! ที่นี่ ! เราเลิกเขียนแล้วครับ ..กับเรื่องธรรมดา ที่คุณสามารถหาอ่านที่ไหนก็ได้
Group Blog
 
 
มกราคม 2563
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
14 มกราคม 2563
 
All Blogs
 

ภาวะที่ 2 : ทีเซลล์

ขอบคุณภาพปกนิยาย จากคุณ ApitarN ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ







            ผู้ป่วยซึ่งอยู่เตียงข้างกันกับธีรากำลังนอนหลับสนิท  มีสายออกซิเจนจ่ออยู่ตรงปลายจมูก  ภายในห้องแบบเตียงรวมยังพบเห็นผู้ป่วยอีกหลายคน ที่แลดูมีอาการเจ็บป่วยหนักหนากว่าเธอมากนัก  ธีราผู้ซึ่งเพิ่งฟื้นคืนจากการสลบไสลไม่รู้สึกอะไร  ไม่ปรากฏความเจ็บปวดตรงส่วนใดของร่างกาย  นอกจากตรงรอยเจาะสายน้ำเกลือที่ยังมีเข็มคาอยู่ตรงหลังมือเพียงเท่านั้นเอง

            ประตูห้องผู้ป่วยในเปิดออก  ผู้ชายสองคนเดินเข้ามา พร้อมกับยกมือไหว้แม่ของธีรา แสดงออกราวกับรู้จักมักจี่กันเป็นอย่างดี  มีรอยยิ้มเล็กน้อยประดับอยู่บนใบหน้าของคนทั้งคู่  และดูเหมือนคนแปลกหน้าทั้งสองจะหันมาค้อมศีรษะให้แก่เธอเล็กน้อยอีกด้วย

            “ธีราตื่นอยู่พอดีเลยจ้ะ  ฮัน กับ ดนู เพื่อนของลูกมาเยี่ยมไง”
            “แม่.. หนูอยากทานผลไม้  ขอแตงโมกับสับปะรดนะคะ  แม่ช่วยไปซื้อให้หน่อยค่ะ”

            ธีรารู้สึกได้ถึงเรื่องสำคัญที่ตนไม่ต้องการให้แม่รับรู้  ผู้ชายสองคนนี้ย่อมนำพาเอาคำตอบต่อคำถามที่เธอต้องการอยากรู้มาด้วย  น่าแปลกที่เมื่อมองไปเห็นหน้าของพวกเขา  หญิงสาวกลับเกิดความรู้สึกไว้ใจขึ้นมาในระดับหนึ่งว่า อย่างน้อย คนคู่นี้จะไม่ทำอันตรายกับตน
          -- นั่นน่ะสิ เธอเชื่อความคิดเช่นนี้ ได้อย่างไรกันนะ --

            “เดี๋ยวผมไปซื้อให้ก็ได้ครับ คุณป้า”
            ชายซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ ตัวโตหนาล่ำกว่าอีกคน  รีบออกปากรับอาสาเสียงทุ้มต่ำ  ทว่าแม่ของเธอปฏิเสธอย่างใจดี

            “ไม่ต้องหรอกจ้ะ อยู่คุยกันเถอะนะ แล้วนี่ ทานอะไรกันมารึยังล่ะ”

            “ไม่เป็นไรครับ คุณป้า  พวกผมเรียบร้อยกันมาแล้ว  ขอบคุณครับ”
            ชายตัวเล็กกว่า ผู้ย้อมผมทั้งศีรษะด้วยสีส้ม กล่าวปฏิเสธด้วยสีหน้าท่าทางนอบน้อม

            ประตูห้องผู้ป่วยเปิดและปิดลงอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง  พร้อมกับร่างมารดาของธีราเคลื่อนตัวออกจากห้องไป  ชายร่างใหญ่ผู้มีหน้าตาท่าทางแลดูใจดี ลากเก้าอี้สองตัวมาวางตรงข้างเตียง  ในขณะที่ผู้ชายตัวเล็กกว่า ถือวิสาสะปรับระดับเตียงที่ธีรากำลังนอนอยู่ให้สูงขึ้น จนหญิงสาวขึ้นมาอยู่ในท่านั่งกึ่งนอน  จากนั้น คนแปลกหน้าทั้งสองจึงแยกย้ายกันนั่งลงบนเก้าอี้คนละตัว

 
            “พวกคุณเป็นใคร”   
            ธีราเปิดฉาก ยิงคำถามแรกใส่พวกคนแปลกหน้าในทันที

            “ผมชื่อ ฮัน  คนตัวใหญ่นี่ ดนู  คิงฆีมษ์เป็นหัวหน้าของพวกเรา  ขอบคุณมากที่คุณช่วยเขา  คุณเป็นผู้มีพระคุณของพวกเรา  หัวหน้าของเรา เขาเป็นห่วงคุณมาก เลยฝากให้ผมสองคนมาดูแลคุณแทนเขา  ต้องขอโทษด้วยที่หัวหน้ามาด้วยตนเองไม่ได้ ในตอนนี้” 

            ฮันพูดเร็วปรื๋อ แต่ฟังได้ใจความรวบรัด  นั่นทำให้ธีราได้รับรู้ว่า ผู้ชายคนที่ตนเข้าช่วยเหลือ จนตัวเองต้องบาดเจ็บในคืนนั้น มีชื่อว่า ‘ฆีมษ์’

            “ตอนนี้ เขาเป็นอย่างไรบ้าง อาการหนักมากไหม  แล้วทำไม คุณถึงเรียกเขาว่า คิง มันหมายความว่ายังไง”

            ธีราไม่ได้ใช้หางเสียงลงท้ายประโยคกับฮัน  เนื่องจากอีกฝ่ายใช้วิธีการพูด ด้วยถ้อยวาจาที่ฟังดูเหมือนพยายามจะทำตัวสนิทสนมและเป็นกันเอง  เธอจึงตอบสนองอีกฝ่ายในรูปแบบเดียวกัน

            “หัวหน้าเจ็บหนัก  แต่ตอนนี้ เขาดีขึ้นแล้ว  ไม่ต้องห่วงนะครับ หัวหน้าฟื้นตัวได้เร็วมาก”

            ดนู คนตัวโตบอกกล่าว ด้วยหน้าตาและน้ำเสียงซื่อใส  แสดงออกถึงความชื่นชมและเชื่อมั่นในตัวของผู้เป็นหัวหน้าอย่างเปี่ยมล้น  แม้แต่ในแววตาของฮันเอง ก็ได้สะท้อนให้เห็นในสิ่งเดียวกันนี้

            “คิงก็คือราชา  ราชาก็คือหัวหน้า  คนที่พิเศษกว่าคนอื่น ก็จะได้เป็นราชา  มันเป็นกฎกลายๆ ในโลกนี้อยู่แล้ว” 

            ฮันพูดถึงลำดับขั้นของบางอย่างที่ธีรายังไม่อาจเข้าใจ  หญิงสาวยกแขนซ้าย หงายท้องแขนให้ผู้มาเยือนได้พิจารณา

            “ช่วยอธิบายเรื่องแขนของฉันหน่อย  ฝีมือพวกคุณใช่ไหม ที่ช่วยรักษา  พวกคุณทำได้ยังไง”
            “เอ่อ  เราไม่ได้ทำอะไร  ตอนที่มาถึงโรงพยาบาล  เลือดก็หยุดไหล  บาดแผลก็เริ่มสมานตัวกันแล้ว”

            ถึงตอนนี้ ฮันลดระดับเสียง พูดด้วยเสียงเบาลง  และฮันก็คือ หนึ่งในคนที่เข้ามาช่วยดูแลอาการบาดเจ็บของธีราในคืนนั้น นั่นเอง

