! ที่นี่ ! เราเลิกเขียนแล้วครับ ..กับเรื่องธรรมดา ที่คุณสามารถหาอ่านที่ไหนก็ได้
Group Blog
 
 
มกราคม 2563
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
22 มกราคม 2563
 
All Blogs
 

ภาวะที่ 4 : ความตายแรก


ขอบคุณภาพปกนิยาย จากคุณ ApitarN ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ






               เนิ่นนานกว่าพิจิกจะถอนริมฝีปากออก  ก่อนจะรีบหมุนตัวยืนหันหลังให้  เจ้าของเรือนผมยาวสีเทาเข้มผินหน้าไปทางหนึ่ง  ธีราเข้าใจอากัปกิริยานั้น  มันคืออาการเก้อเขินของคนแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็เผลอไผลลืมตัวจูบกันอย่างหนักหน่วง โดยปราศจากสัญญาณล่วงหน้า  แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังมิอาจปรับสภาพตัวและหัวใจ ให้คืนกลับมาสู่ภาวะปกติได้เช่นกัน

               “ผมชื่อ พิจิก  แล้วพี่สาวล่ะ ชื่ออะไร”

               ราชาแมงป่องยกหลังมือขึ้นเช็ดริมฝีปาก  ดวงสีตาเทากลายกลับมาเป็นสีดำตามปกติ  เขาเอ่ยถามชื่อของอีกฝ่ายโดยไม่หันกลับไปมอง  ดวงหน้าหล่อเหลาน่ารักมีริ้วสีชมพูอ่อนจาง ปรากฏอยู่บนแก้มทั้งสองข้าง

               “จะถามชื่อ คนที่จะถูกฆ่า ไปเพื่ออะไร”
               ธีรากลั้นใจ  ถามสวนกลับคำถามนั้น ด้วยประโยคที่จะเป็นตัวตัดสินชะตาชีวิตของตน

               “ผมไม่ฆ่าหรอก..”
               พิจิกหมุนตัว หันกลับมาทันที  กรุ่นกลิ่นปลุกเร้าอารมณ์ยังคงเวียนวนอยู่รอบตัว
               “..ไม่ฆ่าแล้ว  ไม่ทำอย่างนั้นหรอก”

               “เปลี่ยนใจทำไมล่ะ ตอนนี้ แกก็รู้แล้วนี่ว่า ฉันมีทีเซลล์  แล้วแกก็จะทำกับฉัน เหมือนอย่างที่ทำกับผู้ชายคนนั้น ไม่ใช่หรือไง!”
               ธีราหมายถึงฆีมษ์  รวมถึงบททรมานสาหัสสากรรจ์ ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อหน้า ในคืนนั้น

               พิจิกไม่สู้โต้ตอบอะไร  ทำหน้านิ่งเฉย ราวกับไม่นำพาต่อคำประชดประชันอันกราดเกรี้ยวดังกล่าว
               “พี่สาวชื่ออะไร”

               อีกฝ่ายยังคงถามซ้ำ  โดยที่ธีราเม้มปากสนิทไม่ยอมตอบ  ถึงตอนนี้ ความรู้สึกหวาดกลัวฝ่ายตรงข้ามเหือดหายไป  หญิงสาวเลยนึกอยากที่จะขัดขืน หรือตอบโต้กับตัวอันตรายตรงหน้า 

               “ชื่ออะไร ไม่งั้น~ จะจูบอีกนะ” 
               “ธีรา”
               คำขู่ดังกล่าวได้ผล  เมื่ออีกฝ่ายรีบบอกออกมาในทันที

               “พี่สาวติดเชื้อได้ยังไง  เป็นเพราะอะไร  รู้หรือเปล่า”

               คำถามไม่ได้รับการสนองตอบ  เพราะอีกฝ่ายเอาแต่หุบปาก นิ่งเงียบอย่างเดียว  และนั่นทำให้อารมณ์หงุดหงิดของพิจิกเริ่มปะทุขึ้นมา
               -- หากเป็นในยามปกติ  ใครที่กล้าทำเป็นไม่แยแสเขาแบบนี้  คงได้มีรายการหักแขนหักขา สั่งสอนกันไปบ้างแล้ว --
               
               คงเพราะพื้นฐานทางอารมณ์ของราชาแมงป่อง ไม่มั่นคงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  พอไม่สู้สบพอใจก็พลันกลายเป็นหงุดหงิดขึ้นมาเอาเสียง่ายๆ  เพียงพริบตาเดียว ชายหนุ่มก็ยื่นมือออกไป จับปลายคางอีกฝ่ายยกขึ้นจนหน้าเชิดหงาย

               “นี่~ เวลาผมถูกขัดใจ  อารมณ์มันจะรุนแรงนะ  อย่าเล่นแง่ ให้หมดความอดทนจะดีกว่า”
 
               เมื่อรู้สึกถึงอันตราย  ฉับพลันเสียงในหัวของธีราก็ร้องดังขึ้นอีกครั้ง
               -- กินมัน! -- 
 
