! ที่นี่ ! เราเลิกเขียนแล้วครับ ..กับเรื่องธรรมดา ที่คุณสามารถหาอ่านที่ไหนก็ได้
Group Blog
 
 
มกราคม 2563
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
31 มกราคม 2563
 
All Blogs
 

ภาวะที่ 6 : แพร่เชื้อ


ขอบคุณภาพปกนิยาย จากคุณ ApitarN ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

 

               “มาพอดีเลย เฮีย  ขอโทษที  ให้เด็กไปเชิญเฮียมา ดันชนกับจังหวะมีลูกน้องต้องอบรม  ถ้ายังไง เดี๋ยวเชิญเฮียนั่งก่อน”

               คิงจาผายมือไปทางชุดโซฟา ซึ่งมีวสันต์นั่งทำหน้าเรียบเฉยอยู่ก่อนแล้ว  เสี่ยสำราญมีอาการอึกอักลังเลชั่วแวบ  ก่อนจะเคลื่อนกายพาร่างอันอุ้ยอ้าย ย้ายก้นอันมหึมานั้น ลงไปนั่งใกล้กันกับราชาน้ำแข็ง

               “ไอ้นี่ มันทำอะไรหรือ จา”

               เขาเอ่ยถามเจ้าพ่อรุ่นน้อง ผู้ซึ่งนับได้ว่า ก้าวเข้ามาในเส้นทางแห่งอบายทีหลัง  สำราญรับรู้ถึงกิตติศัพท์ของคลื่นลูกใหม่ ผู้สามารถสร้างนามกระเดื่องเลื่องลือขึ้นมาได้ ภายในชั่วระยะเวลาอันสั้น  ถึงกระนั้นก็ตาม  เจ้าพ่อใหญ่แห่งวงการค้ายาเสพติดอย่างเขาก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี  กับการจะต้องมายกย่องสรรเสริญบุคคลที่ตนมองว่าต่ำชั้นกว่า ด้วยการใช้สรรพนามเรียกนำหน้าว่า ‘คิง’

               อาจจะพอกันกับ ‘จารึก’ หรือ คิงจา  ผู้ซึ่งมองว่า ไอ้แก่อ้วนเจ้าเล่ห์คนนี้เป็นเพียงบันไดขั้นหนึ่ง ที่เขาจะเหยียบเพื่อก้าวขึ้นไปสู่จุดที่สูงกว่า  และจะต้องสูงพอจนอยู่เหนือคนทั้งปวงให้ได้เสียด้วย

               “อ่อ ไอ้อิฐมันไปรับยาคนอื่นมาปล่อย  เห็นจะเอาไว้ไม่ได้”

               ราชันย์ผู้เปี่ยมไปด้วยด้วยความโหดเหี้ยม  หันไปมองสบสายตากับ ‘ลิง’ ตัวที่ตนกำลังจะเชือด ‘ไก่’ ให้ดู ในอีกไม่นาทีข้างหน้า  นักเลงขาใหญ่รุ่นลายครามจึงผงกศีรษะทำท่าเหมือนเข้าใจ  ปั้นหน้ายิ้มสู้อย่างใจเย็น ทั้งที่มีส่วนรู้เห็นกับการแทรกแซงอาณาเขตค้ายาของอีกฝ่าย  เพราะยาเหล่านั้น ตนได้ใช้วิธีการเปลี่ยนมือส่งผ่านหลายทอด ก่อนจะไปถึงมือไอ้อิฐผู้เคราะห์ร้ายในตอนนี้

               “มันไปรับเอาของใครมา”  
               
               เสี่ยอ้วนพุงพลุ้ยถามหน้าซื่อ   คิงจากระตุกยิ้มนิดตรงมุมปาก  นึกขันจนอยากหัวเราะออกมา พอกันกับที่อยากฝังนิ้วลงในหัวกะโหลกของไอ้คนช่างเสแสร้งผู้นี้เหลือเกิน

               “ผมไม่ได้ทำ!  ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ  ผมไม่ได้ทรยศ  คิงครับ  ผมพูดความจริง” 

               ใบหน้าของผู้ตกเป็นจำเลยเปื้อนเปรอะไปด้วยเลือดกำเดา  หน้าตาของไอ้อิฐแตกยับจากแรงฝ่ามือที่ได้รับ  นายบิ่นคนสนิทของคิงจาถึงกับเบือนหน้าไปทางหนึ่ง รู้สึกเวทนาต่อชะตากรรมที่อีกฝ่ายกำลังจะได้รับ  ไอ้อิฐแสดงอาการหวาดกลัวต่อท่าทีของคิงจาอย่างที่สุด  บทบรรเลงความโหดเหี้ยมของราชันย์พิฆาตน่าสะพรึงกลัวเพียงใด  ตัวของมันเองนั้น ก็เคยได้ประสบพบเห็นมาก่อนหน้านี้แล้ว
 

               -- ราชันย์พิฆาตสามารถฆ่าคนได้ด้วยมือเปล่า  แม้กระดูกส่วนไหนที่ว่าแข็ง ก็ยังถูกบีบให้แหลกละเอียดคามือได้อย่างง่ายดาย  ‘ปิศาจร้ายในคราบมนุษย์’ ดูจะเป็นคำกล่าวขวัญถึงชายผู้นี้ได้ดีที่สุด  หากแต่ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยมันออกมา  บุคคลนี้เปรียบดั่งเป็นสัตว์ร้ายที่คุ้นเคยกับการฆ่า และใครก็ตามที่ถูกหมายหัวเอาไว้  สุดท้ายก็จะต้องหายไปจากโลกนี้ ไม่ช้าก็เร็ว  --

