! ที่นี่ ! เราเลิกเขียนแล้วครับ ..กับเรื่องธรรมดา ที่คุณสามารถหาอ่านที่ไหนก็ได้
Group Blog
 
 
มกราคม 2563
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
27 มกราคม 2563
 
All Blogs
 
ภาวะที่ 5 : ราชันย์พิฆาต


ขอบคุณภาพปกนิยายจาก คุณรัชต์สารินท์ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ





 

               เวลาสามวัน กับการซุ่มเฝ้าคอยหาโอกาสเหมาะ ในการเข้าถึงตัวผู้หญิงคนหนึ่งนั้น  ช่างไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นงานยาก ชนิดเสี่ยงต่อความปลอดภัยของตัวเอง และอาจขยายวงกว้างไปสู่ส่วนรวม  สามหน้าด่านของกลุ่มสังกัดราชาสีขาว ต่างเฝ้ารอเวลาอย่างกระวนกระวาย  น้ำหนักแห่งความตึงเครียดกดทับลงมาบนบ่า ราวกับพวกเขากำลังทำในสิ่งที่แสนยาก อย่างเช่น แย่งเนื้อในปากเสือก็ไม่ปาน

               ..จะไม่ให้ต้องเครียดได้อย่างไร..  ในเมื่อจู่ๆ ก็พลันปรากฏศัตรูตัวฉกาจขึ้นมาเฝ้าประกบติด กับบุคคลผู้ซึ่งเป็นเป้าหมาย  ไม่มีใครสามารถรู้แน่ชัดได้ว่า ราชาแมงป่องโผล่มาได้อย่างไร  ธีรากับพิจิก ทั้งสองคนนั้นมีความสัมพันธ์กันแบบไหน  อย่างเดียวที่ฮันพอจะประเมินได้  นั่นก็คือ การเข้าถึงตัว ‘ความหวังเดียว’ นั้น  มันไม่ได้ง่ายเหมือนเช่นก่อนหน้านี้อีกต่อไป

               ฮันมีสีหน้าเคร่งเครียดผิดจากปกติ  แนวโน้มความเป็นไปได้ในการฟื้นคืนสภาพของฆีมษ์นั้น จำต้องอาศัยธีราเป็นกุญแจสำคัญ  ราชาสีขาวถ่ายทอดเรื่องเหล่านี้กับมือขวาคนสนิทอย่างไม่ปิดบัง  และที่สำคัญกว่านั้นคือ ฮันถูกย้ำชัดให้ใช้ความระมัดระวัง กับการปฏิบัติต่อหญิงสาว ผู้มีความแปลกแยกแตกต่างจากคนทั่วไป  เพราะไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้ว่า เรื่องที่ธีราเกิดติดเชื้อขึ้นมาในครั้งนี้เป็นเหตุบังเอิญสุดวิสัย หรือถูกกำหนดเอาไว้โดยสิ่งที่มองไม่เห็นกันแน่

               แต่ถึงกระนั้น  กลุ่มราชาสีขาวก็ขออาศัยโอกาสชิงเป็นฝ่ายเริ่มต้นเสียก่อน  ..ก่อนที่ ‘พวกอื่น’ จะล่วงรู้ และออกมาเคลื่อนไหวเพื่อก่อเกิดสงครามการแย่งชิง

               เจ้าของมันสมองอันฉลาดปราดเปรื่องอย่างฮัน  เก็บข้อมูลทุกอย่างและวิเคราะห์อย่างเงียบเชียบ  ในความคิดเห็นของเขานั้น  ตัวบุคคลไม่ได้สลักสำคัญ เท่าความสามารถพิเศษที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้  ซึ่งสิ่งนั้นจะสร้างประโยชน์ให้เกิดแก่ราชาสีขาว และสังกัดที่พวกเขาก่อตั้งขึ้นมากกว่า

               สำนึกแห่งความจงรักภักดี ตรึงแน่นอยู่ในจิตใต้สำนึก  ด้วยเหตุนี้  ทุกลมหายใจเข้าออกของฮันจึงมีแต่ความคิดคำนึงที่จะ ปกปักรักษาราชา และ ผลักดันขุมกำลังให้ขึ้นสู่จุดสูงสุด เท่านั้น

 
               “อนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น  และนั่นจะไม่ใช่แค่พวกเรา..พวกเดียว”

               ฆีมษ์เอ่ยกับคนสนิท ผู้ที่ตนเชื่อมั่นและไว้วางใจ  ฮันส่งสายตาแสดงความกังขาแทนคำถาม  ภายใต้ผ้าห่มผืนสีขาวเนื้อผ้าบางเบาคือขาคู่หนึ่ง ซึ่งยังไม่อาจหยัดยืนขึ้นได้ของราชาสีขาว

               “..เรามองเห็นน่ะ  มองเห็นความหวังของตัวเราเอง อยู่ในตัวของผู้หญิงคนนั้น  เชื่อมั่นขึ้นมาเลยล่ะ ว่าคุณธีราจะทำให้เราหาย  คนคนนี้จะรักษาเราได้”

               ถ้อยคำแห่งความปรารถนาที่ออกมาจากปากผู้นำ นับเป็นความหวังของผู้ติดตาม  แต่ถึงกระนั้น  ฮันก็ยังมีมุมมองในบางเรื่อง ที่ตนนั้นมองลึกลงไปยิ่งกว่า  ถึงแม้ธีราอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญในการรักษาราชาของพวกเขา  ทว่าในอีกแง่หนึ่งนั้น  ธีราคนเดียวกันนี้เอง ที่จะกลับเป็นอุปสรรคในภายหลัง  ถ้าหากปล่อยให้ได้อยู่ใกล้ชิดกับฆีมษ์ หัวหน้าผู้มีความอ่อนโยนเป็นพื้นนิสัย

