! ที่นี่ ! เราเลิกเขียนแล้วครับ ..กับเรื่องธรรมดา ที่คุณสามารถหาอ่านที่ไหนก็ได้
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2563
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
30 มีนาคม 2563
 
All Blogs
 
ภาวะที่ 19 : จุติ


ขอบคุณภาพปกนิยายจาก คุณรัชต์สารินท์ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ




            ‘ดงพญาไฟ’ เป็นพื้นที่แห่งตำนานที่เล่าขานสืบทอดต่อกันมา ถึงอดีตความทารุณของธรรมชาติในกาลก่อน  ป่าดงดิบหรือไพรเถื่อนแห่งนี้เคยเต็มไปด้วยส่ำสัตว์อันตราย  ทั้งยังเคยโจมตีบรรดาผู้สัญจรผ่านพงไพรต้องห้ามแห่งนี้ ด้วยพิษร้ายแห่งไข้มาลาเรียให้ดับดิ้นมานักต่อนัก

            หากแต่ในกาลต่อมา  เมื่อความเจริญแห่งอารยะได้ลุเข้ามาตัดเส้นทางผ่าน  อาถรรพ์และกิตติศัพท์เลื่องลือถึงความโหดร้ายดังกล่าว จึงได้เลือนรางจางหายไปตามกาลเวลา  ป่าดิบที่เคยสร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึงให้แก่มนุษย์ กลับกลายเป็นพนาร่มรื่นที่ถูกเรียกขานใหม่เป็น ‘ดงพญาเย็น’

            ณ ที่แห่งนี้  สิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงเคยดำรงอยู่อย่างมีวัฏจักร  วงจรแห่งชีวิตนับล้านได้ก่อกำเนิดและสูญสิ้นไปตามอายุขัย  ทว่าธรรมชาตินั้นยังคงดำรงอยู่อย่างเป็นนิรันดร์  บางคราก็ได้หล่อเลี้ยงอุ้มชูสิ่งอื่นที่ธรรมชาติไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิด  ทั้งในบางครั้งบางคราว ก็ยังได้ปลดปล่อยมหันตภัยร้ายแรงออกมาสู่โลกภายนอกอีกด้วย

            เหมือนดังเช่นเชื้อจุลินทรีย์ชนิดหนึ่ง ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า  ถูกแพร่ไปตามกระแสลมที่พัดพาออกจากป่า ล่องลอยไปสู่เมืองที่มีมนุษย์อาศัยอยู่อย่างแน่นหนา  เสาะแสวงหาร่างพาหะเรื่อยไป จนกว่าจะเจอร่างใหม่ที่ควรค่าแก่การเป็น ‘ภาชนะ’ ให้กับพวกมัน

                       
            ฝูงแมลงประหลาดบินเกาะกลุ่ม เลี้ยวลดไปตามสุมทุมพุ่มไม้ ส่งเสียงหึ่งอื้ออึง  ทิศทางการบินของพวกแมลงมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าลึกตามแนวเทือกเขา  แม้เร่งเดินทางมาเป็นระยะเวลานานแต่ก็ไม่มีการหยุดพัก ราวกับพวกมันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือแม้แต่หิวกระหาย  ฝูงแมลงยังคงมุ่งหน้าต่อไป จนล่วงเข้าสู่เขตชั้นในของป่าดิบหรือไพรมืด ซึ่งมีบรรยากาศยะเยือกเย็น  พันธุ์ไม้สูงใหญ่ยืนต้นแผ่กิ่งก้านใบปกคลุมพื้นดิน หนาแน่นจนแสงตะวันไม่อาจสาดส่องลงมาถึงพื้นเบื้องล่าง

            ผิวนอกของเปลือกโลกในอดีตกาลก่อตัวขึ้นเป็นภูเขาสูงใหญ่  ภายในเต็มไปด้วยช่องทางเร้นลับสลับซับซ้อน  ฝูงแมลงบินซอกซอนเข้าไปภายในความมืด  กระทั่งดำเนินมาถึงจุดหมายปลายทางในท้ายที่สุด 

            ช่างน่าอัศจรรย์..  ภายในใจกลางภูเขาสูงซึ่งกางกั้นขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของพรมแดนธรรมชาติ กลับปรากฏพื้นที่ลาดกว้างขวางโอ่โถง  สถานที่แห่งนั้นมีลักษณะคล้ายโพรงถ้ำอันวิจิตรพิสดาร  งดงามอยู่ด้วยผลึกแร่นานับชนิด ส่องประกายแวววาวเมื่อถูกแสงตกต้องลงมากระทบ  แอ่งหินขนาดยักษ์ตรงกลางเต็มเปี่ยมไปด้วยของเหลวข้นหนืดสีคล้ายอำพัน  ใกล้กันนั้น มีต้นไม้โบราณขนาดใหญ่มหึมา ยืนต้นแทงรากฝังแน่นยึดลงในพื้นหิน  ความสูงของมันมากเสียจนไม่อาจมองเห็นยอดปลาย  บางที ต้นไม้อาจสูงจนโผล่ทะลุพ้นปากปล่องภูเขาขึ้นไปแล้วก็เป็นได้

