Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
16 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
ลำธารหิมะ





นกกางเขนน้ำจิ๋วยืนนิ่งอยู่บนโขดหิน

แต่ยังไม่ทันได้ยกกล้องสองตาส่องดูดีๆ เจ้านกน้อยก็บินผลุบหายไปหลังก้อนหินใหญ่ สรุปว่ามีเพียงผมกับอาจี๊ดเพียงสองคนที่ทันได้เห็น เมื่อคนอื่นๆวิ่งตามมาถึงเจ้านกน้อยก็หายไปเสียแล้ว แต่คนที่ดูท่าทางเสียใจมากที่สุดก็คงไม่พ้นอาหมอหม่อง เพราะนกตัวนี้เป็นตัวที่แกอยากเห็นมาก ตามหามาตลอดตั้งแต่เมื่อคราวที่ไปอินเดียด้วยกันเมื่อครั้งก่อน และในครั้งนั้นก็มีเพียงผมกับพี่เหน่อแค่สองคนเท่านั้นที่ทันได้เห็น ในครั้งนี้ผมก็ได้เห็นอีกแล้ว หลังจากยืนรออยู่นานแต่ไม่มีวี่แววของเจ้านก หลายๆคนก็เริ่มออกเดินต่อ และพากันไปดู นกไต่ผนัง (Wallcreeper) ที่เราเห็นกันไปเมื่อวันก่อนที่ Sangti Valley แต่คราวนี้เป็นนกตัวผู้ในขนชุดฤดูผสมพันธุ์ที่จะสีสวยขึ้นมาอีก โดยมีคอสีดำสนิท เพิ่มดีกรีความเท่ไม่แพ้ใคร


แต่ผมเลือกที่จะรอเจ้านกกางเขนน้ำจิ๋ว และในที่สุดเจ้านกก็ปรากฏตัวที่ปลายโขดหินอีกด้านหนึ่ง แต่ก็เล่นซ่อนแอบ ผลุบๆโผล่ๆอยู่นาน และอยู่ไม่ค่อยนิ่งเลย สุดท้ายผมก็เข้าใจว่าบริเวณนี้ไม่ได้มีนกกางเขนน้ำจิ๋วเพียงตัวเดียว แต่มีมากถึง 3 ตัว เพราะบางครั้งก็เห็นมันบินไล่กันไปมา จนสุดท้ายมีนกกางเขนน้ำจิ๋วอยู่หนึ่งตัวที่ยอมหากินเป็นหลักเป็นแหล่ง และอยู่นิ่งๆให้เราได้ดูกันชัดๆ หลังจากเรียกทุกคนมาดูผ่านกล้องเทเลสโคปกันจนครบแล้ว(โดยเฉพาะอาหมอหม่อง ที่ในที่สุดก็ได้เห็นสมใจอยาก) ผมก็เริ่มคิดหาทางไปเก็บรูปของเจ้านกน้อยมาให้ได้ แต่จะทำอย่างไรดี ในเมื่อมันอยู่บนก้อนหินกลางลำธาร ที่ทั้งไหลเชี่ยว และเย็นเฉียบขนาดนั้น หลังจากเดินไปเดินมา คิดประมวลผลหาหนทางอยู่นาน ผมก็ตัดสินใจว่า คงไม่มีวิธีอื่นนอกจากลุยน้ำเข้าไปแล้วล่ะ!