            “คุณหมายความว่ายังไง  ฉันไม่เข้าใจ”
            “คุณรักษาตัวเอง  มันทำให้เราแน่ใจว่า คุณติดเชื้อ  ซึ่งนั่น.. มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับเพศหญิง  เราไม่เคยพบทีเซลล์ในตัวของผู้หญิงมาก่อน  คุณธีรา คุณเป็นผู้หญิงติดเชื้อคนแรก..ที่เราค้นพบ”

            เมื่อฮันพูดจบ  พลันความเงียบก็เข้าครอบคลุมบรรยากาศรอบเตียงในทันที  ธีราแทบไม่เชื่อหูในสิ่งที่เพิ่งได้ยินได้ฟัง  รู้สึกงุนงงสงสัยอย่างหนัก กับประโยคบอกเล่าเหล่านั้น

            -- มันจะเป็นไปได้ยังไง  ทีเซลล์ที่ว่านี่ มันคืออะไรกัน  นี่มันเป็นเรื่องอำกันเล่น หรือมาทำให้ตกใจกลัวหรือเปล่า --

            ยิ่งคิด หญิงสาวก็ตัวสั่นเทิ้มขึ้นมา  ธีราพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น ก่อนร้องถามออกไป

            “ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูดเลย  ทีเซลล์เหรอ.. มันคืออะไรกัน  ถ้าจริงอย่างที่คุณว่า  ช่วยบอกทีว่า ตอนนี้ ฉันยังเป็นมนุษย์ เป็นคนปกติอยู่รึเปล่า!”
            “คุณธีรา สงบใจไว้ก่อน  ไม่ใช่คุณคนเดียวที่ติดเชื้อ  ยังมีอีกมากมายข้างนอกนั่น  แม้แต่ตัวผมเองก็มีทีเซลล์แฝงอยู่ในตัว เหมือนกับคุณด้วยเช่นกัน”
            “ผมก็ด้วยครับ” 

            ดนูเอ่ยขึ้น เสริมรับคำพูดของฮัน  แต่นั่นไม่ได้ช่วยทำให้ธีรารู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด  ในคำตอบเชิงปลอบใจนั้น  ไม่ได้ตอบคำถามแบบชี้ชัดลงไปเลยว่า  -- เธอยังเป็นมนุษย์ เป็นคนปกติอยู่รึเปล่า --  หญิงสาวมองสลับไปมาระหว่างผู้ชายสองคนตรงหน้า  พวกเขาดูไม่มีอะไรผิดปกติ  ภายนอกเหมือนเป็นคนปกติธรรมดาทุกอย่าง  ทว่าข้อเท็จจริงที่ยังไม่กระจ่างชัด ก็ยังสร้างความรู้สึกถูกคุกคามจากภายใน ให้ใจต้องประหวั่นกลัว

            ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘เชื้อ’ ต่อให้เป็นในแง่ไหน สายพันธุ์อะไร ให้คุณหรือให้โทษอย่างไร  ธีราย่อมไม่อยากให้สิ่งแปลกปลอมดังกล่าว แทรกซึมหรือปะปนเข้ามาอยู่ในร่างกายของตนอยู่ดี
 
            “ฉันยังไม่เข้าใจ  ทีเซลล์อะไรที่พวกคุณว่ามาเนี่ย  มันคืออะไรกันแน่”
 
            ฮันใช้นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก เป็นเชิงให้ธีราลดเสียงลง  ผมทรงตัดสั้นย้อมสีส้มเหลือบทอง ยาวพอดีระต้นคอนั้น อาจดูขัดกับดวงตาเล็กเรียว หางตาแหลมชี้ขึ้น ดูละม้ายคล้ายคนเจ้าเล่ห์อยู่บ้าง หากแต่ฮันก็แต่งตัวได้ล้ำสมัยนำแฟชั่น  ช่างดูตัดกันเป็นอย่างยิ่งกับดนู ผู้แลดูเรียบง่ายและสมถะ  ดนูสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีพื้นไร้ลวดลายกับกางเกงผ้าสีดำธรรมดา  ความที่เป็นคนตัวหนาใหญ่ เลยทำให้เขาแลดูแก่กว่าอายุจริงของตน

            ดนูยิ้มอย่างเป็นมิตรเต็มที่ให้กับธีรา  แววตาและสีหน้าซื่อๆ นั้น ทำให้ชายร่างยักษ์ผู้นี้ไม่น่ากลัวเหมือนอย่างตอนแรกเห็น  ดังนั้น ธีราจึงยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เพื่อเป็นการตอบสนองตอบไมตรีที่ได้รับ  ก่อนจะหันไปทางฮัน  ผู้ที่เริ่มเปิดฉากบรรยายเรื่องของทีเซลล์อีกครั้ง
 
            “ทีเซลล์น่ะ ถ้าเอาตามความหมายทั่วไปๆ ในด้านการแพทย์  ก็จะเกี่ยวกับพวกเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน พวกเม็ดเลือดขาวอะไรทำนองนั้น  อ่อ อันนี้ ผมหาความหมายจากในอินเทอร์เน็ตเอาน่ะ  แต่ทีเซลล์ในความหมายของพวกเรา มันก็จะคล้ายๆ  ไม่สิ! จะเรียกว่าใช่ เลยก็ได้  ทีเซลล์เป็นเหมือนไวรัสอย่างหนึ่ง แต่มันเป็นไวรัสที่เปลี่ยนโครงสร้างของเซลล์  ยังไม่มีใครรู้ว่า มันมีที่มาจากไหน เกิดจากอะไร และติดเชื้อกันได้อย่างไร  สำหรับพวกเรา ทีเซลล์ยังเป็นอะไรที่เราไม่สามารถที่จะเข้าใจ  เข้าไม่ถึง และยังมืดแปดด้านกันอยู่เลยตอนนี้” 
 
            ฮันหยุดพักหายใจนิด  หลังจากจบช่วงจังหวะพูดที่ยาวเหยียด จากนั้น จึงค่อยพูดต่อ
 
            “ที่เรียก ทีเซลล์  คำว่า ที เอามาจากอักษรตัวแรกสุดของ THAILAND  เพราะมันเกิดขึ้นที่นี่  แต่ในความคิดของผม  ผมคิดว่า อาจจะมีเชื้อแบบเดียวกันนี้ในที่อื่นอีกก็ได้  แต่ตราบที่ยังไม่มีรายงาน หรือข้อมูลอะไรที่จะชี้ชัดถึงเรื่องนี้  ถ้าพวกเราจะตั้งขึ้นมาเรียกสักชื่อ ให้เข้าใจตรงกันว่า มันคืออะไร  เรียกสั้นๆ ง่ายๆ ว่า ทีเซลล์  มันก็โอเคอยู่หรอก  ถ้าเรารู้ว่า มันหมายถึงอะไร”
 
            “แล้วพวกคุณ เอ่อ ติดเชื้อ  คือฉันหมายถึง พวกคุณรู้ได้อย่างไรว่า ตัวเองติดเชื้อ”
            ธีรายังคงเดินหน้าถามต่อไป  ด้วยกระหายใคร่อยากรู้ขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยม

            “คงต้องแบ่งออกเป็นสองกรณี  มันจะมีทั้งคนที่ติดเชื้อขึ้นมาเอง  กับพวกที่ถูกทำให้ติดเชื้ออีกทอดหนึ่ง  มันจะมีความแตกต่างกันมากระหว่างคนสองประเภทนี้  เพราะนี่จะเป็นตัวกำหนดระดับ ในกลุ่มของผู้ติดเชื้อด้วยกัน  เอ่อ ที่ผมกำลังพูดอยู่นี่.. คุณงงไหม”

