! ที่นี่ ! เราเลิกเขียนแล้วครับ ..กับเรื่องธรรมดา ที่คุณสามารถหาอ่านที่ไหนก็ได้
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2563
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
28 พฤษภาคม 2563
 
All Blogs
 
ภาวะที่ 27 : พิสูจน์

ขอบคุณภาพปกนิยายจาก คุณรัชต์สารินท์ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ



 
            สองวันให้หลัง  นับตั้งแต่พี่ชายคนรองของธีรามาพักอาศัยอยู่ด้วย  พิจิกที่เริ่มเดินหน้าลองเสาะแสวงหาข้อมูลในแบบฉบับของตัวเอง ก็ได้รับเบาะแสบางอย่างมาโดยไม่คาดฝัน  เมื่อเขาเตร็ดเตร่เข้าไปในสถานบันเทิงของคิงจาในตอนบ่าย  เพียงเพื่อให้อีกฝ่ายพอได้เห็นหน้าค่าตา ทำเหมือนไปรายงานตัวตามปกติประจำสัปดาห์  ราชันย์พิฆาตผู้กำลังยุ่งวุ่นวายกับเรื่องธุรกิจมืดของตน ทำเพียงแค่ชำเลืองมองราชาแมงป่องอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ  พอเห็นดังนี้ พิจิกจึงพาตัวเองกลับอย่างไม่รอช้า ด้วยเกรงจะถูกเรียกใช้ให้ทำงานสกปรกตามเคย  ทว่าตอนขากลับดันถูกเรียกรั้งไว้ด้วยใครคนหนึ่งเข้าเสียก่อน
 
            “อ้าว เฮ้ย ! พิจิก ยังอยู่อีกเหรอวะ นึกว่าถูกฝังไปแล้ว”

            จาริก ชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกับพิจิกทว่ามีอาวุโสมากกว่า ผู้เป็นน้องชายของคิงจา ส่งเสียงทักทายทำนองหยอกเย้ากระเซ้ากันเล่น  ตอนที่คนทั้งสองปะหน้าค่าตากันที่ลานจอดรถด้านข้างร้าน  คนหนึ่งกำลังจะเดินทางกลับ  ส่วนอีกคนเพิ่งเดินทางมาถึง เพื่อทำหน้าที่ช่วยดูแลกิจการของพี่ชาย

            “อยากตายอ่อ  ถูกฝังแล้วจะมายืนตรงนี้ได้เหรอ~”

            ต่างคนต่างหัวเราะขำ  พิจิกไม่ถือสาหาความหรือนึกจริงจังอะไรกับคำพูดของอีกฝ่าย เนื่องจากค่อนข้างมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่นั่นเอง

            จาริก ไม่เหมือน จารึก ผู้เป็นพี่ชาย  เขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่ไม่ได้มีเชื้อทีเซลล์  มีนิสัยเกกมะเหรกเกเร ชอบทำตัวเป็นอันธพาลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตเทียบเท่ากับผู้เป็นพี่  จาริกให้ความเคารพนับถือแก่วสันต์  ดังนั้น เขาจึงมองเห็นค่าความสำคัญของพิจิกด้วยเช่นกัน

            “ไม่อยู่กินเหล้าสักหน่อยก่อนหรือ”

            “ไม่อ่ะ~  ไม่มีอารมณ์  เออนี่ เฮียพอจะมีคนรู้จัก หรือ รู้จักใครที่ชื่อ เสือ ไหม”

            เหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจ ให้พิจิกลองเอ่ยปากถามออกไป  แม้ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักกับอีกฝ่ายก็ตามที  ใจหนึ่งก็กำลังคิดอยู่ว่า น่าจะลองติดต่อสอบถามหาความเอากับวสันต์  แต่ลองถามคนตรงหน้าดูก็คงไม่เสียหายอะไร

            “เสือเหรอ.. อืม คุ้น ๆ อยู่นะ เหมือนจะเคยรู้จักใครที่ชื่อนี้  ขอคิดแป๊ปหนึ่งก่อนก็แล้วกัน”

            “แป๊ปที่ว่าเนี่ย นานไหม  ถ้านานจะได้กลับไปก่อน  นึกออกเมื่อไหร่ โทรไปบอกด้วยละกันนะ~”

            ถามออกไปแล้ว นับถอยหลังแค่ห้าวินาที  พิจิกก็เมินหน้าหันหนี ทำท่าจะเดินไปที่รถของตนทันที  เล่นเอาจาริกทำหน้าเหวอเหมือนถูกทิ้งไว้กลางทาง

            “ปัทโธ่เว้ย !  ถามแบบจะไม่ให้เสียเวลาคิดเลยรึไง  นี่ถามจริง หรือ ถามเล่น ๆ กันล่ะวะ”
            “ถามจริง  ถ้าไม่อยากรู้จะถามทำไม  ตกลง รู้หรือไม่รู้”
            “ถ้าพวกคนรู้จัก ไม่มีใครชื่อเสือ  แต่มีอยู่เสือหนึ่ง..ที่กูพอจะนึกขึ้นมาได้”
            “พูดเร็ว ๆ ดิครับ อย่าชักช้า วัยรุ่นใจร้อน~”

            น้องชายของคิงจาสบถออกมาคำหนึ่ง  ก่อนจะเริ่มต้นถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตคู่ต่อกรของพี่ชาย  นาม ‘เสือ’ ซึ่งเป็นชื่อของ ‘ราชันย์ไร้พ่าย’ บุคคลในตำนานแห่งอดีตกาลก่อน  ไม่แปลกที่พิจิกเองเคยได้ยินได้ฟังเรื่องพวกนี้มาบ้าง แต่ก็เพียงแค่เล็กน้อย  เนื่องจากตัวเองเพิ่งอยู่กับทีเซลล์มาได้เพียงปีกว่า  และไม่เคยเหยียบย่างเข้าสู่หรือรับรู้ถึงการมีอยู่จริงของโลกทีเซลล์ ก่อนหน้าที่จะตัวเองจะติดเชื้อแต่อย่างใด

