Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
24 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
ป่าดึกดำบรรพ์ หิมะ จาปาตี





ณ แมนดาลา

เรามาถึงกันเกือบเที่ยงพอดิบพอดี ตามแผนที่วางไว้ว่าจะมากินมื้อเที่ยงกันที่นี่ ระหว่างทางที่นั่งรถกันขึ้นมาก็มีนกให้เห็นบ้าง ส่วนมากคือเหยี่ยวทะเลทรายพันธุ์หิมาลัย (Himalayan Buzzard) นกกระจอกป่าท้องเหลือง (Russet Sparrow) และนกภูหงอนคอลาย (Stripe-throated Yuhina) ตัวเล็ก น่ารัก มีหงอนยาวตั้งเป็นรูปสามเหลี่ยม


เรานั่งรถเข้ามาลึกกว่าที่มาเมื่อวาน เลาะไปตามถนนลูกรังบนสันเขา จนกระทั่งเริ่มมองเห็นแนวเทือกเขาหิมะที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นต้องเป็นประเทศภูฐานแน่นอน เพราะอีกด้านหนึ่ง หรือด้านเสลาที่เราไปมาเมื่อวันก่อน คือฝั่งธิเบต ต้นไม้ใหญ่แทบทุกต้นบริเวณนี้ ดูหน้าตาเก่าแก่มีอายุกันทั้งนั้น เพราะรกรุงรังไปด้วยสิ่งที่เรียกกันว่า “ฝอยลม” ซึ่งเป็นไลเคนชนิดหนึ่ง ไลเคนนั้นคือส่วนประกอบของสาหร่ายกับรา เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้เป็นดัชนี้ชี้วัดคุณภาพอากาศได้อย่างดีเยี่ยม เพราะไลเคนหลายๆไม่สามารถทนต่อมลพิษได้ ฝอยลมก็เป็นไลเคนอีกชนิดหนึ่งที่ทนต่อมลพิษได้น้อยมาก แต่สำหรับที่นี่เราถึงกับตื่นตาตื่นใจกับ “ต้นฝอยลม” หลายๆต้น ซึ่งความจริงคือต้นไม้ใหญ่ที่ตายแล้ว แต่ถูกปกคลุมไปด้วยฝอยลมจนดูเผินๆราวกับเป็นใบของต้นไม้ต้นนั้นเลยทีเดียว ซึ่งภาพแบบนี้หาไม่ได้แล้วในเมืองไทย


แต่หลังจากที่เราเริ่มรู้สึกว่าเป็นการเสียเวลาที่จะนั่งรถต่อไปเรื่อยๆ เพราะหนทางดูจะไม่มีที่สิ้นสุด และแดดก็ร้อนเหลือเกิน เราจึงหันหลังกลับและมานั่งพักกินอาหารเที่ยงกันกลางป่ากุหลาบพันปีดึกดำบรรพ์ มื้อเที่ยงของเราเป็นมื้อเที่ยงแบบอินเดี๊ย...อินเดีย ประกอบไปด้วยจาปาตี คล้ายๆแผ่นโรตีที่เรารู้จักกันนั่นเอง แต่จะหนานุ่ม และด้วยกลวิธีใดก็ไม่ทราบ อร่อยกว่าแผ่นโรตีที่ขายในเมืองไทยมาก เป็นอาหารหลักของชาวแขก เหมือนข้าวของเรานั่นเอง แต่จาปาตีพกพาสะดวกกว่าเยอะ เหมาะกับการพกไปกินกลางป่าแบบนี้จริงๆ ราดหน้าด้วยแกงสีเหลืองๆ ที่มีกะหล่ำดอก กับมันฝรั่งเป็นส่วนประกอบหลัก อยู่ที่นี่เรากินเจ้าแกงอย่างที่ว่านี้กันจนชินไปแล้ว ซึ่งมันก็อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว แต่วันนี้สงสัยทุกคนจะหิวกันมาก เลยกินกันจนเกลี้ยงเลย จนลืมนึกไปว่าคนขับรถเรายังไม่ได้แตะเลยสักนิด ทำเอาเราทุกคนรู้สึกผิดกันใหญ่ หันไปก็เห็นคนขับนั่งเคี้ยวจาปาตีเปล่า ใจเราก็ตกฮวบไปอยู่ที่ตาตุ่ม


