|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | |
|
|
|
|
|
|
|
ลำธารหิมะ
นกกางเขนน้ำจิ๋วยืนนิ่งอยู่บนโขดหิน
แต่ยังไม่ทันได้ยกกล้องสองตาส่องดูดีๆ เจ้านกน้อยก็บินผลุบหายไปหลังก้อนหินใหญ่ สรุปว่ามีเพียงผมกับอาจี๊ดเพียงสองคนที่ทันได้เห็น เมื่อคนอื่นๆวิ่งตามมาถึงเจ้านกน้อยก็หายไปเสียแล้ว แต่คนที่ดูท่าทางเสียใจมากที่สุดก็คงไม่พ้นอาหมอหม่อง เพราะนกตัวนี้เป็นตัวที่แกอยากเห็นมาก ตามหามาตลอดตั้งแต่เมื่อคราวที่ไปอินเดียด้วยกันเมื่อครั้งก่อน และในครั้งนั้นก็มีเพียงผมกับพี่เหน่อแค่สองคนเท่านั้นที่ทันได้เห็น ในครั้งนี้ผมก็ได้เห็นอีกแล้ว หลังจากยืนรออยู่นานแต่ไม่มีวี่แววของเจ้านก หลายๆคนก็เริ่มออกเดินต่อ และพากันไปดู นกไต่ผนัง (Wallcreeper) ที่เราเห็นกันไปเมื่อวันก่อนที่ Sangti Valley แต่คราวนี้เป็นนกตัวผู้ในขนชุดฤดูผสมพันธุ์ที่จะสีสวยขึ้นมาอีก โดยมีคอสีดำสนิท เพิ่มดีกรีความเท่ไม่แพ้ใคร
แต่ผมเลือกที่จะรอเจ้านกกางเขนน้ำจิ๋ว และในที่สุดเจ้านกก็ปรากฏตัวที่ปลายโขดหินอีกด้านหนึ่ง แต่ก็เล่นซ่อนแอบ ผลุบๆโผล่ๆอยู่นาน และอยู่ไม่ค่อยนิ่งเลย สุดท้ายผมก็เข้าใจว่าบริเวณนี้ไม่ได้มีนกกางเขนน้ำจิ๋วเพียงตัวเดียว แต่มีมากถึง 3 ตัว เพราะบางครั้งก็เห็นมันบินไล่กันไปมา จนสุดท้ายมีนกกางเขนน้ำจิ๋วอยู่หนึ่งตัวที่ยอมหากินเป็นหลักเป็นแหล่ง และอยู่นิ่งๆให้เราได้ดูกันชัดๆ หลังจากเรียกทุกคนมาดูผ่านกล้องเทเลสโคปกันจนครบแล้ว(โดยเฉพาะอาหมอหม่อง ที่ในที่สุดก็ได้เห็นสมใจอยาก) ผมก็เริ่มคิดหาทางไปเก็บรูปของเจ้านกน้อยมาให้ได้ แต่จะทำอย่างไรดี ในเมื่อมันอยู่บนก้อนหินกลางลำธาร ที่ทั้งไหลเชี่ยว และเย็นเฉียบขนาดนั้น หลังจากเดินไปเดินมา คิดประมวลผลหาหนทางอยู่นาน ผมก็ตัดสินใจว่า คงไม่มีวิธีอื่นนอกจากลุยน้ำเข้าไปแล้วล่ะ!