            หลังเดินทางมาถึงที่หมาย  ฝูงแมลงก็แปรขบวนเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ ก่อนเข้าสู่โพรงรอยแยกในเนื้อไม้  ไม่ช้า.. กิ่งก้านสาขาหนึ่งก็พลันค่อย ๆ เคลื่อนตัวโน้มกิ่งลงมาอยู่เหนือตำแหน่งแอ่งหิน  สุดปลายของกิ่งไม้ปรากฏหยาดหยดแห่งน้ำหล่อเลี้ยงลำต้นอันปริ่มฉ่ำ  หยดน้ำที่เกิดจากการกลั่นตัวร่วงหล่นลงสู่พื้นเบื้องล่าง

            เสียงแห่งการตกกระทบเบาจนแทบไม่ได้ยิน  หยาดหยดแห่งชีวิตแทรกตัวผ่านชั้นผิวหน้าของของเหลวอันราบเรียบดุจกระจก  ระลอกคลื่นเพียงแผ่วเบาสร้างแรงไหวกระเพื่อมไปถ้วนทั่ว จนเกิดการสะท้อนกลับไปกลับมาไม่รู้จบ  บัดนี้ ของเหลวภายในแอ่งหินเกิดปฏิกิริยา คล้ายดั่งน้ำที่กำลังเดือดพล่าน  ก่อนจะรวมองค์ประกอบก่อขึ้นมาเป็นรูปร่างหนึ่งได้อย่างน่าอัศจรรย์

            เกิดปรากฏการณ์พรายฟองเรืองแสงเดือดปุดอยู่ในแอ่งหิน  ฟองอากาศที่ระเหยจากของเหลวดังกล่าว ลอยตัวขึ้นสู่ชั้นอากาศเบื้องบนอันว่างเปล่า  สสารมวลเบาเหล่านี้ต่างเปล่งเฉดสีสารพัน  งดงามเหนือคำบรรยายใด ๆ  ฟองอากาศเหล่านั้นละลิ่วลอยสูงขึ้นเรื่อยไป  ภายในบรรจุไว้ด้วยสิ่งแปลกปลอม ซึ่งพร้อมที่จะถูกนำพาไปโดยกระแสลม

            แท้จริงแล้ว ฟองอากาศบางเบาเหล่านี้เอง ที่เป็นต้นกำเนิดของการแพร่เชื้อไวรัสประหลาด เชื้อที่มนุษย์ในภูมิภาคนี้ เรียกขานกันว่า ‘ทีเซลล์’

           
            นานนับแสนล้านปี  เมื่อสิ่งมีชีวิตจำพวกราอุบัติขึ้น  พวกมันไม่มีความสามารถในการสังเคราะห์แสง เพื่อสร้างอาหารให้แก่ตัวเองได้  จำต้องอาศัยการย่อยสลายอินทรียวัตถุเป็นอาหารในการดำรงชีวิต  เชื้อราหลากหลายสายพันธุ์ส่วนใหญ่แพร่พันธุ์ ด้วยวิธีการสร้างสปอร์แล้วปล่อยลอยไปตามลม เมื่อตกลงสู่พื้นผิวที่สามารถเติบโตได้ ก็จะอุบัติกลายเป็นชีวิตใหม่ขึ้นมา  

            แล้วสปอร์เหล่านั้นคืออะไร ?

            สปอร์นั้นเปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ของพืชซึ่งมีขนาดเล็กมาก จนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น  เมื่อสปอร์โปรยปลิวไปกับสายลม  กระทั่งตกลงในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม  ในสถานที่ซึ่งมีความชื้นและมีอาหารอย่างเพียงพอ  พวกมันก็จะงอกขึ้นมาเป็นเส้นใย ก่อนเจริญเติบโตขึ้นเป็นพืชจำพวกรา หมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ อยู่อย่างนี้เป็นวัฎจักร

            เชื้อประหลาดที่เรียกขานกันว่า ‘ทีเซลล์’ เองนั้นมีองค์ประกอบคล้ายพวกรา  แต่พวกมันมีขนาดของอนุภาคที่เล็กกว่า  อีกทั้งยังมีข้อจำกัดและเงื่อนไข ในการแสวงหาองค์ประกอบอันเหมาะสมที่จะกำเนิดขึ้นเป็นชีวิตใหม่  ผิดแผกแตกต่างไปจากกฎเกณฑ์ของพวกราอยู่มาก  โอกาสในการแฝงตัวลงสู่ร่างสิ่งมีชีวิตอื่นก็มีเพียงน้อยนิด จนแทบคิดเทียบอัตราได้แค่หนึ่งในล้าน  แต่ทว่าเมื่อใดก็ตามที่โอกาสนั้นสำเร็จขึ้นมาได้  โลกนี้ก็จะมี ‘ราชา’ เกิดขึ้นใหม่หนึ่งคนอย่างแน่นอน

            ‘ราชา’ คือ มนุษย์ที่เป็นร่างภาชนะ ผู้ได้รับค่าตอบแทนเป็นพลังที่ใช้ในการปกป้องคุ้มครองตนเอง  หรือได้รับความสามารถเหนือปกติเพื่อไต่เต้าขึ้นสู่ที่สูง  บ้างก็ใช้ของขวัญนี้ไปในการขยายวงจรอุบาทว์  หรืออีกนัยหนึ่งคือ พยายามแพร่พันธุ์ไปในทางที่ผิด

