|
ภาวะที่ 19 : จุติ
ขอบคุณภาพปกนิยายจาก คุณรัชต์สารินท์ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
‘ดงพญาไฟ’ เป็นพื้นที่แห่งตำนานที่เล่าขานสืบทอดต่อกันมา ถึงอดีตความทารุณของธรรมชาติในกาลก่อน ป่าดงดิบหรือไพรเถื่อนแห่งนี้เคยเต็มไปด้วยส่ำสัตว์อันตราย ทั้งยังเคยโจมตีบรรดาผู้สัญจรผ่านพงไพรต้องห้ามแห่งนี้ ด้วยพิษร้ายแห่งไข้มาลาเรียให้ดับดิ้นมานักต่อนัก
หากแต่ในกาลต่อมา เมื่อความเจริญแห่งอารยะได้ลุเข้ามาตัดเส้นทางผ่าน อาถรรพ์และกิตติศัพท์เลื่องลือถึงความโหดร้ายดังกล่าว จึงได้เลือนรางจางหายไปตามกาลเวลา ป่าดิบที่เคยสร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึงให้แก่มนุษย์ กลับกลายเป็นพนาร่มรื่นที่ถูกเรียกขานใหม่เป็น ‘ดงพญาเย็น’
ณ ที่แห่งนี้ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงเคยดำรงอยู่อย่างมีวัฏจักร วงจรแห่งชีวิตนับล้านได้ก่อกำเนิดและสูญสิ้นไปตามอายุขัย ทว่าธรรมชาตินั้นยังคงดำรงอยู่อย่างเป็นนิรันดร์ บางคราก็ได้หล่อเลี้ยงอุ้มชูสิ่งอื่นที่ธรรมชาติไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิด ทั้งในบางครั้งบางคราว ก็ยังได้ปลดปล่อยมหันตภัยร้ายแรงออกมาสู่โลกภายนอกอีกด้วย
เหมือนดังเช่นเชื้อจุลินทรีย์ชนิดหนึ่ง ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ถูกแพร่ไปตามกระแสลมที่พัดพาออกจากป่า ล่องลอยไปสู่เมืองที่มีมนุษย์อาศัยอยู่อย่างแน่นหนา เสาะแสวงหาร่างพาหะเรื่อยไป จนกว่าจะเจอร่างใหม่ที่ควรค่าแก่การเป็น ‘ภาชนะ’ ให้กับพวกมัน
ฝูงแมลงประหลาดบินเกาะกลุ่ม เลี้ยวลดไปตามสุมทุมพุ่มไม้ ส่งเสียงหึ่งอื้ออึง ทิศทางการบินของพวกแมลงมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าลึกตามแนวเทือกเขา แม้เร่งเดินทางมาเป็นระยะเวลานานแต่ก็ไม่มีการหยุดพัก ราวกับพวกมันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือแม้แต่หิวกระหาย ฝูงแมลงยังคงมุ่งหน้าต่อไป จนล่วงเข้าสู่เขตชั้นในของป่าดิบหรือไพรมืด ซึ่งมีบรรยากาศยะเยือกเย็น พันธุ์ไม้สูงใหญ่ยืนต้นแผ่กิ่งก้านใบปกคลุมพื้นดิน หนาแน่นจนแสงตะวันไม่อาจสาดส่องลงมาถึงพื้นเบื้องล่าง
ผิวนอกของเปลือกโลกในอดีตกาลก่อตัวขึ้นเป็นภูเขาสูงใหญ่ ภายในเต็มไปด้วยช่องทางเร้นลับสลับซับซ้อน ฝูงแมลงบินซอกซอนเข้าไปภายในความมืด กระทั่งดำเนินมาถึงจุดหมายปลายทางในท้ายที่สุด
ช่างน่าอัศจรรย์.. ภายในใจกลางภูเขาสูงซึ่งกางกั้นขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของพรมแดนธรรมชาติ กลับปรากฏพื้นที่ลาดกว้างขวางโอ่โถง สถานที่แห่งนั้นมีลักษณะคล้ายโพรงถ้ำอันวิจิตรพิสดาร งดงามอยู่ด้วยผลึกแร่นานับชนิด ส่องประกายแวววาวเมื่อถูกแสงตกต้องลงมากระทบ แอ่งหินขนาดยักษ์ตรงกลางเต็มเปี่ยมไปด้วยของเหลวข้นหนืดสีคล้ายอำพัน ใกล้กันนั้น มีต้นไม้โบราณขนาดใหญ่มหึมา ยืนต้นแทงรากฝังแน่นยึดลงในพื้นหิน ความสูงของมันมากเสียจนไม่อาจมองเห็นยอดปลาย บางที ต้นไม้อาจสูงจนโผล่ทะลุพ้นปากปล่องภูเขาขึ้นไปแล้วก็เป็นได้