 
               “ไอ้บิ่น เอาเหล้าให้เฮียสำราญ  วสันต์ ลุกมานี่”

               นายบิ่นขยับตามคำสั่ง  ส่วนวสันต์ผุดลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เหมือนไม่ใคร่เต็มใจ แต่ก็ลุกไปตามที่ถูกสั่ง  ราชาน้ำแข็งรู้ว่า ตนจะต้องทำอย่างไรกับเหยื่อที่ถูกเลือกไว้  และมันชักเริ่มจะน่าเบื่อหน่าย กับการต้องถูกเรียกให้มาเปลืองแรง กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เหมือนอย่างเช่นในตอนนี้

               “กูไม่อยากฟังเสียงมันร้อง”

               คิงจาพูดสั้นๆ  มืออันเย็นเฉียบของวสันต์จึงคว้าหมับเข้าตรงของชายร่างเล็ก  กระแสความเย็นเฉียบแผ่ซ่านไปทั่วอย่างรวดเร็ว  ส่งผลให้ประสาทสั่งการบริเวณช่วงลำคอและปาก กลายเป็นอัมพาตชั่วคราวไปในชัวขณะ  ไอ้อิฐนัยน์ตาเหลือกลาน  รู้สึกราวกับอมก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ไว้เต็มปาก จนไม่อาจส่งเสียงอันใดออกมาได้เลย

               ด้วยความเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้รู้เรื่องของทีเซลล์  เสี่ยสำราญจึงไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
                -- พวกมันกำลังทำบ้าอะไรกันวะ --
 
               “ทีนี้  กูจะให้โอกาสมึง  ถ้าตัวมึงซื่อสัตย์กับกูจริงๆ  กูรับรองว่า มึงจะไม่เป็นอะไร  แต่ถ้ามึงเล่นไม่ซื่อกับกูจริงๆ  มึงก็กลับบ้านเก่าไปได้เลย ไอ้อิฐ”

               ชายผู้ถึงคราวเคราะห์ต้องตกสู่ความตาย น้ำตาไหลพราก  พยายามใช้แววตาวิงวอนสื่อสารแทนการร้องขอชีวิตอย่างสุดกำลัง  ทั้งยกมือทั้งสองข้างขึ้นพนมไหว้อย่างน่าเวทนา

               ราชันย์พิฆาตส่งสายตาชนิดหนึ่งให้กับผู้ช่วย  ด้วยสัญญาณตามนั้น  วสันต์จึงปล่อยมือออกจากคอของไอ้อิฐ ก่อนขยับเปลี่ยนทิศทางการยืน  ดังต้องการบดบังการมองเห็นของเสี่ยร่างอ้วนใหญ่

               ภายในเสี้ยววินาที  นัยน์ตาดุดันสีดำสนิทของคิงจา พลันแปรเปลี่ยนเป็นสีทองเข้ม  ผู้อยู่เหนือสุดของสมญาไตรราชาแห่งความกลัว ยกมือขวาขึ้นพร้อมกับกางมือออก  เล็บบนนิ้วมือทั้งห้ายืดยาวขึ้นในชั่วพริบตา  ปลายเล็บแหลมคมแลดูคล้ายกรงเล็บของสัตว์ร้าย  คิงจาใช้เล็บนิ้วโป้งสะกิดเนื้อตรงปลายนิ้วก้อยข้างเดียวกัน ให้เกิดเป็นแผลเล็กๆ  เพื่อโลหิตสีแดงสดจะได้ไหลซึมออกมา  ราชันย์พิฆาตเผยแววตาชนิดหนึ่ง พร้อมกับเหยียดยิ้มอย่างพึงใจ

               เหยื่อผู้ซึ่งไม่สามารถแม้แต่จะส่งเสียงอันใดออกมาได้  พยายามดิ้นรนกระเสือกกระสนหนี  ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นตาย  ดวงตาของไอ้อิฐมองเห็นอุ้งมือพญายมเงื้ออยู่ตรงหน้า  เล็บแหลมทั้งห้าจดเข้าหากัน ก่อนแทงฉึกเข้ามาตรงกลางระหว่างอกของตน  แผลเจาะไม่ลึกมาก ซึ่งไม่ได้ทำให้เจ็บปวดมากมายเท่าใดนักในทีแรก  ทว่าในวินาทีต่อมา ที่หยาดเลือดจากปลายนิ้วของคิงจาไหลรินลงมาสู่บาดแผล  สิ่งแปลกปลอมซึ่งแทรกซึมเข้าสู่ร่างอีกฝ่ายก็เริ่มทำปฏิกิริยาทันที

               วสันต์ขยับตัวถอยห่างไปทางหนึ่ง เพื่อเปิดการมองเห็นให้แก่เสี่ยสำราญอีกครั้ง  คราบเลือดสดใหม่ไม่สร้างความน่าขนลุกได้เท่ากับ การที่ได้เห็นร่างของไอ้อิฐเกิดอาการตัวเกร็งชักกระตุก  ร่างนั้นชักจนตาเหลือกกลับขึ้นเป็นสีขาว  หากแต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกจากลำคอแม้เพียงนิด  มันเป็นอาการวิกฤตที่ต้องพาส่งมือหมออย่างเร่งด่วน  หรือไม่ก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น เพื่อให้สิ้นสุดการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ตลอดไป

