Group Blog
 
<<
มกราคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
19 มกราคม 2551
 
All Blogs
 
เรื่องราวดำเนินต่อไป





พวกเรายืนดูฝูงไก่ฟ้าสีเลือดผ่านกล้องเทเลสโคปอยู่นาน

สักพักแม้แต่ อ.นุช กับ อ.ชัยรัตน์ ก็ยอมเดินเข้ามาสมทบและเราก็อยากให้อาจารย์ทั้งสองคนได้ดูกันมาก เพราะอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลจากหาดใหญ่ มาถึงเทือกเขาหิมาลัย ถ้าไม่ได้ดูนกเด็ดของที่นี่คงน่าเสียดายอย่างที่สุด พวกเราชาวเชียงใหม่ยังรู้สึกไม่เสียดายเท่า เพราะเรายังอยู่ใกล้หิมาลัยกว่าเค้ามาก อาการของอาจารย์ทั้งสองดูท่าไม่ค่อยดีเลย หลังจากอิ่มเอมกับภาพไก่ฟ้าแสนสวยจนพอใจแล้ว ทั้งสองท่านก็รีบกลับเข้าไปที่รถทันที ส่วนผมและคนอื่นอื่นก็เริ่มไม่ไหวแล้วเหมือนกัน เพราะอากาศเย็นลงทุกที รองเท้าก็เริ่มเปียกเพราะจมอยู่ในหิมะมานาน เราเลยเริ่มเดินออกมาจากจุดนั้นเพื่อกลับขึ้นรถกัน


ปรากฏว่าพอเดินเลยมาได้เพียงหนึ่งโค้งก็เจอพี่โอ๋ยืนส่องนกอยู่ เราเลยรีบพุ่งเข้าไปหาพี่โอ๋กันใหญ่ ต่างคนต่างรู้สึกเสียดายแทนเพราะพี่โอ๋อดดู ทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง อาจี๊ดก็อยู่ตรงนั้นเช่นกัน และเลือกที่จะตัดใจด้วยคำว่า “หยิ่ง” ถ้านกมันไม่มาให้ดู ก็จะไม่ดู แล้วเราก็นั่งรถลงกัน


แสงแดดเริ่มจางลงทุกที ระยะทางยังอีกไกลจึงจะถึงที่พัก เรานั่งรถลงมากันเรื่อยๆจนกระทั่ง “…….” เครื่องยนต์ของรถคันที่ผม, พ่อ, อาอู๋และอาจี๊ดนั่งอยู่ก็ดับลง รถไม่ยอมสตาร์ทเลย คนขับไม่รู้จะทำยังไงเลยต้องปล่อยให้รถไหลลงไปเรื่อยๆ เราก็ได้แต่นั่งหวาดเสียวเพราะบางช่วงก็ชันมาก อาอู๋ก็ไม่อยากให้ต้องดับเครื่องลงไปอย่างนี้เรื่อยๆเพราะมันอันตราย สุดท้ายเราก็ไหลมาจนทันรถอีก 2 คัน ที่กำลังจอดอยู่ข้างทาง สอบถามได้ความว่ากำลังดูนกเดินดงดำคอขาว (White-collared Blackbird) กันอยู่ เราเลยถือโอกาสปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี ตรงจุดที่จอดนั้นเป็นหมู่บ้านชาวเขาขนาดเล็ก สุดท้ายผม, พ่อ, อาอู๋กับอาจี๊ดก็ได้ย้ายไปนั่งเบียดกันกับคนอื่นๆในรถอีก 2 คัน และทิ้งคนขับรถกับรถคันที่เสียเอาไว้ตรงนั้นก่อน แล้วคนขับอีก 2 คนที่เหลือจะตามขึ้นมาช่วยซ่อมรถให้ทีหลังเมื่อลงไปถึงที่พักแล้ว