            เพราะความสามารถยิ่งสูง  ความเก่งกาจก็ยิ่งมีมาก

            และถ้ายิ่งเก่งมาก  ..บุคคลผู้นั้นก็ย่อมอันตรายมากไปด้วยเช่นกัน
     
 
            เรื่องประหลาดดูเหมือนยังไม่สิ้นสุดลง  ภายในแอ่งหินอำพันเวลานี้  ปรากฏร่างทึบแสงยืดตัวโผล่พ้นผิวน้ำ  ร่างดังกล่าวไม่มีใบหน้า ทั้งไม่มีแขนขา ไม่มีแม้สักเศษเสี้ยวส่วนใดที่จะมองดูคล้ายสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้  ดูคล้ายก้อนน้ำตาลปั้นที่ยืดตัวได้

            สิ่งนั้นเริ่มเคลื่อนไหว  ขยับทำท่วงท่าแปลกประหลาด ทำตัวยึกยือไปมาคล้ายปล้องหนอน  ก่อนสงบนิ่งลงในชั่วอึดใจหลังจากนั้น

            ครั้นแล้ว รยางค์ยืดยาวคล้ายเส้นเอ็นจำนวนนับไม่ถ้วนก็แผ่พุ่งออกมาจากร่างนั้น  รยางค์ประหลาดเหล่านั้นเปะป่ายไปทั่วทุกสรรพสิ่งในระยะสัมผัส  ต้นไม้โบราณตอบสนองปฏิกิริยาดังกล่าวในทันที  ด้วยการสลับเปลี่ยนโน้มกิ่งก้านอีกสาขาลงมาเหนือแอ่งหิน  บนสุดปลายกิ่งก้านดังกล่าวมี ‘ผล’ ขนาดใหญ่  ผลที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์ติดห้อยต่องแต่งอยู่บนนั้น

            ดั่งผลไม้ถูกตัดขั้วให้ปลิดปลงลงจากต้น  ผลมนุษย์อันสมบูรณ์แบบและประณีตยิ่ง ทั้งใบหน้าที่งดงามกอปรด้วยทรวดทรงสรีระแห่งความเป็นเพศหญิง  ผลมนุษย์ได้ตกลงสู่ผืนของเหลวเบื้องล่าง ด้วยฝีมือการตัดขั้วจุกของรยางค์จากร่างปริศนา  หลังจากร่างดังกล่าวจมลึกลงไปถึงก้นแอ่ง  ร่างมนุษย์นั้นก็พลันมีอาการเหมือนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา  ก่อนพยายามตะเกียกตะกายพาตัวขึ้นจากเบื้องล่าง เพื่อไขว่คว้าหาอากาศเบื้องบน

            ด้วยความช่วยเหลือจากร่างทึบแสง ซึ่งผสานตัวเป็นหนึ่งเดียวกับของเหลวในแอ่งหิน  ร่างของมนุษย์เพศหญิงดังกล่าวจึงได้โผล่พ้นขึ้นมา พร้อมกับลมหายใจแรกแห่งชีวิตที่ได้สูดเข้าปอด

            ทรวงอกอันเปลือยเปล่ากระเพื่อมไหวขึ้นลง ตามจังหวะการเต้นของหัวใจอันเร็วรี่  เรือนร่างที่ถูกสรรสร้างให้มีความงดงามอย่างน่าพิศวง อ้าปากออกกว้าง เพื่อสูดอากาศเข้าสู่ร่างกายคล้ายกระหายหิวอย่างหนัก  ก่อนเริ่มต้นส่งเสียงพูดที่ฟังราวกับกำลังหัวเราะชอบใจ

 
            “     ..  ฮิ อิ  อา..กาศ  หะ หาย..ใจ ได้  ฮ่า ดี ..ดี ชอบ  ...     ”         

 
            เพราะร่างนั้นส่งเสียงออกมาด้วยปากที่เอาแต่อ้าค้าง  ปราศจากอาการกะพริบตา อีกทั้งการขยับเคลื่อนไหวร่างกายก็ไม่เป็นไปตามอย่างที่กายภาพของมนุษย์ควรจะเป็น  ทำให้ร่างทึบแสงเจ้าของรยางค์แห่งชีวิตนับร้อยพันต้องลงมือแก้ไขข้อผิดพลาดอีกครั้ง

            ฝูงแมลงปริศนาที่ถูกส่งออกไป  แม้พวกมันล้มเหลว ในการพยายามนำเอาตัวมนุษย์เป้าหมายกลับมาตามคำสั่ง  แต่อย่างน้อย พวกมันก็ได้นำเอาเศษผิวหนังที่มีเซลล์แท้ของเป้าหมาย กลับมาได้เป็นผลสำเร็จ

            โดยผ่านกระบวนการระดับอนุภาค  ผู้สร้างจึงได้คัดแยกสิ่งที่ต้องการออกจากเซลล์ดังกล่าว  สิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่ในสารบบของโลก จัดการบรรจุเซลล์ของธีราลงไปในภาชนะอันใหม่  สร้างสรรค์ความน่าจะเป็นของร่างมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์พร้อมกว่า  อนุภาคเพียงเล็กน้อยซึ่งแมลงนำติดมาจากร่างของธีรา  ได้ถูกผสมกลืนกลมลงไปในการสร้างสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ในครั้งนี้