ตรงจุดที่เราแวะพักนั้นมีลักษณะเป็นแอ่งกว้าง เหมือนพื้นดินยุบลงไป กลายเป็นสนามหญ้าใหญ่ๆ ล้อมรอบด้วยดงดอกกุหลาบพันปีไซส์บิ๊กที่หาไม่ได้ในเมืองไทย ตามพื้นมีหิมะปกคลุมเป็นหย่อมๆ ดูแล้วแปลกตาพิลึก พอทุกคนจัดการกับอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มออกเดินดูนกกัน โดยตกลงว่าจะเดินย้อนลงไปตามถนนข้างล่าง แล้วอีกสักครึ่งชั่วโมงค่อยให้รถตามลงไปเก็บ แต่เผอิญว่าตรงแอ่งกว้างนั้นมีเจ้านก Winter Wren ตัวเล็ก คล้ายนกกระจิบ เป็นนกที่พบเฉพาะแถบยุโรปและหิมาลัยกระโดดหากินอยู่ และเป็นอีกตัวที่ผมอยากได้รูปมาก เลยขอว่าจะอยู่ตรงนี้ก่อน ให้คนอื่นเดินลงไปเลย แล้วก็บอกแดเนียลว่าจะขอเดินเข้าไปแถวๆป่าหลังแอ่งนี้สักหน่อย ถ้าจะไปแล้วก็บีบแตรรถเรียกละกันจะได้วิ่งขึ้นมา ปรากฏว่าเจ้า Winter Wren ตัวจ้อยนั้นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมเลยเดินเลาะเข้าไปในป่ากุหลาบพันปีเรื่อยๆ ปรากฏว่าข้างในนั้นยังมีแอ่งขนาดใหญ่อีกแอ่งหนึ่ง แถมยังมีลักษณะเป็นแอ่งน้ำขัง คล้ายป่าพรุ ถ้าใครที่เคยไปดอยอินทนนท์แล้วได้ขึ้นไปที่ยอดดอย จะมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ชื่อว่า เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา อยู่ ลักษณะพื้นดินตรงนี้ก็คล้ายๆกับพื้นในอ่างกาเลย คือเป็นดินเปื่อยๆ สะสมไปด้วยเศษใบไม้และชื้นแฉะเพราะมีน้ำขังตลอดทั้งปี แต่ยังไม่ทันไร “พรึ่บๆๆๆ” นกสีน้ำตาลลายตัวใหญ่สองตัวบินขึ้นมาจากแอ่งน้ำด้านล่างนั้น หายเข้าไปในแนวป่าด้านข้าง พร้อมกับส่งเสียงร้องดังอยู่นาน รูปร่างของนกทั้งสองตัวก็พอจะบอกได้ว่าเป็นนกประเภทไก่อย่างแน่นอน ตัวใหญ่ หนา แถมยังอยู่บนพื้น ผมพยายามส่องหาตัวนกทั้งสองบนต้นไม้แต่ก็หาไม่เจอก่อนที่เสียงร้องจะไกลออกไป และเงียบหายไปในที่สุด ในตอนนั้นที่พอคิดได้ก็มีเพียงนกประเภทไก่ฟ้าในกลุ่มที่เรียกว่า Tragopan ซึ่งถ้าเป็นตัวผู้มักจะมีสีแดงสดและประพรมด้วยจุดสีขาวทั่วทั้งตัว ส่วนตัวเมียจะเป็นสีน้ำตาลตุ่นๆ ลายพร้อย ซึ่งมักมีรายงานเจอได้แถวนี้ทั้งหมดประมาณ 3 ชนิด นอกจากกลุ่ม Tragopan แล้ว ที่พบได้แถวนี้ก็มีไก่ฟ้าสีเลือดอีกตัว ซึ่งเห็นไปแล้วที่เสลา แต่เสียงร้องของมันนั้นแตกต่างกันมาก เสียงของเจ้าสองตัวนี้ไม่เหมือนกับเสียงของไก่ฟ้าสีเลือดที่เห็นที่เสลาเลยแม้แต่น้อย ผมเลยตัดสินใจว่าเดี๋ยวกลับลงไปจะต้องไปขอฟังเสียงของกลุ่ม Tragopan จากปีเตอร์เสียหน่อย