ท้องฟ้ามืดมิด ป่ารอบข้างดำมืด ไม่มีแสงไฟใดๆนอกจากไฟหน้าของรถทั้งสองคัน วันนี้เราเพลียกันมาก ผมพยายามนอนหลับ แต่ก็ค่อนข้างลำบากเพราะนอกจากถนนจะขรุขระแล้ว ยังมีอาการเวียนหัวและเมารถอีกด้วย คนขับค่อนข้างที่จะรีบมากเพราะไม่อยากปล่อยให้เพื่อนต้องรออยู่บนนั้นนาน ท่ามกลางความมืดมิด แสงสว่างของไฟหน้ารถอาจจะไม่สว่างนัก ไม่สว่างพอที่จะทำให้เห็นสิ่งที่หลบอยู่ในเงามืดของป่าทึบรอบข้างได้ แต่ก็เพียงพอที่จะประคับประคองให้ทุกชีวิตเดินทางไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย



แมนดาลา

คือชื่อสถานที่ที่เราจะไปกันในวันรุ่งขึ้น เราตื่นกันแต่เช้า เริ่มชินกับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บกันแล้ว ดีที่ให้ห้องพักมีผ้าห่มหนาๆให้ได้เอามาพันตัวให้อุ่นหลายผืน แต่งตัว เตรียมอุปกรณ์เสร็จเรียบร้อยผมก็เดินลงมาสมทบกันคนอื่นๆที่ห้องอาหาร อากาศยามเช้าสดชื่นที่สุด ท้องฟ้าแจ่มใสเผยให้เห็นแสงทองที่ฉาบลงบนยอดเทือกเขาหิมะที่เราเพิ่งไปมาเมื่อวาน จากห้องอาหารสามารถเห็นแนวเทือกเขาหิมะได้สบายๆ ทำให้บรรยากาศการรับประทานอาหาร และการดื่มกาแฟยอดเยี่ยมขึ้นมาอีกเป็นกอง


ระหว่างนั้นเราก็ทราบข่าวร้ายว่าป้าโอ๋จะไม่ได้ไปกับเราด้วยในวันนี้ เพราะป่วยหนักมาก ณ ตอนนั้นทุกคนเป็นห่วงกันมาก เพราะอาการหนักจริงๆ สุดท้ายได้ความว่าติดหวัดมาจากเมืองไทยก่อนอยู่แล้วด้วย พอมาเจอสภาพอากาศแบบเมื่อวานบวกกับอาการแพ้ความสูง ผลลัพธ์จึงออกมาไม่น่าดูเลย ป้าแกก็เริ่มท้อใจ บอกว่าอาจจะต้องกลับเมืองไทยก่อนเพราะตอนนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ เราก็ใจหาย


เราออกจากที่พักกันราว 6 โมงเช้า หยุดดูนกกันเรื่อยๆระหว่างทาง พอเจอนกตัวไหนก็อดไม่ได้ที่จะบ่นเสียดายที่ป้าไม่ได้มาดูด้วยกัน เราเสียเวลาอยู่แต่ละจุดนานมาก มีนกเยอะพอสมควร ตรงจุดแรกเป็นหมู่บ้านเล็กๆริมลำธาร มีแปลงข้าวบาร์เล่สีเขียวสวย และดอกท้อสีชมพูบานสะพรั่ง ณ จุดนี้เราพบนกหายากของเมืองไทยที่มีสีสันสวยงามชื่อ นกเขนน้อยสีทอง (Golden Bush Robin) ที่ลำตัวของนกตัวผู้ชนิดนี้มีสีเหลืองท่องเปล่งปลั่ง ตัดกับแถบคาดตาสีดำเข้ม เท่อย่าบอกใคร กระโดดมุดอยู่ตามพุ่มไม้ริมนาข้าว เหตุผลหนึ่งที่ทำให้นกชนิดนี้เป็นนกหายากคือนิสัยที่ขี้อายสุดๆของมัน น้อยครั้งที่จะยอมออกมาให้เห็นโล่งๆ แต่สุดท้ายก็มีนกตัวเมียที่มีเหลืองซีดกว่าออกมากระโดดบนก้อนหินใหญ่ริมน้ำให้เราได้เห็นกันชัดๆ นอกจากนั้นบริเวณนี้ยังมีฝูงนก Rufous-breasted Accentor อีกฝูงใหญ่ ซึ่งปีเตอร์บอกว่าหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่มี Accentor เยอะที่สุดในโลก และต่อมาหลังจากที่เรานั่งรถขึ้นมากันเรื่อยๆ เราก็เริ่มที่จะเห็นด้วยกับคำพูดของปีเตอร์เข้าแล้ว