            แม้ไม่อาจโคลนร่างกายขึ้นมาได้เทียมเท่า  แม้ไม่อาจเก็บกู้สิ่งลึกลับที่สิงสถิตอยู่ภายในร่างของมนุษย์เป้าหมายกลับคืนมาได้  แต่ถึงกระนั้น  ภาระหน้าที่ของผู้สร้างสรรค์ก็ดูเหมือนยังไม่ได้ผิดพลาดไป จากแผนการซึ่งเตรียมวางรองรับเอาไว้อยู่ดี 

            สิ่งชวนพิศวงลึกลับเหล่านี้ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ  พวกเขามาจากภายนอกอวกาศอันแสนไกลโพ้น  มาจากสถานที่ซึ่งมีอารยธรรมและวงจรชีวิตที่แตกต่างจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง  พวกเขาเปี่ยมด้วยภูมิปัญญาและความสามารถที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์  หลายพันปีกว่ามวลมนุษย์จะเริ่มระแคะระคายถึงการ ‘ปรากฏ” หรือ ‘มีอยู่’ ของสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ‘เอเลี่ยน’ หรือ ‘มนุษย์ต่างดาว’

            ความสงสัยนำมาซึ่งความอยากรู้อยากเห็น  ร่องรอยการปรากฏของสิ่งเหล่านี้ ได้ทำให้ความเชื่อและคำถามแพร่สะพัดไปทั่วโลก 

            พวกเขา คือใคร หรืออะไร ?
          พวกเขา มาจาก ที่ไหน ?
          พวกเขา ต้องการ อะไร ?

            กระทั่ง เวลาล่วงเลยมาจนจวบปัจจุบัน  ความสงสัยและคำถามของมนุษยชาติก็ยังคงมืดบอด  ไม่ได้รับการพิสูจน์ให้กระจ่าง หรือคลี่คลายให้แจ้งชัด  นั่นอาจเป็นเพราะพวกต่างดาวนั้นเฉลียวฉลาด  หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะ...พวกเขาไม่เห็นความจำเป็นอันใดที่ต้องเปิดเผยตัวตน

            เหมือนดังเช่นผู้สร้างจากต่างดาว ในที่อันลึกลับซับซ้อนแห่งนี้
 

            ..เนิ่นนาน กว่ากระบวนแก้ไขจะสิ้นสุดลง

            เส้นรยางค์ทั้งมวลค่อยคลายออกจากร่างมนุษย์  ร่างทึบแสงผู้เป็นหนึ่งเดียวกับของเหลวสีอำพันในแอ่งหิน ปลดปล่อยมนุษย์เพศหญิงดังกล่าวให้เป็นอิสระอีกครั้ง

            ก้าวแรกของชีวิต เหยียบย่างไปบนพื้นหินอันขรุขระ  มนุษย์ผู้เปลือยเปล่าออกเดินเตาะแตะไปทั่วบริเวณ  ทดลองสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ด้วยเห็นเป็นสิ่งแปลกใหม่ทั้งสิ้น
 
          ‘ --- พวกเราเคยเป็นมาอยู่ก่อน  จากจรสู่มรรคาแห่งความว่างเปล่า  เฝ้ารอคอยจนวาระย้อนกลับมาถึง  จึงจะได้คืนกลับสู่แหล่งกำเนิดแห่งชีวิต --- ’
 
            ร่างทึบแสงสร้างคลื่นเสียงสลับสูงต่ำ จนทำให้เกิดเสียงสะท้อนก้องไปมาภายในถ้ำกว้างใหญ่  เสียงดังกล่าวสื่อสารออกมาเป็นภาษามนุษย์ ทำลายความเงียบสงบซึ่งปกคลุมสถานที่แห่งนั้น
 
            “     ..  นี่ คือ หิน  ..     ”
          ‘ --- เวลาใกล้จะมาถึงแล้ว --- ’
            “     ..  นี่ คือ น้ำ  ..     ”
 
            มนุษย์เพศหญิงในวัยใกล้เคียงกับธีรา ยังคงเอื้อมมือออกไปแตะต้องสัมผัสสิ่งต่างๆ ภายในถ้ำแห่งนั้น  ทั้งออกเสียงเรียกชื่อของวัตถุเหล่านั้น ด้วยกิริยาอาการไร้เดียงสา  ทำเช่นนั้นอยู่เนิ่นนานกว่าสองมือจะย้อนคืนกลับมาสัมผัสเนื้อหนังแห่งตน
 
            “     ..  นี่ คือ ข้า  ..     ”
            “     ..  ข้า คือ ใคร  ..     ”
          ‘ --- เจ้าเคยเป็นส่วนหนึ่งของราเคียร์ --- ’
 
            ของเหลวในแอ่งหินเริ่มกระเพื่อมไหว  ร่างทึบแสงค่อย ๆ หลอมละลาย กลับคืนไปรวมตัวกับมวลของเหลวอีกครั้งอย่างช้า ๆ กระทั่งผิวหน้าของสสารในแอ่งหิน กลับมาราบเรียบดุจกระจกอีกครั้ง
 
            “     ..  ข้า คือ ราเคียร์  ..     ”
          ‘ --- ออกไปและทำหน้าที่ของเจ้าเถิด --- ’
            “     ..  ทำ หน้าที่ ของ ข้า  ..     ”
 