            ถ้อยความต่าง ๆ จากปากจาริกฟังดูน่าสนใจ  ไม่รู้ว่า เสือคนนี้เป็นคนเดียวกับที่พี่สรณ์ต้องการพบเจอตัวหรือไม่  แต่อย่างน้อย มีจุดหนึ่งที่พิจิกจับเป็นหลักสังเกตเอาไว้ได้ นั่นคือ จากคำบอกเล่าของพี่สรณ์ที่พูดว่า ธีรากรีดแขนให้เลือดกับคนชื่อเสือ  นั่นย่อมแสดงว่า บุคคลดังกล่าวนั้นต้องมีทีเซลล์อยู่ในตัวด้วยเช่นกัน  ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้เช่นกันที่บุคคลที่พวกตนกำลังตามหา อาจเป็นคนเดียวกับอดีตราชาที่หายตัวไปจากหน้าฉากสังคม

            ลองตรวจสอบดูสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน..  ด้วยเหตุนี้ พิจิกจึงสอบถามเพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น  ทว่าจาริกเองก็ไม่มีข้อมูลอะไรไปมากกว่านี้  แต่ก็ได้เอ่ยปากถึงอีกบุคคลหนึ่งที่ตนเพิ่งนึกได้ขึ้นมา

            “คนนั้นเองก็ดูเหมือน..จะมีลูกน้องคนสนิทอยู่คนหนึ่งนะ  ตัวเตี้ย ๆ หนังตาปิดลงมาครึ่งหนึ่ง เหมือนคนลืมตาไม่ขึ้น  เอ..ชื่ออะไรหว่า  เขาเรียกกัน ไอ้ตาปิด  ทำไมนึกไม่ออกวะ  ไอ้ตาปิด ๆ  อ๋อ จำได้แล้ว ไอ้จอนตาปิด !  ถ้าอยากรู้อะไรมากกว่านี้ ก็ลองไปตามดูไอ้คนนี้เอาเองละกัน”

            เจ้าของทรงผมนำสมัย ย้อมสีทองยาวระต้นคอ พูดจบก็ควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ พ่นควันออกจากปาก ขณะยืนพิงรถของตัวเองไปด้วย

            “แล้วจะไปตามหาคนที่ว่านี้ได้ที่ไหน” 

            พิจิกยังคงป้อนคำถามต่อเนื่องไม่หยุด ทำให้จาริกที่ดูเหมือนเริ่มจะเกิดความสงสัยขึ้นมาบ้าง ถูกหักเหความสนใจไปยังเรื่องอื่น

            แทนคำตอบ  จาริกหันไปส่งเสียงตะโกนเรียกพนักงานชายคนหนึ่ง ผู้ซึ่งกำลังทำท่าก้ม ๆ เงย ๆ จัดเรียงลังเครื่องดื่มอยู่บริเวณด้านหลังตัวอาคาร ให้มาเป็นคนตอบคำถามนี้แทนตน

            “ไอ้หนึ่ง เอ็งยังเห็นไอ้จอนตาปิดไหมบ้างวะ ระยะหลังนี้”

            “อ๋อ พี่จอนอ่ะเหรอ ล่าสุด ผมเห็นแกที่ตลาดพระเครื่อง แถวบางพูน  แต่ก็หลายเดือนมาแล้วนะครับ”
            “แล้วเอ็งรู้จักบ้านมันไหมวะ”

            เหตุที่จาริกเอ่ยถามข้อมูลเชิงลึกกับพนักงานชายคนนี้  เนื่องจากพอจะจดจำได้ว่า อีกฝ่ายเคยเป็นหนึ่งในบรรดาคนที่เคยให้ความนิยมชมชอบในตัวราชันย์ไร้พ่ายมาก่อน  หากเปรียบไปก็คล้ายแฟนคลับที่ใส่ใจกับข้อมลูรายละเอียดต่าง ๆ นานาของตัวศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบ

            “บ้านพี่จอนหรือครับ  โอ้ย.. อันนี้ ผมไม่รู้หรอกครับ”
            “แล้วบ้าน เอิ่ม ของคนนั้นล่ะ  พอจะรู้ไหม”

            ต่อหน้าคนอื่น  จาริกจะไม่เอ่ยชื่อหรือสมญานามของเสือ  เนื่องจากในตอนนี้ พี่ชายของตนเป็นคนครอบครองตำแหน่ง ‘ราชาผู้แข็งแกร่งที่สุด’ เหนือบรรดาพวกคนติดเชื้อทีเซลล์ทั้งปวง  ดังนั้น เขาจึงย่อมให้ค่าความสำคัญกับพี่ชายก่อนคนอื่นใด

            “คนนั้น ๆ  คุณริกหมายถึงใครหรือครับ”  พนักงานชายมีสีหน้างุนงงกับสรรพนามปริศนา

            “โถ่.. ไอ้หนึ่ง กูกำลังถามถึงไอ้จอน  แล้วคงจะถามต่อถึงบ้านพ่อมึงมั้ง  บ้านเจ้านายของไอ้จอน ราชันย์คนก่อนน่ะ รู้จักไหม”
            “อ๋อ บ้านคิงเสือนี่เอง  รู้จักครับ  แต่เขาหายตัวไปเลยนี่ ตั้งแต่ที่..”