จุดต่อมาที่เราแวะเป็นป่ากุหลาบพันปี หรือโรโดเดนดรอน (Rhododendron) โปร่ง สลับกับไม้ประเภทก่อ โชคดีที่ช่วงนี้ดอกกุหลาบพันปีกำลังเบ่งบานอยู่พอดี อวดพุ่มดอกสีแดงสด ละลานไปทั่วป่า ดึงดูดเอาฝูงนกมากมายให้เข้ามากินน้ำหวาน ตรงจุดนี้พวกเราได้นกใหม่คือนกเปลือกไม้พันธุ์ยูเรเซีย (Eurasian Treecreeper) หน้าตาแปลกประหลาด มีนิสัยชอบไต่ไปตามลำต้นของต้นไม้ ปากและหางยาว ตัวสีน้ำตาลมีลายคล้ายกับเปลือกไม้สมดังชื่อ แต่ก็อยู่ไม่ค่อยนิ่ง ชอบไต่ยุกยิกไปมา และยังเจอนกหายากของเมืองไทยอีกตัวคือนกกินปลีแดงหัวไพลิน (Fire-tailed Sunbird) ตัวผู้สีแดงฉานงดงามสมชื่อ เข้ามากินน้ำหวานจากดอกกุหลาบพันปี เช่นเดียวกันกับนกหางรำสีสวย (Beautiful Sibia) ซึ่งไม่สามารถพบเห็นได้ในเมืองไทย ที่ไม่ว่าจะพยายามดูอย่างไรก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า “สวย” และยังมีนกในกลุ่มนกกระจิ๊ดตัวน้อย ชื่อหรูหราว่า Goldcrest บนหัวมีขนหงอนเล็กๆสีเหลืองทองอีกด้วย


จุดที่สามที่เราแวะมีสภาพเป็นหุบลึกข้างทางล้อมรอบด้วยป่าดิบเขา เราจอดรถตรงจุดนี้เพราะมีฝูงนกเดินดงดำปีกเทา (Grey-winged Blackbird) อีกหนึ่งนกอพยพที่หายากเอาการในเมืองไทย เราพบว่าฝูงนกเดินดงฝูงนี้กำลังเข้ามากินลูกไม้ซึ่งอยู่เหนือถนน ประชากรส่วนใหญ่เป็นตัวเมีย มีนกตัวผู้ปะปนอยู่ไม่มาก นอกจากนี้ก็ยังมีนกเขนสีฟ้าท้ายสีน้ำตาลเจ้าเก่า ฝูงนกติ๊ดหัวแดง (Black-throated Tit) ตัวเล็ก น่ารัก กลมปุ๊กไม่มีคอ แถมยังมีหางยาวแหลมดูเผินๆเหมือนลูกชิ้นเสียบไม้ ฝูงนกระวังไพรอกลาย (Streak-breasted Scimitar Babbler) ที่ไม่มีให้ดูในเมืองไทยก็ออกมากระโดดหากิน นกหัวขวานท้องแดง (Rufous-bellied Woodpecker) ที่มีลำตัวสีน้ำตาลแดงสวยงามออกมาเกาะนิ่งๆให้เราได้ดูกันจนอิ่มอกอิ่มใจ ฝูงนกภูหงอนก้นแดง (Rufous-vented Yuhina) ตัวเล็ก ก็บินมาเกาะกันตามยอดไม้ และสุดท้ายฝูงนกกระจ้อยหน้าดำ (Black-faced Warbler) ตัวจิ๋ว ลำตัวสีเหลืองสดตัดกับลายบนหน้าสีดำสนิทสวยงาม ก็บินออกมาให้พวกเราได้ดูด้วยเช่นกัน นกตรงจุดนี้ดีเหลือเกิน จนเราตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เช้าเราจะพยายามรีบขึ้นมาให้ถึงตรงนี้แต่เช้า ไม่ไปเสียเวลาอยู่กับจุดอื่นๆข้างล่างแล้ว