            ละอองน้ำโปรยปรายลงมาจากเบื้องบน  ผู้ถูกสร้างจึงแหงนหน้าขึ้นมองทิศเบื้องบน ใช้ดวงตาของมนุษย์มองดูสิ่งที่กำลังสร้างความรู้สึกอัศจรรย์พันลึกให้เกิดแก่ตน ในเวลานี้

            สูงขึ้นไปเหนือศีรษะของร่างมนุษย์  ปรากฏกลุ่มก้อนของสสารที่ดูคล้ายปรอทสีเงินขนาดใหญ่โตมโหฬาร กำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ประหนึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้แรงดึงดูดของโลกแต่อย่างใด  ท่ามกลางความเงียบซึ่งมีเพียงเสียงธารน้ำเล็ก ๆ ไหลผ่านภายในถ้ำแห่งนั้น  มีเสียงหนึ่งที่ดังอย่างเป็นจังหวะแทรกร่วมไปกับเสียงน้ำไหล  มันคือเสียงจังหวะการเต้นของบางสิ่งซึ่งอาจเป็นหัวใจ  โดยเสียงนั้นยังคงดังอยู่อย่างแผ่วเบา สม่ำเสมอ ราวกับมีใครหรืออะไรสักอย่างกำลังหลับใหล อยู่ในสถานที่แห่งนั้น

            นัยน์ตาและสีหน้าของราเคียร์ ฉายชัดถึงอาการกริ่งเกรงต่อสิ่งซึ่งอยู่ในวิสัยการมองเห็น  มันเป็นการแสดงออกทางร่างกาย เป็นกิริยาอาการที่กำลังสื่อให้เห็นถึงความรู้สึกที่มนุษย์เรียกกันว่า ‘ความกลัว’ 
 
            “     ..  โอรัค  ..     ”
            “     ..  ราชา  ..     ”
            “     ..  ตามหา พวกสืบทอดเส้นทาง แห่ง มามาคราย  ..     ”
 
            ถ้อยคำต่าง ๆ พรูพรั่งออกมาจากปากของร่างมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมา  ต้นไม้โบราณโน้มกิ่งลงมาอีกครั้ง พร้อมด้วยอาภรณ์ที่มองดูคล้ายเป็นชุดคลุมสีน้ำตาล ถักทอขึ้นจากเส้นใยธรรมชาติ ติดห้อยไว้ตรงปลายกิ่ง  เมื่อเห็นดังนั้น ราเคียร์จึงยื่นมือออกไป เพื่อรับเอาสิ่งปกปิดที่ตนจำเป็นต้องสวมใส่ ตามแบบอย่างของมนุษย์ในโลกภายนอก

            ดวงตาสีดำสุกใส พราวระยับราวกับดวงตาของเนื้อทราย  เส้นผมยาวดำขลับเป็นเงางาม  ใบหน้าและรูปร่างงามเฉิดฉันจากฝีมือการสร้างอันประณีตยิ่ง  ราเคียร์เหยียดริมฝีปากออกเพื่อสร้างรอยยิ้ม ในแบบที่ไม่มีความหมายขึ้นเป็นครั้งแรก

            ภารกิจที่ได้รับมอบหมาย คือ ออกไปจากที่แห่งนี้ เพื่อติดตามนำความลับซึ่งสลักอยู่ในพันธุกรรมของมนุษย์คนหนึ่งออกมาให้จงได้  เพราะมันคือปริศนาหนึ่งเดียวที่สามารถไขสาเหตุความเป็นมา  ความลับอันเป็นสุดยอดแห่งความปรารถนาเหนือสิ่งอื่นใด

            การรอคอยอันแสนยาวนานกำลังใกล้จะสิ้นสุดลง  สายพันธุ์ต่างพิภพเข้าใกล้จุดประสงค์อันเร้นลับไปอีกหนึ่งขั้น
 
            “     ..  ไคเมร่า  ..     ”
 
            ราเคียร์พูดชื่อของบางสิ่งบางอย่างออกมา  ด้วยอากัปกิริยาซึ่งแลดูเป็นเหมือนมนุษย์โดยสมบูรณ์
 


 
++++++++++++++++++++++++++++++

 
 
            แสงสว่างซึ่งสาดส่องในสถานบันเทิงยามราตรีแห่งนั้นเจิดจ้า  ส่องให้เห็นใบหน้าของคนผู้หนึ่งที่กำลังถมึงทึงและโกรธเกรี้ยว  ร่างของชายผู้นั้นเปี่ยมล้นไปด้วยเพลิงโทสะลุกไหม้  และปฏิกิริยาในตอนนี้ของราชันย์พิฆาตผู้ซึ่งขึ้นชื่อว่า น่าสะพรึงกลัวเสียยิ่งกว่าใคร  กำลังทำให้บรรดาผู้คนซึ่งถูกตรึงให้นิ่งขึงอยู่ด้วยในที่แห่งนั้น ต่างพากันสั่นสะท้านต่อภาพที่ได้เห็นตรงหน้า
 
            ผลัวะ !
 