               “ผมถามก็ตอบมาสิ  ว่าเพราะอะไร!”
               พิจิกถามด้วยน้ำเสียงกึ่งตะคอก  ด้วยไม่อยู่ในอาการระมัดระวังตัว จึงถูกสองมือของอีกฝ่ายจับหมับเข้าที่แขน  ในทีแรก เขาคิดว่า อีกฝ่ายพยายามดิ้นรนให้เป็นอิสระ  หากแต่ความรู้สึกคล้ายถูกไฟฟ้าดูดจนตัวชา แล่นริ้วติดตามมาอย่างรวดเร็ว  สัญชาตญาณโต้ตอบอัตโนมัติในการต่อสู้ ทำให้ราชาแมงป่องเหวี่ยงร่างของอีกฝ่ายกระเด็นไปทางหนึ่ง

               แม้ถูกเหวี่ยงจนล้มลงร่างกระแทกพื้น  แต่ธีราก็ไม่ร้องสักคำ  เธอรีบยันตัวลุกขึ้นโดยไว เพื่อวิ่งตรงไปยังทางออกของลานจอดรถที่เห็นอยู่ไม่ไกลตรงหน้า  ในหัวมีแต่คำว่า ‘หนี’ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  ในขณะที่พิจิกสะบัดศีรษะขับไล่ความมึนงง  มีอาการหน้ามืดชั่ววูบ ด้วยสูญเสียพละกำลังไปอย่างเฉียบพลัน

               พอเริ่มตั้งสติได้ จึงทันเห็นร่างคนหนีตายออกวิ่งไปไกล จวนใกล้จะถึงประตูทางเข้าตัวห้างเสียแล้ว  ในฐานะผู้ที่ดำรงสถานะเป็นถึงระดับราชา  พิจิกจึงแตกต่างจากฮัน ตรงที่เขาสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วกว่าหลายเท่า  ออกแรงดีดตัวกระโจนไปข้างหน้า เท้าแตะพื้นเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น  ราชาแมงป่องก็ไปถึงตัวอีกฝ่าย  คว้าเอาตัวเป้าหมายกลิ้งคลุกฝุ่นไปด้วยกันได้อย่างง่ายดาย

               “ไม่ให้หนีหรอก!”
               ราชาแมงป่องพูดพร้อมกับยันตัวขึ้นนั่ง  ก่อนพลิกร่างที่นอนคว่ำอยู่ด้านล่างของตน ให้หงายขึ้นมาเผชิญหน้ากัน
 
               น้ำตาแห่งความคับแค้นใจไหลรินเป็นสาย  เนื้อตัวและใบหน้าของธีราคลุกพื้นเปื้อนฝุ่นจนไม่เหลือดี  หนำซ้ำเลือดยังมากลบปาก ด้วยใบหน้าส่วนล่างของเธอกระทบกระแทกกับพื้น  ธีราจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเจ็บแค้นอาฆาต  แม้คนที่ตามจองเวรจองกรรมจะช่วยพยุงร่างของตนให้ลุกขึ้นนั่งก็ตามที

               ชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่า ทรุดตัวลงนั่งยองๆ ตรงหน้า  ใช้ปลายเสื้อของตนเช็ดไล่ไปตามใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างเบามือ  ท่าทีซึ่งเปลี่ยนกลับมาทำดีด้วยนั้น ยิ่งทำให้ธีราตัวเกร็งแข็ง  ไม่กล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ด้วยเดาใจอีกฝ่ายไม่ถูก

               “พี่สาว~ บ้วนน้ำลายทิ้งซะ  ไหน~ อ้าปากหน่อย  ฟันเป็นอะไรรึเปล่า”

               น้ำลายผสมเลือดไหลย้อยออกข้างมุมปาก ถูกอีกฝ่ายใช้ชายเสื้อซับเอาไว้อย่างไม่นึกรังเกียจ  ธีราเอี้ยวใบหน้าถ่มน้ำลายทิ้งลงข้างตัว  แสดงความชิงชังด้วยการผลักร่างคนตรงหน้า ให้ถอยห่างออกไป

               “ก็ดื้อเองนะ แต่จะขอโทษก็ได้”
               แม้จะอยู่ในท่ายองนั่ง  แต่พิจิกก็ยังยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง  ยิ้มจนตาหยี
               “ผมขอโทษ~ และก็ไม่โกรธที่ดูดเอาเซลล์ผมไปด้วยล่ะ”

               “แกบังคับ.. ให้ฉัน.. ต้องทำเองนะ”
               ธีราพูดได้ไม่ถนัดเพราะเจ็บปาก  เหงือกและฟันถูกฉาบสีแดงด้วยเลือดของตัวเอง

               “อย่าเรียก แก ได้ไหม~ ฟังแล้วปวดใจ  ผมชื่อ พิจิก  ลองเรียกดูสิ”
               “จะฆ่าก็ฆ่าเถอะ”
               “บอกแล้วไงว่า ไม่ฆ่า  ขอแค่อย่าหนีกับไม่ดื้อ  ก็ไม่ต้องเจ็บตัวแล้ว”
               “ฉันไม่เชื่อแกหรอก” 
 
               ประตูทางเข้าออกปรากฏเงาคนในเครื่องแบบน้ำเงิน  -- คงเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย --  ธีราชำเลืองมองอย่างชั่งใจ  ทว่าถูกอีกฝ่ายดักทางได้ในทันที

               “อย่าดีกว่าน่า  อยากให้มีใครต้องมาเจ็บตัว หรือตายแทนพี่สาวสักกี่คนกัน  ถ้าใจดำพอ.. จะลองดูก็ได้นะ  เรียกมาเลย”