เหมือนจะรู้มาก่อน วันนั้นผมใส่กางเกงขาสั้นมาพอดี แถมยังสวมอีแตะมาอีกด้วย เพราะมีโอกาสได้กลับไปเปลี่ยนที่โรงแรมมาก่อนแล้วตั้งแต่ตอนบ่าย พยายามหาเส้นทางอยู่นาน ในที่สุดก็พอจะมองเห็นแนวโขดหินที่ต่อเนื่อง และมั่นคงพอที่จะให้เดินไต่เข้าไปกลางลำธารได้ ถึงแม้จะใช้คำว่า “ลำธาร” แต่ขออย่านึกถึงลำธารในบ้านเรา เพราะลำธารของที่นั่นก็ใหญ่พอๆกับแม่น้ำย่อมๆของเรานี่เอง แต่เนื่องจากน้ำไหลเชี่ยวมาก ทำให้ในที่สุดผมก็ลื่มล้มจนได้ แต่ดีที่จับขาตั้งกล้องไว้แน่น ถ้าพลาดไปแม้แต่นิดเดียว ทั้งกล้องทั้งเลนส์คงได้ฝากทิ้งเอาไว้ที่แม่น้ำสายนี้เป็นแน่ มีเพียงกล้องสองตาที่ตกน้ำ แต่ไม่เป็นไรมากเพราะกล้องพวกนี้มัน waterproof ส่วนเสื้อกันหนาวและเสื้อกันลมที่ใส่อยู่ก็เปียกตามไปด้วยเสียครึ่งหนึ่ง ส่วนกางเกงไม่ต้องพูดถึง หลังจากที่กระเสือกกระสนอยู่นาน ผมก็พาตัวเองมายืนบนลานหินกว้างกลางแม่น้ำใกล้กับจุดที่เจ้านกน้อยอยู่ได้เสียที พอขึ้นจากน้ำนึกว่าจะหายหนาว เพราะอย่าลืมว่าน้ำในลำธารนี้เป็นน้ำที่ละลายมาจากหิมะข้างบน ถ้ายืนอยู่เฉยๆนานๆอาจเป็นตะคริวได้ง่ายๆ แต่พอขึ้นมายืนข้างบนกลับเจออีกปัญหาแทน คือลมหนาวพัดแรงเหลือเกิน ทำเอาขาสั่นจนแทบยืนไม่ได้ ทั้งสั่นทั้งแดง แต่เอาว่ะ ยังไงก็ต้องทน มาได้ถึงขนาดนี้แล้ว ผมค่อยๆย่องเข้าไปใกล้กับนกกางเขนน้ำจิ๋ว ที่กำลังง่วนอยู่กับการไซร้หาตัวอ่อนแมลงที่ซ่อนตัวอยู่ตามซอกหินใต้น้ำ แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ แต่เจ้านกยังอยู่ไกลเกินไป เกินระยะที่เลนส์ 300 มม. บวกกับเทเลคอนเวิร์ตเตอร์ 1.4x จะเอาไหว และนกก็ตัวเล็กเหลือเกิน จะเดินต่อก็ไม่ได้แล้วเพราะข้างหน้าเป็นน้ำตก น้ำไหลแรงเกินกว่าจะฝ่าไปได้ แค่ที่ผ่านมาก็ลำบากมากพอแล้ว จะให้ลุยต่อคงไม่ไหวเป็นแน่


ณ ตอนนั้นนึกวิธีอะไรไม่ออกแล้ว จะทำยังไงดีให้เข้าใกล้นกได้มากกว่านี้ ว่าแล้วก็นึกได้ว่าห้อยพระอยู่นี่นา เป็นไงเป็นกัน ลองดูก็ไม่เสียหาย สุดท้ายเลยได้แต่อธิษฐาน สาธุ ขอสิ่งศักดิ์สิทธ์ดลบัลดาลให้เจ้านกกางเขนน้ำตัวน้อย เขยิบเข้ามาใกล้อีกนิด ให้ได้มีภาพดีๆกลับไปด้วยเถอะ เพราะถ้าพลาดครั้งนี้ กลับไปเมืองไทยก็คงไม่มีให้ดูแล้ว หลับตานึกขอไปเรื่อยเลย