เรานั่งรถกันต่อไปเรื่อยๆ ถนนสายเล็กลัดเลาะขึ้นไปตามขอบเขา พื้นที่บริเวณนี้ถูกรบกวนค่อนข้างมาก เพราะมีหมู่บ้านตั้งอยู่เยอะ ตลอดสองข้างทางสามารถเห็นร่องรอยการตัดไม้ทำลายป่าได้อยู่เป็นระยะๆ ยิ่งบางช่วงมีการเผาป่าจนหมดเกลี้ยงเหลือเพียงแต่ตอไม้ดำๆ กับทุ่งหญ้าโล่งกว้างที่ใช้สำหรับการเลี้ยงตัวจามรี หรือ Yak นั่นเอง ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย แต่หากมองในมุมกลับกัน สำหรับชาวบ้านนั้น การมีป่าอาจไม่สำคัญ หรือไม่สามารถสร้างประโยชน์แก่พวกเขาได้มากเท่ากับการมีตัวจามรี เพราะพวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็นการตัดขนมาทำเครื่องนุ่งห่ม การรีดนมมาดื่ม หรือแล่เนื้อมากิน


ในบางช่วงที่สองข้างทางเปิดโล่ง พวกเราสามารถมองเห็นแนวเทือกเขาหิมะที่เราไปมาเมื่อวานได้ จากมุมนี้ก็จะเห็นแนวเทือกเขาหิมะในรูปแบบที่แตกต่างออกไปจากที่โรงแรม แต่สิ่งที่เราทุกคนสังเกตได้คือ ภาพเทือกเขาหิมะในวันนี้ไม่สดใสเท่าเมื่อวาน ฝุ่นละอองและหมอกควันจากหุบเขาด้านล่างลอยขึ้นมาบดบังวิวทิวทัศน์จนทำให้เทือกเขาสวยใสสีขาวตัดกับขอบฟ้าสีน้ำเงินเข้มซีดจางลง ไฟป่าเกิดขึ้นมากเหลือเกินตั้งแต่เมื่อคืนก่อน แต่ก็ยังดีกว่าสภาพหมอกควันที่เมืองไทยมาก ช่วงที่เราบินออกจากเชียงใหม่เป็นช่วงที่เริ่มประกาศภาวะวิกฤติพอดี ไม่นึกเลยว่าจะมาเจออีกที่อินเดีย


ยิ่งไต่ระดับขึ้นสูงมากเท่าไหร่ ป่าไม้ก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น จนกระทั่งถึงจุดที่เป็นแนวป่าสน ก็แทบจะไม่เหลือต้นไม้ชนิดอื่นแล้ว เรายังโชคดีที่ได้เจอนกประจำถิ่นแถบหิมาลัยที่หาดูได้ค่อนข้างยากอีกตัวหนึ่งคือนกจาบปีกอ่อนคิ้วแดง (Crimson-browed Finch) สีสันสวยงาม ตัวผู้มีคิ้วและลำตัวสีแดงสด ในขณะที่ตัวเมียสลับกันกับตัวผู้คือมีส่วนที่ตัวผู้มีสีแดง กลายเป็นสีเหลืองแทน บินข้ามหัวเราไปเกาะนิ่งหลบอยู่ในต้นสนขนาดใหญ่