เหมือนจะรู้มาก่อน วันนั้นผมใส่กางเกงขาสั้นมาพอดี แถมยังสวมอีแตะมาอีกด้วย เพราะมีโอกาสได้กลับไปเปลี่ยนที่โรงแรมมาก่อนแล้วตั้งแต่ตอนบ่าย พยายามหาเส้นทางอยู่นาน ในที่สุดก็พอจะมองเห็นแนวโขดหินที่ต่อเนื่อง และมั่นคงพอที่จะให้เดินไต่เข้าไปกลางลำธารได้ ถึงแม้จะใช้คำว่า ลำธาร แต่ขออย่านึกถึงลำธารในบ้านเรา เพราะลำธารของที่นั่นก็ใหญ่พอๆกับแม่น้ำย่อมๆของเรานี่เอง แต่เนื่องจากน้ำไหลเชี่ยวมาก ทำให้ในที่สุดผมก็ลื่มล้มจนได้ แต่ดีที่จับขาตั้งกล้องไว้แน่น ถ้าพลาดไปแม้แต่นิดเดียว ทั้งกล้องทั้งเลนส์คงได้ฝากทิ้งเอาไว้ที่แม่น้ำสายนี้เป็นแน่ มีเพียงกล้องสองตาที่ตกน้ำ แต่ไม่เป็นไรมากเพราะกล้องพวกนี้มัน waterproof ส่วนเสื้อกันหนาวและเสื้อกันลมที่ใส่อยู่ก็เปียกตามไปด้วยเสียครึ่งหนึ่ง ส่วนกางเกงไม่ต้องพูดถึง หลังจากที่กระเสือกกระสนอยู่นาน ผมก็พาตัวเองมายืนบนลานหินกว้างกลางแม่น้ำใกล้กับจุดที่เจ้านกน้อยอยู่ได้เสียที พอขึ้นจากน้ำนึกว่าจะหายหนาว เพราะอย่าลืมว่าน้ำในลำธารนี้เป็นน้ำที่ละลายมาจากหิมะข้างบน ถ้ายืนอยู่เฉยๆนานๆอาจเป็นตะคริวได้ง่ายๆ แต่พอขึ้นมายืนข้างบนกลับเจออีกปัญหาแทน คือลมหนาวพัดแรงเหลือเกิน ทำเอาขาสั่นจนแทบยืนไม่ได้ ทั้งสั่นทั้งแดง แต่เอาว่ะ ยังไงก็ต้องทน มาได้ถึงขนาดนี้แล้ว ผมค่อยๆย่องเข้าไปใกล้กับนกกางเขนน้ำจิ๋ว ที่กำลังง่วนอยู่กับการไซร้หาตัวอ่อนแมลงที่ซ่อนตัวอยู่ตามซอกหินใต้น้ำ แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ แต่เจ้านกยังอยู่ไกลเกินไป เกินระยะที่เลนส์ 300 มม. บวกกับเทเลคอนเวิร์ตเตอร์ 1.4x จะเอาไหว และนกก็ตัวเล็กเหลือเกิน จะเดินต่อก็ไม่ได้แล้วเพราะข้างหน้าเป็นน้ำตก น้ำไหลแรงเกินกว่าจะฝ่าไปได้ แค่ที่ผ่านมาก็ลำบากมากพอแล้ว จะให้ลุยต่อคงไม่ไหวเป็นแน่
ณ ตอนนั้นนึกวิธีอะไรไม่ออกแล้ว จะทำยังไงดีให้เข้าใกล้นกได้มากกว่านี้ ว่าแล้วก็นึกได้ว่าห้อยพระอยู่นี่นา เป็นไงเป็นกัน ลองดูก็ไม่เสียหาย สุดท้ายเลยได้แต่อธิษฐาน สาธุ ขอสิ่งศักดิ์สิทธ์ดลบัลดาลให้เจ้านกกางเขนน้ำตัวน้อย เขยิบเข้ามาใกล้อีกนิด ให้ได้มีภาพดีๆกลับไปด้วยเถอะ เพราะถ้าพลาดครั้งนี้ กลับไปเมืองไทยก็คงไม่มีให้ดูแล้ว หลับตานึกขอไปเรื่อยเลย
และไม่น่าเชื่อ สุดท้ายเจ้านกกางเขนน้ำจิ๋วตัวนั้นก็เริ่มเดินเข้ามาทางผมเรื่อยๆ กระโดดหากินตามลักษณะท่าทางของมัน เวลายืนบนโขดหินจะแผ่หางถี่ๆเร็วๆ และในที่สุดก็เข้ามาใกล้จนได้ระยะประมาณ 10 เมตร ถือเป็นระยะทำการของเลนส์ผมพอดี ความรู้สึกตอนนั้นมันเต็มอิ่มแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับวันนี้แล้ว ผมไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้ว ก่อนที่จะหันหลังกลับมาและส่งยิ้มให้คนอื่นๆที่ยืนอยู่บนขอบฝั่ง
เมื่อนกน้อยจากไป
ผมก็เตรียมตัวกลับ เผลอลืมไปว่าจะต้องฝ่าฟันอุปสรรคครั้งใหญ่หลวงอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าคราวนี้ดันกลับไม่ไหว ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใด แต่ทำไมมันกลับไม่ได้(วะ) สุดท้ายก็มาติดแหงกอยู่ตรงแอ่งน้ำแอ่งใหญ่ พี่มะเดี่ยวกับอาหมอหม่องเห็นท่าไม่ดีเลยรีบลงมาช่วย พี่มะเดี่ยวถลกขากางเกงเดินลงในแม่น้ำ แล้วค่อยๆหยิบเอากล้องกับขาตั้งไปแล้วส่งให้อาหมอหม่องก่อน จากนั้นก็ช่วยดึงผมขึ้นมาจนได้ แต่สุดท้ายพี่แกก็เกือบเป็นตะคริวเพราะความเย็นจัดของน้ำ แถมยังบ่นภายหลังว่าผมลงไปยืนแช่อยู่อย่างงั้นได้ยังไง