และไม่น่าเชื่อ สุดท้ายเจ้านกกางเขนน้ำจิ๋วตัวนั้นก็เริ่มเดินเข้ามาทางผมเรื่อยๆ กระโดดหากินตามลักษณะท่าทางของมัน เวลายืนบนโขดหินจะแผ่หางถี่ๆเร็วๆ และในที่สุดก็เข้ามาใกล้จนได้ระยะประมาณ 10 เมตร ถือเป็นระยะทำการของเลนส์ผมพอดี ความรู้สึกตอนนั้นมันเต็มอิ่มแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับวันนี้แล้ว ผมไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้ว ก่อนที่จะหันหลังกลับมาและส่งยิ้มให้คนอื่นๆที่ยืนอยู่บนขอบฝั่ง




เมื่อนกน้อยจากไป

ผมก็เตรียมตัวกลับ เผลอลืมไปว่าจะต้องฝ่าฟันอุปสรรคครั้งใหญ่หลวงอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าคราวนี้ดันกลับไม่ไหว ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใด แต่ทำไมมันกลับไม่ได้(วะ) สุดท้ายก็มาติดแหงกอยู่ตรงแอ่งน้ำแอ่งใหญ่ พี่มะเดี่ยวกับอาหมอหม่องเห็นท่าไม่ดีเลยรีบลงมาช่วย พี่มะเดี่ยวถลกขากางเกงเดินลงในแม่น้ำ แล้วค่อยๆหยิบเอากล้องกับขาตั้งไปแล้วส่งให้อาหมอหม่องก่อน จากนั้นก็ช่วยดึงผมขึ้นมาจนได้ แต่สุดท้ายพี่แกก็เกือบเป็นตะคริวเพราะความเย็นจัดของน้ำ แถมยังบ่นภายหลังว่าผมลงไปยืนแช่อยู่อย่างงั้นได้ยังไง


พอกลับขึ้นมาถึงฝั่ง ขาก็เริ่มแดงอีกครั้ง ตัวก็เริ่มสั่นเพราะเสื้อผ้าที่ใส่นั้นเปียกไปหมดแล้ว เลยรีบพากันกลับที่พักก่อนดีกว่า ระหว่างทางผมก็ได้แต่นั่งตัวสั่นพั่บๆเพราะความหนาว พอกลับถึงที่พักเลยรีบวิ่งขึ้นไปจัดการอาบน้ำอุ่นๆ เช็ดตัวให้แห้ง ในขณะที่คนอื่นๆพากันออกไปเดินเที่ยว ชอปปิ้งในตัวหมู่บ้าน แต่ผมขอซุกตัวอยู่ในที่นอนอุ่นๆในห้องก่อนดีกว่า จบไปอีกหนึ่งวันของการเดินทาง




เช้าวันรุ่งขึ้น

เราตื่นนอนกันตามเวลาเดิม นัดกันที่ห้องอาหารเวลา 6 โมงเช้า พี่โอ๋ยังคงนอนซมอยู่ในห้อง เงียบสนิท เช้าวันนี้เราจะไปที่แมนดาลากันอีกครั้ง วันนี้เราออกกันเร็วหน่อย เพราะเมื่อวานไปถึงช้าจนเกินไป และเราจะพกข้าวกลางวันขึ้นไปกินกันข้างบนนั้นด้วย ว่าแล้วเราทุกคนก็ขึ้นรถและออกเดินทาง เราพยายามจอดแวะให้น้อยครั้งที่สุด ถ้าไม่จำเป็น(เช่นมีนกเยอะมาก)จริงๆ ก็จะพยายามไม่จอด ระหว่างทางเราแวะพักกันอยู่ 2 ครั้ง ครั้งแรกบริเวณหุบที่แวะเมื่อวาน วันนี้นกดีกว่ามาก มีฝูงนกกะรางคอขาว (White-throated Laughingthrush) ตัวใหญ่ สีน้ำตาล แต่บริเวณคอเป็นสีขาวสะอาด มากันประมาณ 20 ตัว ฝูงนกเดินดงดำปีกเทาก็ยังคงวนเวียนอยู่เช่นเคย และยังมีฝูงนกเดินดงคอดำ (Dark-throated Thrush) อีกประมาณ 5 ตัว ซึ่งถือเป็นนกอพยพที่หายากมากที่สุดชนิดหนึ่งของเมืองไทยอีกด้วย และยังมีนกหัวขวานอีก 2 ชนิด ได้แก่ นกหัวขวานอกแดง (Crimson-breasted Woodpecker) ที่ในเมืองไทย พบได้เพียงดอยสูงแถบอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และนกหัวขวานดาร์จิลลิ่ง (Darjeeling Woodpecker) ที่ไม่พบในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีนกตัวเล็กๆเช่น นกติ๊ดคิ้วเหลือง (Yellow-browed Tit), นกศิวะหางแดง (Red-tailed Minla), นกศิวะหางสีตาล (Chestnut-tailed Minla) และนกไต่ไม้หางขาว (White-tailed Nuthatch) ตามมาอีกด้วย