ต้นสนที่นี่ต้นใหญ่มาก อยู่เมืองไทยไม่เคยเห็นต้นสนที่ไหนจะมีขนาดใหญ่โตมโหฬารได้ขนาดนี้เลย เล่นเอาเราคำนวณอายุกันไม่ถูกเลยทีเดียว นั่งรถกันต่ออีกสักพักเราก็เริ่มเห็นสีขาวของหิมะประปรายอยู่ตามพื้นดิน ทั้งที่อากาศร้อนขนาดนี้แต่หิมะก็ยังละลายไม่หมด ตรงตัว Mandala เองนั้นมีความสูง 3000 เมตรโดยประมาณ เป็นหมู่บ้านชาวเขากลางป่า ป่าบริเวณนี้ไม่ใช่ป่าสน หากแต่เป็นป่ากุหลาบพันปี มีต้นกุหลาบพันปีขนาดยักษ์มากมาย ซึ่งในความจริงก็จะทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ น่าเสียดายเหลือเกินที่ดอกกุหลาบพันปีด้านบนนี้ยังไม่บาน ไม่อย่างนั้นพวกเราคงได้อ้าปากค้าง ตกตลึงพรึงเพริดกันเป็นแน่ เพราะไม่ใช่แค่เพียงลำต้นเท่านั้นที่มีขนาดมหึมา แต่ใบก็มีขนาดใหญ่มากด้วย ความกว้างนั้นกว้างกว่าฝ่ามือเราเสียอีก เราไม่กล้าจินตนาการกันเลยว่าดอกของมันนั้นจะใหญ่และงดงามขนาดไหน


เราแวะพักกินข้าวเที่ยงกันก่อนที่จะนั่งรถลง กลับสู่ที่พัก หลังกินข้าวพวกเราต่างก็บ่นถึงนกชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามป่าสนบนภูเขา เป็นนกประเภทอีกา มีชื่อเสียงเรียงนามว่า Eurasian Nutcracker หรือหากจะแปลแบบตรงตัวเป็นภาษาไทยแบบไม่กลัวติดตลกก็คงจะแปลได้ว่า นกแกะถั่ว


กำลังออกรถเตรียมลงเขากันพอดี สายตาก็ไปสะดุดอยู่กับก้อนดำๆก้อนหนึ่งบนปลายยอดไม้ไกลลิบ ผมรีบเอากล้องสองตาส่องดูและภาพที่เห็นก็หาใช่ใครไม่ มันคือนกแกะถั่วที่พวกเราทุกคนตามหากันอยู่นั่นเอง แต่ไม่ทันที่จะได้เรียกคนอื่นๆเจ้านกก็โผบินออกจากยอดไม้ลงไปในหุบด้านล่างเสียก่อน หน้าตาของมันนั้นจะว่าธรรมดาก็ไม่เชิง แต่ก็ไม่ถึงกับแปลกประหลาด ตัวหนาสั้นคล้ายอีกา แต่ปากใหญ่ แหลม ตรงเด่นชัด มีจุดสีขาวประปรายทั่วตัว เวลาบินจะเห็นหางสีขาวจั๊วะชัดเจน นิสัยของมันนั้นก็เป็นไปตามชื่อ คือหากินอยู่กับลูกไม้ โดยเฉพาะลูกสนนั่นเอง แต่วิธีการกินของมันนั้นเป็นอย่างไรผมก็ไม่เคยเห็นเสียด้วยสิ



เราลงมาถึงที่พักกันตอนบ่ายแก่ๆ

ผมมีโปรแกรมจะเดินย้อนกลับมาถ่ายรูปเจ้านกเขนฟ้าท้ายสีน้ำตาลตัวผู้ที่เกาะเด่นเป็นสง่าอยู่ริมรั้วปั๊มน้ำมันแถวที่พัก ปรากฏว่าลมแรงมาก อากาศเริ่มปิดมากขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาตัวเกือบปลิวต้องค่อยๆเดินช้าๆ เพราะในมือก็กำลังแบกอุปกรณ์อยู่เต็มไปหมด กลัวเหลือเกินว่าจะเกิดอุบัติเหตุซ้ำซากอีก โชคยังดีที่เจ้านกยังคงอยู่ที่เดิม น่านับถือมันจริงๆ นกตัวเล็กนิดเดียว แต่ก็ยังกล้าเกาะสู้ลมหนาว ที่พัดแรงจนเห็นขนของมันปลิวกระจุยออกมาเลยทีเดียว