หลังเดินทางมาถึงที่หมาย ฝูงแมลงก็แปรขบวนเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ ก่อนเข้าสู่โพรงรอยแยกในเนื้อไม้ ไม่ช้า.. กิ่งก้านสาขาหนึ่งก็พลันค่อย ๆ เคลื่อนตัวโน้มกิ่งลงมาอยู่เหนือตำแหน่งแอ่งหิน สุดปลายของกิ่งไม้ปรากฏหยาดหยดแห่งน้ำหล่อเลี้ยงลำต้นอันปริ่มฉ่ำ หยดน้ำที่เกิดจากการกลั่นตัวร่วงหล่นลงสู่พื้นเบื้องล่าง
เสียงแห่งการตกกระทบเบาจนแทบไม่ได้ยิน หยาดหยดแห่งชีวิตแทรกตัวผ่านชั้นผิวหน้าของของเหลวอันราบเรียบดุจกระจก ระลอกคลื่นเพียงแผ่วเบาสร้างแรงไหวกระเพื่อมไปถ้วนทั่ว จนเกิดการสะท้อนกลับไปกลับมาไม่รู้จบ บัดนี้ ของเหลวภายในแอ่งหินเกิดปฏิกิริยา คล้ายดั่งน้ำที่กำลังเดือดพล่าน ก่อนจะรวมองค์ประกอบก่อขึ้นมาเป็นรูปร่างหนึ่งได้อย่างน่าอัศจรรย์
เกิดปรากฏการณ์พรายฟองเรืองแสงเดือดปุดอยู่ในแอ่งหิน ฟองอากาศที่ระเหยจากของเหลวดังกล่าว ลอยตัวขึ้นสู่ชั้นอากาศเบื้องบนอันว่างเปล่า สสารมวลเบาเหล่านี้ต่างเปล่งเฉดสีสารพัน งดงามเหนือคำบรรยายใด ๆ ฟองอากาศเหล่านั้นละลิ่วลอยสูงขึ้นเรื่อยไป ภายในบรรจุไว้ด้วยสิ่งแปลกปลอม ซึ่งพร้อมที่จะถูกนำพาไปโดยกระแสลม
แท้จริงแล้ว ฟองอากาศบางเบาเหล่านี้เอง ที่เป็นต้นกำเนิดของการแพร่เชื้อไวรัสประหลาด เชื้อที่มนุษย์ในภูมิภาคนี้ เรียกขานกันว่า ‘ทีเซลล์’
นานนับแสนล้านปี เมื่อสิ่งมีชีวิตจำพวกราอุบัติขึ้น พวกมันไม่มีความสามารถในการสังเคราะห์แสง เพื่อสร้างอาหารให้แก่ตัวเองได้ จำต้องอาศัยการย่อยสลายอินทรียวัตถุเป็นอาหารในการดำรงชีวิต เชื้อราหลากหลายสายพันธุ์ส่วนใหญ่แพร่พันธุ์ ด้วยวิธีการสร้างสปอร์แล้วปล่อยลอยไปตามลม เมื่อตกลงสู่พื้นผิวที่สามารถเติบโตได้ ก็จะอุบัติกลายเป็นชีวิตใหม่ขึ้นมา
แล้วสปอร์เหล่านั้นคืออะไร ?
สปอร์นั้นเปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ของพืชซึ่งมีขนาดเล็กมาก จนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เมื่อสปอร์โปรยปลิวไปกับสายลม กระทั่งตกลงในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ในสถานที่ซึ่งมีความชื้นและมีอาหารอย่างเพียงพอ พวกมันก็จะงอกขึ้นมาเป็นเส้นใย ก่อนเจริญเติบโตขึ้นเป็นพืชจำพวกรา หมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ อยู่อย่างนี้เป็นวัฎจักร
เชื้อประหลาดที่เรียกขานกันว่า ‘ทีเซลล์’ เองนั้นมีองค์ประกอบคล้ายพวกรา แต่พวกมันมีขนาดของอนุภาคที่เล็กกว่า อีกทั้งยังมีข้อจำกัดและเงื่อนไข ในการแสวงหาองค์ประกอบอันเหมาะสมที่จะกำเนิดขึ้นเป็นชีวิตใหม่ ผิดแผกแตกต่างไปจากกฎเกณฑ์ของพวกราอยู่มาก โอกาสในการแฝงตัวลงสู่ร่างสิ่งมีชีวิตอื่นก็มีเพียงน้อยนิด จนแทบคิดเทียบอัตราได้แค่หนึ่งในล้าน แต่ทว่าเมื่อใดก็ตามที่โอกาสนั้นสำเร็จขึ้นมาได้ โลกนี้ก็จะมี ‘ราชา’ เกิดขึ้นใหม่หนึ่งคนอย่างแน่นอน
‘ราชา’ คือ มนุษย์ที่เป็นร่างภาชนะ ผู้ได้รับค่าตอบแทนเป็นพลังที่ใช้ในการปกป้องคุ้มครองตนเอง หรือได้รับความสามารถเหนือปกติเพื่อไต่เต้าขึ้นสู่ที่สูง บ้างก็ใช้ของขวัญนี้ไปในการขยายวงจรอุบาทว์ หรืออีกนัยหนึ่งคือ พยายามแพร่พันธุ์ไปในทางที่ผิด
เพราะความสามารถยิ่งสูง ความเก่งกาจก็ยิ่งมีมาก