            หนึ่งหยุดคำพูดของตัวเองไว้เพียงแค่นั้น  เมื่อจาริกปรายตามองไปเป็นเชิงปราม  ทว่าข้อมูลอันไม่คาดฝันเหล่านี้ก็เกินกว่าที่คาดหวังเอาไว้  ถึงแม้รายละเอียดใหม่ที่ได้รับรู้ เป็นตัวเปลี่ยนแปลงความเข้าใจในหลายสิ่งหลายอย่าง  แต่พิจิกก็คิดว่า ตนเองควรจะลองตรวจสอบเรื่องนี้ดู เพราะมันก็ยังดีกว่า มัวแต่งมเข็มในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ อย่างไม่มีแก่นสารใดให้จับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันสักที

            ด้วยเหตุนี้  หลังจากบันทึกข้อมูลที่อยู่ จากปากคำของพนักงานชายคนดังกล่าวเสร็จเรียบร้อย  พิจิกจึงกล่าวขอบคุณคนทั้งสอง ก่อนผลุนผลันขับรถไปยังที่หมายใหม่โดยไว  ทิ้งให้จาริกผู้ซึ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ในตอนที่สาย ตะโกนไล่หลังตามไปอย่างนึกเจ็บใจเล็ก ๆ

 
            “แหม โว้ย !  ดูมันรีบ  ไม่อยู่ให้ถามเลย  กูก็อยากรู้เหมือนกันนะว่า มึงอยากรู้เรื่องนี้ไปทำไม  ไอ้พวกมีทีเซลล์นี่ชอบทำตัวแปลก ๆ อยู่เรื่อยเลยเชียว”
 

            พูดจบก็อัดควันเข้าปอดยาว ๆ ทีหนึ่ง ก่อนดีดบุหรี่ที่ไหม้เพียงครึ่งลงพื้น  กดหัวรองเท้าขยี้ดับไฟ  แล้วจึงค่อยเดินเข้าไปภายในสถานบันเทิงที่พร้อมเปิดให้บริการแก่ทุกคน ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้
           


 
 
++++++++++++++++++++++++++++++
 



 
            ตอนที่โทรศัพท์มือถือของตนดังขึ้นเพราะมีสายเรียกเข้า  ธนชาติกำลังนั่งเฝ้าสังเกตการณ์ความเป็นไปภายในบ้าน อยู่ที่เก้าอี้ประจำโต๊ะกินข้าวชั้นล่าง  เพราะโซฟาตัวยาวซึ่งเคยเป็นที่นั่งประจำของเขา  บัดนี้ ถูกครอบครองโดยหญิงสาวลึกลับที่อ้างว่า ตัวเองเป็นมนุษย์ต่างดาว  เศษซากห่อขนมอบกรอบมากมาย หกเกลื่อนกระจัดกระจายไปทั่วทั้งบนโต๊ะกลางและบนพื้น  โดยมีตัวการใหญ่ผู้กำลังตั้งหน้าตั้งตาโกยเอาทั้งหมดเข้าปาก ด้วยท่าทางตะกรุมตะกราม จนเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมดทั้งมือและปาก

            ราเคียร์กำลังพึงพอใจกับสัมผัสรับรสชาติของลิ้น  ทั้งเพลิดเพลินกับการใช้สายตารับชมภาพเคลื่อนไหวและเสียงจากโทรทัศน์  ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งแปลกใหม่  การเรียนรู้และสติปัญญาที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง เกิดจากความสงสัยใคร่อยากรู้ที่ไม่มีหยุดยั้ง  และคงเป็นด้วยสิ่งนี้เองที่เป็นตัวยกระดับมนุษย์ ให้สูงขึ้นกว่าระดับชั้นของสัตว์อื่น ๆ  และสำหรับราเคียร์ ผู้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ถูกแบ่งแยกออกมาจากร่างหลัก  ความรู้สึกนึกคิดและการลอกเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์นั้น มีอิทธิพลต่อตัวตนนี้ เกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้

            แม้ไม่อาจเข้าใจในเหตุผลที่แท้จริงของการกระทำและพฤติกรรมต่าง ๆ  แต่เธอก็ชื่นชอบสัมผัสและการปฏิบัติที่ได้รับจากแม่  ซึ่งเข้าใจว่า นั่นคงเป็นการแสดงออกพื้นฐานของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพศเมียที่มีต่อตัวลูก  ทั้งราเคียร์ยังชอบสีหน้าและท่าทาง รวมถึงการตอบสนองแปลก ๆ จากมนุษย์เพศชายเพียงคนเดียวในบ้านตอนนี้อีกด้วย

            ในเวลานี้  นางปวีณาไม่อยู่บ้าน เพราะออกไปช่วยงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของญาติคนหนึ่ง  แม่ไม่อาจหนีบเอาธีราตัวปลอมติดตามไปด้วยได้  เนื่องจากถูกลูกชายคนโตคัดค้านอย่างหนัก  ธนชาติขันอาสาขออยู่ดูแลน้องที่บ้าน  ด้วยเกรงกลัวงานมงคลของคนอื่นจะล่มเสียเปล่า ด้วยฝีมือตัวป่วนจากต่างดาวที่อาจนึกทำอะไรแผลง ๆ ขึ้นมาตอนไหนก็ได้

            หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบ พร้อมกับชื่อและเบอร์ของธนสรณ์  เมื่อเห็นดังนั้น ธนชาติจึงหลบเลี่ยง ทำทีเป็นเดินเข้าไปในครัว  เพื่อแอบรับสายของน้องชาย โดยไม่ให้มนุษย์ต่างดาวที่ปลอมแปลงตัวเข้ามาอยู่ในบ้าน ได้รู้เห็นเรื่องนี้
 
            “-- ฮัลโหล  พี่ชาติ  แม่เป็นยังไงบ้าง --”

            เสียงของธนสรณ์แว่วมาตามสาย  ขณะที่ธนชาติตอบกลับไปด้วยเสียงที่แทบเป็นกระซิบ

            “สรณ์ !  ฟังให้ดีนะ  แกอย่ากลับมาที่บ้านเด็ดขาด”
            “-- อะไรนะ  พี่พูดอะไรน่ะ  ผมไม่เข้าใจ  หรือว่า แม่เป็นอะไร --”
            “ไม่ ๆ  แม่สบายดีแล้ว ไม่ได้เป็นอะไร  แต่มีคนมาที่นี่  มาตามหาแกกับธีรา”
            “-- ใคร ? --”