เดินกลับมาถึงที่พักอีกครั้ง ก็รู้ว่าคนอื่นๆวางแผนกันว่าจะไปดูนกกันแถวริมแม่น้ำบริเวณทางขึ้น Sela ที่เราไปกันมาเมื่อวานนี้ เพราะอยากเห็นนกกางเขนน้ำจิ๋ว (Little Forktail) หน้าตาคล้ายนกกางเขนบ้านสีดำ-ขาว ที่เราเห็นกันจนชินตา แต่น่ารักกว่ากันมาก ลำตัวอ้วนกลมเหมือนของเล่น แถมหางยังสั้นกุดน่ารักอย่าบอกใคร แล้วจากนั้นก็กลับลงมาเดินตลาดในเมือง Dirang กันเสียหน่อย


เมื่อไปถึงที่หมาย แต่ละคนก็แยกย้ายกันออกไปเดิน ผมเตรียมอุปกรณ์เสร็จเรียบร้อยก็ออกเดินไปพร้อมกับอาจี๊ด เดินไปได้ไม่เท่าไหร่ก็สะดุ้งเฮือกกับเสียงตกใจของอาจี๊ด “Little Forktail!!!”





















Create Date : 19 มกราคม 2551
Last Update : 7 ตุลาคม 2553 19:03:47 น. 15 comments
Counter : 510 Pageviews.

 
ขออภัยสำหรับทุกท่านในความล่าช้า
ปล่อยให้กล่องหิมาลัยกล่องนี้ฝุ่นจับไปเสียนาน
ด้วยสาเหตุหลากหลายประการ
ไม่ว่าจะเรื่องปัญหาชีวิต ปัญหาความยุ่ง
แต่ที่สำคัญก็คือความขี้เกียจ เอิ๊กเอิ๊ก
สุดท้ายก็ตัดสินใจฮึดสู้และลุกขึ้นมานั่งเขียนต่อจนได้



และโปรเจคนี้ก็กลายเป็นโปรเจคข้ามปี
อย่างที่คิดเอาไว้จริงจริงด้วย


โดย: Unravel วันที่: 19 มกราคม 2551 เวลา:15:10:42 น.  

 
มาขอสมัครเป็นหิมาลัยเลิฟเวอร์ด้วยคนครับ
เจ๋งมากๆ

ภาพถ่ายก็สวย
(เมื่อกี้แวะไปดูเวปไซต์มาแล้ว)

เดี๋ยวจะแวะมาอ่านเรื่อยๆน่ะครับ


โดย: Dr.Manta วันที่: 20 มกราคม 2551 เวลา:22:20:53 น.  

 
นกแกะถั่ว เออ.. ก็แปลตรงตามตัวนี่นะ อิอิ

นกติ๊ด น่ารักจัง มันน่าจะต้องมีแอโรไดนามิกที่ดีพอควร สองปีกเล็กๆ ถึงได้รับน้ำหนักตัวกลมๆ ปุ๊กลุกของมันได้เนอะ


โดย: อั๊งอังอา IP: 124.120.115.168 วันที่: 21 มกราคม 2551 เวลา:15:12:18 น.  

 
+ อุๆ แวะเข้ามาตามล่า ... เอ๊ย ตามอ่าน หิมาลายาอุมา (เลียนแบบ 'เพชรพระอุมา') ตอนต่อไปครับ นี่กว่าจะจบ พี่ว่าคงได้เวลาต้นไปดูนกต่อที่ญี่ปุ่นพอดีเลยมั้งเนี่ย เอิ๊กๆ

+ รูปแรกนี่ คือกุหลาบพันปี ใช่ป่ะครับ? พี่เคยได้ยินชื่อมานาน เพิ่งเคยได้พินิจใกล้ๆ ก็ครานี้เอง ดูสวย มีเสน่ห์ไม่ใช่เล่นนะเนี่ย

+ เรื่องการผจญภัยบนสันเขาสูงที่เล่ามา น่ากลัวเอาการเลยทีเดียว ... นับว่าโชคดีนะครับที่ต้นได้เห็นนกที่อยากจะเห็นเกือบครบ (ดูนก ต้องอาศัยโชคและจังหวะด้วยแหละเนอะ) ต้องอย่างงี้สิถึงจะคุ้มค่าที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาไกลสุดขอบฟ้าอ่ะเนอะครับ

+ เอนทรี่นี้รูปน้อยไปหน่อยแฮะ แต่คุณภาพของรูปก็ 'ไม่หน่อย' เช่นเคย

+ รอติดตามตอนต่อไป (เมื่อไหร่ไม่รู้จิเนี่ย) อ่ะครับ


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 21 มกราคม 2551 เวลา:19:29:12 น.  