            ฮันดูเป็นกังวลเล็กน้อยกับคำพูดกำกวมของตน  แต่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับความเร็วในการถ่ายทอดคำพูด  ชนิดคนฟังเกือบตามความเข้าใจไม่ทัน

            “ที่ว่า ราชา หรือ คิง อะไรแบบนั้นใช่ไหม”

            ความทรงจำในเหตุการณ์คืนนั้นหวนกลับมา  ธีรานึกถึงคำเรียกขานที่พวกคนแปลกประหลาดเหล่านั้นใช้เรียกกัน

            “นั่นแหละ อันที่จริง มันมีความหมายมากกว่านั้น  แต่เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน  ไว้ผมจะอธิบายให้ละเอียดกว่านี้  สำหรับตอนนี้ แค่เข้าใจง่ายๆ ว่า คนที่ติดเชื้อขึ้นมาเอง ส่วนใหญ่จะเป็นราชา  ส่วนคนที่ถูกทำให้ติดเชื้ออีกต่อหนึ่งก็จะเป็นลูกน้อง  เรียกง่ายๆ ก็คือ เป็นบริวารของราชานั่นแหละ”
            “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ”   

            ธีราถามอย่างไม่ใคร่ชอบใจเท่าใดนัก  เนื่องจากตนเองค่อนข้างต่อต้านเรื่องของการแบ่งพวก แบ่งชนชั้น  มันเป็นประสบการณ์เลวร้ายที่ไม่เคยให้ผลดีแก่ใคร

            “เราเลือกไม่ได้หรอก  เรื่องเหล่านี้ถูกกำหนดตั้งแต่ในเซลล์แล้ว  มนุษย์น่ะไม่ได้เป็นฝ่ายเลือก หรือยอมรับทีเซลล์หรอกนะ  ทีเซลล์ต่างหากที่เป็นฝ่ายเลือกมนุษย์  เหมือนอย่างที่มันเลือกคุณไง ..คุณธีรา”

            คำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของหญิงสาว  ก่อนจะถูกหักเหความสนใจให้ลืมไป ด้วยประโยคซึ่งก่อให้เกิดคำถามอื่นขึ้น ในตอนท้ายคำพูดของฮัน

            “เลือกฉัน.. เดี๋ยวก่อนนะ นี่หมายความว่า ฉันถูกทำให้ติดเชื้อ ยังงั้นเหรอ!”

            “ก็อาจจะใช่  มีความเป็นได้ทั้งสองทางว่า คุณติดเชื้อขึ้นมาเอง  หรือไม่ก็ถูกทำให้ติดเชื้อ  ซึ่งราชาของเราแน่ใจว่า ทีเซลล์ที่อยู่ในตัวคุณ มาจากทีเซลล์แบบเดียวกันกับเขา  คิงฆีมษ์ค่อนข้างมั่นใจ  เขารู้ว่าส่วนหนึ่งของมันหายไป  ไม่ได้ถูกดูดกลืนไปโดยราชันย์พิฆาต  เขาคิดว่า มันแบ่งตัวออกมา เพื่อเข้าหาคุณ  นี่คือเหตุผล ที่พวกผมต้องมาพบคุณวันนี้”

            ธีรายกตัวขึ้นนั่งหลังตรง เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายที่ทำให้หูผึ่ง

            “คุณหมายความว่ายังไง”
            “ตอนนี้  เรายังบอกอะไรกับคุณได้ไม่มาก  เราจะรอให้คุณออกจากโรงพยาบาลเสียก่อน  ขอฝากตัวด้วย  พวกเราคงต้องเจอและเกี่ยวข้องกันอีกนาน  ระหว่างนี้ เราจะคอยดูแลคุณ  ถ้าหากมีอะไรผิดปกติ ให้โทรมาที่เบอร์นี้  แล้วเราจะรีบมาทันที” 

            ฮันควักนามบัตรออกจากกระเป๋าเงิน ก่อนยื่นส่งให้ธีรา  หญิงสาวรับเอามาและกวาดสายตาอ่านตัวอักษรบนนั้น ด้วยความรู้สึกสนเท่ห์

            “ร้านขายมือถือ..”

            ธีราอ่านออกเสียง เมื่อเห็นชื่อกิจการที่ปรากฏอยู่บนนามบัตร  บ่งบอกถึงธุรกิจประเภทจัดจำหน่ายพวกอุปกรณ์สื่อสาร ซึ่งกลายเป็นปัจจัยที่ห้าของคนในยุคปัจจุบันนี้ไปแล้ว

            “ครับ  แต่เราทำมากกว่านั้นอีก”   
            ฮันกดน้ำหนักเสียงตรงคำว่า ‘นั้น’ เล็กน้อย  เขาหันไปทางเพื่อนตัวใหญ่ที่มาด้วยกัน
            “เราจะกลับแล้ว  นายมีอะไรจะพูดกับคุณธีราไหม”

            “เอ่อ ขอให้หายเร็วๆ นะครับ”   
            ดนูบอกกับธีราด้วยสีหน้าเขินๆ  ในคืนที่เกิดเหตุร้าย  เขาเป็นคนช่วยอุ้มร่างหญิงสาวที่หมดสตินำส่งโรงพยาบาล ด้วยพละกำลังจากสองแขนของตนเอง

            “ขอบคุณค่ะ”
            “พักผ่อนให้มากๆ  แล้วคุณจะฟื้นตัวได้ไว  พวกเราขอตัวกลับก่อน  พรุ่งนี้เราจะมาใหม่”

            ฮันตัดบทอย่างรวบรัด ลุกขึ้นยืน ก่อนปรับเตียงให้กลับลงมาอยู่ในระดับเดิม  คนทั้งสองค้อมศีรษะให้แก่ธีราเล็กน้อย  จากนั้นจึงพากันออกจากห้องผู้ป่วยไป คงความเงียบสงบไว้เหมือนตอนขาเข้ามา
 

            หญิงสาวผู้ถูกลากเข้ามาพัวพันกับเรื่องเหนือธรรมชาติถอนหายใจ  ยกท้องแขนซ้ายขึ้นพินิจดู ทั้งนึกใคร่ครวญถึงเรื่องพิสดารพันลึก ซึ่งทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้ฝังจำ  ไม่อยากจะคิดให้ตัวเองต้องกลัวเลยว่า ในตอนนี้ ร่างกายของตนมีสิ่งแปลกปลอมคืบคลานไปทั่ว  หากเจ้าสิ่งนี้เป็นปรสิตหรือพวกพยาธิ ก็ยังพอมีหนทางกำจัดได้  หากแต่นี่..  ธีราคิดอย่างจนใจ

            -- จะกำจัดเซลล์ทั้งตัวทิ้งไป  เราก็คงจะต้องยอมตาย ไปพร้อมกับมันด้วยเสียกระมัง --

            รอยแผลบนแขนราบเรียบประสานกันสนิท จนไม่อยากเชื่อสายตาว่า เคยเกิดเป็นแผลฉกรรจ์มาก่อน  ลำพังร่างกายตามปกติคงไม่สามารถรักษาตัวเองได้ถึงขนาดนี้  ดูเหมือนว่า สิ่งแปลกปลอมที่ล่วงล้ำเข้าสู่ร่างกาย จะสำแดงความสามารถพิเศษในการซ่อมแซม  รวมถึงฟื้นฟูร่างกายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ภายในเวลาอันรวดเร็ว 

            “..ทีเซลล์งั้นเหรอ  แล้วนี่ ฉันจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดหรือเปล่า”

            ธีราพึมพำ พลางหวนนึกถึงคำพูดของฆีมษ์  ผู้ชายคนที่เธอช่วยเอาไว้  นึกถึงตอนที่เขาพูดกับพวกวายร้ายในคืนนั้น 
 
          ‘...พวกแกไม่ใช่คนอีกแล้ว  แกปล่อยให้มันควบคุมทั้งร่าง ทั้งจิตใจ  ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ประหลาด...’
 