               เพราะผู้หญิงคนนั้น อาจมีอิทธิพลชักนำให้ราชา กลับมาสู่หนทางของคนธรรมดา  ผู้หญิงที่มีทีเซลล์คนนั้นอาจเกิดขึ้นมา เพื่อดับความทะเยอทะยานและความหวังของฮัน ที่ต้องการผลักดันขุมกำลังของราชาสีขาวให้ขึ้นสู่ที่สูง ก็เป็นไปได้ด้วยเช่นกัน..
 

               “ราชาแมงป่องไปแล้ว  เข้าไปเลยไหม  พี่ฮัน” 

               เด็กหนุ่มวัยรุ่นไฟแรงคนหนึ่ง ผู้เพิ่งเข้าสู่สังกัดได้ไม่นาน เอ่ยถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น  พวกเขาทั้งสามดักซุ่มเฝ้าดูอยู่ในระยะไกล  มองเห็นพิจิกตัวอันตรายที่มาส่งธีราจนถึงหน้าบ้าน  สายตาทุกคู่มองเห็นภาพฝ่ายชาย พยายามจะเข้าสวมกอดอีกฝ่าย แต่กลับถูกฝ่ายหญิงผลักไสให้ออกห่าง  หลังจากรอจนกระทั่งราชาแมงป่องจากไป  คนทั้งสามจึงค่อยออกมาจากรถ ที่จอดห่างออกไปในที่ไกล  ฮันเหลียวมองรอบทิศอย่างระแวดระวังภัย  ก่อนกดกริ่งหน้าบ้านพินิจใจ และรอคอยด้วยสีหน้าท่าทางที่พยายามทำตัวให้แลดูเป็นปกติที่สุด

               ดนู คนตัวใหญ่ทว่าจิตใจอ่อนโยนมากับฮันด้วย  พอคิดว่าจะได้พบกับธีรา  เขาก็มีอาการเก้อเขินขึ้นมาเล็กน้อย  โชคดีที่พิรุธดังกล่าว ไม่ได้อยู่ในความสนใจของคนอื่นที่มาด้วยกัน
 
               “มาหาใครครับ” 

               ธนสรณ์ พี่ชายคนรองของธีรา เปิดประตูออกมาไต่ถามผู้มาเยือน  ฮันมองเห็นแววตาแปลกประหลาดในรูปแบบคล้ายคลึงกันกับธีรา  มันเป็นสายตาที่แสดงออกถึงอาการระแวงไม่ไว้ใจ แต่ก็ดูคล้ายกำลังสนอกสนใจหนักหนา ในเวลาเดียวกัน

               “สวัสดีครับ  พวกเรามาหาธีราครับ”
               ฮันแจ้งความประสงค์ ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแสดงความสุภาพ  

               “มีธุระอะไรครับ”
               ทว่าธณสรณ์ยังคงซักไซ้  ทำสีหน้าเหมือนใคร่อยากรู้เห็นในธุระของแขกเสียเต็มประดา

               “เอ่อ ช่วยบอกธีราทีนะครับว่า ฮันมีเรื่องอยากปรึกษา  ถ้ายังไงล่ะก็.. เดี๋ยวพวกผมรออยู่ข้างนอกนี่ ครับ”
               “พวกคุณเป็นเพื่อน หรือเป็นอะไรกับธีรา  ขอโทษที่ต้องถามนะ เพราะน้องสาวผม ไม่เคยมีผู้ชายมาหาถึงบ้าน แบบนี้มาก่อน”

               มันเป็นอัธยาศัยกึ่งก่อกวน  ธณสรณ์ทำตาใส  เอนตัวยืนพิงขอบประตู วางมาดเป็นพี่ชายผู้ห่วงหวงน้องสาว

               “ผมเป็นเพื่อนครับ”
               “เพื่อนร่วมเรียน หรือ เพื่อนร่วมงาน”
               “อ่า เราเพิ่งรู้จักกัน ไม่นานนี้เองครับ”

               ดนูและเด็กใหม่ข้างหลังฮัน เริ่มขยับตัวกันอย่างอึดอัด  ขณะที่ฮันเองก็เริ่มเกิดความรำคาญคนตรงหน้าขึ้นมาบ้างแล้ว
               
               “งั้นก็คงต้องมีธุระอะไรสำคัญใช่ไหม  ถึงได้มาซะค่ำมืดขนาดนี้”
               “ก็.. มีอยู่ครับ”
               “เรื่องอะไร  บอกได้ไหม”

               “อย่ากวนเพื่อนฉันสิ  พี่สรณ์!”

