! ที่นี่ ! เราเลิกเขียนแล้วครับ ..กับเรื่องธรรมดา ที่คุณสามารถหาอ่านที่ไหนก็ได้
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2563
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
 
10 กุมภาพันธ์ 2563
 
All Blogs
 
ภาวะที่ 8 : เป้าหมาย


ขอบคุณภาพปกนิยาย จากคุณ ApitarN ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

 

            ของทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนซื้อหามาได้ด้วยอำนาจเงิน  ทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม  แม้แต่คำพูดจากปากก็สามารถมีค่าเทียบเท่าทองคำ  และในเมื่อมีผู้ขายในบางสิ่งบางอย่างที่มีคนอยากได้  แน่นอนว่า ผู้ซื้อย่อมไม่มีเพียงแค่หนึ่งราย  เหมือนดังเช่น ข่าวลือเรื่องของผู้หญิงที่มีทีเซลล์ ซึ่งกำลังกลายเป็นประเด็นถกเถียงในวงจำกัด  สร้างความแตกตื่นเหมือนหยดน้ำเล็กๆ ตกลงสู่ผืนน้ำ  ทว่าสร้างแรงกระเพื่อมมหาศาล แผ่ขยายตัวไปโดยรอบ  ข่าวลือดังกล่าวนี้ ดึงดูดบรรดาคนที่มีความผิดปกติแบบเดียวกัน ให้มุ่งมายังเป้าหมายเดียวกัน  หากแต่มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป

            ข้อมูลรายละเอียดเชิงลึกที่ชัดเจนนั้น มีราคาสูงจนน่าตกใจ  แน่นอนว่าย่อมมีผู้ไม่ประสงค์ออกนามหลายรายยอมทุ่มเงินจ่าย เพื่อให้ตัวเองได้เข้าถึงความจริงแท้แน่ชัดของเรื่องราวดังกล่าวนี้  หนึ่งในจำนวนนั้นเป็นกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวอย่างลับๆ เพื่อเรื่องนี้มาโดยตลอด  และถ้าหากข่าวลือนี้เป็นความจริง  คดีฆาตกรรมปริศนาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้  ก็คงจะได้เวลายุติและเงียบหาย ไปจากหน้าหนังสือพิมพ์เสียที

 
            ภายในโถงห้องนั่งเล่นที่ตบแต่งอย่างหรูหรา มีบาร์เครื่องดื่มที่แน่นขนัดไปด้วยขวดเหล้าราคาแพงหลากหลายยี่ห้อ  ภายในห้องมีสมาชิกชายหลายคนรวมตัวกัน  แตกต่างกันตรงอิริยาบถที่ต่างกันออกไป  คนหนึ่งคนเอนกายอย่างสบายบนโซฟา นอนกระดิกเท้าดูโทรทัศน์จอมหึมาซึ่งฝังอยู่ในผนัง  คนหนึ่งเอาแต่พูดคุยอยู่กับโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา  ตรงมุมห้องด้านหนึ่ง  มีใครบางคนนั่งจ้องแก้วเหล้าอยู่ด้วยสีหน้าท่าทางไม่เป็นปกติสุข  ในขณะที่ชายคนสุดท้ายนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าบาร์  ขยับปากขมุบขมิบ เหมือนกำลังอ่านเพื่อท่องจำตัวอักษรบนกระดาษปึกหนาในมือ  แสดงสีหน้ายุ่งยากลำบากใจให้ได้เห็นบนใบหน้าหล่อเหลา

            ประตูห้องเปิดออก  ชายอีกสองคนก้าวเข้ามาสบทบกับคนในห้อง  ผู้ที่เดินนำหน้ามาส่งเสียงหัวเราะเป็นเชิงขบขัน  หากแต่ฟังดูเป็นทำนองเสียดสีอยู่ในที

            “จ่ายไปเกือบหมื่น  ได้รู้แค่ชื่อกับที่อยู่  นอกนั้นยังคงเป็นปริศนา”  
            ชายผู้มีรูปพรรณสัณฐานดีคนหนึ่ง โยนกุญแจรถลงกลางโต๊ะกระจกใสแบบมีอารมณ์  โดยผู้ติดตามซึ่งมีรูปร่างเล็กบางเดินแยกไปทางบาร์เครื่องดื่ม

            “เออ.. แล้วตกลง มันจริงรึเปล่าล่ะวะ”  
            คนที่กำลังนอนดูโทรทัศน์ยันตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแสดงความกระตือรือร้น  คนถูกถามตบมือเปาะ ก่อนผายมือออก  ทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวเดี่ยวและยกขาขึ้นไขว้กัน  ยกนิ้วชี้แตะที่ข้างขมับของตัวเองก่อนพูดตอบออกมา

          “จริง!”

            คำตอบสั้นๆ แต่สามารถเรียกทุกความสนใจจากทุกคน ภายในห้องแห่งนั้น ให้มารวมกันอยู่ ณ จุดเดียว  ทุกคนต่างละจากกิริยาอาการส่วนตัวในขณะนั้น  เพื่อหันมารับฟังข่าวสารสำคัญที่ตัวแทนกลุ่มของพวกตน เพิ่งได้มาอย่างสดๆ ร้อนๆ
 
            “ว่าอย่างไรบ้างล่ะ  คุณเก่งกาจ”  
            ชายหนุ่มผู้มีรูปร่างหน้าตาโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ เงยหน้าจากปึกกระดาษ ก่อนเอ่ยถาม  หน้าตาอันหล่อเหลาคมคายของ ‘เจค-รพล’ กำลังมาแรง ตามวงการโฆษณาและสื่อโทรทัศน์  ภายใต้เสน่ห์ชวนฝันของดาราหนุ่มหน้าใหม่ที่กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง  ไม่มีใครเลยที่จะล่วงรู้ว่า สิ่งที่ผลักดันเขามาจนถึงจุดนี้ได้ ล้วนมาจากอิทธิพลของทีเซลล์ภายในร่างอย่างแท้จริง

            แสงสว่างภายในห้องเปิดเผยให้เห็น โฉมหน้าของเหล่าฆาตกรทั้งหลาย ผู้ซึ่งล้วนแล้วแต่มีส่วนร่วมกระทำการฆาตกรรมในห้องสีขาว  ผู้ชายทุกคนในที่แห่งนี้ ล้วนแล้วแต่ดำรงสถานะเป็นราชา ตามรูปแบบการจัดลำดับผู้ถือครองทีเซลล์  พวกเขาคือบรรดาคนที่ข้ามเส้นมโนธรรม  ยอมตนให้ตกลงสู่ก้นบึ้งแห่งความไร้สำนึกดีชั่ว  คนเหล่านี้มองเห็นความตายของผู้อื่น เป็นเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ  เป็นปัจเจกบุคคลที่ยอมละทิ้งสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์  หลงใหลมัวเมาไปกับความสามารถพิเศษที่ได้รับ  และประสงค์ทำทุกสิ่งสรรพตามแต่จะถูกทีเซลล์ชักนำให้ทำเช่นนั้น
 