               ชายหนุ่มพูดทั้งหลับตา  ราชาแมงป่องเหมือนมองทะลุเข้าไปถึงใจของอีกฝ่าย  คนทั่วไปท้ายที่สุดมักจะแสดงความรักตัวกลัวตายออกมา  มีเพียงส่วนน้อยนิดที่ไม่เห็นแก่ตัว  พวกที่กล้าหาญจนยอมเสียสละตัวเอง เพื่อให้คนอื่นได้อยู่รอดปลอดภัย

               -- เอาล่ะ ผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนแบบไหน  ทำไมทีเซลล์ถึงได้เกิดขึ้นกับร่างนี้ได้  เดี๋ยวก็คงได้รู้กัน --
 
               ธีรารู้สึกตัวหนักอึ้ง  เมื่อคำพูดหรือการกระทำของตน จะกลายเป็นตัวกำหนดชะตากรรม หรือตัดสินชีวิตของคนอื่น  ต่อหน้าทรชนผู้ทำตัวเหมือนคนขี้เล่นคนนี้  ทุกอย่างถูกกดทับไว้ด้วยความเครียดขึ้ง  หญิงสาวตระหนักรู้ว่า  วายร้ายตรงหน้าหมายความตามอย่างที่พูดจริงๆ  และถ้าเป็นเช่นนี้  ความยุติธรรมที่ตนพึงรักษามาโดยตลอดนั้นเล่า  จะยอมละทิ้งไป เพียงเพื่อต้องการเอาตัวรอดคนเดียว ได้อย่างนั้นหรือ
               ..หากทรยศความตั้งมั่น  ทรยศความภาคภูมิใจของตนเอง แล้วตนจะเหลืออะไร..
 
               พิจิกคลี่ยิ้มเบาบางอย่างพึงพอใจ  เมื่อเห็นอีกฝ่ายเลิกล้มความตั้งใจที่จะขัดขืน และเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง  เขาจะลงมือกับผู้หญิงคนนี้อีกได้อย่างไร  ในเมื่อคนตรงหน้าเปรียบได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่อาจมีเพียงคนเดียวในโลก  ไหนจะยังไม่นับรวมส่วนหนึ่งของเขาที่ถูกช่วงชิงเอาไปอีก
 
               จริงด้วย! ทีเซลล์ของเขามัน..
 
               “พี่สาว~ ทีเซลล์ผมมันเป็นพิษนะ ให้ผมเอามันออกดีกว่า ถ้าขับออกเอง ดีไม่ดีจะตายซะก่อน”
 
               ถ้อยคำของพิจิกเป็นความจริงโดยแท้  เพราะก่อนหน้านี้  เขาเคยถูกคิงจา ผู้ถูกเรียกเป็นราชาที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาราชาทั้งปวง กระทำการช่วงชิงทีเซลล์ของตนมาก่อน  แต่ไม่เป็นผลสำเร็จเพราะเกิด ‘สภาวะเป็นพิษ’  ขึ้น  

               สภาวะดังกล่าวจะเกิดขึ้น  เมื่อทีเซลล์ต่างรูปแบบเกิดการต่อต้านซึ่งกันและกัน  ไม่สามารถรวมตัวเข้ากันได้ดุจน้ำกับน้ำมัน  เมื่อเข้ากันไม่ได้ เจ้าของร่างหรือภาชนะจึงต้องทำการขับทิ้งออกมา  ไม่เช่นนั้น จะเกิดภาวะเป็นพิษแทรกซ้อน  ซึ่งทำให้ระบบการทำงานของร่างกายล้มเหลว ส่งผลให้เจ้าของร่างถึงแก่ชีวิตได้

               ครั้งหนึ่งในกาลก่อน  ราชาแมงป่องเคยถูกพวกติดเชื้อปลายแถว ยกพวกมารุมเล่นงานเขาตอนทีเผลอ หวังจะลองช่วงชิงทีเซลล์ของเขาไป  สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พวกมันต่างพากันชักตาตั้ง  เส้นเลือดปูดโปนทั่วทั้งตัว  เหงื่อผสมเลือดซึมออกทุกรูขุมขน  กระทั่งสำรอกลิ่มเลือดสีดำคล้ำออกมาได้เอง ถ้าอึดพอ..

               เพราะถ้าหากขับพิษออกเองไม่ได้  จำเป็นต้องให้ผู้เป็นเจ้าของทีเซลล์กระทำการดึงคืนกลับไป  หรือไม่ก็ต้องไปพบยมบาลสถานเดียวเท่านั้น
               วันนั้นแค่วันเดียว  พิจิกฆ่าคนตายไปถึงหกคน  โดยที่ตัวเขาไม่ได้ใช้ความสามารถพิเศษของทีเซลล์เลยสักนิด
 

               ธีราหน้าแดงก่ำ รู้สึกร้อนเร่าราวกับเลือดในตัวกำลังเผาผลาญ  รู้สึกคล้ายตกอยู่ท่ามกลางกองเพลิงที่โหมลุกรุนแรง  วายร้ายตรงหน้าไม่ได้โกหก  เพราะสิ่งที่เธอดูดซับเข้ามาเป็นพิษจริงๆ  สายตาเริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆ บิดเบี้ยวเลือนราง  แม้จะยังคงรู้สึกตัว ตอนที่มองเห็นอีกฝ่ายสอดมือล้วงเข้ามาในเสื้อ วางฝ่ามือกดทับไว้ตรงบริเวณหน้าท้อง  หากแต่หญิงสาวไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะขัดขืนหรือปัดป้อง

               “แย่แล้ว!” 