               แทนคำตอบ  ธีราปรากฏตัวขึ้นทางด้านหลัง  ออกแรงผลักพี่ชายให้กลับเข้าไปในตัวบ้าน  ก่อนปิดประตูต่อหน้าต่อหน้า  นั่นจึงทำให้ธนสรณ์ยอมละจากความสนใจ  แม้หัวคิ้วจะย่นยู่เข้าชนกัน เสมือนเป็นเครื่องหมายอยู่ไม่หายก็ตาม

               ช่างน่าแปลก.. ตรงที่ธนสรณ์รู้สึกราวกับว่า  ตั้งแต่อีกฝ่ายออกจากโรงพยาบาลมา  น้องสาวของตนดูจะเก็บตัว และออกอาการนิ่งเฉยชาผิดไปจากทุกที  เขาเคยได้ยินมารดาบ่นเรื่องพฤติกรรมของน้องสาว ที่มีอาการติดนอนเกินกว่าธรรมดา  น้องสาวคนเล็กใช้เวลานอนมากเสียจนผิดปกติ  และตอนนี้ ดูเหมือนจะมีเรื่องคนแปลกหน้าเข้ามาพัวพัน ให้ต้องนึกเป็นห่วงอีกด้วย

               -- เพราะฉะนั้น เขาจะเฝ้าติดตามเรื่องนี้ ต่อไปอย่างเงียบๆ ไม่ให้น้องสาวรู้สึกตัว --   ธณสรณ์สัญญากับตัวเอง 
 

               “คุณธีรา  เรื่องในวันนั้น ผมต้องขอโทษด้วย  ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณกลัว หรือเป็นอันตรายอะไรเลยจริงๆ นะครับ”

               ฮันเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดขึ้นก่อน  เมื่อเห็นอีกฝ่ายกวาดสายตามองดูพวกตน ด้วยสายตาและสีหน้าแสดงอาการไม่ไว้วางใจ  ธีราแสดงท่าทีเหินห่าง เย็นชาอย่างเห็นได้ชัด  ด้วยเรื่องน่ากลัวในคราวก่อนนั้น ยังคงมีผลตกค้างต่อสภาพจิตใจของตน

               “มีธุระอะไร”

               ฝ่ายเจ้าของบ้านไม่เชิญแขกเข้าข้างใน  หากแต่ยืนกางกั้นประตูบ้านเอาไว้  ด้วยไม่อยากให้สมาชิกในบ้านคนใด ได้ยินการสนทนานี้

               “ผมมาขอโทษ  แล้วก็.. หัวหน้าต้องการที่จะพบคุณ”  ฮันบอกกล่าวอย่างรวบรัดได้ใจความ
               “ฉันจะไม่ไปที่นั่นอีก  หัวหน้าคุณยังอยากจะพบกับฉันอีกทำไม”

               ธีราพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา  ทว่าสีหน้าอ่อนลง เมื่อนึกถึงใบหน้าของฆีมษ์

               “ผมขอพูดตรงๆ กับคุณว่า ที่เราต้องทำแบบนั้นก็เพื่อความอยู่รอด  เหมือนสิ่งมีชีวิตที่ต้องการอาหาร  ถ้าหากเราไม่กิน เราก็จะต้องตาย  ผมกล้าพูดด้วยความสัตย์จริงว่า เราไม่เคยทำให้ใครตาย”

               ผู้ส่งสารกล้าพูดจาเปิดเผยกับอีกฝ่าย เสี่ยงวัดดวงกับจิตใจของคนตรงหน้า ผู้หญิงที่ฮันเชื่อว่า จะสามารถรับเรื่องเหล่านี้ได้ในท้ายที่สุด

               “ฉันไม่กลัวหรอก ความตายน่ะ”

               เพราะผ่านห้วงมรณะมาแล้ว  ธีราถึงได้เอ่ยเช่นนั้นออกไปได้  ถึงตอนนี้ เธอกลับรู้สึกเสียใจด้วยซ้ำที่ตัวเองไม่ได้ ‘ตาย’ เพื่อหลุดพ้นไปจากสภาพอันน่าเวทนานี้

               “ผมขอร้องล่ะ  คุณช่วยไปพบกับหัวหน้าอีกครั้งได้ไหม  คุณธีรา.. คุณจำเป็นต่อเขานะ”

               ธีรานิ่งงัน  คำพูดของฮันฟังคล้ายกับตัวของเธอนั้น มีความสำคัญกับราชาสีขาวเสียเหลือเกิน  นั่นจึงก่อให้เกิดความหวั่นไหว  แต่ทว่าในตอนนี้ คนที่กำลังแสดงออกว่า ‘เธอจำเป็นสำหรับเขา’ ทั้งคำพูดและการกระทำ กลับกลายเป็นราชาแมงป่อง  เพราะนับตั้งแต่ตอนที่เธอลืมตา ฟื้นขึ้นจากความตาย  บุคคลผู้ซึ่งอยู่ด้วยกับตนแทบจะตลอดเวลาก็คือ พิจิก ชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่า ผู้ซึ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและกลิ่นคาวเลือด นั่นเอง

               แม้จะรู้สึกอัดอัดรำคาญ จนนึกอยากผลักไสให้ไกลตัวในบางครั้ง  แต่ถึงกระนั้น คนที่ทำให้ธีรารู้สึกว่า พอจะสามารถพึ่งพิงได้กับสถานการณ์ปัจจุบัน  ก็เห็นจะมีแต่วายร้ายผมยาวสีเทาเพียงคนเดียวเท่านั้น

               “ฉันไม่จำเป็นต่อใครทั้งนั้น  อีกอย่าง.. หัวหน้าของพวกคุณเอง ก็มีคนคอยดูแลอย่างดีอยู่แล้วตลอดเวลา  ถึงฉันไปพบเขา ก็คงช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ”   

               ธีราปฏิเสธทว่าน้ำเสียงอ่อนลง  ความไม่เด็ดขาดดังกล่าวได้เผยช่อง ให้ต้องถูกรบเร้าเซ้าซี้อีกจนได้