และถ้ายิ่งเก่งมาก ..บุคคลผู้นั้นก็ย่อมอันตรายมากไปด้วยเช่นกัน เรื่องประหลาดดูเหมือนยังไม่สิ้นสุดลง ภายในแอ่งหินอำพันเวลานี้ ปรากฏร่างทึบแสงยืดตัวโผล่พ้นผิวน้ำ ร่างดังกล่าวไม่มีใบหน้า ทั้งไม่มีแขนขา ไม่มีแม้สักเศษเสี้ยวส่วนใดที่จะมองดูคล้ายสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ ดูคล้ายก้อนน้ำตาลปั้นที่ยืดตัวได้
สิ่งนั้นเริ่มเคลื่อนไหว ขยับทำท่วงท่าแปลกประหลาด ทำตัวยึกยือไปมาคล้ายปล้องหนอน ก่อนสงบนิ่งลงในชั่วอึดใจหลังจากนั้น
ครั้นแล้ว รยางค์ยืดยาวคล้ายเส้นเอ็นจำนวนนับไม่ถ้วนก็แผ่พุ่งออกมาจากร่างนั้น รยางค์ประหลาดเหล่านั้นเปะป่ายไปทั่วทุกสรรพสิ่งในระยะสัมผัส ต้นไม้โบราณตอบสนองปฏิกิริยาดังกล่าวในทันที ด้วยการสลับเปลี่ยนโน้มกิ่งก้านอีกสาขาลงมาเหนือแอ่งหิน บนสุดปลายกิ่งก้านดังกล่าวมี ‘ผล’ ขนาดใหญ่ ผลที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์ติดห้อยต่องแต่งอยู่บนนั้น
ดั่งผลไม้ถูกตัดขั้วให้ปลิดปลงลงจากต้น ผลมนุษย์อันสมบูรณ์แบบและประณีตยิ่ง ทั้งใบหน้าที่งดงามกอปรด้วยทรวดทรงสรีระแห่งความเป็นเพศหญิง ผลมนุษย์ได้ตกลงสู่ผืนของเหลวเบื้องล่าง ด้วยฝีมือการตัดขั้วจุกของรยางค์จากร่างปริศนา หลังจากร่างดังกล่าวจมลึกลงไปถึงก้นแอ่ง ร่างมนุษย์นั้นก็พลันมีอาการเหมือนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ก่อนพยายามตะเกียกตะกายพาตัวขึ้นจากเบื้องล่าง เพื่อไขว่คว้าหาอากาศเบื้องบน
ด้วยความช่วยเหลือจากร่างทึบแสง ซึ่งผสานตัวเป็นหนึ่งเดียวกับของเหลวในแอ่งหิน ร่างของมนุษย์เพศหญิงดังกล่าวจึงได้โผล่พ้นขึ้นมา พร้อมกับลมหายใจแรกแห่งชีวิตที่ได้สูดเข้าปอด
ทรวงอกอันเปลือยเปล่ากระเพื่อมไหวขึ้นลง ตามจังหวะการเต้นของหัวใจอันเร็วรี่ เรือนร่างที่ถูกสรรสร้างให้มีความงดงามอย่างน่าพิศวง อ้าปากออกกว้าง เพื่อสูดอากาศเข้าสู่ร่างกายคล้ายกระหายหิวอย่างหนัก ก่อนเริ่มต้นส่งเสียงพูดที่ฟังราวกับกำลังหัวเราะชอบใจ
“ .. ฮิ อิ อา..กาศ หะ หาย..ใจ ได้ ฮ่า ดี ..ดี ชอบ ... ”
เพราะร่างนั้นส่งเสียงออกมาด้วยปากที่เอาแต่อ้าค้าง ปราศจากอาการกะพริบตา อีกทั้งการขยับเคลื่อนไหวร่างกายก็ไม่เป็นไปตามอย่างที่กายภาพของมนุษย์ควรจะเป็น ทำให้ร่างทึบแสงเจ้าของรยางค์แห่งชีวิตนับร้อยพันต้องลงมือแก้ไขข้อผิดพลาดอีกครั้ง
ฝูงแมลงปริศนาที่ถูกส่งออกไป แม้พวกมันล้มเหลว ในการพยายามนำเอาตัวมนุษย์เป้าหมายกลับมาตามคำสั่ง แต่อย่างน้อย พวกมันก็ได้นำเอาเศษผิวหนังที่มีเซลล์แท้ของเป้าหมาย กลับมาได้เป็นผลสำเร็จ
โดยผ่านกระบวนการระดับอนุภาค ผู้สร้างจึงได้คัดแยกสิ่งที่ต้องการออกจากเซลล์ดังกล่าว สิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่ในสารบบของโลก จัดการบรรจุเซลล์ของธีราลงไปในภาชนะอันใหม่ สร้างสรรค์ความน่าจะเป็นของร่างมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์พร้อมกว่า อนุภาคเพียงเล็กน้อยซึ่งแมลงนำติดมาจากร่างของธีรา ได้ถูกผสมกลืนกลมลงไปในการสร้างสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ในครั้งนี้
แม้ไม่อาจโคลนร่างกายขึ้นมาได้เทียมเท่า แม้ไม่อาจเก็บกู้สิ่งลึกลับที่สิงสถิตอยู่ภายในร่างของมนุษย์เป้าหมายกลับคืนมาได้ แต่ถึงกระนั้น ภาระหน้าที่ของผู้สร้างสรรค์ก็ดูเหมือนยังไม่ได้ผิดพลาดไป จากแผนการซึ่งเตรียมวางรองรับเอาไว้อยู่ดี