               ราชาแมงป่องร้องอย่างกลัดกลุ้ม  เมื่อไม่สามารถดึงเอาทีเซลล์ของตน ที่ถูกอีกฝ่ายดูดซับไปกลับคืนมาได้  ร่างในอ้อมแขนเริ่มเกร็งและมีอาการกระตุกเป็นระยะ  ไร้การสนองตอบต่อเสียงเรียก ด้วยสิ้นสติไปแล้ว

               เห็นใครตายต่อหน้ามาก็มาก แต่พิจิกไม่เคยแยแส  ยกเว้นก็แต่ผู้หญิงคนนี้เท่านั้น ที่เขาไม่อยากให้เธอต้องตาย  การถือกำเนิดขึ้นของธีรานับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ล้ำค่า  และการดับสิ้นจะเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่  ขนาดที่พิจิกไม่กล้าคิดตามเลยว่า ผลกระทบของมันจะมากมายสักเพียงไหน

               "ช่วยด้วยครับ!  ช่วยเรียกรถพยาบาลให้ที  พี่สาวผมแย่แล้ว”

               ราชาแมงป่องร้องขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่น  ขณะช้อนร่างอันไร้สตินั้น พาอุ้มเข้าไปในบริเวณห้างฯ อย่างเร่งร้อน  เขาส่งเสียงร้องดังกว่าเดิม เมื่อเห็นน้ำตาโลหิตไหลรินออกมาจากดวงตาซึ่งปิดสนิทอยู่นั้น
 
               “ธีราๆ อย่าเพิ่งตายนะ  ต้องไม่ตายนะ ธีรา!”
 


 
+++++++++++++++++++++++++
 


 
               มีแสงสว่างก็ย่อมต้องมีเงามืด...
 
               ท่ามกลางมหานครอันกว้างใหญ่ ซึ่งแออัดไปด้วยผู้คนมากมาย  แม้บ้านหลังใหญ่ใจกลางเมืองหลังหนึ่งประดับไฟสว่างไสว  แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็กลับกลายเป็นสถานที่ซึ่งซุกซ่อนความชั่วร้าย เอาไว้ได้อย่างแนบเนียนโดยไม่มีใครสามารถล่วงรู้

               ห้องสีขาวสว่างจ้าทั้งแสงจากหลอดไฟ กอปรด้วยผนังทุกด้านซึ่งบุด้วยวัสดุสีขาว  ห้องดังกล่าวไม่ได้ให้ความรู้สึกผ่อนคลายหรือละมุนละไม  หากแต่เป็นสีขาวเข้มข้นที่สร้างความรู้สึกกดดันได้อย่างน่าขนลุก  บนพื้นห้องมีร่างอันเปลือยเปล่าของหญิงสาวคนหนึ่ง นอนสลบไสลอยู่อย่างไม่ได้สติ  นั่นจึงดูเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมเดียวในห้องสีขาวแห่งนี้

               ผนังด้านหนึ่งมีประตูและหน้าต่างทำจากกระจกบานหนา  พื้นผิวกระจกมีสีดำสนิท ทว่าสามารถมองเข้าไปเห็นการเคลื่อนไหวทั้งหมดภายในห้องดังกล่าว 

               ภายนอกห้องสีขาวปราศจากแสงไฟ ปรากฏเงาคนจำนวนหนึ่ง ยืนออกันอยู่หน้าบานกระจก  ไม่มีการเคลื่อนไหว ไร้เสียงพูดคุยสนทนา  ทุกสายตากำลังจับจ้องมองทะลุผ่านบานกระจก ไปยังร่างของผู้หญิงที่ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่  คนเหล่านี้เหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่าง

               ไม่นานนัก  ร่างเปลือยเปล่าดังกล่าวก็เริ่มขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว  ส่งเสียงครางสูงต่ำสลับไปมา ก่อนจะเริ่มต้นกรีดร้อง ราวกับได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส  ผู้หญิงคนดังกล่าวใช้สองมือตะกุยตะกายพื้นห้องและผนังรอบตัวไปทั่ว แสดงกิริยาอาการอย่างคนเสียสติ  กระทั่งเล็บนิ้วมือทั้งสิบฉีกเกิดเป็นแผลฉกรรจ์  เลือดเปรอะเปื้อนไปทั่ว ทว่าร่างนั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด  เส้นเลือดทั่วทุกส่วนตามเนื้อตัวแข็งตัวและโป่งนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด  เพียงไม่นาน ร่างกายก็มีอาการเกร็งและอยู่ในท่านั่งชัก มือหงิกงอ ตาเหลือกกลับขึ้นจนเห็นแต่เนื้อลูกตาสีขาว
 
               สักพัก  ร่างของหญิงเปลือยซึ่งเนื้อตัวเปื้อนเปรอะไปด้วยเลือด ก็หยุดการเคลื่อนไหว  ผู้หญิงคนดังกล่าวกรีดร้องอย่างโหยหวนออกมาเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนที่ทวารทั้งเจ็ดจะเปิดออก พร้อมกับโลหิตจำนวนมากมายไหลพรูพรั่งออกมา ราวกับมีแรงดันมหาศาลบีบไล่ออกมาจากภายใน  ร่างนั้นกระตุกจนตัวโยน ก่อนล้มฟาดพื้นนอนแผ่แน่นิ่ง  ไร้ซึ่งการตอบสนองและลมหายใจไปในที่สุด
 