            “ผู้หญิงคนนี้ชื่อ ธีรา  ตอนนี้อยู่กับกลุ่มราชาสีขาว  คงติดเชื้อมาจากราชาสีขาวนั่นแหละ”  
บุคคลที่กำลังเปิดปาก แย้มพรายข้อมูลนั้น มีชื่อว่า ‘เก่งกาจ’  ชายหนุ่มผู้เรียกได้ว่า เป็นทายาทอภิมหาเศรษฐีขนานแท้  ด้วยสมบัติพัสถานของตระกูลซึ่งมีอยู่อย่างมหาศาล ชนิดต่อให้ล้างผลาญทั้งชาติก็ยังไม่หมด  บางที อาจเป็นด้วยความเพียบพร้อมในจุดนี้ ที่ทำให้ทีเซลล์เลือกคนอย่างเขาขึ้นมา เพื่อเตรียมปูทางในบางสิ่งอยู่ก็เป็นได้
 
            “งั้นแบบนี้  สองคนนี้ก็มีความสามารถแบบเดียวกันน่ะสิ  เอ.. หรือว่าไม่ใช่  หรือผู้หญิงคนนี้อาจจะแค่ติดเชื้อไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”  

            ชายผู้คลายออกจากอาการจ้องแก้วเหล้า พูดจาขึ้นมาทำนองตั้งสมมติฐาน  ‘เวหน’ คือชื่อของบุคคลดังกล่าว  ภายใต้หน้าตาท่าทางที่แลดูเหมือนซื่อๆ ไร้พิษภัยนั้น  ซุกซ่อนไว้ด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลม  ทั้งยังอำพรางตัวตนด้วยฉากหน้า ซึ่งทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สงคมสงเคราะห์ ในหน่วยงานหนึ่งของรัฐบาล

            “วิเคราะห์ได้ดี มีเหตุผล  เพราะไอ้คนขายข่าว มันก็ไม่ได้ยืนยันแน่ชัดตรงจุดนี้  ไม่แน่ว่า ผู้หญิงคนนี้อาจเป็นคนที่มีเซลล์ในตัว สามารถเข้ากับทีเซลล์ได้เป็นพิเศษ  ซึ่งปกติแล้ว ทีเซลล์มันจะมีแต่ในพวกเรา ซึ่งเป็นผู้ชายเท่านั้น  พูดตรงๆ ก็คือ สามารถให้กำเนิดบุตร ที่จะมีทีเซลล์พันธุกรรมบริสุทธิ์ได้  แค่นี้ก็ถือว่า ยอดแล้ว”

            คนที่ได้ยินได้ฟังต่างลอบกลืนน้ำลาย  เมื่อคิดถึงสัดส่วนที่แตกต่างระหว่างผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียว กับจำนวนราชาที่มีมากมายกว่าหลายเท่านัก  เนื่องจากที่ผ่านมา ความพยายามที่จะสร้างเพศหญิงขึ้นมานั้น ไม่ใช่เจตนาที่มาจากทีเซลล์  หากแต่เป็นความต้องการของพวกมนุษย์ด้วยกันนี่เอง ที่ต่างต้องการขยายพันธุ์และสืบทอดเชื้อสายของตัวเอง ตามสัญชาตญาณในวงจรของสิ่งมีชีวิต
 
            “ถ้างั้น.. นี่ก็ไม่ใช่แค่ ผู้ติดเชื้อธรรมดาแล้ว”  
            ชายผู้มีรูปร่างค่อนข้างเจ้าเนื้อ ผิดขาวจัด นัยน์ตาชั้นเดียว เอ่ยแสดงความคิดเห็น  ตรงหน้าของเขามีโทรศัพท์มือถือสี่เครื่องวางเรียงราย  บนใบหน้าเกลี้ยงกลมสวมแว่นสายตากรอบเล็กกะทัดรัด  เขาคือ ‘กบินทร์บูรณ์’ เสี่ยหนุ่มเจ้าของร้านประดับยนต์อันเลื่องชื่อหลายสาขา
 
            “ถ้าไม่ใช่  แล้วมันจะเป็นอะไรไปล่ะวะ ไอ้อ้วน”  
            ชายคนสุดท้าย ผู้ซึ่งอยู่ในท่านั่งครึ่งนอนอยู่บนโซฟา ถามขึ้นด้วยเสียงเหยียด  แววตาและวาจาอันโผงผางหยาบคาย เป็นลักษณะเฉพาะตัวของ ‘พิทักษ์’ ลูกชายนักการเมืองระดับสูง  ในเวลาปัจจุบัน เขาสร้างภาพลักษณ์ภายนอกใสสะอาด เพื่อเตรียมกรุยทางสำหรับเล่นการเมือง  หากแต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยความเลวทราม ชนิดไม่น่าเชื่อว่า จะเป็นคนคนเดียวกัน

            “ก็ถ้าไม่ใช่ เพราะถูกทำให้ติดเชื้ออย่างจงใจ  ถ้าความจริงแล้ว ปรากฏว่า ผู้หญิงคนนี้ติดเชื้อขึ้นมาเอง  เราก็ต้องจัดว่า เธอคนนี้อยู่ในระดับเดียวกันกับพวกเรา  อยู่ในระดับราชา  ไม่สิ.. ต้องเรียกว่า ราชินี ถึงจะถูก”  กบิณบูรณ์อธิบายด้วยเสียงงึมงำในลำคอ
            “ราชินี.. เออ จริงด้วยว่ะ  มีราชาก็ต้องมีราชินีสินะ ฟังแล้วแปลกๆ ดีว่ะ”  พิทักษ์ยังหัวเราะขำ ด้วยน้ำเสียงกึ่งดูถูกอย่างไม่ปิดบัง
            “แด่ธีรา.. ราชินีทีเซลล์..”  

            มีเสียงจากเคาน์เตอร์บาร์ลอยมาเสริมคำพูดดังกล่าว  เจ้าของเสียงเป็นชายร่างเล็ก ผมสีน้ำตาลอ่อนตัดเป็นทรงเรี่ยลงมากรอมคาง ผมด้านหลังทิ้งยาวแบบรากไทร  ใบหน้าเรียวดูละม้ายคล้ายคลึงกับสตรีอย่างยิ่ง หากไม่ได้อยู่ในเครื่องแต่งกายแบบบุรุษเพศ

            “ใครใช้ให้พูดวะ หุบปากไป!”  
            พิทักษ์ตวาดออกมาทันที ด้วยไม่ถูกกันกับอีกฝ่าย  เนื่องจากตัวเองนั้นรู้สึกขยะแขยงพวกรักร่วมเพศเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  หากแต่พูดอะไรไม่ได้มาก  ตราบเท่าที่ยังต้องพึ่งพาเก่งกาจ หัวหน้ากลุ่มผู้มีรสนิยมทางเพศที่ผิดปกติ  ทั้งตัวเก่งกาจเองก็ดันมีคนสนิทอย่าง ‘มานพ’ หนุ่มหน้าหวาน เป็นคนคอยติดตามรับใช้ใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา

            และภายในที่นี้ ก็มีเพียงมานพคนเดียว ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทีเซลล์  ไม่แม้แต่จะเป็นผู้ติดเชื้อ หรือถูกทำให้ติดเชื้อแต่อย่างใด..
 