            จังหวะนั้น ธนชาตินึกชั่งใจชั่วแวบหนึ่ง  ลังเลว่าควรพูดดีหรือไม่  แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดบอกออกไปตามตรง

            “มีมนุษย์ต่างดาวมาที่บ้าน  พูดเรื่องตามหาพันธุกรรมหรือเซลล์อะไรสักอย่างในตัวพวกเรา  แล้วเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ตอนนี้ แม่มองเห็นมันเป็นธีราอีกด้วย”

            ปลายสายนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ  ก่อนเสียงอันแผ่วเบาของธนสรณ์จะตอบกลับ ด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้นกว่าเดิม

            “-- พี่ชาติ  พี่ป่วยใช่ไหม  หรือถ้าจะอำกันเล่นก็เลือกเวลาหน่อยสิ  นี่ผมจริงจังอยู่นะ --”

            “ไม่ได้อำโว้ย  ทีแกยังเชื่อเรื่องทีเซลล์อะไรนั่น  แล้วยังมาบอกให้ฉันตามหาความจริงอยู่เลย  ตอนนี้ ฉันพูดความจริงกับแก  จู่ ๆ มันก็บุกเข้ามาในบ้านเรา  ทำอะไรแปลก ๆ กับฉัน..กับแม่  และมันยังถามหาแกกับธีราอีกด้วย”

            “-- โอเค  พี่ใจเย็น ๆ นะ  ผมจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้แหละ --”
            “ไม่ ๆ อย่านะ  อย่ากลับมาเด็ดขาด  มันรอแกอยู่”
            “-- ผมได้ยินแบบนี้  ผมก็ไม่สบายใจแล้วล่ะ  ยังไงก็ต้องไปดูให้รู้ ให้เห็นกับตาตัวเองก่อนละ --”
            “อย่ามาเด็ดขาด  ถ้ามันเจอแก  มันจะทำอะไรกับแกบ้างก็ไม่รู้”

            ประโยคนั้น ธนชาติลืมตัวเผลอพูดเสียงดัง  ก่อนสะดุ้งนิดเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้  เหลียวมองไปยังประตูครัวทันใด  เมื่อไม่เห็นใครโผล่มาให้ต้องตกใจ  จึงค่อยถอนหายใจออกมานิดหนึ่ง

            “แกไม่ต้องมาหรอก เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวฉันจะออกไปเจอแกเอง”
            “-- อ้าว แล้วพี่จะปล่อยให้แม่อยู่ตัวคนเดียว กับมนุษย์ต่างดาวรึไง --”

            คราวนี้กลับเป็นทางฝั่งน้องชายที่ถามกลับอย่างสงสัย  พี่ชายจึงตอบไปตามข้อเท็จจริงตามที่ตนได้เฝ้าสังเกตดูมาหลายวัน

            “แม่อยู่ได้  มันเป็นมนุษย์ต่างดาวในร่างของผู้หญิง  แล้วมันคงชอบแม่  เพราะงั้น มันคงไม่ทำอะไรแม่หรอก”

            “-- พี่บ้าไปแล้วเหรอ !  คิดแบบนั้นได้ไง  ถ้าเกิดอะไรขึ้นตอนที่พี่ไม่อยู่ล่ะ  วางใจได้เหรอ --”

            ธรสรณ์แหวมาตามสาย  เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับสิ่งที่พี่ชายบอกเล่า  แต่ถ้ามันเกิดเป็นจริงขึ้นมา  ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรปล่อยให้มารดาต้องอยู่ตามลำพังกับสิ่งแปลกปลอมดังกล่าวนี้อยู่ดี

            “แล้วจะให้ทำอย่างไร  ฉันลางานมาหลายวันแล้ว  เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานอยู่ดี  ยังไงแม่ก็ต้องอยู่บ้านกับมันอยู่ดีนั่นแหละ  ฉันพูดจนไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้วว่า นั่นไม่ใช่ธีรา แม่ก็ยอมไม่เชื่อฉันสักที”

            ธนชาติพูดอย่างจนใจ ทั้งอับจนปัญญา หนทางแก้ไขเรื่องนี้ก็ยังมองไม่เห็นแม้แต่น้อย

            “-- งั้นพี่เอามันออกมาจากบ้านเรา ให้มันตามมากับพี่เลย  ไม่ต้องห่วง  ผมมีวิธีจัดการมัน  อย่างน้อยก็มีคนที่คิดว่า พอจะจัดการมันได้อยู่แหละน่า --”
            “จริงหรือ”
            “-- ก็ดีกว่าให้มันยังอยู่ที่บ้านของเราไหมล่ะ --”

            คำบอกกล่าวเหล่านั้นคล้ายแสงสว่างที่ส่องเข้ามาในความมืด  ถ้าไม่ลองดูก็คงไม่รู้  และการที่น้องชายออกปากถึงขนาดนี้แสดงว่า เจ้าตัวคงมีความมั่นใจอยู่พอสมควร  เขาไม่รู้หรอกว่าธนสรณ์จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร  เพราะยังมองภาพไม่ออก  ไม่เห็นอะไรในอนาคตเบื้องหน้าเลยแม้แต่น้อย
           

            หลังนัดแนะกันเรียบร้อยเสร็จสรรพ  หน้าที่ของธนชาติ คือ หาทางหลอกล่อพาตัวราเคียร์ออกไปข้างนอกกับตน  ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าอย่างรวบรวมความกล้า  ก่อนก้าวเข้าไปเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาว ผู้อยู่ในคราบของหญิงสาวที่อาจกล่าวได้ว่า มีรูปร่างหน้าตาหมดจดงดงามมากคนหนึ่ง

            “ออกไปข้างนอกกัน  ผมจะพาคุณไปพบน้องชายของผม”