               มีเสียงถอนหายใจแสดงความผิดหวัง  และเสียงสนทนาจากกลุ่มคนลึกลับ ซึ่งจับตาดูเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจบจบจากความมืดภายด้านนอก


               “ล้มเหลวอีกครั้ง” 
               “คนที่สิบสี่แล้วนะ” 
               “ฉันว่า.. เราควรหยุด”
               “อย่ากลัวไปน่า เราจะไม่หยุด นี่ก็เกือบจะสำเร็จ ใกล้เต็มทีแล้ว ฉันรู้สึกได้”
               “ใช่ เราถอยไม่ได้แล้ว มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไป”
               “..แต่มีคนตายมากเกินไปแล้วนะ อีกไม่นาน ตำรวจก็จะสาวมาถึงตัวพวกเรา”
               “ไม่มีทางหรอก  ไม่มีหลักฐาน  ไม่มีพยานรู้เห็นหรืออะไรทั้งนั้น  ไม่มีใครรู้เรื่องนี้”
               “จะกลัวไปทำไม กะอีแค่ตำรวจ เข้ามาวุ่นวายเมื่อไหร่ เดี๋ยวจะจัดการให้อย่างดีเลย”
               “แต่..”
               “เป็นถึงราชา  อย่าขี้ขลาดสิโว้ย  ถ้าหากเราทำสำเร็จ  เราจะเป็นพวกแรกที่ไม่ต้องรอคอยโชคชะตาอีกต่อไป  คิดว่า มีหนูที่ตายในการทดลองไปสักกี่ตัวกัน กว่าการทดลองนั้นๆ จะประสบความสำเร็จ”
               “มาคิดเรื่องกำจัดศพกันดีกว่า  คราวนี้ เอาไปทิ้งที่ไหนดี”
               “คราวนี้ ไปที่ไกลๆ หน่อยก็ดี  เอาใส่ถุงไว้เลย  เดี๋ยวเรียกลูกน้องเข้ามาเอาไปทิ้งให้  รออะไรกันล่ะ เข้าไปช่วยกันทำความสะอาดห้องสิ”
               “เฮ้อ..”
               “เสียดาย.. เกือบจะสำเร็จแล้วเชียว  ตอนฉีดเลือดให้ ก็ไม่เห็นจะออกอาการทันที เหมือนพวกตัวอย่างรุ่นก่อน  อุตส่าห์มาจนถึงครึ่งทางแล้ว ดันมาตายซะนี่  ขนาดเลือกผู้หญิงที่ดูแข็งแรงๆ แล้วนะ”
 

               ที่แท้คนลึกลับกลุ่มนี้ เป็นที่มาของข่าวการเสียชีวิตอย่างลึกลับของพวกผู้หญิง ตามหน้าหนังสือพิมพ์นั่นเอง  คนเหล่านี้ต่างมารวมตัวกัน และร่วมกันกระทำการฆาตกรรมอย่างเลือดเย็น  โดยใช้วิธีการฉีดเลือดที่มีเชื้อทีเซลล์ เข้าไปในร่างของบรรดาหญิงผู้เคราะห์ร้าย  ก่อนจะเฝ้าดูเหยื่อดิ้นทุรนทุรายจนเสียชีวิต คนแล้วคนเล่า

               จากส่วนหนึ่งของบทสนทนาในความมืด  แสดงให้รู้ว่า คนพวกนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘ราชา’ คำเรียกที่มีการบัญญัติใช้และมีตัวตนขึ้นมา ในด้านมืดของสังคมตอนนี้ อย่างแน่นอน

 
               “ได้ยินมาว่า ตอนนี้ ราชาสีขาวพิการไปแล้วนี่หว่า”
               “ไม่จริงมั้ง  มันมีทีเซลล์ระดับราชาเชียวนะ จะพิการได้ยังไง”
               “โดนราชันย์พิฆาตเล่นงานเอาเกือบตายเลยนะเว้ย  ที่จริงแล้ว ไอ้คิงจามันคงกะจะฆ่าเลยนั่นแหละ  ได้ยินมาว่า เส้นประสาทของมันฟื้นฟูไม่ได้ หรือยังไงนี่แหละ  ราชาสีขาวเลยยังลุกไม่ได้”
               “เอาข่าวมาจากไหนวะ เชื่อได้มากน้อยแค่ไหน”
               “ลูกน้องเอามารายงาน  มันไปได้ข่าวมา  มีคนคอยรวบรวมเอาข้อมูลข่าวสารพวกนี้มาขาย”
                “น่าถือโอกาสซ้ำชิบเป๋ง  จะได้ตัดกำลังไปอีกหนึ่ง”
               “ปล่อยไปก่อนเหอะ  ราชาสีขาวมันไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอะไร  ไอ้ที่น่ากลัว คือไอ้พวกไตรราชาแห่งความกลัวนั่นมากกว่า”
               “อือ ยอมรับเลยว่า เสียวไอ้คิงจาตัวเดียวนี่แหละ”
               “เดี๋ยวค่อยคุยกัน  เอ้า!  ช่วยกันเก็บกวาดก่อน..”
 