            “เรามาว่ากัน ด้วยเรื่องขั้นต่อไป  ตอนนี้คงไม่ต้องใช้ตัวทดลองแล้ว  เพราะเราจะทดสอบกับของจริงกันไปเลย  ดังนั้น ก้าวต่อไปที่เราจะทำก็คือ หาทางจับตัวผู้หญิงคนนี้มา แล้วเอาทดสอบดูว่า ทีเซลล์นั่นน่ะ เป็นของจริงไหม”

            เก่งกาจประกาศกับทุกคน ด้วยเสียงดังฟังชัด  ในหัวสมองของเขาเต็มไปด้วยแผนการอยู่เสมอ และมันก็เริ่มซับซ้อนเหนือชั้นขึ้นเรื่อยๆ  นับตั้งแต่ได้รับทีเซลล์เข้าสู่ร่าง  เก่งกาจมักได้ยินเสียงนำทางอันไร้ที่มา  ทุกครั้งที่มีเสียงชี้นำภายในหัวประสงค์ให้ตนทำสิ่งใด  เขาก็มักจะทำตามนั้น เมื่อค้นพบว่า มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องเสมอ  ไม่เคยผิดพลาด

            “ก็ดีนะ  ผมสงสารผู้หญิงพวกนั้นเหมือนกัน”  
            รพล ดาราหนุ่มรูปหล่อกล่าว  เพราะทุกครั้งที่มีการฉีดทีเซลล์ให้กับตัวทดลอง  รพลจะเกิดอาการใจสั่น  แสดงท่าทางเครียดขึ้งหวาดวิตก  จนพิทักษ์ต้องคอยเรียกสติ ด้วยคำปลอบกึ่งด่าทุกครั้งไป

            “คนอื่นๆ ล่ะ ว่ายังไง”  
            เก่งกาจถามหาเสียงจากคนหมู่มาก เพื่อเป็นการยืนยันในสิ่งที่ตนนำเสนอ

            “ก็ดี”  
            มีเพียงกบินทร์บูรณ์คนเดียวที่ส่งเสียง  ส่วนพิทักษ์และเวหนแค่พยักหน้าเห็นด้วย

            “เป็นอันว่า เห็นชอบ กันทุกคนนะ จะได้เริ่มงานเลย”

            “เราต้องทำอะไรบ้าง คุณเก่งกาจ”  เวหนเอ่ยถาม ด้วยสีหน้าท่าทางกระตือรือร้นเป็นพิเศษ

            “ตอนนี้คงยังไม่ต้อง  ฉันจะให้นักสืบไปติดตามสอดส่องดูก่อนว่า  ธีราคนนี้เป็นใคร  เราสามารถลงมือได้เมื่อไหร่  เราต้องได้ตัวผู้หญิงคนนี้ก่อนพวกอื่น  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..ต้องให้ได้ก่อน ไอ้พวกไตรราชา”
            เก่งกาจเอ่ยตอบ  ประสานมือวางบนหัวเข่า ด้วยท่าทางถือดีและท้าทาย

            “ป่านนี้  พวกมันคงรู้เหมือนกับเราแล้วล่ะ  อย่าลืมว่า พวกมันมีไอ้วสันต์อยู่นะ”  
            พิทักษ์พูดแย้งขึ้นมา  ชี้ให้เห็นถึงจุดบอดในแผนการนี้  เขาเจาะจงพูดถึงบุคคลอันตราย เจ้าของมันสมองอันปราดเปรื่อง ผู้ซึ่งสามารถเดินหมากตามเกมทันพวกตนได้ทุกกระดาน

            “งั้นเราก็ต้องลงมือให้เร็วกว่า  ต้องให้เงียบที่สุด และต้องไม่มีใครรู้ด้วยว่า เป็นเรา”

            หัวหน้าใหญ่เอ่ยราวกับทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย  เพราะสำหรับเก่งกาจแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด  อำนาจเงินก็สามารถดลบันดาลให้สมประสงค์ได้ทั้งสิ้น

            “ใช่  ที่สำคัญคือ ต้องไม่มีใครรู้ว่า เป็นเรา”

            ประโยคสุดท้ายของรพลเน้นจุดประสงค์อย่างชัดเจน  ผู้กระทำความผิดย่อมไม่ต้องการถูกเปิดเผยตัว  สถานะของพวกเขาในตอนนี้ เทียบเท่ากับเป็นฆาตกรในเงามืดอยู่กลายๆ  พวกเขาต้องการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการถูกกระชากหน้ากาก  เพื่อรับโทษทัณฑ์ทางกฎหมายและสังคม 

            มานพเดินมาอย่างเงียบเชียบ  ก่อนส่งแก้วเครื่องดื่มสีเข้มให้กับเจ้านายของตน  ชายหนุ่มหน้าหวานตวัดหางตามองไปทางพิทักษ์  ด้วยแววตาชิงชัง แสดงความเป็นอริต่อกันอย่างไม่ปิดบัง

            เก่งกาจชูแก้วขึ้น กระดกดื่มของเหลวในแก้วรวดเดียวจนหมด  หลังจากนั้น ไม่มีใครพูดทำลายความเงียบขึ้นมาอีกเลย  ต่างคนต่างนิ่งเงียบอยู่ในภวังค์ความคิดของตน  ดูเหมือนคนกลุ่มนี้มีความพร้อมแทบในทุกด้านที่จะเคลื่อนไหว  แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังขาดไป นั่นก็คือ ความกล้าหาญที่จะต่อกร หรือเผชิญหน้ากับต้นตอแห่งความกลัวอย่างแท้จริง  เพราะความกลัวเหล่านั้น ปรากฏให้เห็นเป็นรูปร่างและมีตัวตนอยู่จริง  กลิ่นอายของความตายจะเข้มข้น จนสามารถสัมผัสได้ หากต้องอยู่ต่อหน้าบุคคลผู้มีสมญานามว่า ราชันย์พิฆาต

            เพราะฝูงหมาป่าที่เพิ่งมีเขี้ยวเล็บ จะต่อกรอะไรกับราชสีห์ผู้แข็งแกร่งกว่าได้  และที่ยากยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกมันอยู่ร่วมกัน เพื่อครอบครองความยิ่งใหญ่ถึงสามตัว!