สิ่งชวนพิศวงลึกลับเหล่านี้ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ พวกเขามาจากภายนอกอวกาศอันแสนไกลโพ้น มาจากสถานที่ซึ่งมีอารยธรรมและวงจรชีวิตที่แตกต่างจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง พวกเขาเปี่ยมด้วยภูมิปัญญาและความสามารถที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ หลายพันปีกว่ามวลมนุษย์จะเริ่มระแคะระคายถึงการ ‘ปรากฏ” หรือ ‘มีอยู่’ ของสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ‘เอเลี่ยน’ หรือ ‘มนุษย์ต่างดาว’
ความสงสัยนำมาซึ่งความอยากรู้อยากเห็น ร่องรอยการปรากฏของสิ่งเหล่านี้ ได้ทำให้ความเชื่อและคำถามแพร่สะพัดไปทั่วโลก
พวกเขา คือใคร หรืออะไร ? พวกเขา มาจาก ที่ไหน ? พวกเขา ต้องการ อะไร ?
กระทั่ง เวลาล่วงเลยมาจนจวบปัจจุบัน ความสงสัยและคำถามของมนุษยชาติก็ยังคงมืดบอด ไม่ได้รับการพิสูจน์ให้กระจ่าง หรือคลี่คลายให้แจ้งชัด นั่นอาจเป็นเพราะพวกต่างดาวนั้นเฉลียวฉลาด หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะ...พวกเขาไม่เห็นความจำเป็นอันใดที่ต้องเปิดเผยตัวตน
เหมือนดังเช่นผู้สร้างจากต่างดาว ในที่อันลึกลับซับซ้อนแห่งนี้
..เนิ่นนาน กว่ากระบวนแก้ไขจะสิ้นสุดลง
เส้นรยางค์ทั้งมวลค่อยคลายออกจากร่างมนุษย์ ร่างทึบแสงผู้เป็นหนึ่งเดียวกับของเหลวสีอำพันในแอ่งหิน ปลดปล่อยมนุษย์เพศหญิงดังกล่าวให้เป็นอิสระอีกครั้ง
ก้าวแรกของชีวิต เหยียบย่างไปบนพื้นหินอันขรุขระ มนุษย์ผู้เปลือยเปล่าออกเดินเตาะแตะไปทั่วบริเวณ ทดลองสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ด้วยเห็นเป็นสิ่งแปลกใหม่ทั้งสิ้น ‘ --- พวกเราเคยเป็นมาอยู่ก่อน จากจรสู่มรรคาแห่งความว่างเปล่า เฝ้ารอคอยจนวาระย้อนกลับมาถึง จึงจะได้คืนกลับสู่แหล่งกำเนิดแห่งชีวิต --- ’ ร่างทึบแสงสร้างคลื่นเสียงสลับสูงต่ำ จนทำให้เกิดเสียงสะท้อนก้องไปมาภายในถ้ำกว้างใหญ่ เสียงดังกล่าวสื่อสารออกมาเป็นภาษามนุษย์ ทำลายความเงียบสงบซึ่งปกคลุมสถานที่แห่งนั้น “ .. นี่ คือ หิน .. ” ‘ --- เวลาใกล้จะมาถึงแล้ว --- ’ “ .. นี่ คือ น้ำ .. ” มนุษย์เพศหญิงในวัยใกล้เคียงกับธีรา ยังคงเอื้อมมือออกไปแตะต้องสัมผัสสิ่งต่างๆ ภายในถ้ำแห่งนั้น ทั้งออกเสียงเรียกชื่อของวัตถุเหล่านั้น ด้วยกิริยาอาการไร้เดียงสา ทำเช่นนั้นอยู่เนิ่นนานกว่าสองมือจะย้อนคืนกลับมาสัมผัสเนื้อหนังแห่งตน “ .. นี่ คือ ข้า .. ” “ .. ข้า คือ ใคร .. ” ‘ --- เจ้าเคยเป็นส่วนหนึ่งของราเคียร์ --- ’ ของเหลวในแอ่งหินเริ่มกระเพื่อมไหว ร่างทึบแสงค่อย ๆ หลอมละลาย กลับคืนไปรวมตัวกับมวลของเหลวอีกครั้งอย่างช้า ๆ กระทั่งผิวหน้าของสสารในแอ่งหิน กลับมาราบเรียบดุจกระจกอีกครั้ง “ .. ข้า คือ ราเคียร์ .. ” ‘ --- ออกไปและทำหน้าที่ของเจ้าเถิด --- ’ “ .. ทำ หน้าที่ ของ ข้า .. ” ละอองน้ำโปรยปรายลงมาจากเบื้องบน ผู้ถูกสร้างจึงแหงนหน้าขึ้นมองทิศเบื้องบน ใช้ดวงตาของมนุษย์มองดูสิ่งที่กำลังสร้างความรู้สึกอัศจรรย์พันลึกให้เกิดแก่ตน ในเวลานี้