               เสียงพูดคุยและบทสนทนาต่างๆ ค่อยเงียบเสียงหายไป  เหล่าผู้สมรู้ร่วมคิดในการฆาตกรรม แยกย้ายกันทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย  เงาวูบไหวในดวงตาที่เบิกโพลงของศพหญิงสาวผู้ไร้วิญญาณ  สะท้อนภาพบรรดาคนที่เข้ามาช่วยกันเคลื่อนย้ายร่างของเธอ  ดวงตาคู่นั้นยังคงเบิกกว้างค้างอยู่ แม้จะมีมือของใครบางคน พยายามลูบเปลือกตาให้ปิดลง หลายครั้งหลายหนแล้วก็ตามที

               สิ่งแปลกปลอมถูกเคลื่อนย้ายออกจากห้องสีขาว ที่ซึ่งตอนนี้ ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยสีแดงเปื้อนเปรอะเป็นมลทิน  แต่ในอีกไม่ช้า  ห้องแห่งนี้ก็จะกลับมามีสีขาวเจิดจ้าดังเดิม  และจะยังคงเอาไว้ซึ่งบรรยากาศอันน่าสะพรึง เตรียมรองรับร่างของหญิงเคราะห์ร้าย ผู้ซึ่งมีชะตากรรมจะต้องตกเป็นเหยื่อรายต่อไป

               ผู้หญิงสักคน..ที่มีชะตากรรมอันโหดร้าย  ถูกล่อลวงให้ล่วงเข้ามาสู่ห้องมรณะ
               ผู้หญิงสักคน..ที่ถูกเลือก และถูกบังคับให้ต้องเข้าสู่พิธีการ ‘คัดเลือกภาชนะ’ ของทีเซลล์
 
               เมื่อใดที่เงามืดเข้าครอบคลุมจนหมดสิ้น  เมื่อนั้นก็ไร้ซึ่งแสงสว่างโดยสิ้นเชิง..
 


 
++++++++++++++++++++++++
 

 

               ธีรา พินิจใจ  ลืมตาขึ้นมา เพื่อพบว่า ตัวเองกำลังลอยคว้างอยู่กลางเวหา  หันมองไปรอบด้านล้วนเห็นเป็นแต่ความมืดมิดที่มีแสงระยิบระยับ  ราวกับเป็นแสงของดวงดาวจำนวนมากมาย ในระยะห่างไกล หลายร้อยหลายพันดวงแสง 

               -- อวกาศนี่นา --

               หญิงสาวพึมพำกับตนเอง  และสำนึกรู้ได้ในฉับพลันว่า นี่คงต้องเป็นความฝันอย่างแน่แท้  แม้ตัวเองจะไม่อาจจดจำภาพฝันเหล่านี้ได้  ในตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็ตาม

               เมื่อเข้าใจว่าเป็นความฝัน  ดังนั้น ธีราจึงปล่อยตัวให้ล่องลอยไปตามภาวะไร้แรงดึงดูด  รู้สึกสนุกสนานเบิกบานใจเสียด้วยซ้ำ กับการที่ได้ตีลังกาหกหน้าคะเมนหลัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้ในโลกแห่งความเป็นจริง  เมื่อมองลงเบื้องล่างก็พบว่า ตัวเองนั้นลอยอยู่สูง จนมองไม่เห็นพื้นใดมารองรับ  เมื่อมองขึ้นเบื้องบนก็พบว่า ตัวเองนั้นยังอยู่ต่ำลงไป ในความเวิ้งว้างอันไม่มีที่สิ้นสุด

               ผ่านไปไม่นาน หญิงสาวก็เข้าสู่ภาวะเดิม นั่นคือ เกิดความรู้สึกเปลี่ยวเหงาและหดหู่ จนนึกอยากร่ำไห้ออกมา  หากแต่คราวนี้ไม่มีหนทาง ให้ตนสามารถหลุดพ้นออกจากความฝัน เหมือนดังเช่นธารน้ำตาในคราวก่อน
 
               มีแรงสั่นสะเทือนเบาๆ ตรงช่องท้อง  หญิงสาวจึงล้วงมือเข้าภายใต้ชุดที่สวมใส่ เพื่อหยิบเอาเจ้าสิ่งที่เป็นตัวการออกมาจากที่ซุกซ่อน  มันคือ ลูกบอลสีแดงสลับขาวจากความฝันในครั้งก่อนนั่นเอง  ลูกบอลดังกล่าวสะท้อนแสงวาววับเป็นประกาย แม้อยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่มีแสงสว่างเพียงน้อยนิด  ธีรารู้สึกดีใจ เหมือนได้พบเพื่อนในช่วงเวลาอันย่ำแย่เช่นนี้

               ฉับพลันทันใด  เธอรู้สึกถึงคลื่นความร้อนสายหนึ่งที่ขยายตัวแผ่พุ่งมา  กระแสความร้อนแรงดังกล่าว ราวกับสามารถเผาผลาญทุกสิ่งให้ลุกไหม้กลายเป็นไฟ  ธีราเพ่งมองวัตถุหนึ่งซึ่งกำลังมุ่งตรงเข้ามาใกล้  สิ่งนั้นเป็นเหมือนกับก้อนอุกกาบาตขนาดใหญ่  มีลักษณะคล้ายก้อนถ่านติดไฟลุกไหม้สีแดงฉาน  ภาพอันน่าสะพรึงดังกล่าวสร้างความตกตื่นตกใจ  หญิงสาวพลันตระหนักถึงความตายขึ้นมา ภายในเสี้ยววินาที