  
+++++++++++++++++++++++++ 
 


            ภาพชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมยาวสลวย ผู้ซึ่งกำลังนอนหลับอยู่อย่างสบาย คล้ายแมวสีเทานอนขดตัวอยู่บนเตียงนั้นช่างดูแปลกตา  ธีราลืมตาตื่นขึ้น ในตอนสายของเช้าวันใหม่ เพื่อพบตัวเองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า  มีเพียงผ้าห่มผืนเดียวปกคลุมกาย  หญิงสาวลุกพรวดพราดขึ้นนั่ง  รู้สึกใจหายด้วยถูกจู่โจมด้วยความฉงนสนเท่ห์  กระวนกระวายจิตใจ  ใคร่อยากจะรู้เหลือเกินว่า เมื่อคืนนี้ มีเหตุการณ์ไม่ดีอะไรเกิดขึ้นกับตนหรือเปล่า

            ขณะกำลังสอดส่ายสายตามองหาเสื้อผ้าของตน  เจ้าแมวสีเทาตัวร้ายก็พลันลืมตาตื่นขึ้นมาเสียก่อน  ธีรารีบดึงผ้าห่มทั้งผืนมาคลุมตัวเองเอาไว้ด้วยความอาย  กระเถิบตัวหนีห่างออกจากอีกฝ่าย จนสุดมุมเตียง

            “เฮ้~ ผมก็หนาวเหมือนกันนะ~”  

            พิจิกพูดด้วยอาการงัวเงีย แสร้งทำเป็นไม่ยอมตื่น  ท่อนบนเปลือยเปล่า แต่ท่อนล่างยังคงสวมใส่กางเกงขายาวดีอยู่  ผมยาวสีเทานุ่มราวกับแพรไหมแผ่ออกเต็มเตียง  ธีราถามอีกฝ่ายกลับด้วยอาการปากคอสั่นนิดๆ

            “ทำไมฉันถึงเปลือยล่ะ  ถะ ถอดเสื้อผ้าฉันทำไม  ทะ ทำอะไรรึเปล่า”
            “ก็ทำน่ะสิ  ว้า~ จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ  ผมมีความสุขมากเลยนะ”

            ธีราใจหายวาบ  สีหน้าตื่นตะลึงอย่างถึงขีดสุด  เมื่อได้รับรู้ว่า ตนเสียความบริสุทธิ์ให้แก่ผู้ชายที่ตนยังไม่ทันรู้จักดีเสียด้วยซ้ำ  เธอถามตัวเองในวินาทีนั้น  มันคุ้มกันแล้วหรือ กับความช่วยเหลือที่ได้รับจากอีกฝ่าย

            ราชาแมงป่องนอนอมยิ้ม มองดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย  ทั้งยังทำหน้าเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร  จงใจทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไป ด้วยความคิดอยากกลั่นแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมาชั่ววูบ  เหตุการณ์เมื่อคืนทั้งหมดนั้น คงมีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ความจริงว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างในห้องนี้

            หญิงสาวเม้มปากแน่น  พยายามสะกดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหล  คิดเอาเสียว่า นี่คือราคาที่ตนต้องจ่าย  เป็นค่าตอบแทนที่อีกฝ่ายเรียกร้องจากตัวเธอไปแล้ว

            “อย่าร้องไห้เลยนะ~  ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างเลย  จริงๆ ครับ  ผมให้สัญญา”  

            พิจิกลุกขึ้นนั่ง  กล่าวคำสัญญาอย่างหนักแน่นเป็นมั่นเหมาะ  เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดแบบนี้ต่อไปอาจเป็นการดีกว่า  เพื่อความสัมพันธ์จะได้ถูกยกระดับ  เผื่อจะได้ใกล้ชิดและแนบแน่นกันมากยิ่งขึ้น

            ยอมแลกกับการถูกเกลียด  เพราะเขาคิดว่า มันคุ้มค่ากับการทำพันธะเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายเอาไว้

            “อย่ามาทำพูดดี  ตอนนี้ ฉันไม่เชื่ออะไรนายอีกแล้ว!”  

            แม้มีผืนผ้าห่มคลุมร่างกาย  หากแต่เธอกลับรู้สึกราวกับตัวเองกำลังเปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย  ถึงแม้จะโกรธแต่ก็ยังรู้สึกสะเทิ้นไหว  กระดากอายจนไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว

            “งั้น~ ผมจะยังไม่พูดอะไรก็แล้วกัน  คนกำลังโกรธนี่~”  

            พิจิกขยับเข้าไปใกล้ธีรา  สรีระภายใต้ผ้าผืนบาง เผยให้เห็นเพียงไหล่ขาวกลมกลึงกับเนินอกรำไร  แม้นเมื่อคืน  เขาได้ถือวิสาสะสำรวจร่างกายนี้แล้วก็จริง  แต่ความมีชีวิตชีวาในยามนี้ กลับก่อให้เกิดความรู้สึกชวนหลงใหลมากกว่าตอนหลับ

            “อย่าเข้ามาใกล้!  ไปห่างๆ ฉัน  คนน่ารังเกียจ!”  

            เธอตวาดไล่ด้วยความโกรธเคือง ก่อนขยับหันหลังให้  โจรปล้นสวาทจึงก้มหน้าลงทำเหมือนสลดใจ  แต่ในชั่วพริบตา ร่างของหญิงสาวก็กลับถูกดึงเข้าสู่วงแขนอันแข็งแรงนั้น  

            พิจิกสวมกอดอีกฝ่ายจากข้างหลัง  ซุกหน้าลงตรงซอกคอ  รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนผ่านแผ่นหลังอันเปลือยเปล่า  -- ธีรากำลังร้องไห้ --  ธารน้ำตาบนดวงหน้านั้นกำลังรินไหล  หญิงสาวสะกดกลั้นเสียงสะอื้นไห้  ไม่ดิ้นรนขัดขืน หรือทุบตีอีกฝ่าย เพื่อระบายความโกรธเกลียดในใจ  ด้วยคิดว่า ถึงทำไปก็ไม่ได้ช่วยทำให้สิ่งที่สูญเสียไป ได้กลับคืนมา

            “ธีรา..  ผมขอโทษ  อย่าเกลียดผมเลยนะ  ผมดูแลธีราได้  ผมจะดูแลธีราเอง ..ตลอดไป

            ไม่มีอาการตอบรับ  มีเพียงความเฉยเมยและเฉยชา  ฝ่ายหญิงแสดงอาการนิ่งเสียจนเริ่มน่ากลัว ในความรู้สึกของพิจิก

            “พูดกับผมสักคำเถอะ อะไรก็ได้  ผมรู้ว่า ผมทำผิด จะด่าหรืออะไรก็ได้ แต่อย่าเงียบแบบนี้เลย ได้โปรด..