 
เคยไปตามหาอ่านหิมาลัยที่ Group Blog ว่าเราพลาดไปหรือเปล่า แต่ปรากฎว่าหายไปหมดเลย ในที่สุดก็ได้กลับมาและได้อ่านต่อ ดีใจ

เห็นภาพแรกแล้ว ก็เพิ่งไปเห็นกุหลาบพันปีมาเหมือนกันที่ดอยม่อนจอง แต่เราไม่เอาภาพของเรามาให้ดูดีกว่า

เห็นภาพแล้วต้องหาโอกาสไปบ้าง

จะรอเรื่องราวต่อไปกับ Little Forktail นะครับ

ปล. กลับมาแล้ว ยังไงก็กลับไปเยี่ยมบลอกได้เหมือนเดิมแล้วนะคร้าบ



โดย: fzero วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:0:32:16 น.  

 
รออ่านโปรเจ็คต์ข้ามปีนี้ต่อไป
เขียนดีเหมือนเดิมนะเอ็ง
(ถ่ายรูปสวยเหมือนเดิมด้วย เฮ้อ ยิ่งเห็นยิ่งอนาถใจตัวเอง 555)


ปล. ขอเป็นครูภาษาไทยนิดนึง
"คลิก" เค้าไม่ต้องใส่ไม้ตรีเฟ้ย


โดย: nanoguy IP: 125.24.83.189 วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:8:10:39 น.  

 


เห็นรูปแล้วอยากไปเที่ยวด้วยจังเลย


โดย: คนไกล...สุดขอบฟ้า วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:9:06:38 น.  

 
อ่านตอนรถดับแล้วไหลลงมาเรื่อยๆนี่หวาดเสียวตามไปด้วยเลย
โล่งอกไปทีที่ลงมาอย่างปลอดภัยค่ะ

ดูเป็นการเดินทางที่น่าสนุกดีนะนี่
มีกลิ่นอายของดึกดำบรรพ์ดีค่ะ อยากเห็นกุหลาบพันปีเท่าฝ่ามือบ้าง

ภาพสวยอีกเช่นเคย น่าไปเขียนหนังสือขายจริงๆ


โดย: Hobbit วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:10:19:32 น.  

 
เข้าใจเลยต้น บางทีมันก็มีเรื่องที่ต้องหยุดเขียนไปหรือมีอะไรมาขัดจังหวะ

+++

ต้นเล่าว่าป้าโอ๋ป่วย นึกภาพตามแล้วสงสารจัง เวลาไปเที่ยวแล้วป่วยนี่แย่เนอะ จากสนุกๆอยู่ดีๆ เฮ้อ อย่างพี่ก็แปลกนะ เวลาไปไหนจะโชคดี ไม่ค่อยป่วยอะไรกับคนอื่น เที่ยวได้สนุกสนานเลยละ เดินมันตลอด ว่างๆก็เดิน สำรวจโน่นนี่ มีความสุข

แต่กลับบ้านทีไรไข้ถามหาทุกที จะมาไม่สบายตอนถึงบ้านนี่ล่ะ แล้วก็จะแย่ไปเป็นเดือน เหอเหอ

+++

หิมาลัยนี่ พี่ชักไม่แน่ใจว่าจะได้ไปบ้างหรือเปล่า กลัวๆอยู่ เดี๋ยวภูมิแพ้กำเริบ อยากน่ะอยากนะ อยากมากด้วย การที่ได้สูดอากาศบนยอดเขามันเยี่ยมจริงๆเลย สดชื่นที่สุด พูดแล้ว เห็นที่ต้นไปแล้วก็อิจฉา ชิส์ 555+

+++

แล้วคุยกันคร้าบ โชคดีๆนะ เอ้อ เวลาไปเที่ยวเมืองไทย มันก็ไม่มีที่ให้ไปมากมายหรอก มันก็ไปตามๆกัน รูปถ่ายมันก็เลยเหมือนๆกัน 55+



โดย: yibby วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:14:20:10 น.  