               -- จะหลบก็คงไม่พ้น  แล้วตนควรทำเช่นไร  เพื่อจะแก้วิกฤตนี้กันเล่า --
 
               มันอาจเป็นความคิดโง่เง่าอย่างไม่น่าให้อภัย  แต่ธีราผู้มองสลับไปมา ระหว่างก้อนอุกกาบาตกับลูกบอลในมือ ได้ตัดสินใจกระทำการบางอย่าง  เธอขว้างบอลลูกเล็กขนาดเท่าผลส้มออกไปหาเศษดาวติดไฟขนาดใหญ่กว่าเป็นพันเท่า ที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาเพื่อคร่าชีวิตของตน

               รังสีความร้อนในระยะใกล้ ทำให้มนุษย์ตัวจ้อยรู้สึกทรมาน คล้ายตกอยู่ในกองเพลิง  พลันม่านสีขาวคล้ายกำแพงน้ำก็คลี่ขยายตัวออกในห้วงอวกาศอันมืดมิด  ม่านนั้นแผ่ตัวกว้างออกกางกั้น ช่วยยับยั้งก้อนอุกกาบาตเอาไว้ จนมันไม่สามารถเคลื่อนมาถึงตัวหญิงสาวได้  

               ข้างหลังกำแพงสีขาว ปรากฏกลุ่มก้อนพลังงาน ที่มองเห็นเป็นแสงสีแดงดวงหนึ่ง วิ่งวนโจมตีไปรอบก้อนอุกกาบาต  แม้มีขนาดเล็กกว่าหลายสิบเท่า แต่ทุกครั้งที่แสงสีแดงพุ่งเข้าชนก้อนเศษดาว จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง  เศษชิ้นส่วนจากการกระแทกทำลายในแต่ละครั้ง แตกออกเหมือนสะเก็ดไฟ  พอลอดผ่านม่านกำแพงน้ำออกมา กลับกลายเป็นเพียงแค่เศษหินไร้พิษสง ที่ทำได้เพียงสะกิดต้องผิวมนุษย์ให้รู้สึกระคาย ยามเมื่อสัมผัสถูกมันก็เท่านั้น

               การทำลายล้างเบื้องหน้ายังคงดำเนินต่อไป พร้อมด้วยเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นประหนึ่งฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย  ท่ามกลางธารเศษสะเก็ดอุกกาบาตที่ลอยเอื่อยผ่านตัวไป  ธีรายื่นมือออกไปคว้าจับเอาเศษชิ้นส่วนหนึ่งเอาไว้  เศษหินดังกล่าวแลดูคล้ายก้อนผลึกสีม่วงอมเทา หากแต่รูปทรงของมันกลับพิลึกพิลั่น เต็มไปด้วยแฉกมุมมากมายคล้ายก้อนหนาม  หญิงสาวถือมันเอาไว้อย่างระมัดระวังในมือ พร้อมกับรอคอยเวลาแห่งการสิ้นสุดของเหตุการณ์เบื้องหน้า

               เมื่อดวงแสงสีแดงสามารถเจาะเข้าถึงใจกลางอุกกาบาต  การแตกดับของเศษดาวก็มาถึงบทอวสาน  กำแพงสีขาวแผ่ตัวออกอีกครั้ง เพื่อเข้าครอบคลุมรอบก้อนไฟขนาดใหญ่ ซึ่งบัดนี้ ถูกกะเทาะแตกจนเหลือไม่ถึงครึ่งส่วนของในตอนแรก  

               เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ภายในวงรัศมีสีขาว  เมื่อฝุ่นควันค่อยจางหาย  สิ่งที่หลงเหลืออยู่ภายในนั้น คือนักเจาะสีแดงซึ่งว่ายวนไปมาราวกับปลาทองในอ่างแก้ว

               ถึงตอนนี้  ธีราพลันนึกรู้ขึ้นมาแล้วว่า ตนจะต้องทำอย่างไร  กำแพงสีขาวค่อยหดตัวเล็กลงเรื่อยๆ จนมีขนาดเท่ากับลูกบอลเป่าลมใบย่อม  ก่อนหยุดนิ่งลอยคว้างอยู่กับที่  รอจนหญิงสาวแหวกว่ายอวกาศเข้ามาใกล้  ธีราบรรจงทาบกดวัตถุแปลกปลอมสีม่วงที่ตัวเองกำลังถือครองเอาไว้  ให้แทรกตัวผ่านเข้าไปในวงรัศมีสีขาวนั้น

               น่าเสียดาย.. ที่ธีราไม่มีโอกาสได้มองเห็นความเป็นไปต่อจากนั้น  เพราะห้วงอวกาศพลันสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น  ทุกสิ่งในสายตาสั่นไหวไปมา  ธีรารู้สึกอึดอัดประหนึ่งถูกมือยักษ์ที่มองไม่เห็น จับตัวเธอเขย่าไปมาจนหัวสั่นหัวคลอน  และนั่นทำให้เธอ..
 

               “อื๊อ~ อือ.. อ๊า” 
 
               สองมือป่ายปัดไร้ทิศทาง  ธีราร้องคราง  พยายามจะสะบัดให้หลุดจากแรงเขย่าดังกล่าว  รู้สึกเหมือนมีใครรัวตบที่แก้มของตน  จนกระทั่ง เธอลืมตาตื่นขึ้นในที่สุด
 
               “พี่สาว~ ธีรา..” 