จุดที่สองเราแวะเพราะปีเตอร์บอกว่าบริเวณนี้มักเจอนกประเภทนกปากนกแก้ว (Parrotbills) ซึ่งเป็นนกกินแมลง ที่มีปากหนาคล้ายกับปากของนกแก้ว ทุกชนิดหายากหรือพบได้ไม่บ่อย ถือเป็นนกแม่เหล็กสำหรับแถบอรุณาจัลนี้เลยทีเดียว และเราก็เจอกันจริงๆ แต่ฝูงนกมุดอยู่ในป่าไผ่รกมาก สุดท้ายมีผมกับอาจี๊ดที่เห็นรูปร่างหน้าตาพอที่จะบอกชนิดได้ ว่าเป็น นกปากนกแก้วหัวส้ม (Greater Rufous-headed Parrotbill) เพราะเห็นหัวสีส้มสดชัดเจน และส่วนล่างของลำตัวออกสีขาว แต่คนอื่นๆบอกว่าเห็นอีกลักษณะหนึ่ง เราจึงคิดว่ามันน่าจะมาปนกันหลายชนิด น่าเสียดายเหลือเกินที่เราเห็นกันไม่ชัด จากจุดนี้เราเดินกันต่อไปเรื่อยๆ และทันใดนั้นก็มีคนเจอ Fire-tailed Myzornis นกที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดทริปนี้ขึ้นมาอีกตัว สาเหตุที่นกชนิดนี้มีความสำคัญมากเหลือเกินก็เพราะว่ามันสามารถพบได้เฉพาะแถบหิมาลัยตะวันออก และที่สำคัญยังมีสีสันที่งดงามจนเกินคำบรรยาย แม้จะเป็นนกตัวเล็ก แต่ลำตัวสีเขียวราวมรกต ที่ตัดกับขอบหางสีแดงเพลิงของมันนั้น ก็สามารถหยุดสายตาทุกคู่ได้อย่างอยู่หมัด น่าเสียดายที่ผมเห็นเพียงแค่เงาไวๆตอนเจ้านกบินหนีออกไป มีเพียงไม่กี่คนที่ได้เห็น แต่ก็ไม่เป็นไร เรายังพอมีหวังไปตามเก็บได้ที่จุดอื่นอีก