หลังจากหายตกใจกับไก่ปริศนาสองตัวนั้น ผมก็เริ่มเดินต่อเข้าไป กะว่าจะลองไปนั่งเฝ้าอยู่แถวชายป่าริมแอ่งนั้น แต่ไม่ทันไรก็พบว่าตัวเองถูกล้อมไว้ด้วยฝูงนกขนาดเล็กนานาชนิดนับสิบตัว ประกอบไปด้วยเบื้องหน้า มีนกเปลือกไม้ 2 ชนิด กำลังไต่อยู่บนตอไม้เตี้ยๆห่างออกไปไม่เกิน 5 เมตร ได้แก่ นกเปลือกไม้พันธุ์ยูเรเซีย และนกเปลือกไม้ข้างสีสนิม (Rusty-flanked Treecreeper) ซึ่งทั้งสองชนิดไม่สามารถพบได้ในเมืองไทย เบื้องบน มีนกติ๊ดสีถ่าน (Coal Tit) กำลังไล่จิกตีกับนกติ๊ดก้นแดง (Rufous-vented Tit) ตัวเล็ก สีสวย มีหงอนตั้งยาวบนหัว เบื้องหลังมีนกเขนน้อยข้างสีส้ม (Orange-flanked Bush Robin) ตัวผู้สีน้ำเงินสด ท้องขาว ตัดกับสีข้างสีส้มสด และไกลออกไปอีกนิดบริเวณแอ่งน้ำมีนกเดินดงคอดำ (Black-throated Thrush) ฝูงหนึ่งและนกเดินดงดำคอขาว (White-collared Blackbird) ทั้งตัวผู้และตัวเมียกระโดดหากินอยู่ การปรากฏตัวของนกทั้งหมดนี้เกินขึ้นในระยะเวลาเดียวกัน ทำเอาผมแทบตั้งตัวไม่ทัน เกือบจะเข่าอ่อน เป็นลมล้มพับไปซะตรงนั้นเลยทีเดียว


หลังจากเริ่มตั้งสติได้ ก็ตัดสินใจว่าควรจะเดินออกไปเรียกคนอื่นเข้ามาดีกว่า แต่พอออกไปถึงก็พบว่าคนอื่นๆเดินไปกันหมดแล้ว หันไปหันมาก็เจอเจ้า Winter Wren ตัวเก่ากระโดด มุดๆมาตามรากไม้ เลยยืนเฝ้าให้มันเข้ามาใกล้ๆดีกว่า และก็เป็นดังคาด เจ้านกกระโดดขึ้นมาเกาะอยู่บนขอนไม้ใหญ่กลางแจ้ง แล้วเริ่มประกาศศักดา ด้วยการตะโกนแหกปากร้องเสียงดัง จนไม่น่าเชื่อว่านกตัวกระเปี๊ยกแค่ 10 เซนติเมตร จะร้องเสียงดังก้องได้ขนาดนี้ หลังจากโชว์ออฟอยู่สักพักใหญ่ๆก็กระโดดผลุบลงไปอยู่ในเงามืดเหมือนเดิม ท่าทางของมันดูเผินๆคล้ายกับหนูมากกว่านก เพราะมันชอบมุดอยู่ตามพื้น ในเงาของพุ่มไม้ แล้วเคลื่อนไหวรวดเร็ว มองตามไม่ค่อยทัน สรุปว่าผมก็ถูกเจ้านกตัวเล็กนี่ดักไว้อีกนานกว่า 10 นาที ก่อนที่แดเนียลจะส่งสัญญาณว่ารถจะออกแล้ว


ผมรีบขึ้นรถแล้วนั่งลงไปตามหาคนอื่นๆ เมื่อไปถึงจุดที่ทุกคนยืนอยู่ผมก็รีบเล่าให้ฟังว่าเจอนกอะไรบ้างตรงแอ่งนั้น ทั้งเรื่องไก่ ทั้งเรื่องฝูงนกมากมายที่มาพร้อมๆกันในเวลาเดียว ทุกคนจึงรีบพากันขึ้นรถแล้วบึ่งกลับขึ้นไปอีกครั้ง ด้วยความหวังว่าจะได้เห็นนกอย่างนั้นบ้าง เมื่อไปถึงแต่ละคนก็ค่อยๆเดินเข้าไปข้างใน แต่คราวนี้นกทั้งหลายกลับเงียบ ไม่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าว คึกคักเหมือนตอนที่ผมเดินเข้ามาคนเดียว มีเพียงไม่กี่ตัวที่ออกมาให้ดู ผมเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี เหมือนกับพาคนอื่นมาเสียเวลากันเปล่าๆ แต่ก็ยังดีที่มีฝูงนกเดินดงคอดำอยู่เช่นเคย กับนกเดินดงดำคอขาว ที่ออกมากระโดดจับไส้เดือนโชว์ให้เห็นกันชัดๆ นอกจากนั้นก็แทบไม่มีอะไรน่าสนใจเลย หลังจากนั่งรออยู่นาน ท่ามกลางป่ากุหลาบพันปีดึกดำบรรพ์ทึบ และกองหิมะหนา ทุกคนก็ตัดสินใจเดินออก เราจึงกลับมาขึ้นรถและนั่งลงไปยังที่พักกัน


เมื่อลงมาถึงผมก็แบกกล้องออกไปเดินตามถนนรอบๆที่พัก หวังจะได้เจอตัวอะไรแปลกๆบ้าง เพราะแถวนั้นก็มีนกเยอะมากทีเดียว แต่ไม่ทันไรก็ตกใจเสียงป้าโอ๋ ตะโกนเรียก หันไปหันมาก็เจอป้ากำลังยิ้ม โบกมือให้จากหน้าต่างบนที่พัก โอย เวลานั้นดีใจยิ่งกว่าตอนที่เจอนกบนแมนดาลาซะอีก

















Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 7 ตุลาคม 2553 19:03:06 น. 16 comments
Counter : 793 Pageviews.