               เสี่ยสำราญคิดไม่ถึงเลยว่า  แค่การที่เขาเคยเรียกไอ้อิฐมาเลียบเคียงถามข้อมูลเกี่ยวกับคิงจา  กับการแผ่ขยายอิทธิพลของตนเข้ามาในเขตนี้ ผ่านทางสายส่งยา  จะกลายเป็นการผลักชีวิตหนึ่ง ให้ต้องมาตายต่อหน้าต่อตาตัวเองแบบนี้
 
               “เฮ้ย!  ทำอะไรมันน่ะ  ไหนว่าแค่สั่งสอน  ไม่เห็นถึงขั้นต้องฆ่าแกงกันเลยนี่”

               ลิงซึ่งกำลังมองเห็นไก่ถูกเชือด เริ่มหน้าถอดสี  ออกอาการเสียวสยองให้ได้เห็น สมใจคนลงมือเชือด

               “เหล้าครับ เฮีย”

               ไม่มีใครพูดอะไร  นอกจากนายบิ่นที่ยื่นส่งแก้วเหล้าให้  เจ้าพ่อยาเสพติดรับเอาไปถือไว้ด้วยมืออันสั่น  ชนิดน้ำสีอำพันกระฉอกออกมาหกรดโดนตัวแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้สึก  ผิดกับวสันต์ ผู้กลับมานั่งลงใกล้กัน  ราชาน้ำแข็งยกแก้วไวน์ขึ้นจิบด้วยท่าทางอันสงบ  ชำเลืองหางตาลอบมองเสี่ยร่างใหญ่แวบหนึ่ง

               “เดี๋ยวก็รู้ว่า  ซื่อหรือคด  เพราะถ้ามาถึงมือกูแล้ว ไม่มีหรอกคำว่า ปรานี”

               คิงจาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะใจ  เจตนาสื่อความหมายกระทบเสี่ยสำราญไปในตัว  ร่างเล็กผอมตรงกลางห้องเกร็งตัว ชักกระตุกอีกสามสี่ที จากนั้นจึงหยุดการเคลื่อนไหว  สัญญาณชีวิตถูกตัดหายไป  กลายสถานะเป็นร่างไร้ลมหายใจไป ในท้ายที่สุด

               “มะ มันตายแล้ว จัดการ อะ เอาออกไป ให้พ้นที”

               เสี่ยสำราญยังแข็งใจทำเข้มแข็ง  แสดงทีท่าราวกับไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่เห็น  ทั้งที่รู้อยู่แน่แก่ใจว่า ภาพคนตายจะติดตา คอยตามหลอกหลอนไปอีกหลายวันเลยทีเดียว

               “โอ.. ผมขอโทษเฮียด้วยจริงๆ นะครับ  เอางี้ เรากลับไปนั่งดื่มกันต่อที่ห้องวีไอพีดีกว่า  เดี๋ยวตรงนี้ ปล่อยให้ลูกน้องผมจัดการเอง”

               คิงจาแสร้งขยับเข้าไปใกล้ ทำท่าผายมือเชื้อเชิญแขกรับเชิญร่างหนาให้ย้ายที่  ในสัมผัสของมือที่ถือวิสาสะเข้ามาโอบกลางหลังนั้น  เต็มไปด้วยรังสีการเข่นฆ่าแผ่ออกมา ชนิดที่ทำให้คนถูกโอบสามารถสัมผัสได้  เสี่ยสำราญรู้สึกขนลุกปนเหงื่อแตก  รอยยิ้มซึ่งตีความไม่ได้ของเจ้าพ่อรุ่นน้อง คล้ายกำลังสื่อความหมายเป็นทำนองเตือนว่า  -- หากไม่ระวังไว้  รายต่อไปก็จะเป็นตัวเขา นั่นเอง --
 

               คล้อยหลังคนทั้งสองไปไม่นาน  ร่างที่นอนแข็งทื่อกลางห้องก็พลันกลับมาขยับตัว  ไอโขลกๆ ออกมาเหมือนสำลักหายใจ  นายบิ่นสมุนมือขวาของคิงจา จึงขยับเข้าไปช่วยเหลือ ด้วยสีหน้าแสดงความโล่งอกโล่งใจ  คนตายแล้วฟื้นนั้นอาจผิดวิถีธรรมชาติ  ทว่าเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยที่นี่  เพราะมันเป็นการคัดเลือกหรืออีกนัยหนึ่งคือการแพร่เชื้อ  เพื่อสร้างบริวารที่จะมีความสามารถขึ้นมาเพื่อรับใช้ราชา  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาคนที่ถูกทำให้ติดเชื้อเหล่านี้  จะไม่มีวันทรยศต่อผู้มอบชีวิตใหม่ให้แก่ตนอย่างแน่นอน

               ความจริงแล้ว  โทษฐานความผิดของไอ้อิฐเอง ไม่ได้ถึงขั้นร้ายแรงอะไรมากมาย  หากแต่คิงจาสบโอกาสใช้เรื่องนี้ ทดสอบการสร้างบริวารไปในตัว  โชคดีจึงเป็นของไอ้อิฐที่เซลล์ในร่างกายของมัน สามารถทานรับทีเซลล์ของคิงจาได้  หาไม่แล้วมันก็คงต้องตายเปล่า ในฐานะมดปลวกไร้ค่า

               “ยินดีด้วย ไอ้อิฐ มึงผ่านการทดสอบว่ะ”