            “ทำไมเขาไม่กลับมาที่นี่ล่ะ  มีเหตุผลที่ทำให้กลับมาไม่ได้ ..ใช่ไหม”

            หลังซึมซับความรู้ต่าง ๆ ผ่านการอ่าน ดูด้วยตา และฟังด้วยหูมาอย่างหนักหน่วง  โดยเฉพาะจำพวกภาพยนตร์และละครที่แสดงพฤติกรรมของมนุษย์  ก็ได้ทำให้ราเคียร์สามารถสื่อสารโต้ตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ  จนแลดูเหมือนมนุษย์ทั่วไปมากยิ่งขึ้น

            เหนือสิ่งอื่นใด  เธอค้นพบความสนุก รื่นเริงบันเทิงใจในการสมมติบทบาท โดยลอกเลียนแบบคำพูดและการแสดงออกจากนักแสดงในจอทีวี

            “คุณถาม.. ทั้งที่รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือว่า เพราะอะไร”
            “ข้าไม่รู้  ต้องตรวจสอบหรือพิสูจน์ดู จนกว่าจะแน่ใจ  ข้าถึงจะใช้คำว่า รู้ ได้”

            ราเคียร์ทำสีหน้าคล้ายรำคาญใจเล็กน้อย พยายามแกว่งมือไปมา เพื่อสะบัดไล่เศษผงขนมที่ติดเลอะตามนิ้วมือออกไป  ก่อนป้ายมือทั้งสองข้างลงพรืดกับเสื้อผ้าที่สวมใส่  ว่องไวเกินกว่าที่ธนชาติจะร้องห้ามปรามได้ทัน

            “โธ่.. อย่าทำแบบนั้นสิ  เวลาที่มือเปื้อนก็แค่หยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดมือ  กระดาษขาว ๆ นุ่ม ๆ ที่อยู่ในกล่องบนโต๊ะนั่นน่ะ  หรือไม่ก็ลุกมาล้างมือที่อ่างน้ำ  ในห้องน้ำหรือในครัวก็ได้”

            “อร่อยดีนะ  ข้าอยากกินอีก”

            เหมือนเช่นเคย ที่อีกฝ่ายแสดงท่าทีเพิกเฉยต่อคำทักท้วงหรือคำสอนสั่งใด ๆ  ราเคียร์ยังคงแสดงออกและเคลื่อนไหวตามแต่ใจ  พูดและทำแต่ในสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน

            “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ  จะได้ออกไปข้างนอกกัน”
            “เปลี่ยนทำไม  ข้าก็ใส่เสื้อผ้าที่เจ้าอยากให้ข้าใส่อยู่นี่ไง”

            ราเคียร์พูดแย้งหน้าซื่อตาใส  พูดพลางทำท่าประกอบ ด้วยการใช้สองมือขยุ้มเสื้อยืดตัวที่กำลังสวมใส่ เลิกขึ้นจนเห็นหน้าท้องขาว และเกือบเลยเถิดไปจนเห็นหน้าอกหน้าใจที่อยู่สูงขึ้นไปจากนั้น

            “อย่าทำแบบนี้  ไม่อายบ้างเลยหรือไง  คุณเป็นผู้หญิงนะ”

            ธนชาติเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เหมือนมองเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น  โบกมือเป็นทำนองให้อีกฝ่ายเลิกทำกิริยาท่าทางดังกล่าว

            โชคยังดีที่ราเคียร์สามารถสวมใส่เสื้อผ้าบางตัวของธีราได้  แม้สรีระรูปร่างจะแตกต่างกันพอสมควร  โดยเฉพาะส่วนเว้าส่วนโค้งบนร่างกาย รวมถึงโนมเนื้อที่มีเหลือล้นกว่า เลยทำให้เกิดปัญหาติดขัดอย่างเรื่องชุดชั้นในสตรี  แต่ปัญหานี้ก็สามารถแก้ไขได้ไม่ยาก ด้วยฝีมือการจัดการของแม่ซึ่งเป็นผู้หญิงด้วยกัน

            ดูเหมือนแม่ไม่มีความสงสัยอื่นใด ในตัวลูกสาวตัวปลอมคนนี้เลย  ยังคงรักและดูแล คอยเอาใจใส่ปรนนิบัติพัดวีอย่างดี  แม้แต่เรือนผมสีดำเป็นมันขลับที่หนาและยาวเลยกลางแผ่นหลัง  แม่ยังสู้อุตส่าห์เอาแปรงผมมานั่งแปรงให้อยู่นานอย่างใจเย็น

            มองในอีกแง่  แม่คงอยากทำอะไรเป็นการปลอบรับขวัญ  อยากทำเพื่อลูกที่หายตัวไปอย่างไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร  แล้วก็ได้คืนกลับมาสู่อ้อมอกและครอบครัวในท้ายที่สุด

           
            หลังพยายามหว่านล้อมอยู่นาน ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นก็ได้  ธนชาติก็สามารถหลอกล่อมนุษย์ต่างดาว ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าไปใส่ชุดที่ดูเหมาะสมขึ้น  เพื่อเตรียมออกไปจากบ้านของตนเสียที  เขามองดูผู้หญิงที่กำลังเดินด้วยท่าทางเงอะงะงุ่มง่าม อยู่บนรองเท้าผ้าใบของธนสรณ์  เนื่องจากรองเท้าของธีรามีขนาดเล็กกว่า  ส่วนรองเท้าของตนก็ใหญ่เกินไปไม่พอดี  ด้วยเหตุนี้ ธนชาติจึงเลือกเอารองเท้าผ้าใบคู่เก่าของน้องชายคนรองจากตู้รองเท้า  หยิบยื่นให้อีกฝ่ายได้นำมาสวมใส่