            คิงจา หรือชื่อที่ใครต่างพากันเรียกขานเป็น ราชันย์พิฆาต กระแทกกำปั้นตะบันเข้าใส่ใบหน้าของสิงโตอย่างแรง  จนอีกฝ่ายถึงกับหน้าหงายเริ่ดถอยหลังกระเด็นไปไกล  เขาย่างสามขุมติดตามไป ยกฝ่าเท้าขึ้นหมายกระทืบใส่ร่างที่ยังตั้งหลักไม่ได้ในทันที

            ด้วยความหวาดกลัวหรือไม่ก็เป็นด้วยสัญชาตญาณ  ราชาวิปลาสใช้ความสามารถเหนือมนุษย์พาตัวหลบหลีกไปได้ในเสี้ยววินาที  เมื่อร่างนั้นพลันวูบหาย  เท้าของราชันย์พิฆาตจึงกระทืบลงบนพื้นคอนกรีตอันว่างเปล่า  เกิดเป็นเสียงดังและสั่นสะเทือนราวตุ้มเหล็กกระแทกลงสู่พื้น
 
            ตึง !
 
            “มึงกล้าหลบตีนกูเหรอ !”

            คิงจาตะคอกเสียงลั่น  นัยน์ตาสีทองเรืองรองด้วยอารมณ์โกรธ  เขาคว้าเก้าอี้เหล็กหนาหนักใกล้มือมาได้ตัวหนึ่งก็เขวี้ยงใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ปรานีปราศรัย  แสดงให้เห็นถึงพละกำลังอันมหาศาล

            เขากำลังเดือดดาล  มันเป็นความผิดหวังอย่างรุนแรง จนก่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนที่ไม่อาจควบคุมได้  เป็นเพราะความงี่เง่าบัดซบของไอ้สิงโตโดยแท้  ส่งผลให้แผนการที่วางเอาไว้ต้องเปลี่ยนแปลงไปหมด  ถึงนี่จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร  แต่เห็นทีจะยอมให้ความกระด้างกระเดื่องของมัน กลายเป็นตัวอย่างให้คนอื่น ๆ พลอยเอาตามเยี่ยงอย่างไปด้วยไม่ได้

            มันจะต้องชดใช้ให้กับความเสียหายในครั้งนี้ !
 

            เวลานี้ คือ โมงยามแห่งการรับโทษทัณฑ์  แม้สิงโตมีฝีมือเก่งกาจเพียงใด ก็ยังต้องถดตัวถอยหนีลนลาน  ความพ่ายแพ้ในอดีตยังคงมีผลตกค้าง ทำให้ความเจ็บปวดที่ได้รับรุนแรงขึ้นเป็นเท่าทวี  เพียงหมัดแรกจากราชันย์พิฆาตก็หนักหน่วงปานค้อนทุบ เรียกเลือดออกมากลบปากได้แล้ว  ไหนจะทีเซลล์ในร่างของตนที่กำลังตื่นตระหนกต่อสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่า ดุร้ายกว่า เหนือยิ่งไปกว่ากับความสามารถที่ไม่อาจเทียบเทียม

            “กูเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าทำอะไรนอกเหนือไปจากที่กูสั่ง”

            เห็นความอำมหิตเต้นเร่าในดวงตาสีทองนั่นแล้ว  ทำให้ราชาวิปลาสไม่กล้าเอ่ยคำแก้ตัว  ได้แต่กัดฟันยอมทนรับความเจ็บปวดแต่โดยดี

          -- อย่างน้อยก็ยังดีกว่าโดนฆ่าตาย --

            หมัดลุ่น ๆ ยังคงประเคนใส่ไม่ยั้ง  จนตอนนี้ ใบหน้าที่ไม่น่าดูอยู่แต่เดิมของสิงโตยิ่งแตกยับ เปื้อนเปรอะไปด้วยเลือด  ภาพดังกล่าวสร้างความเสียวสยองจนหลายคนต้องเบือนหน้าหนี ด้วยมิอาจทนมองดูต่อไปได้  แม้แต่พิจิกเองที่ยืนอยู่ในที่นั้นด้วยก็ตาม

            ราชาแมงป่องตัวสั่น  รู้สึกถึงสัญญาณวัดระดับอันตรายซึ่งดังไม่หยุดในร่าง  ร่องรอยของความโหดร้ายทารุณที่เคยได้รับจากราชันย์พิฆาตในกาลก่อน  ยังคงตกค้างอยู่ในร่างกายและความทรงจำของตนด้วยเช่นกัน

            ยกเว้นก็แต่ วสันต์  ผู้ยืนมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ทางฟากหนึ่ง ด้วยความรู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก
 
            “พวกมึงจงดูซะ  ดูแล้วจำใส่กะโหลกเอาไว้ให้ดี  คนที่กล้าขัดคำสั่งกู  มันต้องมีสภาพแบบนี้”
 
            กรึบ!   กรับ!
  
            เสียงนั้นลั่นดังฟังชัด  มันเป็นเสียงกระดูกท่อนแขนที่ถูกหักจนบิดเบี้ยวจนผิดรูปร่าง  ชายร่างใหญ่ผู้มีผมและนัยน์ตาสีเหลืองอำพัน ใช้มือขวาของตนคว้าจับแขนซ้ายของอีกฝ่ายเอาไว้  ก่อนออกแรงบีบเพื่อบดขยี้มวลเนื้อและกระดูกอันแข็งแรงให้หักออกจากกัน  สิงโตดิ้นพราด ร้องโหยหวนให้กับแขนซ้ายที่สิ้นสภาพในบัดดล  ไม่มีใครกล้าขยับเข้าไปช่วย  แม้แต่บริวารของราชาวิปลาสเองก็ตามที
 
            “อ๊ากกกกก !”
 