            “ไม่สิ  ตอนนี้ ฉันเป็น.. เข้าแล้วสินะ”
 

 
++++++++++++++++++++++++
 

 
            สายน้ำพร่างพรมลงมาจากฝักบัว  ไหลผ่านผมสีเทาเข้มจนเปียกลู่แนบไปทั่วร่าง  แผ่นหลังอันเปลือยเปล่าที่มีกล้ามเนื้อสมตัวต้องถูกน้ำ  เผยให้เห็นรอยปานสีดำคล้ายรูปแมงป่องขนาดเท่าฝ่ามือ อยู่ตรงกลางหลังของชายหนุ่มคนหนึ่งพอดิบพอดี

            เจ้าของสมญานาม ‘ราชาแมงป่อง’ ยืนนิ่งคว้างกลางสายน้ำ  ปลดปล่อยแววตาเหม่อลอยและความนึกคิดให้ล่องลอยออกไปไกล  รสชาติหนึ่งยังคงค้างคาติดอยู่ที่ปลายลิ้นชวนให้ถวิลหา  มันเป็นรสหวานประหลาดล้ำแบบที่ไม่เคยลิ้มชิมรสมาก่อน  และตอนนี้ ตนเกิดความปรารถนา อยากที่จะได้ชิมรสชาติดังกล่าวอีกสักครั้ง  ไม่น่าเชื่อว่า เลือดของคนคนหนึ่งจะให้ความหวานที่ลึกล้ำได้ถึงเพียงนี้

            -- เลือดของผู้หญิงคนนั้น  พี่สาวคนที่ถูกเขากรีดแขน  ป่านนี้ คงจะยังมีชีวิตอยู่ ที่ไหนสักแห่งสินะ --
 

            “คนอะไร เลือดหวาน..”  

            พิจิกพึมพำถึงบุคคลที่ตนไม่รู้จัก  หญิงสาวแปลกหน้าผู้ซึ่งกลายมาเป็นสิ่งไร้สาระ คอยรบกวนความรู้สึกนึกคิดของเขามาตลอดทั้งคืนวัน  พิจิกนึกอยากพบผู้หญิงคนนั้นอีกสักครั้ง  อยากพิสูจน์ดูให้รู้แน่ชัดว่า เลือดที่มีรสหวานดังกล่าวนั้นเป็นของจริง หรือเป็นเพียงแค่อุปาทานที่ตนคิดไปเอง

            แม้ในความเป็นจริงแล้ว  ราชาแมงป่องจะไม่ย้อนกลับไป ‘กิน’ เหยื่อรายเดิมอีกครั้งก็ตามที
 

            “_เลิกมาใช้ห้องน้ำที่นี่สักที_”

            วสันต์ใช้ปลายนิ้วชี้ดันกรอบแว่นขึ้นชิดใบหน้า  เอ่ยวาจาแบบไม่อ้อมค้อม  เมื่อพิจิกออกมาจากห้องน้ำของตน

            “น่า~ จะเป็นไรไป  นายเองก็อยู่ตัวคนเดียว  เอื้อเฟื้อหน่อย  เราก็คนกันเอง” 

            ชายหนุ่มหน้าตาหมดจด  ผู้ซึ่งมีอายุเพิ่งก้าวผ่านหลักยี่สิบมาเมื่อไม่นาน  ถือวิสาสะเปิดตู้เย็นในบ้านของอีกฝ่าย หยิบเอาขวดน้ำออกมาเปิดดื่ม  ถ้าจะพินิจพิเคราะห์ให้ดีแล้ว  พิจิกเองก็จัดได้ว่า เป็นชายหนุ่มที่มีหน้าตาหล่อเหลาน่ารัก  ในแบบวายร้ายที่ชอบทำหน้าตาท่าทางกวนประสาทคนอื่น

            เมื่อตอนเย็น  พิจิกเกิดอาการ ‘หิว’ ขึ้นมา  พอเสร็จสิ้นจากการ ‘กิน’ ทีไร  เขาก็มักจะแวะมาชำระล้างคราบเลือด ที่อาจมีติดค้างอยู่บนร่างกายยังบ้านของวสันต์  คนแปลกผู้ชอบทำตัวโดดเดี่ยว เหินห่างจากทุกคนรอบข้าง

            “_ฉันไม่ใช่เพื่อนของนาย อาวุโสกว่า และไม่ชอบเอื้อเฟื้อใคร_”  

            วสันต์ตอบแบบเย็นชา  ใช้ปลายนิ้วขยับแว่นสายตาอีกครั้ง  ขณะนั่งคลิกเมาส์ ทำงานกับคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานไปเรื่อยๆ

            “ไร้น้ำใจซะจริง  สมแล้วที่เป็น ราชาน้ำแข็ง  คงแข็งไปหมดทั้งตัวและหัวใจ  เหลืออย่างเดียวล่ะมั้ง~ ที่ไม่แข็งไปด้วย” 

            พิจิกพูดหยอกล้อไปในเชิงส่อความหมายที่มีแง่ง่าม  ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา ทั้งที่ยังสวมใส่เพียงแค่กางเกงขายาวตัวเดียว

            “_ถ้าไม่หุบปาก  ฉันจะทำให้ของแข็งของนาย หายไปด้วยอีกคน  แต่งตัวซะ แล้วก็กลับไปได้แล้ว_” 

            ชายหนุ่มรุ่นพี่ ผู้ซึ่งมีความอาวุโสมากกว่า  หมุนเก้าอี้หันกลับมาเผชิญหน้าชายหนุ่มรุ่นน้อง ด้วยสายตาและสีหน้าอันเรียบเฉยนิ่งสนิท  มันเป็นถ้อยวาจาที่แม้แต่ใครที่ได้ยินได้ฟัง ก็ยังรับรู้ได้ว่า วสันต์กำลังถือเป็นจริงเป็นจังตามนั้น

            “โอ๊ะโอ๋~ เราอย่ามาตั้งท่าสู้กันเองเลยดีกว่า  เสียเวลาและก็เจ็บตัวเปล่าด้วย  ยังไงนายก็ชิงเอาทีเซลล์ของฉันไปไม่ได้หรอก  เหมือนกับที่พวกเราผิดคาดไปกับคิงฆีมษ์นั่นไง”

            พิจิกโยงเข้าหาเรื่องราวที่ตนต้องการสนทนากับอีกฝ่าย ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด 

            “คืนก่อนน่ะ ดูก็รู้ว่า คิงจาต้องบ้านกลับมือเปล่า  ทีเซลล์ของสองคนนั่นเกิดการต่อต้าน ไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน  คิงจาก็เลยต้องผิดหวัง ทำได้แค่สยบราชาสีขาวลงแค่นั้น”
            “_จะช่วงชิงทีเซลล์ระดับราชาด้วยกันน่ะ มันยาก  ไม่อย่างนั้น ทั้งนายและฉันก็คงตายไปแล้ว_”
            “ชิงไม่ได้ แต่มันฆ่าเราได้  ตอนนี้ก็เลยต้องยอมสวามิภักดิ์คิงจา เพื่อเอาตัวรอดไว้ก่อน  จะว่าไป.. เราทั้งคู่ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกขี้แพ้  มีชีวิตอยู่ต่อไปกับความอัปยศ  สมัครพรรคพวกก็ถูกโอนไปเข้าสังกัดคิงจาหมดแล้ว  เซ็งโคตร~