               นายบิ่นเอื้อมมือฉุดรุ่นน้องให้ลุกขึ้นนั่ง  ตบบ่าหนักๆ สองสามที ดั่งต้องการแสดงความยินดีด้วยกับอีกฝ่าย  บริวารผู้สุดแสนภักดีของคิงจายังคงกล่าวต่อไป

               “ทีนี้  จงสาบานว่า จะจงรักภักดีต่อคิงจาแต่เพียงผู้เดียว จนกว่าชีวิตจะหาไม่”

               “ครับ ผมสาบาน  ผมจะซื่อสัตย์และทำทุกอย่าง ตามแต่คิงจะบัญชา แม้ต้องแลกด้วยชีวิต ผมก็ยินดี”

               ผู้ถูกเลือกตกปากรับคำอย่างหนักแน่น  ดวงตาคู่นั้นแลดูเลื่อนลอยผิดปกติ  บทสนทนาของสมุนทั้งสองของราชันย์พิฆาต สร้างรอยยิ้มเหยียดขึ้นบนใบหน้าของวสันต์  มันเป็นรอยยิ้มแสดงความสมเพช ที่ไม่ค่อยแสดงออกมาให้ใครเห็นบ่อยนัก  พร้อมกับความคิดที่ดังอยู่ในใจของราชาน้ำแข็งผู้นี้
 
               -- ยินดีไปเถอะ  พวกแกมันสวะ  เจ้านายพวกแกมันก็สวะ  อีกไม่นานนักหรอก  พวกสวะมันต้องถูกกำจัดให้หายไป --
 
               แรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์มือถือ ทำให้วสันต์ขยับเปลี่ยนอิริยาบถ  ไวน์ในแก้วทรงสูงพร่องลงจนเหลือเพียงเล็กน้อย แต่ตัวแก้วกลับเต็มไปด้วยไอฝ้าจับอยู่ทั่ว  ข่าวสารบางอย่างจากปลายสาย ทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย  พูดคุยเพียงไม่กี่ประโยค  วสันต์ก็ตัดสายเพื่อยุติการสนทนา  ชายหนุ่มเจ้าของสีหน้าท่าทางไร้อารมณ์เก็บโทรศัพท์ ก่อนผุดลุกขึ้นยืน ทำท่าเตรียมจะกลับ  ร่างสูงในอาภรณ์บุรุษชั้นดี ยกมือขึ้นขยับแว่นสายตาอันบางเฉียบเล็กน้อย  

               “จะกลับแล้วหรือครับ  คุณวสันต์”

               นายบิ่นเอ่ยถาม เพื่อจะได้รายงานเจ้านายของตนเองภายหลัง

               “_อืม_”

               ชายผู้เย็นชาส่งเสียงตอบเพียงแค่นั้น  ก่อนเปิดประตูออกไปเผชิญกับเสียงอึกทึกครึกโครมภายนอก  อีกทั้งต้องแหวกว่ายผ่านคลื่นมนุษย์ เพื่อออกไปให้พ้นจากสถานที่แห่งนี้
 
               “ผมซื้อข่าว  เป็นเรื่องที่ต้องรีบรายงานมาสเตอร์ครับ  ข่าวนี้บอกว่า พบผู้หญิงที่มีทีเซลล์ ถือกำเนิดขึ้นมาแล้วคนหนึ่ง  แต่ทั้งนี้ รายละเอียดยังไม่เป็นที่ทราบอย่างแน่ชัดนะครับ  มีเบาะแสเพิ่มเติมว่า ตอนนี้ ราชาแมงป่องคอยประกบติดผู้หญิงคนนี้อยู่  มาสเตอร์จะให้ผมติดตามเรื่องนี้ไหมครับ”

               “_คอยตามอยู่ห่างๆ  ระวังอย่าให้ฝ่ายไหนรู้ตัว ก็แล้วกัน_”
               “ได้ครับ  อีกเรื่องหนึ่งคือ ทางด็อกเตอร์เฮนริกสันติดต่อมา  ต้องการให้มาสเตอร์เข้าร่วมประชุมทางไกล พรุ่งนี้ตอนหนึ่งทุ่ม  ผมจะเตรียมการให้เหมือนเคยนะครับ”
               “_ขอบใจ_”
               “มิได้ครับ  เป็นความยินดีที่ได้รับใช้ท่านครับ”
 
               วสันต์นึกทบทวนเรื่องรายงานจากลูกน้อง  ไม่น่าเชื่อว่า ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นมาเองได้ ท่ามกลางความพยายามที่ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า  ทั้งจากตัวเขาและบรรดากลุ่มคนปริศนาทั้งหลาย  ในความพยายามที่ต้องการจะสร้างผู้มีทีเซลล์เพศหญิงขึ้นมา ควบคู่กับราชาที่มีปรากฏอยู่  ถ้าหากข่าวสารนี้เป็นความจริง  ในอนาคตอันใกล้ จะต้องเกิดการต่อสู้รบราฆ่าฟัน  เพื่อแย่งชิงทรัพยากรบุคคลอันล้ำค่าเพียงหนึ่งเดียว  ความวุ่นวายจะต้องบังเกิดขึ้น  ต่างฝ่ายต่างต้องลงมือกันอย่างสุดกำลัง เป็นแน่แท้

               แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้วนั้น  ประเด็นนี้ไม่ถือเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับตนแต่อย่างใด  ทว่าการยื่นมือเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ก็อาจสร้างประโยชน์ให้ได้ไม่ใช่น้อย  วสันต์ใช้ความคิดที่ลึกซึ้งลงไปกว่านั้น เพื่อใคร่ครวญและไตร่ตรอง  หากทีเซลล์เปรียบเสมือนจินตนาการสุดหยั่ง  นี่ก็อาจเป็นไปได้ว่า ผู้หญิงคนนั้นอาจมีสิ่งพิเศษบางอย่าง ซึ่งอาจนำไปสู่การไขความลับของทีเซลล์  ในภายภาคหน้าก็เป็นไปได้ 
 
               -- คงต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียดเสียแล้ว  อยากรู้เหมือนกันว่า ไอ้เด็กซ่าพิจิก มันไปเกี่ยวข้องอะไรด้วย --
 
               ความคิดคำนึงมีอันต้องสะดุด  เมื่อวสันต์ถูกเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่กำลังออกอาการเมามายได้ที่  เดินโซเซเข้ามากระแทกโดนไหล่  แทนที่จะขออภัย  ฝ่ายนั้นกลับสำรากวาจากระโชกโฮกฮากเข้าใส่ ทำราวกับเขาเป็นฝ่ายผิดเสียอย่างนั้น  วสันต์ไม่สู้ตอบโต้อีกฝ่าย  ทำไม่สนใจจะเดินเลี่ยงหนี หากแต่กลับถูกซองบุหรี่ปาใส่หลัง จากฝีมืออันธพาลขี้เมาคนเดิมเสียอีก  ด้วยนี้ ชายหนุ่มจึงจำต้องหมุนตัว หันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างช้าๆ

               “ทำมายวะ  โอ้โห ทำเป็นมองหน้า อยากมีเรื่องช่ายมะ มึงอยากเจ็บตัวใช่ม้ายล่า..

               อีกฝ่ายยังคงออกอาการกร่างไม่หยุด  รูปพรรณสัณฐานและเครื่องแต่งกายราคาแพงนั้น  ทำให้เดาได้ไม่ยากว่า อีกฝ่ายคงเป็นพวกลูกคนมีเงิน  เสียงท้าตีท้าต่อยส่งผลให้คนรอบข้าง ขยับถอยห่างออกจากคนทั้งสองในทันที  พอได้กลายเป็นจุดสนใจ  คนประกาศศักดาก็ยิ่งทำตัวกร่าง ให้ใหญ่โตขึ้นไปอีก

               “มาเลยๆ มึงน่ะ มาขอโทษกูดีๆ แล้วกูจะห้ายกลับบ้านแบบปลอดภัย  ม่ายง้าน.. มึงได้กลับแบบพ่อแม่จำหน้าม่ายด้ายแน่  ม่ายรุใช่มะว่ากูเนี่ย  กูคนเนี้ยน่ะ..คราย
               “_แล้วคุณรู้ไหมว่า ผมเป็นใคร_”

               วสันต์ย้อนถามเสียงเรียบ  ดวงตาภายใต้กรอบแว่นแปรเปลี่ยนในฉับพลัน  ส่วนของตาขาวขึ้นสีฟ้าเรื่อ  อาจเป็นด้วยความมืดประกอบกับแสงสีในสถานที่อโคจรแห่งนี้  ทำให้ไม่มีสายตาคู่ใดสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้  รวมถึงไอเย็นที่ลอยอ้อยอิ่งเบาบาง ออกจากฝ่ามือทั้งสองของวสันต์

               “ทำย้อนๆ เดี๋ยวเหอะมึง สวยแน่”

               ขี้เมาหนุ่มชี้หน้าหาเรื่อง  ก่อนโผเข้ามาใกล้ วาดมือทำท่าจะชกอีกฝ่ายให้ล้มคว่ำ  คนทั้งหมดผู้มองเห็นเหตุการณ์  ต่างมองเห็นชายใส่แว่น คว้าเอาแก้วเครื่องดื่มจากมือของคนที่อยู่ใกล้ เทใส่มือตนเอง  ก่อนที่ฝ่ายหาเรื่องจะปรี่เข้ามาประชิดตัว  บังเกิดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่น  เมื่อเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มในเวลานั้น ได้หยุดชะงักลงชั่วคราว  เพราะเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกัน

               “พี่วสันต์! ผมขอเถอะครับพี่  ไอ้นี่เพื่อนผมเอง  อย่าทำรุนแรงเลยครับ”

               เด็กหนุ่มผิวคล้ำ ย้อมผมสีทองคนหนึ่ง แหวกฝูงชนเข้ามาระงับเหตุวิวาท  ตามหลังมาด้วยสมัครพรรคพวกอีกสี่นาย ซึ่งกรูกันเข้ามาช่วยประคองร่างคนหาเรื่อง  ผู้ซึ่งบัดนี้ กลายสภาพเป็นคนเจ็บลงไปนั่งกองกับพื้น  บนเสื้อสีอ่อนซึ่งสวมทับร่างอันอ่อนปวกเปียกนั้น  ปรากฏเลือดซึมเปื้อนเป็นด่างดวงปริศนา

               อันธพาลสุดกร่างหายเมาเป็นปลิดทิ้ง  เมื่อถูกของแหลมอันเยียบเย็น ทิ่มแทงให้ได้รับความเจ็บปวด  ทั้งสุดแสนงวยงงสงสัย  เพราะมองเห็นอีกฝ่ายทำกริยาเพียงแค่ ใช้มือผลักตรงหน้าอกของตน  ทำเหมือนแค่ปัดป้อง เพื่อป้องกันตัวเท่านั้น