            ราชาแมงป่องหรี่ตาลงมองต่ำอย่างอึดอัดใจ  เมื่อต้องประสบทั้งภาพและเสียงอันชวนเสียวสยอง  กลิ่นของโลหิตขุ่นข้นอันแสนคาวสร้างอาการคลื่นเหียนวิงเวียนไม่ใช่น้อย  เขาอดรู้สึกสมเพชคนบ้าผู้เคราะห์ร้ายไม่ได้  แต่เขารู้ดีว่า ราชาวิปลาสจะไม่เป็นอะไร  อย่างดี..แขนข้างนั้นก็แค่ใช้การไม่ได้ไปชั่วระยะหนึ่ง  หรือไม่ก็แค่..พิการ

            พิจิกคิดไปไกลล่วงหน้า  หยั่งความรู้สึกถามใจตัวเองว่า กล้าพอหรือไม่ที่จะงัดข้อต่อกรกับคิงจา  เพื่อแย่งชิงธีราผู้ซึ่งกลายเป็นว่าที่ ‘ผู้หญิงของมัน’ ไปแล้วโดยปริยาย

            ระหว่าง  ‘รักตัวกลัวตาย’  กับ  ‘รักคนหนึ่งจนตัวต้องตาย’  น้ำหนักของสองคำนี้ช่างต่างกันลิบลับเสียเหลือเกิน

            แต่ถ้าให้เลือกระหว่างต้องอุทิศชีวิตตัวเองให้กับใคร

            พิจิกสามารถตอบได้โดยไม่ต้องหยุดคิดเลยว่า   ..ธีรา..  เท่านั้น !

 
            “เอาไงล่ะ ทีนี้ พวกไหนกันวะ ที่มันกล้าลงมือแบบนี้”

            ราชันย์พิฆาตคำราม  สะบัดฝ่ามือไล่คราบเลือดทิ้ง ด้วยสีหน้าท่าทางบอกอาการหงุดหงิดเต็มที่

            “_ฉันว่า ฉันพอจะรู้นะ ว่าไอ้คนที่พาผู้หญิงไปเป็นพวกไหน_”

            วสันต์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ  แสดงสีหน้าไร้อารมณ์ตามปกติวิสัย  ล้วงหยิบของบางอย่างออกจากกระเป๋าด้านในเสื้อสูท เอาออกมาชูขึ้นให้ได้เห็นกันทั่ว  ดวงตาที่อยู่ภายใต้แว่นไร้กรอบเนื้อเลนส์บางใสนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถที่จะอ่านมันออก  ไม่มีใครสามารถคาดเดาความรู้สึกนึกคิดของราชาน้ำแข็งผู้นี้ได้เลย

            “แกรู้หรือว่า ไอ้พวกนั้นมันเป็นใคร วสันต์”

            วสันต์ผงกศีรษะเล็กน้อยแทนคำตอบ  เขาเหยียดมือที่ถือวัตถุในมือไปทางนายบิ่นลูกน้องคนสนิทของคิงจา  ให้เข้ามารับเอาแฟลชไดรฟ์ในมือของตนไป

            “_สถานการณ์ตอนนี้ มันเปลี่ยนไปแล้ว  พวกเราควรจะดู ‘นี่’ กันซะก่อน  บางที อาจจะมีการตัดสินใจอะไรกันใหม่ทั้งหมด_”
            “ดูอะไร ?”
            “_ลองดู  เดี๋ยวก็จะรู้เอง_”

            ราชาน้ำแข็งแย้มพรายเพียงนิด  พลางวางสีหน้าให้แลดูสุขุม เยือกเย็นให้มากที่สุดเท่าที่ตนสามารถทำได้  ใครเลยจะล่วงรู้ว่า ในตอนแรกที่เขาได้มีโอกาสดูภาพบันทึกเหตุการณ์ ซึ่งเป็นไฟล์วิดีโอที่ถูกคัดลอกมาใส่ในแฟลชไดรฟ์อันนี้  แม้วสันต์ผู้ซึ่งปกติมักวางท่าไร้อารมณ์ ไร้ความรู้สึก ก็ยังต้องผงะ  เหงื่อแห่งความประหวั่นพรั่นพรึงผุดซึมถ้วนทั่วทั้งตัวและใบหน้า  ตื่นเต้นตกใจต่อสิ่งที่เห็น อย่างไม่อาจระงับอาการเอาไว้ได้เลยทีเดียว

            บริวารของราชันย์พิฆาตรีบจัดการฉายภาพเหล่านั้น ขึ้นบนหน้าจอขนาดใหญ่บนเวที  ทุกสายตาต่างจับจ้องมองดูภาพเหตุการณ์ซึ่งกำลังถ่ายทอดให้ได้รับชม  ด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างไปจากกำลังรับชมภาพยนตร์สยองขวัญชวนแหวะสักเรื่อง

            ภาพทั้งหมดนั่น คือ ภาพบันทึกเหตุการณ์ระทึกขวัญ จากกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ภายในห้องสีขาว  ภาพแสดงให้เห็นศพของหญิงสาวคนหนึ่งที่จู่ ๆ ก็เกิดกลายร่างขึ้นมาได้ ดุจกลายเป็นปีศาจหรืออสุรกายในร่างคน  ก่อนไล่ล่าหาเหยื่อเพื่อกลืนกิน จนเกิดวิกฤตชุลมุนย่อย ๆ ภายในห้องดังกล่าว

            เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในห้องแห่งความตาย  ภายในคฤหาสน์ของ ‘เก่งกาจ  รวินโชติอังกูร’
 

            “นี่มันบ้าอะไรกัน !”