            ซอยหมู่บ้านของพวกตนอยู่ไม่ไกลจากถนนเท่าไหร่  สามารถเดินออกไปเพื่อเรียกรถแท็กซี่ได้ตามสะดวก  ทว่าระยะทางเพียงสองร้อยเมตร ดูเหมือนมีอุปสรรคบางอย่างที่ขัดขวางการเดินเหินของราเคียร์  นั่นก็คือ เชือกรองเท้าที่หลุดลุ่ยคลายตัวออก จนเกือบทำให้เจ้าตัวต้องสะดุดหกล้มอยู่หลายครั้ง

            มนุษย์ต่างดาวในร่างมนุษย์เพศหญิง แก้ไขปัญหาอย่างเรียบง่าย ด้วยการสะบัดรองเท้าทิ้ง แล้วเดินด้วยเท้าเปล่าหน้าตาเฉยเสียเลย  เดือดร้อนธนชาติต้องย่อตัวลงนั่งยอง ๆ  ใช้มือปัดฝุ่นและเศษหินที่อาจมีติดอยู่ใต้ฝ่าเท้าของอีกฝ่าย  ก่อนบังคับสวมใส่รองเท้าใหม่อีกครั้ง  คราวนี้ เขาบรรจงผูกเชือกรองเท้าอย่างแน่นหนา  โดยมีราเคียร์ยืนค้ำศีรษะพร้อมกับวางมือข้างหนึ่งบนไหล่ของอีกฝ่าย  เพื่อใช้เป็นหลักเกาะให้กับร่างกายที่ต้องการศูนย์ถ่วงน้ำหนักในการทรงตัว

            “ชาติ..  ใจดีจังเลยนะ” 

            ราเคียร์พูด แต่ดวงตากวาดไปทั่ว มองดูสิ่งต่าง ๆ รอบตัวด้วยความสนอกสนใจตามประสา

            “รู้เหรอว่า ใจดี หมายถึงอะไร” 

            ธนชาติถามกลับ ขณะเริ่มต้นทำแบบเดียวกันกับเท้าอีกข้างของอีกฝ่าย

            “รู้สิ  เพราะข้าก็ใจดีเหมือนกัน”
            “เที่ยวมาก่อความเดือดร้อนวุ่นวายให้คนอื่นน่ะ  ไม่เรียกว่า ใจดีหรอกนะ” 

            ชายหนุ่มวัยเกือบสามสิบได้ที ถือโอกาสบ่นไปในตัว  แม้ตนไม่ได้มองเห็นอีกฝ่ายเป็นธีราเหมือนอย่างที่มารดามองเห็น  แต่มันก็ยากสำหรับเขาที่จะมองรูปลักษณ์ของคนปกติธรรมดา ให้เป็นมนุษย์ต่างดาวด้วยเช่นกัน

            “ข้าละเว้นชีวิตเจ้า ถือว่า ข้าใจดีไหม  ข้าได้บอกในสิ่งที่เจ้าไม่ควรรู้ล่วงหน้า ถือว่า ข้าใจดีหรือเปล่า”
            “ครับ ๆ ใจดีครับ” 

            ธนชาติที่เริ่มคุ้นเคยกับอีกฝ่ายขึ้นมาบ้างแล้ว  ไม่นึกถือสาหาความกับถ้อยคำที่เหมือนพูดไปเรื่อยเปื่อยของราเคียร์  แต่ก็ไม่อาจดูหมิ่นหรือประมาทอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

            เขาลุกขึ้นยืน หลังจากผูกเชือกรองเท้าให้มนุษย์ต่างดาวตัวป่วนเสร็จเรียบร้อย

            “ถ้าคุณเจอสิ่งที่ต้องการแล้ว  คุณก็จะไปใช่ไหม”
            “ใคร ๆ ก็ทำแบบนั้น ไม่ใช่เหรอ”

            ราเคียร์ตอบคำถามดังกล่าว  ด้วยการเลียนแบบประโยคคำพูดจากในจอโทรทัศน์ที่ตนได้ทัศนา  ดวงตาที่พราวระยับเป็นประกายดุจดวงตาของเนื้อทราย มองจ้องหน้าอีกฝ่าย  ก่อนเอ่ยคำขอที่ฟังดูแปร่งแปลก คล้ายไม่รู้จักกาลเทศะหรือที่ถูกที่ควร

            “ชาติ  ยิ้มให้ข้าสิ  เหมือนที่แม่ทำ”
            “เวลานี้ ผมยิ้มไม่ออกหรอก”
            “แล้วหัวเราะล่ะ  หัวเราะให้ข้าดูหน่อย”
            “ผมทำไม่ได้  ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่สามารถยิ้ม หรือหัวเราะออกมาได้ ตอนนี้หรอกนะ”

            ถึงจะโต้ตอบออกไปเช่นนั้น  แต่บนใบหน้าของธนชาติก็มีรอยยิ้มอ่อนปรากฏให้เห็น  ซึ่งมันอาจเกิดจากความเหนื่อยหน่าย หรืออาการอ่อนอกอ่อนใจก็สุดแท้ที่จะคาดเดา

            สายลมร้อนยามบ่ายพัดโชยมาแผ่วเบา  ผ่านร่างของคนทั้งสองไปอย่างช้า ๆ พร้อมกับเวลาที่คล้ายหยุดนิ่งไปชั่วขณะ  ตอนที่ราเคียร์ขยับริมฝีปากและเอ่ยออกมาเสียงเบา
 
            “..ขอบคุณ..”
 