สูงขึ้นไปเหนือศีรษะของร่างมนุษย์ ปรากฏกลุ่มก้อนของสสารที่ดูคล้ายปรอทสีเงินขนาดใหญ่โตมโหฬาร กำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ประหนึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้แรงดึงดูดของโลกแต่อย่างใด ท่ามกลางความเงียบซึ่งมีเพียงเสียงธารน้ำเล็ก ๆ ไหลผ่านภายในถ้ำแห่งนั้น มีเสียงหนึ่งที่ดังอย่างเป็นจังหวะแทรกร่วมไปกับเสียงน้ำไหล มันคือเสียงจังหวะการเต้นของบางสิ่งซึ่งอาจเป็นหัวใจ โดยเสียงนั้นยังคงดังอยู่อย่างแผ่วเบา สม่ำเสมอ ราวกับมีใครหรืออะไรสักอย่างกำลังหลับใหล อยู่ในสถานที่แห่งนั้น
นัยน์ตาและสีหน้าของราเคียร์ ฉายชัดถึงอาการกริ่งเกรงต่อสิ่งซึ่งอยู่ในวิสัยการมองเห็น มันเป็นการแสดงออกทางร่างกาย เป็นกิริยาอาการที่กำลังสื่อให้เห็นถึงความรู้สึกที่มนุษย์เรียกกันว่า ‘ความกลัว’ “ .. โอรัค .. ” “ .. ราชา .. ” “ .. ตามหา พวกสืบทอดเส้นทาง แห่ง มามาคราย .. ” ถ้อยคำต่าง ๆ พรูพรั่งออกมาจากปากของร่างมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมา ต้นไม้โบราณโน้มกิ่งลงมาอีกครั้ง พร้อมด้วยอาภรณ์ที่มองดูคล้ายเป็นชุดคลุมสีน้ำตาล ถักทอขึ้นจากเส้นใยธรรมชาติ ติดห้อยไว้ตรงปลายกิ่ง เมื่อเห็นดังนั้น ราเคียร์จึงยื่นมือออกไป เพื่อรับเอาสิ่งปกปิดที่ตนจำเป็นต้องสวมใส่ ตามแบบอย่างของมนุษย์ในโลกภายนอก
ดวงตาสีดำสุกใส พราวระยับราวกับดวงตาของเนื้อทราย เส้นผมยาวดำขลับเป็นเงางาม ใบหน้าและรูปร่างงามเฉิดฉันจากฝีมือการสร้างอันประณีตยิ่ง ราเคียร์เหยียดริมฝีปากออกเพื่อสร้างรอยยิ้ม ในแบบที่ไม่มีความหมายขึ้นเป็นครั้งแรก
ภารกิจที่ได้รับมอบหมาย คือ ออกไปจากที่แห่งนี้ เพื่อติดตามนำความลับซึ่งสลักอยู่ในพันธุกรรมของมนุษย์คนหนึ่งออกมาให้จงได้ เพราะมันคือปริศนาหนึ่งเดียวที่สามารถไขสาเหตุความเป็นมา ความลับอันเป็นสุดยอดแห่งความปรารถนาเหนือสิ่งอื่นใด
การรอคอยอันแสนยาวนานกำลังใกล้จะสิ้นสุดลง สายพันธุ์ต่างพิภพเข้าใกล้จุดประสงค์อันเร้นลับไปอีกหนึ่งขั้น “ .. ไคเมร่า .. ” ราเคียร์พูดชื่อของบางสิ่งบางอย่างออกมา ด้วยอากัปกิริยาซึ่งแลดูเป็นเหมือนมนุษย์โดยสมบูรณ์
++++++++++++++++++++++++++++++
แสงสว่างซึ่งสาดส่องในสถานบันเทิงยามราตรีแห่งนั้นเจิดจ้า ส่องให้เห็นใบหน้าของคนผู้หนึ่งที่กำลังถมึงทึงและโกรธเกรี้ยว ร่างของชายผู้นั้นเปี่ยมล้นไปด้วยเพลิงโทสะลุกไหม้ และปฏิกิริยาในตอนนี้ของราชันย์พิฆาตผู้ซึ่งขึ้นชื่อว่า น่าสะพรึงกลัวเสียยิ่งกว่าใคร กำลังทำให้บรรดาผู้คนซึ่งถูกตรึงให้นิ่งขึงอยู่ด้วยในที่แห่งนั้น ต่างพากันสั่นสะท้านต่อภาพที่ได้เห็นตรงหน้า ผลัวะ ! คิงจา หรือชื่อที่ใครต่างพากันเรียกขานเป็น ราชันย์พิฆาต กระแทกกำปั้นตะบันเข้าใส่ใบหน้าของสิงโตอย่างแรง จนอีกฝ่ายถึงกับหน้าหงายเริ่ดถอยหลังกระเด็นไปไกล เขาย่างสามขุมติดตามไป ยกฝ่าเท้าขึ้นหมายกระทืบใส่ร่างที่ยังตั้งหลักไม่ได้ในทันที
ด้วยความหวาดกลัวหรือไม่ก็เป็นด้วยสัญชาตญาณ ราชาวิปลาสใช้ความสามารถเหนือมนุษย์พาตัวหลบหลีกไปได้ในเสี้ยววินาที เมื่อร่างนั้นพลันวูบหาย เท้าของราชันย์พิฆาตจึงกระทืบลงบนพื้นคอนกรีตอันว่างเปล่า เกิดเป็นเสียงดังและสั่นสะเทือนราวตุ้มเหล็กกระแทกลงสู่พื้น ตึง ! “มึงกล้าหลบตีนกูเหรอ !”