 
เจ้า Winter Wren แอบคล้ายนกกระจอกแถวบ้านเราแฮะ 55+


โดย: nanoguy IP: 125.24.76.94 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:49:57 น.  

 


โดย: kknna IP: 202.149.25.225 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:51:44 น.  

 
เขียนได้ชวนติดตามมากเลย

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆและภาพงามๆ

---------------------------------------------

ปล. ลิงค์ที่ย้อนให้กลับไปอ่านตอนที่แล้วนะ
รู้สึกว่ามันจะลิงค์มาหน้านี้นะ


โดย: Honeybee042 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:53:00 น.  

 
นกน้อยที่เป็นภาพเคลื่อนไหวน่ารักจังต้น


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:43:32 น.  

 
น้องต้นครับ

พี่ก๋ามาขอความรู้จากน้องต้นหน่อยครับ
พี่ก๋าอยากรู้ว่าน้องต้นเวลาถ่ายนก
ใช้เลนส์อะไรครับ
ถึงถ่ายได้ใกล้แบบนี้

ตอนนี้พี่ก๋าเพิ่งซื้อฏล้องใหม่มาเป็น canon EOS 400D
ปกติถ้าถ่ายรูปนกต้องใช้เลนส์เทเล่รึเปล่า
แล้วต้องใช้ขาตั้งกล้องมั้ยครับ

พี่ก๋าเพิ่งซื้อได้ 2 วัน
วันนี้เอาไปลองถ่ายที่สวนทวีชล
ไหวกระจายครับ 555
โฟกัสหลุด 5555


พี่ก๋าอยากรู้ว่าทำยังไงถึงจะถ่ายนกให้ได้ชัดๆแบบน้องต้นน่ะครับ

ขอบคุณล่วงหน้านะครับ



โดย: ก.วรกะปัญญา (กะว่าก๋า ) วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:01:39 น.  

 
หวาดดีต้น
แวะเอาบุญตักบาตรพระ 1,000 รูป ที่ลำพูนมาฝาก
ให้ได้บุญเท่าๆกันเลยนะ...สาธุ

ฝันดีนะคะ


โดย: weraj วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:10:29 น.  

 
รวดเร็วทันใจมากครับน้องต้น
เดี๋ยวพี่ก๋าจดไว้ก่อน
มีเงินพอเมือ่ไหร่จะถอยมาข่มขวัญตัวเองสักตัว 555
ตอนนี้มีแต่เลนส์ไวล์ด กับเลนส์มาโครครับ

วันนี้ถ่ายมา 664 รูป
พี่ก๋าลบทิ้งไปเหลือแค่ 288 ครับ 5555

อายจัง



โดย: ก.วรกะปัญญา (กะว่าก๋า ) วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:46:58 น.  

 
ชอบ winter wren มากเลย
น่ารัก น่าจูบ

เรื่องเล่ายังเยี่ยมเช่นเดิมครับน้องต้น

พี่ยังยืนยันคำเดิมน่ะว่า เขียนหนังสือขายได้เลยครับ


โดย: Dr.Manta วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:42:41 น.  

 
น้องต้น
พี่จะหลับ
โทดทีนะ
ไม่ได้อ่าน
เหอๆๆๆๆๆๆ
จะตายแล้วฉัน
นอนวันละน้อยนิด
อ่านหนังสือไม่ทัน
แต่มีเวลามานั่งเล่นคอม
เห้อออออออออออออออออ
คนเรานี่ก้แปลก ไอ้ที่สำคัญบอกว่าไม่มีเวลา
แต่เรื่องไร้สาระ ทำไมถึงทำแล้วมันรู้สึกดีอย่างงี้หว่า
ฝันดีนะจ๊ะ คิดถึงๆ


โดย: บัวลอย (newzapg ) วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:1:50:00 น.  