               “_ดูแลเพื่อนให้ดีหน่อย  เมาแล้วอย่าปล่อยให้ระรานคนอื่น  เดี๋ยวจะเสียชีวิต แบบไม่รู้ตัว_”

               วสันต์ยกมือขึ้น สะบัดไล่หนามน้ำแข็งสีน้ำตาลบนฝ่ามือทิ้ง  ล้วงหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อออกมา ซับทำความสะอาดฝ่ามือของตนอย่างใจเย็น  รังสีของความเป็นบุคคลอันตราย แผ่สยายไปรอบด้าน

               “เฮ้ย!  ริก นั่นใครวะ”

               หนุ่มขี้เมาลดระดับความซ่าลงในบัดลล  ร้องถามเสียงอ่อน เมื่อมองเห็นเพื่อนแสดงกิริยาอาการนอบน้อมต่อคนตรงหน้า  ชายผู้ที่ยอมปล่อยให้ตนรอดพ้นจากความตาย โดยที่ตนไม่มีโอกาสรู้ตัว

               “มึงเงียบเหอะ นี่พี่วสันต์ เพื่อนพี่ชายกู  พวกมึงก็จำไว้ด้วยล่ะ”

               ริก หรือ จาริก ร้องบอกแก่เพื่อนทุกคน  น้องชายคนเดียวของคิงจา ค้อมศีรษะให้ราชาน้ำแข็งอีกครั้งเพื่อเป็นการขออภัย  ก่อนรีบลากเพื่อนตัวก่อกวนจากไปในทันที  เมื่อบรรยากาศคลี่คลาย  เสียงดนตรีและความรื่นเริงบันเทิงใจก็หวนกลับมาอีกคราว

               “_ขอโทษที เอานี่ ไปซื้อแก้วใหม่นะ_”

               วสันต์ส่งธนบัตรใบสีเทาให้แก่ผู้หญิงคนหนึ่ง  คนที่เขาถือวิสาสะฉวยแก้วเครื่องดื่มจากมือมา  หนุ่มร่างสูงก้าวออกจากรังของราชันย์พิฆาต  ก่อนขับรถทะยานออกจากที่แห่งนั้น ชนิดเหยียบสุดคันเร่ง
 


 
++++++++++++++++++++++++
 


 
               ขึ้นชื่อว่าเป็นห้องเรียน  ดังนั้น สิ่งมีชีวิตเพียงสองอย่างภายในนั้น  จึงมีแค่ลูกศิษย์กับอาจารย์  และไม่ว่าจะเป็นสถาบันใด ต่างก็มีสิ่งที่เหมือนกัน  คือในห้องเรียนนั้นๆ ย่อมมีทั้งคนที่ตั้งใจใฝ่ศึกษา  และคนที่ความรู้ไม่อาจทะลุทะลวงเข้าสู่หัวสมองได้ ร่วมอยู่ด้วยควบคู่กันไป

               ชายหนุ่มผมยาวสีเทาเข้ม  แต่งตัวไม่เรียบร้อยคนหนึ่ง นับเป็นหนึ่งในจำพวกหลัง  เวลานี้ พิจิกกำลังนอนฟุบหลับไปกับโต๊ะอย่างไม่สนใจใคร  ผมสีเทาซึ่งมัดรวบไว้แนบไปกับแผ่นหลัง ยาวจนเกือบถึงพื้น  ในขณะที่เพื่อนร่วมชั้นแถวหน้า ต่างง่วนอยู่กับการจดบันทึก และทำความเข้าใจเนื้อหาบทเรียน  พวกเด็กหลังห้อง หรือกลุ่มคนผู้ไม่ฝักใฝ่การเรียนต่างพูดคุยกัน หรือไม่ก็ทำกิจกรรมส่วนตัวของตนไปเรื่อย โดยไม่ได้เอาใจใส่กับบทเรียน หรือครูผู้สอนเลยแม้แต่น้อย

               ที่นั่งด้านข้างกันของพิจิก เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย  ตัดผมสั้นทรงโฉบเฉี่ยวทันสมัย  ภายใต้เสื้อนักศึกษาตัวเล็กรัดรูปนั้น ไม่อาจปกปิดทรวดทรงองค์เอว รวมถึงหน้าอกอันเหลือล้น ชนิดกลัดกระดุมปลิ้นแน่นเปรี๊ยะ  กอปรกับใบหน้าซึ่งแต่งแต้มให้แลดูคมเข้มด้วยเครื่องสำอาง  เธอผู้นี้จึงจัดได้ว่า เป็นหญิงสาวที่สวยและมีเสน่ห์ชวนมองคนหนึ่งเลยทีเดียว

               หญิงสาวชะโงกหน้าเข้าไปใกล้คนหลับ  แววตาทอประกายคลั่งไคล้ใหลหลงแบบไม่ปิดบัง  ใช้นิ้วเกี่ยวผมสีเทาปอยหนึ่งของเพื่อนชายมาพันนิ้วตัวเองเล่น  และถ้าหากทำได้มากกว่านั้น  เธออยากจะโน้มหน้าลงไป เพื่อหอมแก้มอีกฝ่ายสักฟอดใหญ่ ให้สมกับความรู้สึกที่ท่วมท้นอยู่ในใจ ตอนนี้เสียเหลือเกิน

               “อือ~ อย่ากวนน่า  คนจะนอน  ไปห่างๆ เลยไป  เหม็น.. ใส่น้ำหอมซะฟุ้งเลย”