คิงจาตะคอกเสียงลั่น นัยน์ตาสีทองเรืองรองด้วยอารมณ์โกรธ เขาคว้าเก้าอี้เหล็กหนาหนักใกล้มือมาได้ตัวหนึ่งก็เขวี้ยงใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ปรานีปราศรัย แสดงให้เห็นถึงพละกำลังอันมหาศาล
เขากำลังเดือดดาล มันเป็นความผิดหวังอย่างรุนแรง จนก่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนที่ไม่อาจควบคุมได้ เป็นเพราะความงี่เง่าบัดซบของไอ้สิงโตโดยแท้ ส่งผลให้แผนการที่วางเอาไว้ต้องเปลี่ยนแปลงไปหมด ถึงนี่จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่เห็นทีจะยอมให้ความกระด้างกระเดื่องของมัน กลายเป็นตัวอย่างให้คนอื่น ๆ พลอยเอาตามเยี่ยงอย่างไปด้วยไม่ได้
มันจะต้องชดใช้ให้กับความเสียหายในครั้งนี้ !
เวลานี้ คือ โมงยามแห่งการรับโทษทัณฑ์ แม้สิงโตมีฝีมือเก่งกาจเพียงใด ก็ยังต้องถดตัวถอยหนีลนลาน ความพ่ายแพ้ในอดีตยังคงมีผลตกค้าง ทำให้ความเจ็บปวดที่ได้รับรุนแรงขึ้นเป็นเท่าทวี เพียงหมัดแรกจากราชันย์พิฆาตก็หนักหน่วงปานค้อนทุบ เรียกเลือดออกมากลบปากได้แล้ว ไหนจะทีเซลล์ในร่างของตนที่กำลังตื่นตระหนกต่อสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่า ดุร้ายกว่า เหนือยิ่งไปกว่ากับความสามารถที่ไม่อาจเทียบเทียม
“กูเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าทำอะไรนอกเหนือไปจากที่กูสั่ง”
เห็นความอำมหิตเต้นเร่าในดวงตาสีทองนั่นแล้ว ทำให้ราชาวิปลาสไม่กล้าเอ่ยคำแก้ตัว ได้แต่กัดฟันยอมทนรับความเจ็บปวดแต่โดยดี
-- อย่างน้อยก็ยังดีกว่าโดนฆ่าตาย --
หมัดลุ่น ๆ ยังคงประเคนใส่ไม่ยั้ง จนตอนนี้ ใบหน้าที่ไม่น่าดูอยู่แต่เดิมของสิงโตยิ่งแตกยับ เปื้อนเปรอะไปด้วยเลือด ภาพดังกล่าวสร้างความเสียวสยองจนหลายคนต้องเบือนหน้าหนี ด้วยมิอาจทนมองดูต่อไปได้ แม้แต่พิจิกเองที่ยืนอยู่ในที่นั้นด้วยก็ตาม
ราชาแมงป่องตัวสั่น รู้สึกถึงสัญญาณวัดระดับอันตรายซึ่งดังไม่หยุดในร่าง ร่องรอยของความโหดร้ายทารุณที่เคยได้รับจากราชันย์พิฆาตในกาลก่อน ยังคงตกค้างอยู่ในร่างกายและความทรงจำของตนด้วยเช่นกัน
ยกเว้นก็แต่ วสันต์ ผู้ยืนมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ทางฟากหนึ่ง ด้วยความรู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก “พวกมึงจงดูซะ ดูแล้วจำใส่กะโหลกเอาไว้ให้ดี คนที่กล้าขัดคำสั่งกู มันต้องมีสภาพแบบนี้” กรึบ! กรับ! เสียงนั้นลั่นดังฟังชัด มันเป็นเสียงกระดูกท่อนแขนที่ถูกหักจนบิดเบี้ยวจนผิดรูปร่าง ชายร่างใหญ่ผู้มีผมและนัยน์ตาสีเหลืองอำพัน ใช้มือขวาของตนคว้าจับแขนซ้ายของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนออกแรงบีบเพื่อบดขยี้มวลเนื้อและกระดูกอันแข็งแรงให้หักออกจากกัน สิงโตดิ้นพราด ร้องโหยหวนให้กับแขนซ้ายที่สิ้นสภาพในบัดดล ไม่มีใครกล้าขยับเข้าไปช่วย แม้แต่บริวารของราชาวิปลาสเองก็ตามที “อ๊ากกกกก !” ราชาแมงป่องหรี่ตาลงมองต่ำอย่างอึดอัดใจ เมื่อต้องประสบทั้งภาพและเสียงอันชวนเสียวสยอง กลิ่นของโลหิตขุ่นข้นอันแสนคาวสร้างอาการคลื่นเหียนวิงเวียนไม่ใช่น้อย เขาอดรู้สึกสมเพชคนบ้าผู้เคราะห์ร้ายไม่ได้ แต่เขารู้ดีว่า ราชาวิปลาสจะไม่เป็นอะไร อย่างดี..แขนข้างนั้นก็แค่ใช้การไม่ได้ไปชั่วระยะหนึ่ง หรือไม่ก็แค่..พิการ