 
+ แวะมาดู ... ยังเหลือเด็กไม่ได้ทำการบ้านพร้อมๆ กับพี่อีก 1 คน อุๆ อย่างงี้พี่ต้องรีบปั่นแล้วแฮะ มะงั้นเด๋วจะส่งการบ้านครูหมีชุนเป็นคนสุดท้ายอ่า


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:17:11:02 น.  

 
เพิ่งเคยเห็นทัชมาฮาลน้อยครับ
น่ารักดี เหมือนย่อส่วนมาจริงๆด้วย
รายละเอียดเหมือนกันเป๊ะเลย

^
^^
^^^

แต่พี่เสร่อกว่า
ตอนที่ไกด์พามาเที่ยวที่นี่ พี่ก็นึกว่าที่นี่เป็นทัชมาฮาลจริงๆซะอีก
ก็ยังนึกๆอยู่ว่าทำไมดูในโปสการ์ด ทัชมาฮาลมันสวยกว่านี้ว่ะเนี่ย

มารู้อีกทีตอนอ่านป้ายครับ 555


โดย: Dr.Manta วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:22:33:21 น.  

 
แหม ... อัพหิมาลัยแล้วก็ไม่บอก

เราพลาดนกไปมากมายก่ายกองขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

... แง ... Goldcrest

แล้วที่เจอเจ้าไก่อกเลือดน่ะ อยู่ไม่ไกลจากพี่โอ๋เหรอ เสียดายมากๆๆๆ



โดย: โป่งวิด วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:52:17 น.  

 
มั่วๆเข้ามา ได้อ่านด้วย...
วันนี้ง่วงแล้ว.. ไม่เขียนยาว

อยากบอกว่ารูปสุดท้ายสวยถูกใจมากค่ะ..
อ่านสนุกเหมือนเคย... ดีใจที่ในที่สุดก็จับปากกามาเขียนให้อ่านอีกจนได้ค่ะ


โดย: SevenDaffodils IP: 69.140.210.74 วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:16:58 น.  

 
น่าเสียดายแทนพี่โอ๋จริง ๆ ด้วยค่ะ
แต่นะ...ร่างกายต้องมาก่อนเป็นสำคัญ
ตกลงต้องกลับเมืองไทยก่อนหรือเปล่าคะนี่
ถ้าอย่างนั้นยิ่งน่าเสียดายเข้าไปใหญ่
แต่นึกภาพแล้วสยองเลยค่ะ อากาศน้อย ๆ
บรรยากาศเย็นจัดแล้วก็ต้องเดินจมหิมะด้วย

น่ากลัวนะคะ รถเสียกลางเขาซะอย่างนั้น

นกติ๊ดหัวแดงน่ารักจังค่ะ...ตัวกลมปุ๊กนิดเดียวเอง

ตามต่อค่ะ



โดย: นางสาวดุ่บดั่บ วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:5:55:55 น.  

 
กลับมาต่อละ อ่านข้ามปีเลย

การเดินทางของนักดูนก น่าสนใจค่ะ น้องต้นเล่าได้เก่งจริง ๆ

ทั้ง ๆ ที่การดูนกดูเนิ๊กอะไรนี่ไม่ได้อยู่ในข่ายความสนใจพี่เลย แต่อาศัยชอบเรื่องการเดินทางและที่สำคัญ ภาพสวยถูกใจตลอด !!!


โดย: prunelle la belle femme วันที่: 19 มกราคม 2553 เวลา:19:01:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Unravel
Location :
Beppu, Oita Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Unravel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.