            ร่างในวงแขนขยับตัว  สะบัดให้ตัวเองหลุดพ้นไปจากอ้อมกอด  ธีราลงไปยืนข้างเตียงและเริ่มเก็บรวบรวมเสื้อผ้า  เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ โดยไม่ยอมหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายโดยตรง

            “ฉันลืม.. ลืมไปได้ยังไงว่า คนที่เคยเกือบจะฆ่าตัวเอง จะเปลี่ยนมาทำดีด้วยง่ายๆ แบบนี้ มันไม่มีในโลก  ลืมไปได้ยังไงว่า คนที่ชั่วร้าย จู่ๆ จะเปลี่ยนมาเป็นคนดีได้น่ะ มันไม่มีจริงหรอก”
            “ธีรา..”  

            คำพูดเหล่านั้นบาดความรู้สึก  พิจิกรู้สึกสลดลง จนเกือบจะใจอ่อนบอกความจริงว่า ตนไม่ได้ล่วงเกินอีกฝ่าย  เขาเพียงช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อออกให้  เนื่องจากเมื่อคืนตอนกลางดึก  ร่างกายของอีกฝ่ายเกิดอาการร้อนจัด จนขับเหงื่อปริมาณมหาศาลออกมา  แว่วได้ยินเสียงอีกฝ่ายยังคงพูดเสียงสั่น คล้ายกำลังปลอบใจตัวเอง

            “ช่างมันเถอะ  เรื่องที่แย่กว่านี้ ก็ยังเกิดขึ้นได้เลย  แค่นี้ก็คง.. ช่างมันเถอะ”

 
            ช่วงเวลาแห่งความหมางเมินเหินห่างเริ่มต้นขึ้น  พร้อมกับอาการคันยุกยิก เสมือนดั่งมีฝูงมดไต่อยู่แถวบริเวณใต้ทรวงอกข้างซ้าย  ทั้งรู้สึกร้อนแผ่วผ่าว ราวกับมีของร้อนมานาบชิดอยู่ตรงบริเวณนั้น  ธีราเปิดผ้าห่ม ก้มลงมองสำรวจตัวเองอย่างนึกสงสัย  มองเห็นรอยคล้ายปานสีแดงขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ ปรากฏขึ้นบนผิวเนื้อให้ต้องตกใจ  หญิงสาวหันไปทางพิจิก ผู้ซึ่งจับสังเกตอาการของตนอยู่แล้ว ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

            “มันขึ้นมาแล้วใช่ไหม  รอยสักของราชาน่ะ  ต่อไปจากนี้  ต้องระวังแล้วนะ  เพราะตรงนั้น มันเหมือนกับเป็นจุดอ่อนของเราดีๆ นี่แหละ  ถ้ามีใครที่จะมาช่วงชิงทีเซลล์ของเรา แล้วจู่โจมตรงนั้น..ก็จบเกม”  

            ราชาแมงป่องนั่งในท่าขัดสมาธิบนเตียง  บอกกล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจัง  

            “ผมจะบอกให้รับรู้ไว้อีกอย่างหนึ่ง  คนที่ถูกทำให้ติดเชื้อน่ะ จะไม่มีรอยสักของราชาหรอก  เพราะคนที่มีจะรอยแบบนี้ได้นั้น  มีแค่ระดับราชาเท่านั้น”
            “ฉัน..”
            “ธีรา  คุณไม่ได้ถูกทำให้ติดเชื้อ  แต่ทีเซลล์ได้เลือกคุณ ที่จะให้กำเนิดราชาขึ้นมาอีก  คราวนี้ในร่างของผู้หญิง  พึงรู้ไว้ว่า รอยนั่นจะเป็นตราประทับ  มันเป็นรอยสักของราชินี”

            พิจิกดูราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน  คำพูดทุกคำฟังดูทรงพลังและแกร่งกร้าว จนทำให้คนฟังสะเทิ้นสะท้านเข้าไปถึงกลางใจ  ถ้าจะมีช่วงใดที่เวลาดูราวกับหยุดนิ่งไปก็คงเป็นวินาทีนี้  วินาทีที่จิตใจถูกทำให้พรึงเพริดไปด้วยคำว่า ‘เกินกว่าจะเป็นมนุษย์’

            “มันมืดใช่ไหม  คิดอะไรไม่ออกว่า จะต้องทำอะไร หรือมีชีวิตอย่างไร  ช่วงเวลาแบบนี้  บางคนอาจจะหาทางออก ด้วยการหลอกตัวเองว่าป่วย  พวกเราต่างถูกดึงขึ้นสู่ที่สูง ก่อนจะถูกปล่อยทิ้งลงมา  แต่สุดท้ายแล้ว.. คนอย่างพวกเราก็ต้องมาจบลง ตรงที่ต้องยอมรับสภาพ และยอมรับความจริงเหมือนกันอยู่ดี”

            เสื้อขาวแขนยาวของเมื่อวาน  เวลานี้ มีรอยเปื้อนเป็นจุดเล็กๆ สีแดงกระจายไปทั่ว  พิจิกคว้าหยิบมาสวมใส่ทั้งสภาพยับย่นสกปรก  ธีรายังคงนิ่งยืนเคว้งอยู่ด้วยคำพูดของอีกฝ่าย  คำพูดเหล่านั้นกำลังบังเกิดขึ้นกับตัวเธอเองแล้ว ในเวลานี้

            -- เขาพูดถูกต้องทุกอย่าง  มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ --   

            พิจิกช่วยเก็บเสื้อผ้าของอีกฝ่ายขึ้นจากพื้น  เขายื่นเสื้อชั้นในสตรีมาตรงหน้า  ทำท่าจะช่วยสวมใส่ให้ ด้วยใบหน้าไร้เดียงสา  อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังเหม่อลอย  ถือโอกาสจูบลงตรงแก้มอีกฝ่ายด้วยความไว ดังต้องการขออภัยและขอคืนดี

            “แต่งตัวเถอะ สายแล้วนะ  เท่ากับผมขาดเรียน  ธีราขาดงาน  เดี๋ยวผมไปส่งนะ”
            “ไม่ต้อง!”
            “ผมจะไป”
            “นายอย่าทำให้ฉัน..ต้องรู้สึกแย่ ไปกว่านี้เลยนะ”

            ประโยคเดียวแต่สามารถตัดบทยุติทุกสิ่ง  พิจิกถึงสำนึกขึ้นมาได้ว่า ควรให้เวลาอีกฝ่ายปรับตัว  ไม่มีใครสามารถรับเรื่องเลวร้าย ซึ่งประดังประเดเข้ามาได้ทั้งหมดในทีเดียว  ไม่ว่าจะเป็นในยามใด  คนเราทุกคนต่างย่อมต้องการเวลา เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจและปรับตัว

            หญิงสาวพาตัวเองเข้าไปในห้องน้ำ  เปิดฝักบัวปล่อยให้สายน้ำพร่างพรมลงมาเพื่อชำระล้างตัว  หากบางสิ่งบางอย่างมิอาจขจัดให้หลุดพ้นออกไป  ร่องรอยบางอย่างคงติดตัวเธอไปชั่วชีวิต  ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป  คนเข้มแข็งจะต้องข้ามผ่านเรื่องที่ทำให้ตนอ่อนแอไปให้ได้

 
            ทางด้านนอก พิจิกเปิดดูโทรศัพท์มือถือ  พบสายเรียกเข้าที่ไม่ได้รับ รวมถึงข้อความที่ยังไม่ได้อ่านเป็นจำนวนมาก  ไม่นานนักก็มีคนโทรเข้ามา  ราชาแมงป่องกดรับสายคนใกล้ชิด  เพื่อนในกลุ่มเดียวกันกำลังบอกกล่าวเรื่องที่ทำให้คิ้วต้องขมวดขึ้นมา  คิงจาเรียกประชุมทุกคน โดยมีไตรราชาครบองค์  เรื่องดังกล่าวนี้สร้างความสงสัยให้ก่อเกิด  คงต้องมีเรื่องสำคัญอะไรบางอย่าง  และในคืนนี้ จะมีผู้ติดเชื้อใต้อาณัติคนหนึ่งคนใด หายไปจากการเรียกนี้ไม่ได้เป็นอันขาด  ถ้าไม่อยากหายไปจากโลกนี้อย่างถาวร
 
            ไตรราชาแห่งความกลัว คือ บุคคลผู้มีทีเซลล์ระดับราชาสามคน  ทั้งสามต่างเป็นที่กลัวเกรงของโลกใต้ดินและโลกของผู้ที่มีเชื้อทีเซลล์  ทว่าราชาแมงป่องเองไม่ใช่หนึ่งในสามคนนั้น  แม้พิจิกจะทำให้คนอื่นหวาดกลัวอยู่เป็นประจำ  หากแต่บารมีของเขาก็ยังไม่เทียมเท่ากับสามคนดังกล่าว  ไม่ว่าจะเป็นทั้งความสามารถ ความเฉียบขาด หรือการตัดสินใจ  พิจิกรู้ตัวเองดีว่ายังห่างไกล  แต่ในสักวันหนึ่งข้างหน้า เขาจะต้องขึ้นไปให้เหนือกว่าพวกไตรราชาให้จงได้
 
            “...เรียกทุกคนมาให้หมด  ยกเว้นยัยซีคนเดียว ไม่ต้องบอกให้รู้ อย่าให้โผล่ตามไปด้วยเด็ดขาด  พวกนายไปรวมกันที่ห้องไอ้นุก่อนนะ  เดี๋ยวจะตามไปสมทบ  เออๆ แค่นี้แหละ เดี๋ยวเจอกัน”

            ราชาแมงป่องสั่งรวมพลทางโทรศัพท์ ก่อนตัดสายเลิกการติดต่อสื่อสาร  เหลียวมองบานประตูห้องน้ำก่อนถอนหายใจออกมา  ด้วยรู้สึกคล้ายมีเรื่องหนักอกให้คิดไม่ตกอยู่บ้าง  ปัญหาต่อจากนี้ คือ จะทำอย่างไร เพื่อให้ธีรากลับมารู้สึกดีและเป็นมิตรกับตนอีกครั้ง

            เพราะบัดนี้  เธอกลายเป็นถึงราชินีทีเซลล์แล้ว  หากจะหันกลับมาเป็นศัตรูต่อกันในวันข้างหน้า  นั่นย่อมเป็นเรื่องที่น่าหนักใจที่สุด ซึ่งพิจิกเองไม่ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น
 

 
+++++++++++++++++++++++
 
 
 
            สายลมพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาหอบใหญ่  พัดเอาผ้าม่านสีขาวปลิวไสว  รวมถึงหน้ากระดาษบนหนังสือซึ่งถืออยู่ในมือ  ฆีมษ์ถูกรบกวนจากสายลมจนมิอาจไล่สายตาอ่านต่อไปได้  ชายหนุ่มเจ้าของผิวพรรณกระจ่างใส พักสายตาด้วยอาการเหม่อลอย  ปลดปล่อยความนึกคิดให้ล่องลอยไปไกล  ชีวิตซึ่งหยุดนิ่งอยู่แต่บนเตียงนั้นไม่น่าอภิรมย์เลยสักนิด  เพราะมันทำให้เกิดความรู้สึกอันน่ารันทดหดหู่ขึ้นมาแทนที่  ในยามนี้ที่ตนไม่สามารถลุกขึ้นยืน หรือทำอะไรได้  ชีวิตก็ช่างดูไร้ค่าและน่าสมเพชสิ้นดี

            เมื่อราชาบาดเจ็บ  เหล่าบริวารผู้ภักดีก็ยิ่งทำงานหนักกันมากขึ้น  โดยเฉพาะฮันผู้เปรียบเป็นดั่งมือขวาของตน ต้องทุ่มเทกำลังและมันสมองสั่งการแทนทุกอย่าง  ฮันนี่ผู้เป็นน้องสาวของฮันแลดูซีดเซียวลง สืบเนื่องมาจากการทุ่มเทดูแลเขาอย่างใกล้ชิดแทบจะตลอดเวลา  การเป็นภาระให้คนอื่นสร้างความเครียดให้ก่อเกิด  แม้ปกติแล้ว อุปนิสัยของฆีมษ์ไม่ใช่คนคิดมาก  หากแต่สภาพของตนในตอนนี้ ดูไม่ต่างอะไรกับการเอาเปรียบอยู่สบายบนความยากลำบากของผู้อื่น

            หลายวันมานี้  ร่างกายของเขาเริ่มรับอาหารได้น้อยลง  หากแต่ความต้องการกลืนกินเซลล์กลับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว  อาการเจ็บปวดตรงบริเวณส่วนหลังและเอว ทวีความหนักหน่วงมากขึ้นทุกที  ในทุกการขยับเคลื่อนไหวล้วนสร้างความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส  ราชาสีขาวต้องทนทุกข์ทรมาน ด้วยจนใจคิดหาวิธีรักษา  ต่อให้พาตัวไปอยู่ในมือแพทย์ลงมีดผ่าตัดรักษา  แต่ในเวลาไม่กี่นาที เนื้อเยื่อก็จะกลับมาสมานตัว ต่อกันสนิทดังเดิมอยู่ดี

            -- มันมีอะไรผิดปกติ หรือมีสิ่งแปลกปลอมที่ทีเซลล์ในร่าง ไม่อาจขจัดออกไปได้อย่างนั้นหรือ --