พิจิกคิดไปไกลล่วงหน้า หยั่งความรู้สึกถามใจตัวเองว่า กล้าพอหรือไม่ที่จะงัดข้อต่อกรกับคิงจา เพื่อแย่งชิงธีราผู้ซึ่งกลายเป็นว่าที่ ‘ผู้หญิงของมัน’ ไปแล้วโดยปริยาย
ระหว่าง ‘รักตัวกลัวตาย’ กับ ‘รักคนหนึ่งจนตัวต้องตาย’ น้ำหนักของสองคำนี้ช่างต่างกันลิบลับเสียเหลือเกิน
แต่ถ้าให้เลือกระหว่างต้องอุทิศชีวิตตัวเองให้กับใคร
พิจิกสามารถตอบได้โดยไม่ต้องหยุดคิดเลยว่า ..ธีรา.. เท่านั้น !
“เอาไงล่ะ ทีนี้ พวกไหนกันวะ ที่มันกล้าลงมือแบบนี้”
ราชันย์พิฆาตคำราม สะบัดฝ่ามือไล่คราบเลือดทิ้ง ด้วยสีหน้าท่าทางบอกอาการหงุดหงิดเต็มที่
“_ฉันว่า ฉันพอจะรู้นะ ว่าไอ้คนที่พาผู้หญิงไปเป็นพวกไหน_”
วสันต์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แสดงสีหน้าไร้อารมณ์ตามปกติวิสัย ล้วงหยิบของบางอย่างออกจากกระเป๋าด้านในเสื้อสูท เอาออกมาชูขึ้นให้ได้เห็นกันทั่ว ดวงตาที่อยู่ภายใต้แว่นไร้กรอบเนื้อเลนส์บางใสนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถที่จะอ่านมันออก ไม่มีใครสามารถคาดเดาความรู้สึกนึกคิดของราชาน้ำแข็งผู้นี้ได้เลย
“แกรู้หรือว่า ไอ้พวกนั้นมันเป็นใคร วสันต์”
วสันต์ผงกศีรษะเล็กน้อยแทนคำตอบ เขาเหยียดมือที่ถือวัตถุในมือไปทางนายบิ่นลูกน้องคนสนิทของคิงจา ให้เข้ามารับเอาแฟลชไดรฟ์ในมือของตนไป
“_สถานการณ์ตอนนี้ มันเปลี่ยนไปแล้ว พวกเราควรจะดู ‘นี่’ กันซะก่อน บางที อาจจะมีการตัดสินใจอะไรกันใหม่ทั้งหมด_” “ดูอะไร ?” “_ลองดู เดี๋ยวก็จะรู้เอง_”
ราชาน้ำแข็งแย้มพรายเพียงนิด พลางวางสีหน้าให้แลดูสุขุม เยือกเย็นให้มากที่สุดเท่าที่ตนสามารถทำได้ ใครเลยจะล่วงรู้ว่า ในตอนแรกที่เขาได้มีโอกาสดูภาพบันทึกเหตุการณ์ ซึ่งเป็นไฟล์วิดีโอที่ถูกคัดลอกมาใส่ในแฟลชไดรฟ์อันนี้ แม้วสันต์ผู้ซึ่งปกติมักวางท่าไร้อารมณ์ ไร้ความรู้สึก ก็ยังต้องผงะ เหงื่อแห่งความประหวั่นพรั่นพรึงผุดซึมถ้วนทั่วทั้งตัวและใบหน้า ตื่นเต้นตกใจต่อสิ่งที่เห็น อย่างไม่อาจระงับอาการเอาไว้ได้เลยทีเดียว
บริวารของราชันย์พิฆาตรีบจัดการฉายภาพเหล่านั้น ขึ้นบนหน้าจอขนาดใหญ่บนเวที ทุกสายตาต่างจับจ้องมองดูภาพเหตุการณ์ซึ่งกำลังถ่ายทอดให้ได้รับชม ด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างไปจากกำลังรับชมภาพยนตร์สยองขวัญชวนแหวะสักเรื่อง
ภาพทั้งหมดนั่น คือ ภาพบันทึกเหตุการณ์ระทึกขวัญ จากกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ภายในห้องสีขาว ภาพแสดงให้เห็นศพของหญิงสาวคนหนึ่งที่จู่ ๆ ก็เกิดกลายร่างขึ้นมาได้ ดุจกลายเป็นปีศาจหรืออสุรกายในร่างคน ก่อนไล่ล่าหาเหยื่อเพื่อกลืนกิน จนเกิดวิกฤตชุลมุนย่อย ๆ ภายในห้องดังกล่าว
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในห้องแห่งความตาย ภายในคฤหาสน์ของ ‘เก่งกาจ รวินโชติอังกูร’
“นี่มันบ้าอะไรกัน !”