            คิงจาสบถออกมาอย่างไม่เข้าใจ หันหน้าไปทางวสันต์ ด้วยต้องการคำอธิบายเหมือนกับใครหลายต่อหลายคนในที่แห่งนั้น  สมองของราชาผู้ยิ่งใหญ่ยังไม่อาจตามทันความเข้าใจ  เนื่องจากลืมเลือนใบหน้าของหญิงผู้ตกเป็นเป้าหมายไปแล้ว  คิงจาจึงจำไม่ได้ว่า นั่นคือคนที่ตนได้ออกคำสั่งให้สิงโตไปพาเอาตัวมา

            สำหรับราชันย์พิฆาต  ภาพดังกล่าวเหล่านี้เหมือนเป็นแค่ฉากหนึ่งของหนังจำพวกสัตว์ประหลาด  หรือเป็นเพียงคลิปตัดต่อทำขึ้นมาเพื่อแกล้งอำกันเล่นเท่านั้น

 
            แต่สำหรับพิจิก  ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคล้ายเป็นดั่งฝันร้าย  ชายหนุ่มยืนตัวชา  รับมือไม่ทันกับความรู้สึกซึ่งประดังประเดเข้ามา  ไม่ว่าจะเป็นความตื่นตะลึง ตกใจ หรือแม้แต่ความรู้สึกขยะแขยง ชิงชัง ทุกอย่างตีรวนขึ้นมาพร้อมกัน จนแทบทำให้เขาเป็นบ้า

            ธีรา..  ธีราของเขากลายเป็นสัตว์ประหลาด  ไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้วจริง ๆ น่ะหรือ !

 
            และสำหรับสิงโต  เสมือนหนึ่งความเจ็บปวดลดทอนไปในฉับพลัน  มันอ้าปากค้างมองดูภาพเหตุการณ์เหล่านั้นผ่านลูกนัยน์ตาซึ่งกำลังบวมปูด ด้วยความรู้สึกทึ่งปนอัศจรรย์ใจ  ผู้หญิงคนนั้นก้าวล้ำไปไกลยิ่งกว่าใครทุกคนในที่นี้  ภาพที่ได้เห็นคือการกำเนิดใหม่ของสิ่งมีชีวิต ที่มีการวิวัฒนาการตัวเองขึ้นไปอีกขั้น  สิ่งที่กำลังเห็นด้วยตาของตนในตอนนี้ ไม่ใช่การก่อกำเกิดราชันย์  แต่เจ้าสิ่งนั้นจะเป็นสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งที่สุด จนสามารถขึ้นสู่ยอดบนสุดของวงจรห่วงโซ่อาหารได้อย่างแน่แท้

            ราชาวิปลาสรู้สึกได้  ไม่ใช่แค่เพียงตัวมันเองคนเดียวเท่านั้น  หากแต่ทีเซลล์ภายในร่างของทุกคน ต่างถูกปลุกเร้าให้รับรู้ถึงการปรากฏของสิ่งซึ่งอยู่เหนือกว่า  แม้เป็นสิ่งซึ่งอาจจะนำหายนะมาสู่ทุกคน ในอนาคตที่จะมาถึง
 
          “หึหึ ฮ่า ๆ พระเจ้า  พระเจ้า  พระเจ้า ฮ่า ๆ”
 
            ชายผู้มีอาการทางประสาท ส่งเสียงพร่ำรำพันไม่หยุดปาก  แสดงออกต่ออาการชื่นชมระคนชิงชังต่อภาพที่เห็นอย่างสุดหัวใจ…
 
 


 
++++++++++++++++++++++++++++++

 


Create Date : 30 มีนาคม 2563
Last Update : 30 มีนาคม 2563 14:40:06 น. 0 comments
Counter : 603 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณรัชต์สารินท์


ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zionzany
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เขียนนิยาย

ปลดปล่อยจินตนาการ

ไม่ยึดติดกับแนวไหน

เพราะจะไปให้ถึงที่สุด..

เท่าที่เราสามารถแผ่

กิ่งก้านความสามารถ

ออกไปสู่โลกกว้างได้

ยินดีต้อนรับทุกคน

สู่โลกของ zionzany

ที่นี่ .. ตรงนี้นะจ้ะ
แต่งนิยายทำร้ายผู้อ่าน ..Tcell H-A-V.. ..Tacticle Ball.. ..Kiss Myself.. ..ZhuXian จูเซียน.. ..เพียงฝันนี้ ศรีสุวรรณ.. อยากคูล อยากคัลท์ อยากมันส์ ที่สำคัญ อยาก-เขียน-ให้-จบ Let's rock Baby
New Comments
Friends' blogs
[Add zionzany's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.