            “_จะบ่นทั้งที่รู้ว่า ไม่ได้อะไรขึ้นมาทำไม_”   วสันต์พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม  ความทรงจำเกี่ยวกับการแพ้พ่ายในอดีตสร้างความขุ่นมัวให้บังเกิด  ถึงแม้ตนจะไม่ได้ออกอาการมากเท่าอีกฝ่ายก็ตาม  “_เราไม่ใช่บริวารของมัน  เราแค่ทำในส่วนที่ถูกบอกให้ทำ ก็เท่านั้น_”

            “แล้วมันต่างอะไรกับพวกลิ่วล้อ  เออๆ ช่างมันเหอะ จริงๆ ที่มาที่นี่ ว่าจะมาถามเรื่องนี้หรอก”

            พิจิกตัดบท  เปลี่ยนเรื่องพูดทันควัน  หยิบหนังสือพิมพ์ที่พกมาด้วยจากกระเป๋าเป้ของตน  กางเปิดไปที่หน้าสุดท้ายซึ่งเป็นคอลัมน์รวมข่าวสั้นรายวัน  ชายหนุ่มเจ้าของผมยาวสีเทาเข้ม เคาะนิ้วลงบนหัวข้อข่าวหนึ่ง  เป็นเรื่องที่เขียนถึงการพบศพหญิงสาวเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา
 

            “ตำรวจสันนิษฐานเบื้องต้นว่า ผู้เสียชีวิตมีอาการช็อก หมดสติ หัวใจวายจนถึงแก่ชีวิต  เฮ้~ นี่มันไม่ใช่หรอก  ผู้หญิงตายเป็นสิบกว่าคนแล้วนะ เท่าที่ฉันตามข่าวมา  ฆาตกรมันคงอยู่ใกล้ๆ แถวนี้แหละ  เพราะงั้น  นายยอมรับมาเถอะว่า นายเป็นฆาตกร” 

            พิจิกกล่าวถ้อยคำกล่าวหาคู่สนทนา ผู้ซึ่งลุกเดินเข้ามาใกล้ เพื่อคว้าเอาหนังสือพิมพ์ไปอ่านข่าวนั้นด้วยตัวเอง

            “..ช็อกจนหัวใจวาย  มันความสามารถของนายไม่ใช่หรือไง  เวลาที่นายแช่แข็งใคร  มันก็เป็นประมาณนี้ทุกคนเลยนี่หว่า~”
            “_ฉันไม่โง่ ทิ้งหลักฐานไว้ให้สืบค้นมาถึงตัวหรอก  แต่พวกคนที่ตายกับพวกเรา บางที อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน_”

            วสันต์แก้ข้อกล่าวหา ด้วยวาจาที่ฟังแล้วชวนขนลุกมิใช่น้อย  การพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเช่นนี้ ยิ่งชวนให้ปักใจเชื่อว่า อีกฝ่ายเป็นตัวอันตรายขนานแท้ในสายตาของพิจิก

            “นายรู้อะไรยังงั้นเหรอ”
            “_ฉันแค่กำลังคิดอยู่ในขั้นสมมติฐาน  อาจมีใครทดลองฉีดทีเซลล์ ให้กับผู้หญิงพวกนี้ก็เป็นได้  พวกที่ทำเรื่องนี้ คงเป็นพวกที่พยายามจะขยายพันธุ์อย่างไม่รู้วิธี_”
            “ไร้มนุษยธรรมจริงๆ เลย  ฆ่าคนอย่างไร้ประโยชน์นี่นะ”  

            พิจิกพูดพลางส่ายหน้าทำเหมือนระอา  วสันต์มองอาคันตุกะตรงหน้า ด้วยสายตาชนิดหนึ่งพร้อมกับคิดในใจ  -- พูดอย่างกับนายไม่เคยฆ่าใครอย่างนั้นแหละ --
 
            “แล้วนายคิดว่า  มีพวกที่เป็นเหมือนพวกเราเยอะไหม  ในความคิดของนายอ่ะ”
            “_ฉันไม่รู้ และฉันก็ไม่คิดอะไร  ไม่มีมดตัวเดียวในรัง_”
            “..และก็ไม่มีนางพญาด้วย  ฮะๆ  เชื้อบ้าที่เลือกสิงสู่แต่ผู้ชาย” 

            พิจิกหัวเราะเหมือนเห็นเป็นเรื่องขำขัน  ส่วนวสันต์ไม่อยู่คุยโต้ตอบด้วยอีก  ชายหนุ่มร่างสูงสมส่วน ผมสีดำสนิทตัดรองทรงสูงเปิดข้าง บ่ายหน้าเดินไปทางส่วนครัว หยิบถ้วยออกมาเตรียมจะชงกาแฟดื่มสักถ้วย

            “_ไสหัวไปสักที  ทุเรศสายตา  ถ้าไม่มีความจำเป็น อย่ามาที่นี่อีก  ฉันไม่ต้อนรับ_”  

            เจ้าของบ้านออกปากไล่ชายหนุ่มผมยาว  ผู้ที่ยังคงนั่งผึ่งรับลมเย็นจากแอร์  เปลือยท่อนอกอยู่อย่างไม่คิดจะขยับไปไหน

            “ไล่ก็ไปวะ อย่าให้รู้ว่า แอบทำอะไรลับหลังล่ะ”   พิจิกลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้าอย่างลวกๆ ปากยังคงพูดจาหยาบโลนล้อเลียนอีกฝ่ายแบบไม่เกรงใจ  “อากาศแบบนี้  ไม่เหมาะแก่การเล่นว่าวหรอกนะ จะบอกให้~”

            ราชาน้ำแข็งไม่สู้ตอบโต้ว่ากระไร  ปล่อยให้คำพูดเสียดสีเหล่านั้นผ่านหูไป  ไม่มีความหมายอันใดต่อเขา

            “แล้วอย่าคิดบ้าๆ กะผมนะเว้ย  ผมชอบผู้หญิงครับ”

            พิจิกเล่นไม่เลิกจนหยดสุดท้าย  แต่งตัวเสร็จ ใส่รองเท้าได้ ก็ผลุบหายไปออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว  คนแปลกแยกขยับแว่นสายตาซึ่งเลื่อนตกลงมาอีกครั้ง  น้ำร้อนจากกาต้มน้ำไฟฟ้าส่งไอควันร้อนลอยอ้อยอิ่งขึ้นจากแก้ว  กลิ่นกาแฟโชยหอมกรุ่น  วสันต์นึกอยากจะดื่มตอนที่มันยังร้อนอยู่เหลือเกิน  แต่ดูเหมือนว่า เขาคงต้องชงแก้วใหม่  เพราะกาแฟในถ้วยนี้จับตัวกัน กลายเป็นก้อนน้ำแข็งภายในชั่วพริบตาไปเสียแล้ว

            “_เสียของ_”   

            ผู้ได้รับสมญานาม ‘ราชาน้ำแข็ง’ บ่นอย่างนึกรำคาญใจเล็กน้อย
 
 
 
++++++++++++++++++++
 
 

            ช่วงเช้าของอีกวัน ก่อนออกจากโรงพยาบาล  ธีราได้รับของเยี่ยมเป็นกระเช้าดอกไม้จากชายชื่อฆีมษ์  โดยฮันเป็นตัวแทนนำมาส่งมอบให้  วันนี้ เขามาเพียงลำพัง ไม่มีดนูติดตามมาด้วย