            ราชาสีขาวหวนนึกถึงครั้งสุดท้าย ตอนที่สองขายังใช้การได้ดีอยู่  นั่นคือ ตอนที่ตนพยายามหนีให้พ้น จากการไล่ล่าของสามราชาฝ่ายขั้วตรงข้าม  คืนนั้น เขากระโดดลงจากที่สูงในระดับที่อาจทำให้ถึงแก่ความตาย  แต่ถึงกระนั้น สองขาก็ยังไม่เป็นอะไร  ทว่าสิ่งที่ทำให้เหตุการณ์กลับพลิกผันคือ เขาดันหมดแรงเอาเสียดื้อๆ ต่อหน้าต่อตาผู้หญิงคนหนึ่ง  ผู้ซึ่งเผอิญผ่านมาและถูกลากเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้

            ในคืนนั้น  คนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน กลับเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเขาอย่างสุดกำลัง  ผู้หญิงคนนั้นตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว  แต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความกล้าหาญ  ผู้หญิงธรรมดาแต่มีพลังใจเข้มแข็งมากเสียจน แม้แต่ทีเซลล์เองยังต้องยอมรับ

            ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้  ฆีมษ์จะคลี่รอยยิ้มแห่งความตื้นตันใจออกมา
          ..ได้โปรดมาเถิด ธีรา.. มารักษา และช่วยชีวิตเขาอีกครั้งหนึ่งด้วยเถิด..

 
            พลันนั้น  ประตูสู่โลกภายนอกเปิดอ้าออก  ฮันนี่ก้าวเข้ามาพร้อมด้วยสตรีอีกคน ผู้ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการไม่สู้สบอารมณ์บนใบหน้าของตน   .. ธีรา  พินิจใจ !
 
            “เดี๋ยวพี่ฮันจะตามขึ้นมาค่ะ”  
            ฮันนี่บอกกล่าวกับฆีมษ์สั้นๆ  ไม่เอ่ยถึงแขกผู้มาเยือนที่ตนทำหน้าที่พาขึ้นมา แม้แต่คำเดียว
 
            “ฉันมา ตามที่คุณโทรไป และหวังว่า คงจะไม่ต้องอยู่นานนัก”  

            ธีรากล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบสนิท  หญิงสาวมาในชุดเดิมของเมื่อวาน  ตัดสินใจมาที่นี่ก่อนกลับเข้าบ้าน  เพื่อให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป  หลังจากแยกกับพิจิกที่หน้าโรงแรม เมื่อตอนสาย

            “คุณธีรา ผมดีใจที่คุณมา  ผมกำลังรอคุณอยู่เลย”  

            ฆีมษ์เอ่ยด้วยความดีใจ  โดยหารู้ไม่ว่าคำพูดซื่อใสของตน  ได้สร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้เกิดแก่คนใกล้ชิด ผู้อุทิศตัวรับใช้ด้วยความรักมาโดยตลอดอย่างฮันนี่

            “ฮันนี่  ออกไปก่อน  แล้วบอกฮัน ให้เอาเครื่องดื่มมารับรองคุณธีราด้วยนะ”
            “แต่..”  
            สาวสวยผู้มีหน้าตาน่ารักคล้ายดั่งตุ๊กตา ขยับปากจะแย้ง  เลยถูกเสียงหนักสำทับซ้ำ

            “พี่ขอเวลาเป็นส่วนตัวสักครู่  ไปพักสักหน่อยเถอะนะ  ฮันนี่เองก็เหนื่อยมาตั้งแต่เช้าแล้ว”

            หญิงสาวเม้มปากนิด  แต่ก็ยอมทำตามคำบอกในที่สุด  แสดงอาการหึงหวงผ่านสายตา ขณะเดินสวนกลับออกไป  ทว่าปฏิกิริยานั้นไม่ได้รับการตอบโต้  เพราะอีกฝ่ายมีแววตาเหนื่อยล้าเกินกว่าจะสนองตอบต่อความเป็นไปในยามนี้

            เวลานี้  ธีรากำลังเต็มไปด้วยความรู้สึกหดหู่  การตัดสินใจหวนกลับมาที่นี่อีกครั้ง เป็นเพียงแค่การกระทำอันไร้แก่นสารที่ไม่มีความหมาย  สถานการณ์ในตอนนี้เปรียบไปก็เหมือนเรื่องตลก  ตรงที่เธอต้องมายืนอยู่ต่อหน้าผู้ชาย คนที่ครั้งหนึ่ง หัวใจเคยคิดฟุ้งซ่านเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหน  แต่ในตอนนี้ ตนกลับมีสัมพันธ์ลึกซึ้งไปกับอีกคนหนึ่งเสียแล้ว
 
            “มีอะไรหรือเปล่า  สีหน้าคุณ เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ  เกี่ยวกับผมใช่ไหม”  
ฆีมษ์เอ่ยถาม เจตนาต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลาย  ราชาสีขาวไม่อยากทำให้ตัวเองรู้สึกแย่มากไปกว่านี้  หากตัวเองนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายเกิดความไม่สบายใจ

            “ไม่ใช่หรอกค่ะ  แล้วที่เรียกให้ฉันมาที่นี่  มีอะไรหรือเปล่าคะ”  

            ธีราเริ่มขยับเข้าไปใกล้  รู้สึกตัวว่าไม่ควรทำให้คนเจ็บเกิดความกังวล  เฉพาะแค่อีกฝ่ายไม่อาจลุกขึ้นจากเตียงได้  จิตใจของเขาก็คงปวดร้าวใจมากพอแรงอยู่แล้ว

            “..ครับ  ผมเป็นห่วงคุณ  เข้าใจว่า นี่เป็นช่วงปรับตัวใหม่ๆ คุณคงมีเรื่องลำบากหลายอย่าง  ถึงแม้คุณจะปฏิเสธความช่วยเหลือจากผม  แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยังอยากจะช่วยคุณอยู่ดี  เพราะผมเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณต้องเป็นแบบนี้  ผมขอโทษ..”
            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ  ฉันพอจะเอาตัวรอดได้  ขอบคุณนะคะ”

            หญิงสาวปฏิเสธความหวังดีนั้น  ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงอันเรียบเฉย  ธีราหมายความตามอย่างที่บอกกล่าว  หากแต่ฆีมษ์เข้าใจไปว่า อีกฝ่ายกำลังแสดงความเกรงใจ  เขาจึงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนค่อยเริ่มพูดต่อ

            “และที่ผมจะพูดต่อไปนี้  มันอาจจะฟังดูน่าอายอยู่สักหน่อย  คุณธีรา ผมอยากจะบอกว่า ผมต้องการให้คุณช่วยรักษาผม  มีความมั่นใจจากส่วนลึกที่บอกกับผมว่า คุณสามารถทำได้ คุณรักษาผมได้ คุณธีรา”
            “ยังไงคะ รักษาคุณน่ะหรือ  ฉันเนี่ยนะ”  