               “ไปพบหัวหน้าเถอะครับ  ผมขอร้องด้วยอีกคน  คุณคนเดียวเท่านั้นที่เป็นความหวังในการรักษาหัวหน้า ..นะครับ  คุณธีรา  จะให้ผมทำอะไร ผมก็ยอม”

               ดนูละล่ำละลัก เอ่ยคำวิงวอนขอความเห็นใจ  ดวงตาของคนตัวใหญ่รื้นชื้น คล้ายมีน้ำผุดขึ้นมาตามขอบตา  ความรักที่มีต่อบุคคลผู้หนึ่งอย่างสุดแสนเทิดทูนบูชานั้น  แสดงออกมาทั้งจากวาจาและกริยาท่าทางอย่างไม่คิดปิดบัง  สิ่งนี้เองที่ทำให้ธีราอดนึกทึ่งขึ้นมาไม่ได้  คนเหล่านี้ปฏิบัติตัวเสมือนหนึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์ราชากันอย่างจริงจัง  หากแม้ถึงขั้นต้องพลีกายถวายชีวี  คนเหล่านี้ก็คงไม่รีรอเลยที่จะทำ!

               “อย่าทำให้ฉันลำบากใจเลย  ตอนนี้ ฉันไม่อยากจะขยับไปไหนทั้งนั้น  พิจิก ราชาแมงป่องน่ะ เขาเจอฉัน  แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าเขาต้องการอะไร  เหมือนกับที่ไม่รู้ด้วยเหมือนกันว่า ตัวเองจะทำประโยชน์อะไรให้กับพวกคุณได้  ตอนนี้น่ะ ฉันไม่รู้ และก็ ไม่อยากจะรับรู้ อะไรเลยสักอย่างด้วย”
 
               สำหรับความรู้สึกในตอนนี้  ธีรานึกอยากจะกรีดร้อง ระบายความคับข้องใจ ใส่หน้าคนทั้งหมดนี้เสียเหลือเกิน  ทว่าในความเป็นจริง เธอกลับแสดงออกมาได้เพียงแค่ทำเสียงเหนื่อยหน่าย  ปลดปล่อยสีหน้าแสดงความยุ่งยากลำบากใจ ให้พวกเขาได้เห็น เพียงแค่นั้น

               “ผมเห็นแล้ว  หมอนั่นมาได้ยังไง  แล้วมันรู้ไหมว่า..”

               ..มันรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเราหรือเปล่า..  นั่นคือ คำถามที่ฮันร้อนรน อยากรู้มากกว่าสิ่งอื่นใด  ไม่ว่าสิ่งใดที่จะเป็นเหตุชักนำอันตรายมาสู่ฆีมษ์  ตนย่อมมีสิทธิที่จะสอดส่องป้องกันทั้งสิ้น

               “เขาไม่รู้อะไรไปมากกว่า..ที่รู้ว่า ฉันติดเชื้อ  เขารู้เพียงแค่นั้น  ส่วนเรื่องพวกคุณ  ฉันไม่ได้พูด ไม่ได้เล่าอะไร”

               ดี..  ฮันรำพึงในใจ  ผงกศีรษะทีหนึ่งเป็นเชิงรับทราบ  สมองแล่นคิดหาวิธีจัดการเรื่องต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์แก่ฝ่ายตนให้มากที่สุด  ผิดกับดนูที่เต็มไปด้วยความรู้สึกห่วงใย  มีความปรารถนาดีจากใจจริงต่อผู้หญิงตรงหน้า

               อาจเป็นด้วยความรู้สึกเห็นใจ หรือไม่ก็เผลอไผล  ฮันเผลอยื่นมือออกไป ทำท่าคล้ายจะแตะแขนของอีกฝ่าย  พลันภาพและสัมผัสเมื่อครั้งล่าสุด ตอนที่ตนถูกดูดกลืนเซลล์ก็ผุดพรายขึ้นมา  ทำให้ฮันต้องชะงักงันไป  ร่างกายยังคงมีปฏิกิริยาตกค้างต่อความทรงจำอันเลวร้าย  ทำให้รองหัวหน้ากลุ่มราชาสีขาว ลดมือลงตามเดิมในที่สุด

               หลังจากปล่อยให้ความเงียบสร้างความอึดอัดอยู่ชั่วครู่ใหญ่  ธีราก็ขยับริมฝีปาก กลับมาเอ่ยเอื้อนอีกครั้ง  ท่ามกลางแสงสว่างจากหลอดไฟบริเวณหน้าบ้าน  ผู้ชายทั้งสามกล่าวคำอำลา ก่อนจากไปพร้อมกับความพึงพอใจ  เมื่อหญิงสาวยอมกลับความตั้งใจ  ตกปากรับคำไปพบกับหัวหน้าของพวกเขาอีกครั้ง  

               ธีราถอนหายใจ  เมื่อลองคิดชั่งใจดูแล้ว ก็เห็นสมควรที่ตนจะต้องไปพบกับฆีมษ์อีกสักหน  เพียงแต่ครั้งนี้ ทุกอย่างจะเป็นไปเพื่อตัวของเธอเอง  เพื่อให้ตัวเองได้เรียนรู้เกี่ยวกับทีเซลล์มากกว่านี้  เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ  เธอต้องการที่จะเป็นฝ่ายควบคุมมัน  เธอจะไม่ยอมปล่อยให้แรงผลักดันอันมืดดำภายในร่าง เคลื่อนไหวไปมากกว่านี้อีกแล้ว