            “จากเพื่อนๆ ที่มาไม่ได้ครับ  ขอให้ธีราหายป่วยเร็วๆ ครับ”   
            ฮันบอกกับแม่ของธีราอย่างหนึ่ง  แต่แอบกระซิบบอกกับหญิงสาวอีกอย่างหนึ่ง  
 
            “หัวหน้าอยากพบกับคุณ  ถ้าเป็นไปได้  พรุ่งนี้ก็จะดีมาก”
            “นี่บังคับกันเหรอ  กับแม่ฉันก็คนหนึ่งละ  ฉันไม่รู้หรอกนะว่า คุณทำอะไรกับแม่ของฉัน  ท่านถึงได้เชื่อคำพูดคุณเหลือเกิน  สรุปว่า ฉันต้องทำตามที่พวกคุณบอก ทุกอย่างเลยใช่ไหม”  

            ธีราพูดแบบไม่ค่อยพอใจ  รู้สึกเหมือนกับความอดทนอดกลั้นลดระดับลง  เริ่มมีอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย ในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

            เมื่อสภาพจิตแปรปรวน  ภาวะทางอารมณ์จึงปรวนแปรตามไปด้วย  หญิงสาวรู้สึกดั่งการควบคุมตนเองเริ่มทำได้ยากขึ้น  และที่สำคัญ เธอรู้สึกหิวโหยอยู่ตลอดเวลา  ทั้งที่ได้ทานอาหารในปริมาณที่มากกว่าปกติเป็นเท่าตัว

            “ไม่ใช่อย่างนั้น  ถ้าผมพูดอะไรที่ฟังผิดหูไป ก็ต้องขอโทษด้วย”

            ชายนัยน์ตาเล็กเรียวปรับน้ำเสียงให้ฟังดูนุ่มนวลขึ้น  ฮันผู้เคยผ่านประสบการณ์แบบเดียวกันนี้มาก่อนย่อมเข้าใจดีว่า ผู้ติดเชื้อทีเซลล์ในระยะแรกเริ่ม จะมีภาวะอารมณ์ไม่คงที่ และอาจลุกขึ้นมาอาละวาดเอาได้ง่ายๆ

            “ขอโทษด้วยนะ  แต่ตอนนี้  ฉันเหมือนควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้  คุณไม่ผิดหรอก”
            ดอกไม้สีสันสดสวยในมือของธีรา เริ่มแห้งเหี่ยวทีละน้อย โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
            “ฉันหิวอยู่ตลอดเวลา กินเท่าไหร่ก็ยังรู้สึกว่า ไม่พอ  ท้องอิ่มอยู่แค่แป๊บเดียวเท่านั้น”

            “คุณธีรา  เรารู้ว่า จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร  เป็นแบบนี้ทุกคน  พรุ่งนี้เราจะเตรียมการเอาไว้ให้”  ฮันขยักคำพูด  ขยับตัวออกห่างจากหญิงสาวอย่างระมัดระวัง ไม่ให้อีกฝ่ายทันรู้สึกตัว  ก่อนจะพูดต่อ  “ระหว่างนี้  อย่าโดนตัวใคร และอย่าให้ใครมาโดนตัวคุณ  กินให้มากที่สุดเท่าที่คุณจะกินได้  ทำตามที่ผมบอกนะ”

            “แล้วทำไมต้อง.. อย่าโดนตัวใคร  มันจะเกิดอะไรขึ้น ยังงั้นเหรอ”
            หญิงสาวถาม ด้วยไม่เข้าใจในคำบอกกล่าวที่ฟังดูแปลกชอบกลเหล่านั้น

            “คนแบบพวกเรา ถ้าเกิดหิวขึ้นมา บอกได้เลยว่า บางครั้งเราจะยับยั้ง หรือควบคุมตัวเองไม่ได้  ถ้าเราไม่อยากทำร้ายใคร โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ก็ต้องระวังตัวเองเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ  เดี๋ยวอีกสักหน่อย คุณจะเข้าใจเองว่า เพราะอะไร  หัวหน้าจะอธิบายเรื่องนี้กับคุณให้รู้มากขึ้น”

            “คุณฮัน  ทุกคำที่คุณพูดมา ล้วนแล้วแต่มีปริศนา  ทำเหมือนจงใจไม่อยากให้ฉันรับรู้อะไรอย่างนั้นล่ะ  ทำไม! คนที่จะบอกอะไรได้  มีแต่หัวหน้าของคุณคนเดียวรึไงกัน”

            ธีราลืมตัวอีกครั้ง  ขึ้นเสียงสูงใส่ฮันอย่างไม่ได้ตั้งใจ  ผู้มาเยี่ยมลอบถอนหายใจ ราวกับใช้ความอดทนอย่างมาก ในการรองรับอารมณ์ของผู้หญิงตรงหน้า

            “หัวหน้าน่ะ เขาอยากจะเป็นคนพูดกับคุณด้วยตัวเอง  เขาเห็นคุณเป็นคนพิเศษ  เป็นผู้มีพระคุณของเขา  ในอนาคต คุณจะมีบทบาท มีความสำคัญกับกลุ่มของเรามาก  ผมเองก็คิดเช่นนั้น  สิ่งที่คุณอยากจะรู้ทั้งหมด  ผมคงไม่อาจตอบได้  เพราะความรู้ของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมด ก็ล้วนแต่ได้รับถ่ายทอดมาจากหัวหน้าทั้งสิ้น”

            “งั้นบอกได้ไหมว่า  พวกคนที่ทำร้ายฉันกับหัวหน้าของคุณเป็นใคร  ทำไมคนพวกนั้นถึงต้องการที่จะฆ่าหัวหน้าของคุณด้วยล่ะ”

            “ราชาคนอื่นไง  ในหมู่พวกนั้นก็มีคนที่ต้องการอยู่เหนือคนอื่น  ถ้าสามารถดูดกลืนทีเซลล์ของคนที่มีความสามารถ  เพื่อแย่งชิงเอามาทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นไปอีกได้  ใครบ้างจะไม่ทำ  แล้วคืนนั้นน่ะ มีทั้ง คิงจา-ราชันย์พิฆาต  พิจิก-ราชาแมงป่อง  วสันต์-ราชาน้ำแข็ง  พวกมันคงวางแผนกันมานาน พอสบช่องได้โอกาส พวกมันก็ลงมือกันทันที  นี่ถ้าหัวหน้าถูกชิงเอาทีเซลล์ไป  ตอนนี้..ไม่อยากจะคิดเลยว่า ผลจะออกมาเป็นอย่างไร”

            ฮันพูดพลางเผยสีหน้าเจ็บแค้นให้เห็นเป็นครั้งแรก  ธีรารู้สึกหนาวเยือกขึ้นมา  ความหมายของคำว่า ตอนนี้’ อาจถูกแทนที่ด้วยคำว่า ‘ตาย’  ซึ่งเกือบจะเกิดขึ้นแล้ว ในตอนนั้น
 
            “คนที่กรีดแขนฉัน เป็นผู้ชายวัยรุ่นที่มีผมยาว.. ยาวจนถึงเข่าเลย และผมมันก็..”   ธีรากัดริมฝีปาก ขณะหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์สยองขวัญในคืนเกิดเหตุ   “..ไม่น่าเชื่อ  ผมมันขยับได้  ผู้ชายคนนั้นใช้ผมกรีดแขนของฉัน  มันน่ากลัวมากๆ เลย”

            “นั่นล่ะ พิจิก คนที่มีทีเซลล์เปลี่ยนผมของตัวเอง ให้กลายเป็นอาวุธได้  มันถูกเรียกเป็น ราชาแมงป่อง ไม่มีใครยุ่งกับมัน เพราะมันบ้าเลือด ชอบทำร้ายคนอื่น”
            “แล้วไม่มีใครแจ้งความเอาเรื่อง ให้ตำรวจมาจับเอาตัวไปเข้าคุกบ้างหรือ”