เราเดินกันมาเรื่อยๆ จนเจอกับคลื่นนก หรือ Bird Wave อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็คือการที่นกต่างชนิดกันรวมตัวมาเป็นฝูงใหญ่ และมาพร้อมๆกันในทีเดียว เพื่อต้อนให้เหล่าแมลงเกิดอาการตกใจ และหนีออกมาให้นกน้อยน่ารักเหล่านั้นได้เขมือบเล่นเป็นอาหาร ซึ่งในทางการดูนกถือว่าเป็นโอกาสดีเพราะเราอาจได้เจอนกแปลกๆปะปนมากับคลื่นด้วย แต่เนื่องจากที่นี่คืออินเดีย ดังนั้นคลื่นนกในครั้งนี้จึงน่าตื่นตาตื่นใจไปหมดแทบทุกตัว เริ่มต้นด้วยนกมุ่นรกสีทอง (Golden-breasted Fulvetta) ที่มีสีสันจัดจ้าน อกและท้องเป็นสีเหลืองทองอร่าม ตัดกับลายสีขาวดำบนใบหน้า มักจะมาเป็นชนิดแรกๆในคลื่น ตามมาติดๆด้วยฝูงนกกระจ้อยหน้าดำ สีสัน สวยสดไม่แพ้กัน และยังมีนกปากนกแก้วหูเทา (Black-throated Parrotbill) นกปากนกแก้วอีกชนิดที่สามารถพบได้ในประเทศไทยด้วยเช่นกัน และนกเขนน้อยคิ้วขาว (White-browed Bush Robin) ที่ไม่มีในเมืองไทย ตัวผู้สีสันสวยงาม ลำตัวด้านบนสีเทาน้ำเงิน ตัดกับท้องสีส้ม และคิ้วยาวสีขาวโดดเด่นอีกด้วย


สักพักหนึ่งหลังจากคลื่นนกเริ่มซา ก็มีเสียงร้องของนกในกลุ่มนกกะราง (Laughingthrushes) ซึ่งเป็นกลุ่มนกเด่นของอรุณาจัลอีกกลุ่มหนึ่ง ดังขึ้นมาจากหุบด้านล่าง เราอดทนเฝ้ารออยู่นาน เพราะนกพวกนี้ขี้อายมาก แม้จะตัวใหญ่ เสียงดัง และสีสวยสดก็จริง แต่ด้วยนิสัยที่ชอบมุดอยู่แต่ในพุ่มไม้ ไม่ค่อยยอมโชว์ตัวทำให้เราไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นมันชัดๆเสียที เสียงร้องยังคงดังต่อเนื่อง เราเริ่มเห็นพุ่มไม้สั่นไหว และในที่สุดฝูงนกก็เริ่มเผยตัวออกมา เราพบว่าในฝูงนี้มีนกกะรางปะปนกันมากถึง 3 ชนิดอันได้แก่ นกกะรางหัวแดง (Chestnut-crowned Laughingthrush) นกกะรางสีข้างเทา (Grey-sided Laughingthrush) และนกกะรางลายจุด (Spotted Laughingthrush) ซึ่งตัวหลังออกมาให้เห็นเพียงแว้บเดียวเท่านั้น และยังเป็นตัวที่สวยที่สุดอีกด้วย ทำเอาหลายๆคนบ่นอุบว่าเสียดายที่ยังเห็นไม่ชัด เมื่อเหตุการณ์ณ์สงบลง เราก็ขึ้นรถและออกเดินทางต่อไป





















Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 7 ตุลาคม 2553 19:03:29 น. 20 comments
Counter : 771 Pageviews.

 
รูปสวยๆทั้งนั้นเรยคับ อยากรู้จังใช้เทเลระยะไหนถ่ายคับ..ขอบคุณคับที่เอารูปสวยๆมาให้ชม


โดย: สิบเข็ม IP: 58.8.189.244 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:15:56 น.  

 
เล่ารายละเอียดต่างๆ อ่านแล้วหยั่งกะมืออาชีพมาเองเลยล่ะครับ


โดย: อะไรคือสิ่งหายาก แต่ไม่มีค่า วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:41:43 น.  

 
แวะมาทักทาย ขอบคุณที่เอารูปมาฝากค่ะ




โดย: CindyD วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:44:02 น.  

 
ถ่ายภาพสวยมากๆเลยคะ เก่งจังเลย


โดย: the river of Aquarius วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:04:43 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณต้น...คุณต้นป่ะคะ?

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เข้ามาบลอคนี้นะคะ
เคยเข้ามาแอบอ่านและแอบดูรูปบ่อย ๆ อิอิ
(เป็นแฟนลับ ๆ ค่ะ)

เรื่องวะบิ-ซะบิเหรอคะ...ไม่เคยอ่านเลย
แต่ฟังดูน่าสนใจมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ
ไว้จะลองไปหาอ่านแน่ ๆ ค่ะ

เดี๋ยวเข้ามาอ่านใหม่นะคะคุณต้น จะอ่านย้อนไปด้วย
เห็นว่ามีหลายตอนมาก ๆ ๆ ๆ


โดย: นางสาวดุ่บดั่บ วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:09:11 น.  