คิงจาสบถออกมาอย่างไม่เข้าใจ หันหน้าไปทางวสันต์ ด้วยต้องการคำอธิบายเหมือนกับใครหลายต่อหลายคนในที่แห่งนั้น สมองของราชาผู้ยิ่งใหญ่ยังไม่อาจตามทันความเข้าใจ เนื่องจากลืมเลือนใบหน้าของหญิงผู้ตกเป็นเป้าหมายไปแล้ว คิงจาจึงจำไม่ได้ว่า นั่นคือคนที่ตนได้ออกคำสั่งให้สิงโตไปพาเอาตัวมา
สำหรับราชันย์พิฆาต ภาพดังกล่าวเหล่านี้เหมือนเป็นแค่ฉากหนึ่งของหนังจำพวกสัตว์ประหลาด หรือเป็นเพียงคลิปตัดต่อทำขึ้นมาเพื่อแกล้งอำกันเล่นเท่านั้น
แต่สำหรับพิจิก ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคล้ายเป็นดั่งฝันร้าย ชายหนุ่มยืนตัวชา รับมือไม่ทันกับความรู้สึกซึ่งประดังประเดเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นความตื่นตะลึง ตกใจ หรือแม้แต่ความรู้สึกขยะแขยง ชิงชัง ทุกอย่างตีรวนขึ้นมาพร้อมกัน จนแทบทำให้เขาเป็นบ้า
ธีรา.. ธีราของเขากลายเป็นสัตว์ประหลาด ไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้วจริง ๆ น่ะหรือ !
และสำหรับสิงโต เสมือนหนึ่งความเจ็บปวดลดทอนไปในฉับพลัน มันอ้าปากค้างมองดูภาพเหตุการณ์เหล่านั้นผ่านลูกนัยน์ตาซึ่งกำลังบวมปูด ด้วยความรู้สึกทึ่งปนอัศจรรย์ใจ ผู้หญิงคนนั้นก้าวล้ำไปไกลยิ่งกว่าใครทุกคนในที่นี้ ภาพที่ได้เห็นคือการกำเนิดใหม่ของสิ่งมีชีวิต ที่มีการวิวัฒนาการตัวเองขึ้นไปอีกขั้น สิ่งที่กำลังเห็นด้วยตาของตนในตอนนี้ ไม่ใช่การก่อกำเกิดราชันย์ แต่เจ้าสิ่งนั้นจะเป็นสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งที่สุด จนสามารถขึ้นสู่ยอดบนสุดของวงจรห่วงโซ่อาหารได้อย่างแน่แท้
ราชาวิปลาสรู้สึกได้ ไม่ใช่แค่เพียงตัวมันเองคนเดียวเท่านั้น หากแต่ทีเซลล์ภายในร่างของทุกคน ต่างถูกปลุกเร้าให้รับรู้ถึงการปรากฏของสิ่งซึ่งอยู่เหนือกว่า แม้เป็นสิ่งซึ่งอาจจะนำหายนะมาสู่ทุกคน ในอนาคตที่จะมาถึง “หึหึ ฮ่า ๆ พระเจ้า พระเจ้า พระเจ้า ฮ่า ๆ” ชายผู้มีอาการทางประสาท ส่งเสียงพร่ำรำพันไม่หยุดปาก แสดงออกต่ออาการชื่นชมระคนชิงชังต่อภาพที่เห็นอย่างสุดหัวใจ…
++++++++++++++++++++++++++++++
Create Date : 30 มีนาคม 2563 |
Last Update : 30 มีนาคม 2563 14:40:06 น. |
|
0 comments
|
Counter : 603 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
ปทุมธานี Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
เขียนนิยาย
ปลดปล่อยจินตนาการ
ไม่ยึดติดกับแนวไหน
เพราะจะไปให้ถึงที่สุด..
เท่าที่เราสามารถแผ่
กิ่งก้านความสามารถ
ออกไปสู่โลกกว้างได้
ยินดีต้อนรับทุกคน
สู่โลกของ zionzany
ที่นี่ .. ตรงนี้นะจ้ะ
|
|
|
|
|
|
|
|
|