 
รู้สึกจะเคยเห็นขายอยู่เหมือนกันนะครับสำหรับจาปาตี ได้กลิ่นน้ำแกงหอมดี
แต่ไม่ได้ซื้อกินครับ
เป็นคนไม่ค่อยกล้ากินของแปลกๆ
ถ้าไม่มั่นใจว่าจะหาห้องน้ำสะอาดแถวนั้นได้รึเปล่า


โดย: อะไรคือสิ่งหายาก แต่ไม่มีค่า วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:40:53 น.  

 
สวัสดีเช้า วันที่สดใสจ้า



ขอให้มีความสุขนะคะ ท่าทางจะหนาวจัด แล้วกินข้าวกลางหิมะ เป็นพี่นะ ยกแขนไม่ขึ้นแน่ๆเลย


โดย: นกแห้ว วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:19:54 น.  

 
Winter wrenน่ารักสุดๆ หนาวนี้ไม่เจอเขาเลย ถ้าจะดูนกนี้ต้องไปเกียวโต


โดย: Hana* วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:03:22 น.  

 
ชอบเพลงจังงงงงงงงง

ฟังแล้วเพลิน เสริมจินตนาการจากตัวอักษรที่ต้นเขียน

อืมมมมมมมมมมมม ที่พี่สนใจมากสุดในเอนทรี่คงเป็น อาหารแหละครับ อยากกินๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


โดย: หนึ่ง IP: 124.121.240.117 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:03:37 น.  

 
+ พี่พลาดหน้านี้ไปนี่เองแฮะ ช่วงนี้ต้นเร่งสปีด 'หิมาลายา ทริป' ใหญ่เลยนะครับเนี่ย (พอเขียนกรุ๊ปนี้จบ สงสัยจะเอาไปพิมพ์เป็นพ็อกเก็ตบุ๊คได้จริงๆ เหมือนที่คุณหมอเบสว่าไว้อ่า เหอะๆ )

+ หุๆ ตอนแรกก็เง็งว่า จาปาตี ที่หัวข้อบล็อกคืออะไร ... แต่พออ่านเนื้อในแล้วถึงเห็นอ่ะครับ มันเหมือนจะน่าทาน กึ่งๆ ไม่น่าทาน (เง็งเนาะ) ยังไงมะรุอ่า คงต้องลองชิมรสชาติแล้วถึงจะบอกได้อ่ะครับผม

+ เรื่องเกี่ยวกับ ไลเคนส์ นี่ พี่เคยอ่านมาบ้างเหมือนกัน ... นี่แสดงว่าป่าและอากาศเมืองไทยนี่จัดว่า "สกปรก" เข้าขั้นเลยสิครับเนี่ย ไลเคนส์เลยสาบสูญไปหมดอ่า

+ เพลงเพราะหลายๆ อ่ะครับ โดยเฉพาะเสียงเกากีต้าร์อ่า ... ส่วนรูปน้องนกนี่ คงไม่ต้องชมกันแล้วเนาะ


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:25:05 น.  

 



ขอบคุณนิ ซึ้ง ...


โดย: ป้า (โป่งวิด ) วันที่: 1 มีนาคม 2551 เวลา:16:28:07 น.  

 
อยากลองกินบ้างจังค่ะ จาปาตี ถึงแม้หน้าตาจะอินเดียสุด ๆ ก็ตาม
และแค่เห็นก็พอจะนึกรสชาติออกว่า "มีความเป็นตัวของตัวเอง"
เหมือนที่คุณต้นเคยพูดไว้ในบลอคแรก ๆ ว่ารสชาติจะเป็นยังไง
แต่ก็ยังอยากกินอยู่ดี ประกอบกับบรรยากาศที่ว่าด้วยแล้ว แหม...

น่าตื่นตาตื่นเต้นตื่นอกตื่นใจอย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ ด้วยนะคะ
เวลา "ถูกดัก" ด้วยนกมากมายและเป็นนกน่ารัก ๆ ทั้งนั้นเลยเนี่ย
นึกภาพตามยังทำให้ตื่นเต้นไปด้วยเลยค่ะ...รอบ ๆ ตัวมีแต่นกที่อยากเจอ

รูปคุณ Winter Wren ขยับนี่เท่ห์มาก ๆ เลยนะคะคุณต้น
นอกจากเรื่องราวและรูปภาพทำให้เห็นภาพมากมาย
แล้วยังมีภาพขยับได้อีกต่างหาก...เท่ห์จริง ๆ ค่ะ

พี่โอ๋หายแล้วเหรอคะ ดีใจจัง ๆ ๆ ๆ ...ตามต่อ ๆ ตื่นเต้น ๆ


โดย: นางสาวดุ่บดั่บ วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:6:44:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Unravel
Location :
Beppu, Oita Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Unravel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.