               เจ้าสิ่งนี้เริ่มหนักข้อ ทวีความรุนแรงหนักหน่วงมากขึ้นทุกที  ธีรารู้สึกตกใจกับอารมณ์ที่แปรปรวนง่ายของตัวเองในช่วงนี้  ทั้งยังมีอารมณ์ฉุนเฉียวและความโกรธเกรี้ยว ซึ่งคอยแต่จะแล่นริ้วขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล  ความรู้สึกไวต่อความคิดในแง่ลบ  มีแม้กระทั่งความคิดที่อยากจะประทุษร้ายผู้อื่น เพียงเพื่อต้องการระบายอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านข้างใน

               ทั้งที่เมื่อก่อน ความคิดและอารมณ์ชั่วร้ายเหล่านี้ ไม่เคยมีอยู่ในสมองของตนเลย แม้แต่สักนิดเดียว
 

 
++++++++++++++++++++++++
 


 
               ยามวิกาลเป็นเวลาแห่งความเงียบสงบและการพักผ่อน  ยกเว้นก็แต่บางสถานที่ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำลายช่วงเวลาดังกล่าว  เหมือนอย่างเช่น สถานบันเทิงยามราตรีขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งใช้ชื่อว่า  ‘King J’

               ตีหนึ่งกว่าแล้ว  แต่สถานที่แห่งนี้ยังคงคึกคัก  ภายในแน่นทะลักไปด้วยคลื่นมนุษย์ ซึ่งพากันมาแสวงหาความหฤหรรษ์ให้แก่ตัว  บ้างพากันยักย้ายส่ายตัว เต้นไปตามเสียงเพลงอันดังกระหึ่มจากฟลอร์ดีเจ  บางคนอาศัยความมืดสลัวกอดจูบกันอย่างไร้ยางอาย  หลากชีวิตในสวรรค์ชั่วคราวแห่งนี้  มีตั้งแต่เด็กรับรถ ไปจนกระทั่ง เอเยนต์ค้ายาเสพติดทุกระดับชั้น  โดยมีผู้ที่เป็นศูนย์กลางหรืออีกนัยหนึ่ง ผู้ที่คอยควบคุมดูแลทุกสรรพสิ่งในสถานที่แห่งนั้น  ชายผู้ทรงพลังและมีอำนาจกล้าแกร่งเกินคนธรรมดา  ชายผู้ถูกขนานนามเป็นหนึ่งในสามของ ‘ไตรราชาแห่งความกลัว’  หรือก็คือ คิงจา เจ้าของสมญา ‘ราชันย์พิฆาต’ นั่นเอง

               ภายในห้องสีแดงชั้นบนสุดของสถานที่แห่งนั้น  บุคคลผู้เป็นเจ้าของห้องกำลังนั่งเอนกายบนเก้าอี้บุนวม  ไขว้ขาทั้งสองขึ้นเกยบนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่  เรือนร่างดังกล่าวสูงใหญ่กำยำ ล่ำสันด้วยมัดกล้ามและแผงอกกว้าง แลดูแข็งแรงเป็นอย่างยิ่ง  ราชันย์พิฆาตกำลังอยู่ในภาวะอารมณ์เคืองขุ่น  สีหน้าบึ้งตึงดังกล่าวบ่งบอกถึงสภาวะตึงเครียด  ชนิดที่ลูกสมุนทุกคนจำต้องคอยดูสีหน้า และระมัดระวังตัวกันเอาไว้ให้ดี

               ภาพถ่ายจำนวนหนึ่งบนโต๊ะกระจัดกระจายไปทั่ว  ด้วยฝีมือการหยิบจับขึ้นมาพินิจดู ก่อนโยนทิ้งเกลื่อนไปทั่ว ใบแล้วใบเล่าอย่างไม่ไยดี  รูปเหล่านั้นล้วนแต่เป็นภาพเปลือยของหญิงสาว ในท่าทางที่แตกต่างกัน  เพียงแต่มันไม่ใช่ภาพโป๊เปลือยที่ก่อให้เกิดอารมณ์กำหนัด  เพราะมันเป็นภาพถ่ายบันทึกสภาพศพต่างๆ เอาไว้อย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม  บางภาพนั้นสามารถสร้างอาการปั่นป่วนในท้อง  ชวนคลื่นเหียนอาเจียนขึ้นมาได้ง่ายๆ  สำหรับคนที่มีจิตใจไม่เข้มแข็งพอ

               ทว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้ส่งผลอะไร กับคนที่มักทำให้ใครต่อใคร ต้องกลายเป็นศพอยู่บ่อยครั้ง อย่างคิงจาอยู่แล้ว..
 