               น้ำเสียงของพิจิกเต็มไปด้วยความยินดี  น่าแปลกที่ตอนนี้  ใบหน้าและแววตาของวายร้ายตรงหน้า กลับแลดูอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความห่วงใยเสียเหลือเกิน  

               เวลานี้  คนทั้งสองต่างอยู่ด้วยกันบนรถพยาบาล  อยู่ระหว่างทางมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล  ตลอดช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย  พิจิกพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อยื้อยุดชีวิตของธีราเอาไว้  ทั้งเขย่าตัวและตบหน้า ร้องเรียกให้ฟื้นคืนสติ  กระทั่งท้ายที่สุด  ความตายก็ไม่อาจเอาชนะความดื้อดึงของคนทั้งคู่ได้

               “นี่..ฉันเป็นอะไรไป”

               หญิงสาวยันตัวลุกขึ้นนั่ง  ท่ามกลางอาการตื่นตะลึงของบุรุษพยาบาลสองคนที่มากับรถ ผู้ซึ่งหมดหวังกับการช่วยชีวิตคนหยุดหายใจไปร่วมสิบนาทีก่อนหน้า  พวกเขาได้แต่ปล่อยให้ชายหนุ่มผมยาวซึ่งพวกเขาเข้าใจว่า เป็นญาติของผู้ตาย  เฝ้าพยายามเรียกเพรียกชีวิตนั้น ให้คืนกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้ แม้อีกฝ่ายหยุดหายใจไปแล้วก็ตาม

               “หัวใจคุณหยุดเต้นไปหลายนาทีแล้ว  คุณรู้ตัวไหม!  เราทำทุกอย่างแล้ว ทั้ง CPR ทั้งใช้เครื่องปั๊มหัวใจ  นี่มันปาฏิหาริย์จริงๆ  อยู่ๆ คุณก็ฟื้นขึ้นมานั่งได้แบบนี้!”

               บุรุษพยาบาลคนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้ เพื่อตรวจดูอาการของผู้ฟื้นคืนชีพ  พร้อมกับลงความเห็นอันน่าพิศวง  ธีราหันมองสบสายตาพิจิก  ปลดปล่อยแววตาแสดงความนัย ที่มีเพียง ‘คนผิดปกติ’ แบบเดียวกันเท่านั้นที่จะสามารถเข้าใจ
 
               “ขอบคุณ..”

               หญิงสาวพูดกับบุคคลตรงหน้า ด้วยสุ้มเสียงอันแผ่วเบา  ในขณะที่พิจิกมองดูหญิงสาว ระบายยิ้มแห่งความโล่งใจบนใบหน้า  รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

               จากคนที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ตนต้องตาย  มาบัดนี้ กลับกลายมาเป็นคนที่พยายามช่วยชีวิต  ธีราจึงยังไม่อาจคิดอ่านได้ว่า ควรแสดงออกหรือปฏิบัติกับคนคนนี้เช่นไร  อาการมึนงงภายในศีรษะยังคงตกค้างหลงเหลืออยู่  ครั้นพอตื่นขึ้นสู่โลกแห่งความเป็นจริง  หญิงสาวก็ไม่อาจจดจำความฝันได้เลย แม้แต่ส่วนเสี้ยวเดียว
 

               ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างหนักถาโถมขึ้นมา  คล้ายตัวเองผ่านการเดินทางไกลมาเป็นเวลายาวนาน  เพียงแค่หายใจก็ราวกับทำให้สูญเสียพละกำลังได้อย่างมหาศาล  ธีราเชื่อทุกถ้อยคำบอกเล่าของบุรุษพยาบาล  เชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยเลยว่า ตัวเองนั้นได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง  ก่อนจะฟื้นคืนกลับมา ด้วยเพราะมีบางสิ่งบางอย่างภายในร่าง ที่ไม่ยอมให้เธอต้องดับดิ้นสิ้นชีวิตไป  -- บางสิ่งบางอย่างที่มีพลังอำนาจ อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ อยู่เหนือความเป็นมนุษย์ในตอนนี้ --

               บัดนี้  ผู้หญิงคนแรก ผู้จะหมุนกงล้อแห่งชะตาวิปริตของคนอีกมากมาย  เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงการดำรงอยู่และมีตัวตนของสิ่งที่เล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ทว่าเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงสุดหยั่ง  เชื้อประหลาดที่ถูกมนุษย์เรียกขานว่า..
 
               ‘ ทีเซลล์ ! ’
 


 
++++++++++++++++++++++++++++++++




 

Create Date : 22 มกราคม 2563
0 comments
Last Update : 24 พฤษภาคม 2563 12:40:53 น.
Counter : 665 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zionzany
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เขียนนิยาย

ปลดปล่อยจินตนาการ

ไม่ยึดติดกับแนวไหน

เพราะจะไปให้ถึงที่สุด..

เท่าที่เราสามารถแผ่

กิ่งก้านความสามารถ

ออกไปสู่โลกกว้างได้

ยินดีต้อนรับทุกคน

สู่โลกของ zionzany

ที่นี่ .. ตรงนี้นะจ้ะ
แต่งนิยายทำร้ายผู้อ่าน ..Tcell H-A-V.. ..Tacticle Ball.. ..Kiss Myself.. ..ZhuXian จูเซียน.. ..เพียงฝันนี้ ศรีสุวรรณ.. อยากคูล อยากคัลท์ อยากมันส์ ที่สำคัญ อยาก-เขียน-ให้-จบ Let's rock Baby
New Comments
Friends' blogs
[Add zionzany's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.