            ธนชาติไม่รู้ว่า อาการใจเต้นขึ้นมาอย่างผิดปกติกะทันหันนี้ เกิดจากฝีมือของมนุษย์ต่างดาวที่อาจทำอะไรบางอย่างกับร่างกายของตน  หรือแท้จริงแล้ว มันเกิดขึ้นจากความรู้สึกที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเองกันแน่

            พี่ชายคนโตของบ้านพินิจใจรีบหมุนตัว  เป็นฝ่ายออกเดินนำหน้าโดยไว  ทิ้งให้อีกฝ่ายเดินติดตามมาอย่างช้า ๆ  ราเคียร์เงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า  ราวกับมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่บนนั้น
 
                        “     ..  ไป  ..     ”
 
            ริมฝีปากแดงฉ่ำได้รูปสวย ขยับพูดขมุบขมิบ ปราศจากเสียงสั่งความ คล้ายกำลังพูดกับสิ่งที่พร้อมรับคำสั่งของตนอยู่แล้วตลอดเวลา บนท้องนภาอันว่างเปล่าในเวลานี้
 
 

 
++++++++++++++++++++++++++++++
 
 

 
            เวลาประมาณบ่ายสี่โมงเย็น  ตอนที่พิจิกกับธนสรณ์มาปรากฏกายขึ้นที่บริเวณหน้าบ้านไม้หลังหนึ่ง ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร รวมถึงมีรั้วรอบขอบชิด ปิดกั้นสายตารู้เห็นของบ้านใกล้เรือนเคียงแถวนั้น  ราชาแมงป่องใช้สายตาชนิดหนึ่ง มองดูแผ่นป้ายไม้ซึ่งมีตัวอักษรสีแดงเขียนคำว่า ‘ห้ามเข้า เจ้าที่แรง’ ที่ติดอยู่บนประตูรั้ว ด้วยความรู้สึกท้าทายเป็นอย่างยิ่ง

            -- อยากลองดูให้รู้สักทีเหมือนกันว่า ใครมันจะแรงกว่ากัน ระหว่าง เจ้าที่กับผู้บุกรุก --
 

            ส่วนธนสรณ์กวาดสายตามองสำรวจไปถ้วนทั่ว  มองหากริ่งประตู เผื่อจะได้กดส่งสัญญาณเรียกเจ้าของบ้านแต่ก็ค้นหาไม่พบ  ขณะที่กำลังคิดจะส่งเสียงตะโกนเรียกคนข้างใน  หางตาก็พลันเห็นพิจิกโจนตัวพลิ้ว โดดข้ามรั้ว บุกรุกเข้าไปภายในอาณาเขตบ้านเสียแล้ว

            “เฮ้ย ! เข้าไปทำไม  หาเรื่องติดคุกรึไง  ออกมา ๆ”

            “พี่รออยู่นี่แหละ  เดี๋ยวผมเข้าไปดูเอง  มันมีคนอยู่ในบ้านนะ  ผมรู้สึกได้”

            คำว่า ‘รู้สึกได้’ ของราชาแมงป่องนั้นหมายถึงการจับสัมผัส  รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของบุคคลผู้มีทีเซลล์อื่น ภายในรัศมีรอบตัว  เส้นผมสีเทายาวที่ไม่เคยหลุดร่วงเลยแม้แต่เส้นเดียวของเขา นอกจากเปลี่ยนแปลงรูปร่างเพื่อใช้เป็นอาวุธได้แล้วนั้น  มันยังทำหน้าที่เป็นเหมือนกับเซ็นเซอร์ สามารถตรวจจับความผิดปกติผ่านทางอากาศ  หากมีผู้ติดเชื้อที่มีทีท่าผิดปกติหรือตั้งท่าคุกคาม เข้ามาภายในระยะการมองเห็นของตน

            ต้องมีใครสักคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้  และต้องเป็นคนที่มีทีเซลล์ในตัวอยู่อย่างแน่นอน..

 
            พิจิกหายลับเข้าไปด้านใน  ทิ้งให้ธนสรณ์ยืนกระสับกระส่ายรอคอยอยู่ด้านนอกรั้ว  แผนเดิมที่วางเอาไว้คือ นัดแนะกับพี่ชายให้พาตัวบุคคลปริศนาที่อ้างตัวเป็นมนุษย์ต่างดาว ให้มาเจอกับคนเหนือมนุษย์อย่างพิจิก ก็มีอันต้องเปลี่ยนแปลงแผนการกะทันหัน  เมื่อตัวพิจิกเองกลับบึ่งรถไปรับตัวเขา ให้ติดตามมาช่วยพิสูจน์เบาะแสเกี่ยวกับคนชื่อเสือยังที่แห่งนี้เสียก่อน

            รูปการณ์ยังไม่เปลี่ยน  มีเพียงสถานที่เท่านั้นที่มีการเปลี่ยนแปลง  ธนสรณ์จึงจำต้องปรับเปลี่ยนให้ทั้งสองทางมาบรรจบกัน ณ สถานที่แห่งนี้แทน  พี่ชายของตนกำลังนั่งรถแท็กซี่มุ่งตรงมาและคงถึงในอีกไม่ช้า  น่าจะทันเวลาพอดีกับที่ชายหนุ่มรุ่นน้อง ผู้หายลับเข้าไปด้านในจะกลับออกมาได้ทัน

            ทว่าตัวแปรที่ไม่อยู่เหนือการคำนวณ ดันโผล่เข้ามาสอดแทรกอย่างคาดไม่ถึงด้วยเช่นกัน  เมื่อรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้าน  พร้อมกับร่างของคนกลุ่มหนึ่งก้าวลงมารถ  ทั้งธนสรณ์และบางคนในพวกนั้นต่างมองหน้ากันด้วยอาการตื่นตะลึง  แล้วปฏิกิริยาตอบสนองที่แตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง ก็พลันบังเกิดขึ้นในทันใด
 

            ดวงตาของฆีมษ์เบิกกว้างขึ้น  บนดวงหน้าสะอ้านใสเปิดเผยรอยยิ้ม แสดงอาการตื่นเต้นดีใจที่ได้พบเจอกับพี่ชายของธีรา  ราชาสีขาวทำท่าคล้ายจะเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย  โดยมีฮันผู้ติดตามมาแสดงสีหน้าคล้ายหวาดหวั่น ไม่สบายใจที่ได้เห็นธนสรณ์อีกครั้งที่นี่

            “สวัสดีครับ” 