               “กูอยากรู้จริงๆ ว่า ฝีมือไอ้พวกไหนที่ทำแบบนี้”

               ดวงตาน่ากลัวฉายแววดุดันราวกับพยัคฆ์  กวาดไล่สายตาไปเรื่อยบนภาพอันอุจาด ดั่งต้องการค้นหาสิ่งที่จะสามารถเป็นร่องรอยเบาะแส  คิงพากำลังพูดกับตนเองก็จริง ทว่าฟังคล้ายกับต้องการถามหาเอาคำตอบ จากบุคคลอีกผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ด้วยในห้องนั้น  

               ชายหนุ่มผมตัดสั้น สวมใส่แว่นสายตา  รูปร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงแสล็คสีดำ กำลังนั่งทำสีหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ตรงโซฟามุมห้อง  เขาคือ วสันต์  เจ้าของสมญา ‘ราชาน้ำแข็ง’ ผู้เยียบเย็นทั้งวาจาและการกระทำ นั่นเอง

               “_ตอนนี้ ยังไม่รู้หรอกว่า ฝีมือใคร หรือพวกไหน  ขนาดตำรวจยังมืดแปดด้าน นั่นก็แสดงว่า คนที่ทำมันฉลาดมาก  กลบเกลื่อนหลักฐาน จนไม่เหลือให้สาวถึงตัวได้_”

               วสันต์แสดงความคิดเห็นเสียงเรียบ  วางท่านิ่งเฉยเย็นชา ตามแบบฉบับเฉพาะตัวของตน

               “แล้วมันต้องระยำ เอามาทิ้งไว้แถวนี้ด้วยนะ  มันก็น่าจะรู้ว่าที่นี่  ถิ่นกูดูแลอยู่”

               ราชันย์พิฆาตสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์  มูลเหตุของเรื่องมาจากการที่มีใครบางคน เอาศพหญิงเปลือยปริศนามาทิ้งอำพรางคดีไว้ในท้องที่นี้  ซึ่งมันเป็นเขตพื้นที่ครอบครองของตน ตามการจัดการแบ่งสรรปันส่วนอาณาจักรค้ายาเสพติด ของพวกที่อยู่เบื้องหลังสังคมด้านมืด

               หากศพพวกนั้น เกิดจากเหตุฆาตกรรมตามปกติธรรมดาทั่วไป  เรื่องนี้ก็คงถูกปล่อยผ่านเลยไป โดยไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจแต่อย่างใด  เพราะถือเป็นเรื่องปกติของสังคมมนุษย์ยุคนี้ ที่จ้องจะฆ่าฟันกันเองทุกวี่ทุกวันอยู่แล้ว  ทว่าร่องรอยบนสภาพศพที่ผิดปกติ อย่างเช่น เส้นเลือดซึ่งแข็งตัวขึ้น ปูดโปนไปทั่วทุกส่วน  อีกทั้งร่างกายที่เหี่ยวแห้งลง ราวกับถูกสูบเลือดออกจนเกือบหมดร่างนั้น  มันบ่งบอกเป็นนัยยะเกี่ยวพันกับบรรดาศพปริศนาก่อนหน้า ซึ่งปรากฏอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์  นั่นจึงทำให้ความสงสัยที่มีต่อเรื่องนี้ ถูกเชื่อมโยงเข้าหาพวกเหนือมนุษย์ อย่างพวกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทีเซลล์  คนเหล่านี้จึงถูกเพ่งเล็งสงสัยเป็นอันดับแรก

               การที่มีศพลึกลับไปปรากฏอยู่ในเขตพื้นที่ไหน  ผู้ติดเชื้อทีเซลล์ที่พำนักอาศัยอยู่ภายในบริเวณนั้น จึงเท่ากับมีสภาพตกเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่กลายๆ  โดยเฉพาะคิงจายอดทรชน  คนที่ใครต่อใครต่างก็กระหายที่จะโค่นล้มเขาลง เพื่อขึ้นแทนที่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

               มนุษย์เราก็เป็นแบบนี้..  มีคนรัก ก็ย่อมมีคนเกลียด  มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกียวิสัย ที่ผู้คนต่างเวียนว่ายอยู่ในกิเลสตัณหา  และสำหรับคิงจา เมื่อใดที่ค้นพบว่า มีใครที่คิดร้ายต่อตน เขาก็จะชิงลงมือกำจัดมันผู้นั้นเสียก่อน เพื่อตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม

               ไม่ใช่ความโหดร้ายอำมหิต  เพราะนี่คือ กฎการมีชีวิตของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า อย่างที่ทีเซลล์ในร่างคอยย้ำเตือนกับราชันย์พิฆาตมาโดยตลอด
 
               “_ทำไมวันนี้  ไอ้เด็กซ่าไม่มา_”  

               วสันต์เอ่ยถาม หมายความถึง พิจิก  ผู้ซึ่งหายหน้าหายตาไป ไม่ได้มาข้องแวะกับเขาหลายวันแล้ว

               “มันก็คงไปซ่าตามเรื่องตามราว  เหมือนชื่อของมันนั่นแหละ”

               คิงจาพูดอย่างไม่ใส่ใจ  เพราะคนที่มีมันสมอง สามารถทำประโยชน์ ให้พอจะพึ่งพาอาศัยได้นั้น ก็เห็นจะเป็นวสันต์เสียมากกว่า  ส่วนคนที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราวอะไรอย่างพิจิก ผู้มีนิสัยวู่วาม ชอบทำก่อนคิด  เขาจึงค่อนข้างปล่อยปละไป  ไม่ค่อยเรียกมาใช้งานสักเท่าไหร่

               ทั้งวสันต์และพิจิก คนทั้งสองไม่จัดว่าเป็นลูกน้องหรือบริวาร  เมื่อเทียบชั้นกันแล้ว คล้ายดำรงอยู่ในฐานะพันธมิตรกันมากกว่า  แต่คิงจาก็ได้ทำการรวบอำนาจ ยึดลูกน้องในอาณัติของคนทั้งสองเข้ามาไว้ในสังกัดของตน  คล้ายใช้เป็นหลักประกันในความสัมพันธ์ข้างต้นนี้