               พิจิกขยับตัว ลืมตา ตื่นจากนิทรา แต่ไม่ใช่เพราะถูกเล่นผม  หากแต่เป็นกลิ่นน้ำหอมซึ่งชอนไชเข้ามาในจมูก  สำหรับตนแล้วนั้น  กลิ่นของมันฉุนจัด จนเกือบจะทำให้จามออกมาอีกต่างหาก

               “นี่.. เขาส่งเธอมาเรียน ไม่ใช่มาหลับนะ”

               มัทรี หัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ ที่ได้ก่อกวนอีกฝ่าย  สำหรับคนอื่นอาจจะกลัวเกรงไม่กล้าเข้าใกล้พิจิก  แต่สำหรับมัทรีผู้พยายามแทรกตัวเข้ามา เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มของราชาแมงป่องแล้วนั้น  พิจิกเป็นทั้งผู้นำและผู้ชายที่เธอหลงรัก  ไม่ว่าเขาจะเป็นคนร้ายกาจแบบไหนก็ตาม

               แต่ทั้งๆ ที่ทุ่มเทและแสดงออกมาโดยตลอด  อีกฝ่ายก็ยังทำเหมือนไม่รับรู้อะไร  ทั้งยังทำเหมือนไม่สนใจกันเสียอย่างนั้นอีกด้วย

               “เดี๋ยวนี้  เธอชอบหายไปไหนน่ะ  มีเรื่องดีๆ เหรอ  ทำไมไม่บอกกันมั่ง”

               มัทรีซักถาม  ตั้งข้อสังเกตจากพฤติกรรมระยะหลังของอีกฝ่าย  ทว่าเรื่องเดียวที่เธอกระหายใคร่อยากรู้ก็คือ  มีผู้หญิงคนอื่นมาพัวพัน หรือ พิจิกเป็นฝ่ายไปติดพันใครเข้าหรือเปล่า เท่านั้นเอง

               “ยุ่งน่า  ถ้าบอก มันก็ไม่ใช่เรื่องดีๆ น่ะสิ”

               กับเพื่อนหญิงผู้นี้  พิจิกไม่มีอาการออดอ้อน หรือใช้คำพูดทำนองหยอกเล่นด้วย  เขาปฏิบัติต่อเธอเหมือนเห็นเป็นเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งเสียด้วยซ้ำไป  แม้จะรับรู้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย  แต่เขาไม่อาจฝืนตัวเองยอมรับเอาไว้ได้  แต่ไม่ว่าจะปฏิเสธสักเท่าใด  มัทรีก็ยิ่งดูจะพยายามกับเขามากขึ้นเท่านั้น

               ชายหนุ่มอดนึกเปรียบเทียบผู้หญิงสองคนขึ้นมา ในเวลาเดียวกันไม่ได้

               เขาไม่เข้าใจผู้หญิงเลย..  ธีรานั่นก็อีกคน  รายนั้นแสดงออกกับเขาอย่างเฉยชา แบบเดียวกับที่เขาทำต่อมัทรีไม่มีผิด  หรือนี่จะเป็นสิ่งที่คนเขาเรียกกันว่า บาปกรรมตามทัน เสียกระมัง
 
               มัทรีทำท่าเอียงคอ  เผยให้เห็นสร้อยเงินเส้นจิ๋ว ประดับจี้รูปแมงป่องตัวเล็ก ห้อยลงมาจนเกือบถึงร่องอก  พิจิกจำได้ดีว่า  สร้อยเส้นนี้ เขาตัดรำคาญซื้อให้มัทรีเพราะถูกรบเร้าเซ้าซี้  ตอนไปเดินเที่ยวงานกาชาดด้วยกันกับผองเพื่อน  และตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้  เขาก็ไม่เคยเห็นมันถูกปลดออกจากคออีกฝ่ายเลย แม้แต่หนเดียว

               “ซี..”
               “จ๊ะ”
               “สร้อยนั่น เลิกใส่ซะที  ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันหงุดหงิดทุกครั้ง ที่เห็นหน้าเธอล่ะก็”
               “ไม่อ่ะ  ฉันอยากให้เธอหงุดหงิดแบบนี้ ไปเรื่อยๆ”

               หญิงสาวจับจี้แมงป่องตัวน้อยพลิกเล่นไปมา เหมือนต้องการยั่วเย้าความรู้สึกของอีกฝ่าย  สิ่งของแทนตัว  ยิ่งใส่ก็ยิ่งจดจำ  ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกมิให้เลือนหายไป  ..จะให้ถอดออกได้อย่างไร  นี่มันของมีค่าเพียงชิ้นเดียวที่ได้รับจากเธอนะ พิจิก..

               “เฮอะ!  ฉันจะไปสั่งทำไอ้ที่ดีกว่านี้  แพงกว่านี้  และเอาแบบสวยๆ เลยด้วย”

               คำพูดของพิจิกทำเอามัทรีดีใจหาย  เพราะคิดมาตลอดว่าอีกฝ่ายไม่เคยใส่ใจ  หญิงสาวรู้สึกตื้นตันใจจนน้ำตาแทบร่วง  ทว่า..