            ดูเหมือนกฎหมายจะไม่มีความหมายอันใด กับเรื่องเหนือความเข้าใจเหล่านี้  เพราะฮันพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมา  ทำเหมือนได้ยินได้ฟังประโยคชวนขบขัน

            “ไม่มีคนธรรมดาที่ไหน จับตัวคนพวกนี้ได้หรอก  ส่งตำรวจไปหามัน ก็เหมือนส่งตำรวจไปตาย  พวกนี้ฆ่าคน โดยที่สีหน้าของพวกมันไม่เปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ”
            “ถ้างั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับปีศาจในคราบมนุษย์น่ะสิ  เชื้อนี่ทำให้คนบ้าคลั่ง  แล้วไม่มีวิธีรักษาเลยหรือไงกัน”

            อาการนิ่งเงียบของฮันเสมือนแทนคำตอบ  ธีราแทบเข่าอ่อน  ความรู้สึกหมดหวังกับชีวิตถาโถมเข้าใส่  ดุจคลื่นลูกโตสาดซัดเข้าหาฝั่งอย่างกราดเกรี้ยว  ผืนทรายแห่งความหวังถูกซัดหาย จนเหลือที่ให้แทบไม่พอยืน

            สีหน้าของธีราทำให้ฮันรู้สึกตัวว่า ตนกำลังทำให้อีกฝ่ายเกิดความไม่สบายใจ  ดังนั้น เขาจึงกระตุกยิ้มตรงมุมปาก เพื่อผ่อนบรรยากาศและคลายความตึงเครียดลง

            “แต่เราควบคุมมันได้  อย่ากังวลไปเลย  คุณเป็นพวกของเรา  พวกเราไม่ทิ้งกันหรอก”

            แม่ของธีราเดินกลับมา จากฝ่ายการเงินของโรงพยาบาลพร้อมกับบ่น  ถือเป็นการตัดบทสนทนาระหว่างคนทั้งสองโดยปริยาย

            “โธ่.. ใช่ฮันรึเปล่าจ้ะ ที่ไปจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดนี่  ไม่ต้องออกให้ธีราหรอกจ้ะ  เดี๋ยวแม่เอาเงินคืนให้นะ  เท่าไหร่ล่ะ  ธีราน่ะมีประกันสังคม  เราเอาบิลค่ารักษาไปทำเรื่องเบิกได้”
            “ไม่เป็นไรหรอกครับ  แค่นี้เอง  ธีราเป็นเพื่อนคนสำคัญ ที่เธอต้องเข้าโรงพยาบาล สาเหตุก็เป็นเพราะพวกผมด้วยส่วนหนึ่ง  ขอให้ผมได้แสดงความรับผิดชอบด้วยเถอะครับ”  

            ฮันยิ้มพลางปฏิเสธอย่างหนักแน่น  นั่นจึงทำให้หญิงสาวเกิดความประทับใจ  การกระทำของอีกฝ่ายทำให้ธีราเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ ในคำพูดที่ว่า ‘พวกเราไม่ทิ้งกัน’ ไปมากกว่าครึ่งแล้ว ตอนนี้
 

            ธีรากับแม่กลับจากโรงพยาบาลถึงบ้านในตอนบ่าย  หญิงสาวรีบตรงเข้าห้องส่วนตัว  แสร้งทำตัวเหมือนยังคงอ่อนเพลียกับอาการเจ็บป่วย  เพื่อจะได้ไม่มีสมาชิกในครอบครัวคนใดเข้ามาวุ่นวายกับตน  ธีราทำเช่นนั้นด้วยเชื่อในคำพูดของฮัน

          -- จะให้ใครมาถูกตัวไม่ได้เด็ดขาด --

            ตอนพลบค่ำ  พี่ชายทั้งสองคนของธีรากลับมาจากทำงาน ต่างแวะเวียนเข้ามาดูอาการน้องสาว  พี่ชายคนโตทำทีจะเข้ามาวางมือ อังบนหน้าผากเพื่อวัดไข้  ทั้งพี่ชายคนรองก็ทำท่าจะตรวจแตะตามเนื้อตัวเสียอีก  เล่นเอาหญิงสาวเบี่ยงหลบแทบไม่ทัน

            “แหม เข้าโรงพยาบาลแค่นี้  ทำเล่นตัว ไม่ยอมให้จับเลยนะ พี่ไม่ทำอะไรแกหรอก ธีรา”
            ธนชาติ พี่ชายคนโตพูดแกมน้อยใจ  เพราะกลับมาถึงบ้านก็อุตส่าห์แวะมาดูอาการน้องสาวก่อน  ขนาดเนคไทที่คอยังไม่คลายออกเสียด้วยซ้ำ

            “อารมณ์ไม่ดีเหรอ”  
            ธรสรณ์ พี่ชายคนรองถามน้องสาว ผู้กระถดตัวหนีไปจนเกือบสุดปลายเตียง

            “อือ ปวดหัว.. ปวดมากเลย”  
            ธีราจำใจโกหก  ซึ่งมันได้ผล เพราะพี่ชายทั้งสองต่างมีสีหน้าดีขึ้น

            ธนชาติกอดอก  เตรียมจะพูดเรื่องของกินหลอกล่อคนเป็นน้อง ซึ่งมุกนี้เคยใช้ได้ผลดีเสมอมา
            “ปวดหัว.. งั้นก็ไม่อยากกินอะไรน่ะสิ น่าเสียดายเนอะ พี่ซื้อเค้กมา แกก็กินไม่ได้  งั้นเดี๋ยวพี่จะกินให้หมดเลย  ไปกันเถอะ สรณ์ ปล่อยธีรามันพักผ่อนเถอะ”
            “ใจร้ายว่ะ แย่เลย.. ธีรา แกอดกินของอร่อยแล้ว”

            พอได้ยินเรื่องของกิน  พลันท้องของธีราก็ตื่นตัวขับเคลื่อนเป็นการใหญ่  ความกระหายหิวจู่โจมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทั้งที่อาหารเพิ่งลงท้องไปได้ไม่นาน  ด้วยอารามลืมตัว  เธอผุดลุกขึ้นเตรียมจะลงจากเตียงติดตามพวกพี่ชายไป  ทว่าเกิดพลาดเสียหลักหน้าคะมำลงจากเตียง ตัวหล่นลงไปกระแทกพื้นเสียก่อน

          “โอ๊ย!”
          “เฮ้ย!”