            ฆีมษ์รุกคืบเข้าหา  ขณะที่ธนสรณ์ถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างนึกระแวงระวัง  เพราะครั้งล่าสุดที่ได้เจอกันนั้น  เขาเพิ่งปล่อยหมัดใส่หน้าอีกฝ่ายไปทีหนึ่ง ด้วยนึกโมโหแทนน้องสาวจนขาดสติไปชั่ววูบ

            “อะ เอ้อ ดี.. สะ สวัสดี”

            “คุณ..”  ราชาสีขาวผินหน้าไปทางลูกน้องคนสนิท  เป็นเชิงไต่ถามหาข้อมูลที่ตนต้องการทราบ  ฮันจึงตอบสนองราชาของตน ด้วยเสียงกระซิบบอกชื่อเสียงเรียงนามของฝ่ายตรงข้าม  “..คุณธนสรณ์  แปลกใจที่ได้เห็นคุณ  มาทำอะไรแถวนี้หรือครับ”

            “เอ่อ มาหาคนน่ะ  แล้วพวกนายล่ะ  มาทำอะไรที่นี่”

            อาจเป็นเพราะอาการลนลาน ซึ่งเกิดจากความตื่นตระหนกตกใจ เลยทำให้ธนสรณ์เผลอพูดบอกออกไปตามตรง  พี่ชายของธีรามองข้ามไหล่ของฆีมษ์ไป เห็นร่างของชายคนสุดท้ายที่ก้าวออกจากรถ ลงมายืนอยู่ตรงหน้าประตูรั้ว  และทำท่าเหมือนกำลังจะล้วงมือข้ามผ่านรั้วประตู หมายดึงสลักกลอนเพื่อเปิดออกจากด้านใน

            ร่างสมส่วนดังกล่าวมีความสูงมากกว่าใครในที่นั้น  ทั้งโดดเด่นด้วยผมตัดสั้นสีเงินแลดูสว่างทั่วทั้งศีรษะ  ปกปิดใบหน้าด้วยแว่นกันแดดและหน้ากากผ้าสีดำแลดูลึกลับ  ความรู้สึกบางอย่างร่ำร้องอยู่ในอกของธนสรณ์  เหมือนมีบางสิ่งกำลังชี้นำให้เขาตัดสินใจ โพล่งถามออกไปด้วยเสียงอันดัง

            “เสือ !  คุณคือเสือ ใช่รึเปล่า”

            ประโยคดังกล่าวทำให้ร่างนั้นมีอาการชะงักงันไป  แต่ก่อนที่จะมีใครขยับเคลื่อนไหว  เสียงปืนนัดหนึ่งก็ดึงขึ้นมาจากข้างในบ้านเสียก่อน
 
            ปัง !
 
            เสียงดังกล่าวทำให้ผู้เป็นเจ้าของบ้านออกแรงดีดตัว กระโดดไต่ข้ามแนวรั้วไปในทันที  แม้ตกอยู่ท่ามกลางความงุนงงสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น  ทว่าฆีมษ์ก็เลือกที่จะติดตามอาจารย์ของตน ด้วยการไต่ข้ามผ่านรั้วไปด้วยอีกคนเช่นกัน  ฮันชำเลืองสายตามองธนสรณ์แวบหนึ่ง  ก่อนรีบติดตามราชาของตนไป  ทิ้งให้พี่ชายคนรองของธีรายืนตัวแข็ง ตกใจกับเสียงปืนที่คำรามขึ้นอีกหนึ่งนัด
 
            ปัง !
 
            “ปืน !  เสียงปืน  เฮ้ย ! แย่แล้ว พิจิก !”
 
            ไม่มีเวลาให้มัวยืนละล้าละลังทำอะไรไม่ถูกอีกต่อไป  ในเมื่อเกิดเหตุการณ์คับขันที่ไม่ปลอดภัยแก่ชีวิตและสวัสดิภาพของเพื่อนร่วมทาง  วินาทีนั้น ธนสรณ์จำเป็นต้องตัดสินใจ  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็ต้องเข้าไปช่วยพิจิก  ไม่อาจเพิกเฉยหรือทอดทิ้งให้อีกฝ่ายต้องเผชิญหน้ากับอันตราย แต่เพียงลำพังผู้เดียวเด็ดขาด

            เพราะนั่นไม่ใช่นิสัยของเขา  ไม่อาจละทิ้งคุณธรรม และความชอบธรรมที่พึงรักษามาโดยตลอดได้ !

 
            ธนสรณ์ปีนข้ามรั้วไม้ไปเป็นคนสุดท้าย  ใจหายวาบ รู้สึกเย็นไปทั้งร่าง  เมื่อได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของพิจิก ดังแว่วออกมาจากภายในตัวบ้าน !





 
++++++++++++++++++++++++++++++



Create Date : 28 พฤษภาคม 2563
Last Update : 28 พฤษภาคม 2563 12:20:52 น. 1 comments
Counter : 688 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณ**mp5**


 
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ


โดย: **mp5** วันที่: 2 มิถุนายน 2563 เวลา:9:45:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zionzany
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เขียนนิยาย

ปลดปล่อยจินตนาการ

ไม่ยึดติดกับแนวไหน

เพราะจะไปให้ถึงที่สุด..

เท่าที่เราสามารถแผ่

กิ่งก้านความสามารถ

ออกไปสู่โลกกว้างได้

ยินดีต้อนรับทุกคน

สู่โลกของ zionzany

ที่นี่ .. ตรงนี้นะจ้ะ
แต่งนิยายทำร้ายผู้อ่าน ..Tcell H-A-V.. ..Tacticle Ball.. ..Kiss Myself.. ..ZhuXian จูเซียน.. ..เพียงฝันนี้ ศรีสุวรรณ.. อยากคูล อยากคัลท์ อยากมันส์ ที่สำคัญ อยาก-เขียน-ให้-จบ Let's rock Baby
New Comments
Friends' blogs
[Add zionzany's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.