               “ว่าแต่ แกล่ะ วสันต์ ไม่มีความอยากบ้างเลยรึ”
               “_นายหมายถึง ผู้หญิงหรือ_”

               ราชาน้ำแข็งตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเย็นชากว่าเดิม  แว่วได้ยินเสียงอึกทึกจากภายนอก ดังเล็ดลอดเข้ามาภายในห้องเก็บเสียงแห่งนี้เป็นระยะ

               “เออสิ อยากรู้เหมือนกันว่า คนอย่างแกมันตายด้านด้วยรึเปล่า หรือของแกมันไม่สู้วะ”
               “_นายอยากลองไหมล่ะ_”

               วสันต์สยบคำถามกวนใจได้อย่างราบคาบ ด้วยคำตอบจากสีหน้าราบเรียบ ทว่าชวนให้คิดเป็นจริงจัง  คิงจาหัวเราะหึ หยุดถามต่อโดยปริยาย  ความน่าคร้ามเกรงของอีกฝ่าย  ชายผู้ซึ่งดำรงฐานะเป็นถึงหนึ่งในสามของ ‘ไตรราชาแห่งความกลัว’ นั้น อยู่ตรงที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้เลยว่า ชายผู้เย็นชาคนนี้กำลังคิดจะทำสิ่งใด  แม้แต่การแสดงท่าที หรือมีความรู้สึกเช่นไร  ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ใครก็ไม่อาจล่วงรู้
 

               เหมือนเมื่อครั้งในอดีต  ตอนที่ราชันย์พิฆาตไล่ล่าราชาน้ำแข็งให้จนมุม  แม้ในช่วงนาทีแห่งความเป็นตาย  สีหน้าของวสันต์ก็ยังไม่เปลี่ยนเลยแม้สักนิด  และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คิงจา ผู้ชินชากับใบหน้าหวาดกลัวของคนอื่นตลอดมา มีอันต้องสะดุด  เพราะคนที่ไม่เกรงกลัวต่อความตายนั้น  ย่อมมีค่าแก่การละเว้นชีวิต ให้อยู่ท้าทายโลกต่อไป

 
               ประตูห้องเปิดออก  พร้อมด้วยร่างของนายบิ่น ลูกน้องคนสนิท ก้าวเข้ามารายงานเรื่องสำคัญ

               “ได้ตัวไอ้อิฐแล้วครับ  จับได้ตอนมันกำลังจะหนีพอดี  ผมเลยลากมันมา ให้คิงสอบมันก่อน”

               ลูกน้องหน้าดุ ร่างใหญ่ยักษ์อีกสองนาย ควบคุมตัวชายวัยรุ่น ตัวผอมเกร็ง ใบหน้าค่อนข้างซูบตอบคนหนึ่งในท่าหิ้วปีกเข้ามา  ยมทูตเฝ้าปากประตูนรกซ้ายขวา ต่างผลักร่างผอมแห้งให้ถลาลงมา คุกเข่าอยู่ต่อหน้าพญายมอย่างไม่ปรานีปราศรัย  คิงจาเหยียดยิ้มนิดประหนึ่งพึงพอใจ  ดีดนิ้วเปาะ  ออกคำสั่งใหม่ให้พวกลูกน้องไปทำสิ่งที่ตนต้องประสงค์

               “มึงสองคน ไปเชิญตัวไอ้สำราญมา  มันอยู่ที่ห้องวีไอพีนั่นแหละ  บอกมันว่า กูต้องการเลี้ยงเหล้ามันสักแก้ว”

               สองยักษ์ใหญ่ค้อมศีรษะรับคำสั่ง ก่อนหมุนตัวรีบออกไปแทบจะในทันที  ดวงตาพยัคฆ์วับวามสะท้อนรับแสงไฟ  เงาที่ทอดตัวทาบทับไปบนผนังห้อง ดูคล้ายเงามืดดำของปีศาจ
 
               อากาศภายในห้องเย็นจัดเกือบเข้าขั้นหนาว  ด้วยเครื่องปรับอากาศทำงานอย่างเต็มกำลัง  แต่ไม่ปรากฏว่า มีใครภายในห้องนั้นที่จะเกิดอาการหนาวสั่น ถึงขนาดควบคุมตัวเองไม่อยู่ เหมือนกับชายร่างเล็กตรงกลางห้อง  เห็นได้ชัดว่า ชายเจ้าของชื่ออิฐนั้น เหงื่อกาฬกำลังแตกพลั่ก นั่งอยู่ในท่าคุกเข่า พนมมือไหว้วิงวอนแก้ต่างให้ตัวเองอยู่อย่างสุดกำลัง  ดูคล้ายภาพคนใกล้ตายร้องขอชีวิตจากมัจจุราช

               “ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ นะครับ  ผมไม่ได้เอาของของคิงมาเลย  ผมสาบานได้!  ผมไม่ได้จะหนีหรืออะไรเลย  จู่ๆ พี่บิ่นก็ลากผมมาที่นี่  ผมสาบานได้นะครับว่า ผมไม่ได้ทรยศต่อคิงเลย  ผมไม่กล้าหรอกครับ  เพราะผมรู้ว่า ถ้าทำแบบนั้นแล้ว ตัวเองจะต้องเจอกับอะไร  คิงต้องสืบสวนหาความจริงก่อนนะครับ  ผมกล้ายืนยันว่า ผมบริสุทธิ์นะครับ คิง”