            ธีราส่งเสียงถาม ฟังดูคล้ายรำพึงกับตัวเอง  แสดงความพิศวงผ่านคำถามและแววตา

            “ครับ ถึงตอนนี้ ผมเองก็ยังไม่รู้หรอกว่า ต้องทำอย่างไร  ขอแค่ให้คุณรับรู้เอาไว้ก่อนว่า คุณเท่านั้นที่สามารถรักษาผมได้  เรามีทีเซลล์แบบเดียวกัน  อาจมีสิ่งที่เชื่อมโยงกันอยู่  ผมมีคุณ และ คุณเองก็มีผม  อณูเซลล์เล็กๆ ผูกเราเข้าด้วยกัน  ผมเชื่อว่า ทีเซลล์จะบอกคุณเองว่า ต้องทำอย่างไร”

            ทั้งห้องสว่างไสว แม้แต่สีหน้าของฆีมษ์ก็แลดูสว่างเจิดจ้า  ดวงตาคู่สีน้ำตาลฉายแววอบอุ่นและจริงใจ  แสดงความซื่อตรงและจริงจังในทุกคำบอกกล่าว  เมื่อตาสบตา  ธีราก็รู้สึกเหมือนถูกหลอมละลาย  คล้ายถูกโอบกอดไว้ด้วยอ้อมกอดแห่งเปลวไฟ  คำพูดอ่อนหวานนั้นชวนหวามไหว ทั้งปลอบประโลมจิตใจคล้ายถูกชโลมด้วยหยาดน้ำอันฉ่ำเย็น

          -- ทำไม.. ผู้ชายคนนี้ ถึงได้อ่อนโยนเหลือเกิน.. --

            ฆีมษ์ได้กลิ่นหอมหวานลอยกรุ่นอยู่ในอากาศจางๆ  เป็นกลิ่นเดียวกันนี้ที่เคยทำให้เขาเผลอตัวเผลอไผล จนเกือบล้ำเส้นทำอะไรไม่ดีงามเข้าให้ เมื่อคราวที่แล้ว  นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา  ชายหนุ่มยอมรับกับตัวเองว่า บังเกิดมีจินตนาการลึกซึ้งกับผู้หญิงตรงหน้า อย่างยากจะหยุดยั้งควบคุม  ช่างน่าแปลกที่ความต้องการทางเพศกลับมามีบทบาทอีกครั้ง  ทั้งที่เหมือนถูกตัดขาดหายไปจากชีวิต นับตั้งแต่ได้รับทีเซลล์เข้ามาสู่ร่าง

            ถึงขนาดเรียกได้ว่า ฆีมษ์มีชีวิตอยู่อย่างไร้กำหนัด  เสมือนหนึ่งทีเซลล์ในร่างไม่ต้องการ ให้มีการสืบทอดพันธุกรรมจากรุ่นสู่รุ่น

            “ฉันอยากช่วยค่ะ  แต่ตอนนี้ ก็เหมือนอย่างที่คุณว่า คือ ยังไม่รู้ว่า ต้องทำอย่างไร” 
ธีราคลี่ยิ้มบนใบหน้าด้วยกลับมารู้สึกดีขึ้น  ขยับเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง  ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองร่นเข้ามาใกล้ เพียงแค่ยื่นมือออกไปก็สามารถแตะถึงกัน
            “เราจะพบคำตอบ  ผมแน่ใจ”
            “ขอให้พบไวๆ  ฉันอยากเห็นคุณเดินได้อีกครั้ง”
            “..ขอบคุณครับ..”

            คำพูดให้กำลังใจดังกล่าวก่อเกิดเป็นความซาบซึ้ง จนฆีมษ์เกิดเผลอใจ  ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปวางทาบทับลงบนหลังมือของอีกฝ่าย  ทำให้ธีราสะดุ้งเล็กน้อย แก้มขึ้นสีเรื่อแดง ด้วยความรู้สึกวาบหวามในใจ  มันเป็นห้วงอารมณ์ละมุนละไม ที่ก่อตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป  ไม่เหมือนการหักหาญทำตามใจแบบที่พิจิกทำ

            กลิ่นหอมลึกลับนั้นทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  จนเมื่อสูดกลิ่นมากเข้า ส่งผลทำให้ลมหายใจติดขัด ผ่าวร้อน  ใครบางคนเริ่มพ่ายต่อการหักห้ามใจ  ฆีมษ์เคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่ายทีละนิด จนกระทั่งชิดใกล้ในที่สุด

            ปลายลิ้นสัมผัสรสหวานล้ำ  ริมฝีปากต้องถูกกันเกิดเป็นจุมพิตอันนุ่มนวลชวนฝัน  ความวาบหวานซ่านซ่าพุ่งขึ้นถึงขีดสุด จนฝ่ายชายถึงกับดึงร่างอีกฝ่ายเข้ามาโอบกอดเอาไว้  ตัวของหญิงสาวสะเทิ้นไหว เมื่อมืออุ่นๆ ลูบไล้ไปตามท่อนแขนของตน  เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่ ทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบ 

            แต่ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกินควบคุมไปมากกว่านั้น  ฝ่ายที่ผละถอยห่างออกมาก็กลับเป็นธีรา  ด้วยเกิดมีสำนึกหนึ่งที่รบกวนจนข่มความปรารถนาเอาไว้ได้  นั่นคือ ความทรงจำอันเลวร้ายแห่งมลทินที่ยังไม่ลบเลือนไปจากตัวและจิตใจ  และนั่นเป็นสาเหตุ ที่ทำให้การดึงดูดระหว่างเซลล์ในครั้งนี้ ไม่อาจเกิดผลได้อย่างสมบูรณ์

            ฆีมษ์ชะงัก  ด้วยถูกหยุดการกระทำเอาไว้กลางคัน  ใบหน้าของชายหนุ่มร้อนจัด สองแก้มแดงไปจนถึงใบหู  นัยน์ตาคู่นั้นพราวฉ่ำยิ่งกว่าเวลาใด  เขาไม่อาจถามถึงสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ  มีเพียงสายตาแสดงความขออภัยมองตอบกลับมา จากดวงตาคู่ลึกล้ำของคนตรงหน้า.. 
 


 
+++++++++++++++++++++++++++++



Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2563
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2563 13:03:55 น. 0 comments
Counter : 616 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zionzany
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เขียนนิยาย

ปลดปล่อยจินตนาการ

ไม่ยึดติดกับแนวไหน

เพราะจะไปให้ถึงที่สุด..

เท่าที่เราสามารถแผ่

กิ่งก้านความสามารถ

ออกไปสู่โลกกว้างได้

ยินดีต้อนรับทุกคน

สู่โลกของ zionzany

ที่นี่ .. ตรงนี้นะจ้ะ
แต่งนิยายทำร้ายผู้อ่าน ..Tcell H-A-V.. ..Tacticle Ball.. ..Kiss Myself.. ..ZhuXian จูเซียน.. ..เพียงฝันนี้ ศรีสุวรรณ.. อยากคูล อยากคัลท์ อยากมันส์ ที่สำคัญ อยาก-เขียน-ให้-จบ Let's rock Baby
New Comments
Friends' blogs
[Add zionzany's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.