้เครื่องยนต์สำหรับผ่อนแรงเพื่อทำการปรับหน้าดิน
ในวันที่สภาพอากาศแปรปรวนดูครึ้มฟ้าครึ้มฝนและมีลมแรง
แต่ไม่ต้องกังวล...ยังไงก็ไม่มีฝนตกกระหน่ำลงมาหรอก!
กลุ่มของเณรและพระที่ออกมาเดินกันด้านนอก
กำลังวิ่งหาพื้นที่หลบกำบังจากลมที่พัดกรรโชกแรงอยู่ในขณะนั้น
ลมฝนน่าจะถูกพัดพาไปตกอยู่ที่ภูเขาฝั่งโน้นแทนซะแล้ว ...
ไม่นานนัก ท้องฟ้าก็เปิดพร้อมกับมีแสงแดดส่องลงมาอีกครั้ง
ขำมาเฟีย อย่างนี้คงต้องพกขนมไปบ้างนิดหน่อยสินะ
แต่กอดกันเลยทีเดียวเหรอ ถ้าไม่มีอะไรให้ทำไงเนี่ย ต้องพาพี่ไปอยู่บ้านด้วยนะ ฮาา