               ชายคนดังกล่าวละล่ำละลักแก้ต่าง  พูดรัวเร็วชนิดหายใจหายคอแทบไม่ทัน

               “เออ เดี๋ยวก็รู้ว่า มึงพูดจริงหรือโกหกกู  แล้วมึงจะรู้ว่า  อันไหนที่น่าเสียดายกว่ากัน ระหว่างยาไม่กี่เม็ดกับชีวิตสวะของมึง  ไอ้อิฐ!  กูดูแลมึงมาตั้งเท่าไหร่ ยังกล้าเนรคุณกูได้ลงคอนะ”

               ราชันย์พิฆาตกอดอก  ยกเท้าขึ้นถีบยันเข้าที่หน้าอกของลูกน้อง ผู้ทำหน้าที่เป็นสายส่งยาของตนเต็มแรง จนอีกฝ่ายล้มหงายหลังฟาดพื้น  ทว่าก็รีบยันตัวลุกขึ้นมานั่งพนมมือ อยู่ในท่าเดิมอย่างรวดเร็ว ดังไม่กล้าทำสำออย

               “ไม่นะครับ คิง ผมไม่กล้าหรอกครับ  โธ่.. คิงครับ  ไอ้อิฐคนนี้จะกล้าเนรคุณคิงได้ยังไง  ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดเลยนะครับ”   

               ถ้าเข้าไปกอดขาร้องอ้อนวอนขอความเห็นใจได้  ชายคนนี้ก็คงทำไปแล้ว ถ้าไม่ติดตรงที่ว่า มันจะเป็นการเร่งเวลาตายให้เร็วขึ้น

               “ไอ้อิฐ  มึงไม่ได้เอาของกูไปน่ะใช่  แต่มึงกล้าเอาของของคนอื่น เข้ามาปล่อยในเขตกู  มึงคิดว่ากูไม่รู้เหรอ  มึงอย่ากลับลิ้นหมาๆ ของมึงปฏิเสธ  ในเมื่อมึงกล้าทำ มึงก็ต้องกล้ารับ  แล้วกูอาจจะปล่อยมึงไปสักหนก็ได้”

               “ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดทำ  แสดงว่ามีคนใส่ร้ายผม  ต้องมีใครที่มันอิจฉา เพราะผมปล่อยของได้มากกว่าคนอื่น เลยกุเรื่องมาใส่ความผม  ผมกล้าสาบาน  ผมไม่ได้ทำจริงๆ นะครับ”

               “มึงคิดว่า กูหูหนวกตาบอดเหรอ ไอ้อิฐ  กูรู้ว่ามึงรับของใครมา  ไอ้สำราญไง!  กูเลยจะเชือดมึงให้มันดู  มันจะได้เห็นว่า คนที่กล้าเล่นนอกรอบกับกู  มันจะได้รับผลลัพธ์ยังไง  ส่วนหมาเนรคุณ ต้องเลี้ยงไว้แว้งกัดเจ้าของอีกไหม  ไหนมึงบอกกูทีซิ  ไอ้อิฐ!”

               คิงจาตวัดฝ่ามือตบหน้าอีกฝ่ายเสียงดังฉาดใหญ่  หน้าซูบตอบสะบัดหงาย ในจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องเปิดออกกว้าง  เสี่ยสำราญ เจ้าพ่อยาเสพติดขาใหญ่รายหนึ่งก้าวเข้ามา  บนใบหน้าของร่างพลุ้ยใหญ่หนา มีนัยน์ตาเล็กหยีคู่หนึ่ง ซึ่งซุกซ่อนแววเจ้าเล่ห์เพทุบายเอาไว้ไม่มิด  ลำคอและแขนคาดประดับไปด้วยสร้อยทองคำเส้นเขื่อง  นิ้วมือทั้งสิบครบเครื่องด้วยแหวนวงโต  ดังต้องการโอ้อวดฐานะอันมั่งคั่งให้ผู้คนเข้ามาพินอบพิเทา  

               เสี่ยสำราญกระตุกยิ้มบนใบหน้าอวบอูมทักทายเจ้าพ่อรุ่นน้อง  แสดงสีหน้าสงสัยต่อบรรยากาศแปลกๆ ที่กำลังเกิดขึ้นภายในห้องแห่งนั้น..
 
 

 
++++++++++++++++++++++++++++



Create Date : 27 มกราคม 2563
Last Update : 24 พฤษภาคม 2563 12:41:55 น. 0 comments
Counter : 607 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zionzany
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เขียนนิยาย

ปลดปล่อยจินตนาการ

ไม่ยึดติดกับแนวไหน

เพราะจะไปให้ถึงที่สุด..

เท่าที่เราสามารถแผ่

กิ่งก้านความสามารถ

ออกไปสู่โลกกว้างได้

ยินดีต้อนรับทุกคน

สู่โลกของ zionzany

ที่นี่ .. ตรงนี้นะจ้ะ
แต่งนิยายทำร้ายผู้อ่าน ..Tcell H-A-V.. ..Tacticle Ball.. ..Kiss Myself.. ..ZhuXian จูเซียน.. ..เพียงฝันนี้ ศรีสุวรรณ.. อยากคูล อยากคัลท์ อยากมันส์ ที่สำคัญ อยาก-เขียน-ให้-จบ Let's rock Baby
New Comments
Friends' blogs
[Add zionzany's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.