 

แฟนขับ มารายงานโต๋ฮับ

ออย เพลงเพราะจับใจ ^____^


โดย: พี่บัวจ้า ^____^ IP: 202.47.238.144 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:32:20 น.  

 
Wowwwwwww
รูปนกสวยสุดๆไปเลยค่ะ


โดย: Hana* วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:06:09 น.  

 
เห็นรูปเปิดแล้วต้องบอกว่าต้นใจเด็ดจริงๆ คือเป็นห่วงเลนส์ขาวๆอ่ะค่ะ (อ้าว จริงๆน่าจะเป็นห่วงต้นนะ)

แต่รางวัลคุ้มค่ากับความใจเด็ด.. (อ่านแล้วมิน่าเล่าเราถึงถ่ายนกได้ตัวเท่าหัวเข็มหมุด) รูปนกที่ได้มาสวยมากๆค่ะ


จะว่าไปบล็อกนี่ก็เท่ากับหนังสือทำมือแบบอีเล็คโทรนิคนะคะ สมัยนี้ทำง่ายกว่าสมัยก่อนเยอะเลย แต่ก่อนต้องลงทุนอัดรูปขนาดที่ต้องการ ตัดรูปและก็ค่อยๆเขียนด้วยลายมือตัวเอง... กว่าจะเสร็จเล่มหนึ่งทั้งเหนื่อยทั้งนาน..

เรื่องหิมาลัยนี้ต้นเขียนสนุกรูปก็สวยมากๆ..
เขียนจนจบแล้วลองเอาไปจัดไปเล่มสวยๆพิมพ์ออกมาเย็บเล่มสิคะ...
อย่าลืมออกแบบหน้าปกด้วยนะคะ (ทำหนังสือเองสนุกตรงได้ออกแบบปกนี่แหละ ชอบทำหลังจากที่ทำเสร็จแล้วทั้งเล่มรู้สึกว่าได้ความรู้สึกถึงเส้นชัยประมาณนั้น ก็บางเล่มทำเป็นเดือนเลย)

แต่อย่าจบเร็วเลยนะคะ คนอ่านชักจะติดลมไม่อยากให้จบเลย


โดย: SevenDaffodils IP: 69.140.210.74 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:36:15 น.  

 
อ่านเรื่องราวแล้วสุดยอดจริงๆ
ผมทึ่งตอนที่น้องลุยน้ำเข้าไปถ่ายรูปนกนี่แหละ

เพราะเคยรู้รสชาติของการแช่น้ำเย็นซี่งเพิ่งละลายจากน้ำแข็งมาหมาดๆ
ขามันจะชา และสักพักผิวหนังจะบวมแดง

พี่ก็เป็นโรคเดียวกันเลย
เพราะถ้าหากเราสนใจหรือว่าอยากเจอสิ่งใดแล้วเนี่ย
จะไม่ค่อยสนใจว่าต้องฝ่าอะไรไปหา
เพราะตอนนี้จิตใจเรามันมุ่งไปอยู่ที่จุดหมายของเราอย่างเดียวแล้วนี่นา

เยี่ยมครับ

........................................

นก Laughingthrushes ชื่อแปลกดี
ดูๆจากชื่อแล้ว เสียงของมันคงเจื้อยแจ้วดีเป็นแน่แท้

เค้ามีเวปที่ให้เข้าไปฟังเสียงของนกชนิดต่างๆมั่งมั้ยน่ะ?
อยากฟังซะแล้วว่าเจ้าตัวนี้มันร้องอย่างไร

........................................