               “หรือจะทำเป็นล็อกเกตดีกว่า  ซี.. เธอว่าดีไหม  ฉันจะเอาไว้ใส่รูปฉันกับแฟนสองคน”

               พิจิกยามอยู่ในภาวะเหนือมนุษย์นั้นสุดเหลือร้าย  ทว่าตอนเป็นคนธรรมดานี้กลับร้ายยิ่งกว่า  แค่คำพูดเรียบนิ่มธรรมดา กลับสามารถทิ่มแทงให้ใครคนหนึ่งต้องเจ็บปวดได้  ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ก็ตามที

               “ฟะ แฟนเหรอ  ตั้งแต่เมื่อไหร่  ทะ ทำไม ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
       
               คำพูดของมัทรีเกิดติดขัดขึ้นมาทันทีทันใด  เช่นเดียวกับลมหายใจที่ติดขัดไม่ทั่วท้อง

               “ก็ไม่เห็นต้องบอกเลยนี่  มันเรื่องส่วนตัวของฉัน  เธอไม่จำเป็นต้องรู้ไปซะทุกเรื่องหรอก  ถึงเธอจะเป็นสมาชิกของกลุ่มก็เถอะ”

               พิจิกตัดบท ก่อนหันไปสนใจกับเครื่องเกมขนาดพกพาของเพื่อนด้านหลัง  ทิ้งมัทรีไว้กับคลื่นความเศร้าเสียใจแต่เพียงลำพัง  หญิงสาวพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้สั่น  ในสมองมีคำว่า  ‘ใครกัน ยัยนั่นมันเป็นใครกัน’ สะท้อนไปมาอยู่เต็มไปหมด

               มัทรีผลักความเคียดแค้นชิงชังทั้งหมด ไปยังบุคคลที่ตนยังไม่เคยพบเห็นหน้า  พื้นฐานจิตใจที่ไม่เข้มแข็ง ประกอบกับการอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่ร้ายกาจ  ย่อมส่งผลให้เธอกลายเป็นคนที่มีนิสัยใจคอร้ายกาจตามไปด้วย  ความผิดหวังนี้  มัทรีไม่นึกโทษพิจิกผู้เป็นคนก่อ  หากแต่นึกโทษมือที่สามซึ่งเข้ามาแทรกตรงกลาง ระหว่างพิจิกกับตน

               -- ฉันจะไม่ยกพิจิกให้ใครเด็ดขาด ไม่ว่าเป็นใคร ฉันจะกำจัดให้หายไปเลย คอยดู! --

               วินาทีนั้น  มัทรีกัดฟัน  กำมือแน่น  เสียงหัวเราะเฮฮาของพิจิกดังแว่วเข้ามา คล้ายต้องการซ้ำเติมให้ใจต้องเจ็บปวด  โชคยังดีที่เธอไม่ต้องทนทรมานใจมากนัก  เนื่องจากได้เวลาหมดคาบสอนวิชานั้นพอดี  หญิงสาวรวบสัมภาระทั้งหมดลุกหนี  เดินลิ่วออกจากห้องไป แทบจะเป็นคนแรกของชั้น

               “ยัยบ้า..”

               พิจิกพึมพำตามหลัง  รู้สึกเบื่อหน่ายเต็มที ที่ถูกรุกเร้าเรื่องหัวใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม  คนที่พยายามมากมายอย่างมัทรี เขากลับไม่ยินดียินร้าย ไม่ตอบรับ  แต่กับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย แถมยังแสดงอาการต่อต้าน  กลับกลายเป็นคนที่เขาถวิลหาอยู่แทบจะทุกเวลาแล้ว ในตอนนี้

               เย็นนี้  เขาก็จะไปหาธีราอีก  เริ่มจับเค้าความรู้สึกแปลกๆ ได้ว่า  มันต้องมีใครสักคนที่อยู่เบื้องหลังการติดเชื้อของธีรา  ถ้าหากผู้หญิงคนนี้ถูกทำให้ติดเชื้อ  แล้วทีเซลล์ที่อยู่ในร่างนั้น เธอได้รับมาจากใคร  พิจิกเอาแต่วนเวียนครุ่นคิดเรื่องนี้ในหัว  พร้อมกับเหยียดยิ้มชั่วร้ายขึ้นมาเล็กน้อย
 
               -- เพราะใครก็ตามที่คิดจะแย่งผู้หญิงกับเขา  มันจะต้องแหลกกันไปข้างหนึ่ง --
 
               ต่างคนต่างความคิด  พิจิกเองก็มีเป้าหมาย มีความมุ่งมาดปรารถนาในแบบฉบับของตัวเอง  ช่างน่าแปลกตรงที่ความปรารถนานั้น ดูจะไม่แตกต่างไปจากของมัทรี ผู้ซึ่งลุกถอยไปเพื่อตั้งหลักใหม่ เลยแม้แต่น้อย
 
 

 
+++++++++++++++++++++++++




 

Create Date : 31 มกราคม 2563
0 comments
Last Update : 31 มกราคม 2563 13:29:22 น.
Counter : 627 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zionzany
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เขียนนิยาย

ปลดปล่อยจินตนาการ

ไม่ยึดติดกับแนวไหน

เพราะจะไปให้ถึงที่สุด..

เท่าที่เราสามารถแผ่

กิ่งก้านความสามารถ

ออกไปสู่โลกกว้างได้

ยินดีต้อนรับทุกคน

สู่โลกของ zionzany

ที่นี่ .. ตรงนี้นะจ้ะ
แต่งนิยายทำร้ายผู้อ่าน ..Tcell H-A-V.. ..Tacticle Ball.. ..Kiss Myself.. ..ZhuXian จูเซียน.. ..เพียงฝันนี้ ศรีสุวรรณ.. อยากคูล อยากคัลท์ อยากมันส์ ที่สำคัญ อยาก-เขียน-ให้-จบ Let's rock Baby
New Comments
Friends' blogs
[Add zionzany's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.