            พี่ชายทั้งสองต่างรีบเข้ามาจับแขนน้องสาวคนละข้าง ช่วยให้ลุกขึ้นยืน  กระทั่งธีราสามารถตั้งหลักและนึกขึ้นได้  เธอจึงรีบถามพี่ชายทั้งสองอย่างสงสัย

            “พวกพี่ไม่เป็นไรนะ”
            “จะเป็นไรได้ยังไง  พวกเราไม่ใช่คนล้มนี่  แกหัวกระแทกหรือ  ถามอะไรเพี้ยนๆ”

            สองพี่ชายปล่อยมือออกจากแขนน้องสาว  ธนชาติใช้นิ้วจิ้มหน้าผากน้องสาวแรงๆ ทีหนึ่ง
            “อยากกินเค้กล่ะสิท่า  รีบจนเจ็บตัว  เหอะๆ”
 
            ธีราไม่พูดอะไร  ดูเหมือนว่า ไม่ได้เกิดสิ่งเลวร้ายอะไร เมื่อมีใครมาสัมผัสถูกตัวของเธออย่างที่ฮันบอก  -- แล้วถ้าเราเป็นฝ่ายจับตัวคนอื่นล่ะ --  หญิงสาวก้มหน้าลง มองดูมือทั้งสองข้างของตนอย่างนึกชั่งใจ

            ดูเหมือนความสงสัยถีบตัวขึ้นมา เกินกว่าที่คำเตือนจะมีผลยับยั้งจิตใจเอาไว้  ธีราเหยียดสองแขนออกไปตรงหน้า  ทำมือคล้ายเรียกให้พวกพี่ชายเข้ามาช่วยประคองตน

            สายสัมพันธ์ของพี่น้อง ทำให้ธนชาติและธนสรณ์ก้าวเข้ามาพร้อมกัน  ทันทีที่มือของน้องสาววางทาบจับลงบนแขนของคนทั้งคู่  ปรากฏการณ์แปลกประหลาดคล้ายถูกไฟดูด ก็พลันแล่นริ้วไปทั่วทั้งตัวจนทำให้รู้สึกชาวูบ  เสียงร้องอุทานอย่างตกใจ กับแขนที่สั่นกระตุกของพวกพี่ชาย ทำให้ธีรารีบปล่อยมือออกทันที  หน้าเสียด้วยรู้สึกตัวว่า ตนเพิ่งทำสิ่งผิดพลาดที่เลวร้ายลงไป

            “เมื่อกี้ มันเกิดอะไรขึ้น” 
            ธนสรณ์ถามพี่ชายด้วยสีหน้างุนงงสงสัย  ยกแขนตัวเองที่เกิดอ่อนแรงอย่างกะทันหันขึ้นมาลูบคลำ  ไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่

            “ไฟฟ้าสถิตมั้ง”  
            ธนชาติเอ่ยตอบ เหมือนไม่ติดใจกับเหตุการณ์แปลกประหลาด  แม้รู้สึกแขนอ่อนเปลี้ยลงจนยกไม่ขึ้นไปชั่วขณะ  ราวกับถูกดูดเอาบางสิ่งบางอย่างออกไปจากร่างก็ตามที
            “มาเถอะ”  
            พี่ชายคนโตพูดสั้นๆ  รู้สึกไม่แตกต่างไปจากน้องชายคนรอง ก่อนเป็นฝ่ายเดินนำทุกคนออกจากห้องไปก่อน

            “เดี๋ยวตามไปนะ”  

            ธีราบอกกับพวกพี่ชายเช่นนั้น  เดินตามไปล็อกประตูห้อง ก่อนกลับมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ก้มหน้ามองสองมือ  อุปาทานราวกับเห็นเลือดชุ่มโชกอยู่บนฝ่ามือของตัวเอง  นาทีนี้ คนติดเชื้อเข้าใจแล้วว่า ‘การกิน’ มีความหมายเช่นไร  และวิธีการของมันเป็นไปอย่างไร 

            -- บ้าที่สุด! เราเกือบจะทำร้ายพวกพี่เข้าแล้วสิ  ไม่น่ารั้น อยากรู้อยากเห็นไม่เข้าท่าเลย --
 

            ความหิวกระหายอย่างร้ายกาจผ่อนลดลง  กลับมีความรู้สึกสดชื่นแผ่ซ่านขึ้นมาจากภายใน  แม้ธีราจะยังคงรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น  หากแต่มีเสียงลึกลับทำนองปลอบใจดังแว่วอยู่ในหัว  เสียงนั้นเวียนวนกระซิบซาบบอกกับเธอว่า  -- ไม่เป็นไร  มันจะเกิดขึ้นอีก  ไม่เป็นไร  มันจะเกิดขึ้นอีก --

            “ไม่เอา!  ฉันไม่ได้อยากเป็นตัวอันตราย  ฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก  ฉันยอมตายคนเดียวซะยังดีกว่า  แบบนี้มันมากเกินไป  ถ้าจะต้องตาย  ก็ขอตายในฐานะมนุษย์เถอะ  อย่าให้ต้องกลายเป็นปีศาจ หรือสัตว์ประหลาดเลย”

            ในถ้อยคำรำพันเหล่านั้น  หญิงสาวได้ตั้งปณิธานไว้อย่างแรงกล้า  เธอจะไม่ยอมให้ตัวเองทำร้ายใคร  และจะกลับมามีชีวิตปกติอย่างเดิมให้ได้  แต่ถ้าหากมันไม่เป็นไปตามนั้น..  ธีรารู้ว่า ตัวเองจะต้องทำอย่างไร

            “ธีรา  แกไม่กินใช่ไหม เค้กน่ะ พวกพี่กินแทนนะ”   
            แว่วได้ยินเสียงของพี่ชายคนรองตะโกนร้องเรียก ดังแว่วมาจากชั้นล่าง

            ธีรายกมือขึ้นปาดน้ำตา  เหมือนเป็นครั้งแรก ที่ตนรู้สึกสำนึกในคุณค่าของการเป็นมนุษย์  ยี่สิบห้าปีที่ได้เกิดมาบนโลกนี้ อาจจะเรียบง่าย ไม่ค่อยมีอะไรหวือหวา  แต่ในวันที่ทุกสิ่งทุกอย่างพลิกผันไปในทางเลวร้าย  ชีวิตต่อจากนี้ ก็คงไม่อาจกลับมาเป็นปกติสุขเหมือนดังเดิม ได้อีกต่อไป

            “อย่ากินนะ จะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ”  

            หญิงสาวตะโกนตอบกลับไป  นิสัยรักความถูกต้องและความยุติธรรมนั้น ต้องถือว่า เธอได้รับถ่ายทอดมาจากพี่ชายทั้งสองคนโดยแท้  ความเข้มแข็งก็ด้วยเช่นกัน  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว  เธอจะแสดงความอ่อนแอออกมา ให้คนอื่นเห็นได้อย่างไร
 
            คนมากมายต้องต่อสู้แย่งชิง เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ  เพราะฉะนั้น หากต้องสู้กับเซลล์ในร่าง เพื่อให้ได้ชีวิตแบบเดิมกลับคืนมา  เธอก็จะทำ  ความหวังยังคงมีอยู่แม้จะน้อยนิด จนมองหาแทบไม่เห็นเลยก็ตามที
 
          -- อย่าเพิ่งหมดหวัง เรายังเป็นแค่ ‘ผู้ติดเชื้อ’ ระยะแรก เท่านั้นเอง --
 
            ธีรานึกปลอบใจตัวเอง  ส่วนเสียงกระซิบลึกลับในหัวนั้น เงียบหายไปแล้ว..
 
 
 
+++++++++++++++++++++++++++++


 




 

Create Date : 14 มกราคม 2563
0 comments
Last Update : 17 เมษายน 2563 15:44:23 น.
Counter : 688 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณcomicclubs

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zionzany
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เขียนนิยาย

ปลดปล่อยจินตนาการ

ไม่ยึดติดกับแนวไหน

เพราะจะไปให้ถึงที่สุด..

เท่าที่เราสามารถแผ่

กิ่งก้านความสามารถ

ออกไปสู่โลกกว้างได้

ยินดีต้อนรับทุกคน

สู่โลกของ zionzany

ที่นี่ .. ตรงนี้นะจ้ะ
แต่งนิยายทำร้ายผู้อ่าน ..Tcell H-A-V.. ..Tacticle Ball.. ..Kiss Myself.. ..ZhuXian จูเซียน.. ..เพียงฝันนี้ ศรีสุวรรณ.. อยากคูล อยากคัลท์ อยากมันส์ ที่สำคัญ อยาก-เขียน-ให้-จบ Let's rock Baby
New Comments
Friends' blogs
[Add zionzany's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.