อีกไม่กี่วันต้นก็คงต้องไปร่ำเรียนแล้วสิน่ะ
รู้สึกใจหายเหมือนกัน

ทั้งๆที่ไม่เคยเจอตัวเป็นๆ แต่ก็รู้สึกผูกพันในมิตรภาพ

เอาเป็นว่าขอให้ต้นขยันเรียน จะได้กลับมาทำงานพัฒนาบ้านเมืองเราต่อน่ะครับ
และพี่หวังว่าน้องคงจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ และภาพถ่ายสวยๆ
ถึงแม้พี่ไม่ชม คนอื่นก็ต้องชมอยู่ดี
เยี่ยมจริงๆครับ


โดย: Dr.Manta วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:28:54 น.  

 
อ่านแล้วลุ้นอยู่นานว่าจะได้ภาพนกหรือเปล่า
ทำไมไม่เห็นมีภาพมาให้ดู
ปรากฏว่าอยู่ท้ายๆพร้อมภาพเบื้องหลังด้วย

ภาพสวยๆกับโฉมหน้า นกกางเขนน้ำจิ๋ว

ชอบภาพทุ่งข้าวบาร์เลย์สวยเหมือนภาพวาด ชอบชอบ



โดย: fzero วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:1:15:01 น.  

 
นอกจากเอนทรี่นี้จะได้เห็นความบ้าระห่ำ + บ้าบิ่น ของเจ้าต้น
เห็นนกหายากอีกหลายๆตัว

เรายังเห็นด้วยว่าไอ้ต้นเป็น "ขาใหญ่"



โดย: nanoguy IP: 125.24.78.128 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:3:35:58 น.  

 
ลุยน้ำที่เย็นๆๆๆ สุดยอดเลยค่ะ

ว่าแต่ได้ภาพมาสมใจใช่ไหมคะ ภาพที่ทำให้มีที่มาของเบื้องหลังความสำเร็จ นกกางเขนน้ำจิ๋ว ซูมมาได้ใจจริงๆ


โดย: cottonbook วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:56:40 น.  

 
อ่อ ขอตอบเพิ่ม
เห็นถามไว้ที่บล็อกว่าเคยฟัง The Ghost That Carried Us Away ของ Seabear หรือเปล่า
ไม่เคยฟังเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวจำชื่อไปไว้ลองหามาฟังนะ


โดย: cottonbook วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:58:10 น.  

 
อืม แมนดาลาวันที่ 2 นี่ป้าพลาดไปอีกเพียบเหมือนกันแฮะ


ชักอยากแก้มือเต็มทน ... 2009 เจอกัล !!!!

รวมเล่มได้เลยนะเนี่ย ต้น หนุกมั่กๆ อ่ะ


โดย: โป่งวิด วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:53:49 น.  

 
ถ่ายออกมาได้สวยมากๆ ครับ เก่งจริงๆ


โดย: haro_haro วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:21:01 น.  

 
อ่านเรียบร้อยแล้วครับ


เก่งจริงๆเลย ดูนกมันเป็นกิจกรรมที่ยากลำบาก เราเคยสงสัยว่ามันสนุกยังไงที่ต้องบุกป่าฝ่าดงไปตั้งไกล เพื่อไปสงบนิ่ง ดูนกน้อยๆ

เราสงสัยว่ามันสนุกยังไงเหรอ ที่สุดท้ายก็ไปยืนสงบนิ่ง ไม่สามารถเข้าใกล้ได้มากกว่านี้ ไม่สามารถแตะต้องได้ เพราะสุดท้ายมันก็จะบินไปจากเรา

ตอนนี้พี่ก็ไม่เข้าใจครับ แต่พี่ก็ชื่นชมในความพยายามของต้นมากๆครับ

รูปแรกถ้าไม่บอก ไม่รู้เลยน่ะว่าต้นน่ะ ดีน่ะที่ต้นตัวหนา น้ำมันเลยไม่พัดลงไป


โดย: AguileraAnimato วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:40:20 น.  

 
^
^
+ บรรทัดสุดท้ายนี่ แปลว่า "ต้น-อ้วน" ป่ะคับ? ... กร๊ากๆๆ (แซวเล่นเน้อ ) ... แถมโดนตี้แซวว่า ขาโต๊ะบิลเลียด อีกต่างหาก เอิ๊กๆ

+ โอยยย ... ยิ่งอ่านก็ยิ่งสนุก เห็นด้วยกับ คห. บนๆ ว่าซักวันนึงน่าจะรวมเล่มได้นะคับเนี่ย
+ นับถือในความพยายาม 'ย่อง' เข้าไปดูนกของต้นเลยครับ ... เพราะน้ำเย็นขนาดนั้น เป็นพี่ คงบายตั้งแต่เอาตัวไปแตะแล้วอ่า พาลจะไม่สบายเอาได้ง่ายๆ เลยนะนั่น ยิ่งสภาพภูมิอากาศไม่เหมือนบ้านเราอยู่ด้วยอ่า

+ รอลุ้นตอนต่อไป ว่าทริปนี้จะโพสต์จบก่อนต้นจะไปเรียนต่อรึเปล่าอ่ะครับ
+ ขยันอ่านสือสอบ final ด้วยเน้อ เทอมสุดท้ายแล้น ... แล้วก็รักษาสุขภาพด้วยจ้า


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:15:18 น.  

 


ขอยืมไอเดีย หัวใจแห่งหิมาลัยหน่อยน่ะครับ
ช่วงนี้น้องต้นท่าทางจะยุ่งๆ

พักผ่อนมากๆน่ะครับ
อีกไม่กี่วันแล้วนิ จะได้ออกเดินทางไปเมืองอาทิตย์อุทัยแล้ว
อย่าลืมถ่ายภาพสวยๆและนำเรื่องเล่าดีๆมาฝากด้วยน่ะครับ


โดย: Dr.Manta วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:12:39:19 น.  

 
ต้นต้น
คิดถึงที่สุดเลยอ่ะ
แวะมากล่องเก็บหิมาลัย แต่ยังไม่ได้อ่านเลย
ดูรูปก่อนล่ะกัน ไว้กลับบ้านจะตามเก็บ
สบายดีนะเนี่ย โอ้ย คิดถึงๆ ดูแลตัวเองล่ะ


โดย: pangz IP: 158.108.213.72 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:04:50 น.  

 
สู้สุดใจจริง ๆ เลยนะคะน่ะ ลุยลำธารที่ละลายมาจากหิมะลงไป
แค่คิดก็สยองวาบเลยค่ะ ว่ามันจะหนาวและเย็นสักแค่ไหนกันน้อ
แล้วไม่หนาวเหรอคะ ถึงใส่ขาสั้นและลากแตะไปได้ ฮ่ะ ๆ
แต่ว่ารูปที่ได้มานี่ก็คุ้มยิ่งกว่าคุ้มจริง ๆ ค่ะ ชัดเจนและงดงาม
แต่ตอนนี้คุณต้นไหว้ขอพระ ถึงกับขำพรืดออกมาเลยทีเดียว
เอาเป็นว่า คุ้มจริง ๆ ได้น้องนกกางเขนน้ำจิ๋วกลับมา

Fire-tailed Myzornis เค้าสวยจริง ๆ นะคะ เขียวจับใจจริง ๆ
รู้สึกว่านกทุกตัวจะกลม ๆ น่ารักคล้าย ๆ กันเลย
แหะ ๆ พูดตามประสาคนไม่ค่อยรู้เรื่องนกน่ะนะคะ

อยากเห็นคลื่นนกจังเลยค่ะ ว่าจะเป็นยังไง ไม่มีรูปให้ดูเหรอคะ
ท่าทางจะอลังการงดงามน่าดูชมเลยทีเดียวเชียว


โดย: นางสาวดุ่บดั่บ วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:6:12:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Unravel
Location :
Beppu, Oita Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Unravel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.