พอกลับขึ้นมาถึงฝั่ง ขาก็เริ่มแดงอีกครั้ง ตัวก็เริ่มสั่นเพราะเสื้อผ้าที่ใส่นั้นเปียกไปหมดแล้ว เลยรีบพากันกลับที่พักก่อนดีกว่า ระหว่างทางผมก็ได้แต่นั่งตัวสั่นพั่บๆเพราะความหนาว พอกลับถึงที่พักเลยรีบวิ่งขึ้นไปจัดการอาบน้ำอุ่นๆ เช็ดตัวให้แห้ง ในขณะที่คนอื่นๆพากันออกไปเดินเที่ยว ชอปปิ้งในตัวหมู่บ้าน แต่ผมขอซุกตัวอยู่ในที่นอนอุ่นๆในห้องก่อนดีกว่า จบไปอีกหนึ่งวันของการเดินทาง
เช้าวันรุ่งขึ้น
เราตื่นนอนกันตามเวลาเดิม นัดกันที่ห้องอาหารเวลา 6 โมงเช้า พี่โอ๋ยังคงนอนซมอยู่ในห้อง เงียบสนิท เช้าวันนี้เราจะไปที่แมนดาลากันอีกครั้ง วันนี้เราออกกันเร็วหน่อย เพราะเมื่อวานไปถึงช้าจนเกินไป และเราจะพกข้าวกลางวันขึ้นไปกินกันข้างบนนั้นด้วย ว่าแล้วเราทุกคนก็ขึ้นรถและออกเดินทาง เราพยายามจอดแวะให้น้อยครั้งที่สุด ถ้าไม่จำเป็น(เช่นมีนกเยอะมาก)จริงๆ ก็จะพยายามไม่จอด ระหว่างทางเราแวะพักกันอยู่ 2 ครั้ง ครั้งแรกบริเวณหุบที่แวะเมื่อวาน วันนี้นกดีกว่ามาก มีฝูงนกกะรางคอขาว (White-throated Laughingthrush) ตัวใหญ่ สีน้ำตาล แต่บริเวณคอเป็นสีขาวสะอาด มากันประมาณ 20 ตัว ฝูงนกเดินดงดำปีกเทาก็ยังคงวนเวียนอยู่เช่นเคย และยังมีฝูงนกเดินดงคอดำ (Dark-throated Thrush) อีกประมาณ 5 ตัว ซึ่งถือเป็นนกอพยพที่หายากมากที่สุดชนิดหนึ่งของเมืองไทยอีกด้วย และยังมีนกหัวขวานอีก 2 ชนิด ได้แก่ นกหัวขวานอกแดง (Crimson-breasted Woodpecker) ที่ในเมืองไทย พบได้เพียงดอยสูงแถบอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และนกหัวขวานดาร์จิลลิ่ง (Darjeeling Woodpecker) ที่ไม่พบในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีนกตัวเล็กๆเช่น นกติ๊ดคิ้วเหลือง (Yellow-browed Tit), นกศิวะหางแดง (Red-tailed Minla), นกศิวะหางสีตาล (Chestnut-tailed Minla) และนกไต่ไม้หางขาว (White-tailed Nuthatch) ตามมาอีกด้วย
จุดที่สองเราแวะเพราะปีเตอร์บอกว่าบริเวณนี้มักเจอนกประเภทนกปากนกแก้ว (Parrotbills) ซึ่งเป็นนกกินแมลง ที่มีปากหนาคล้ายกับปากของนกแก้ว ทุกชนิดหายากหรือพบได้ไม่บ่อย ถือเป็นนกแม่เหล็กสำหรับแถบอรุณาจัลนี้เลยทีเดียว และเราก็เจอกันจริงๆ แต่ฝูงนกมุดอยู่ในป่าไผ่รกมาก สุดท้ายมีผมกับอาจี๊ดที่เห็นรูปร่างหน้าตาพอที่จะบอกชนิดได้ ว่าเป็น นกปากนกแก้วหัวส้ม (Greater Rufous-headed Parrotbill) เพราะเห็นหัวสีส้มสดชัดเจน และส่วนล่างของลำตัวออกสีขาว แต่คนอื่นๆบอกว่าเห็นอีกลักษณะหนึ่ง เราจึงคิดว่ามันน่าจะมาปนกันหลายชนิด น่าเสียดายเหลือเกินที่เราเห็นกันไม่ชัด จากจุดนี้เราเดินกันต่อไปเรื่อยๆ และทันใดนั้นก็มีคนเจอ Fire-tailed Myzornis นกที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดทริปนี้ขึ้นมาอีกตัว สาเหตุที่นกชนิดนี้มีความสำคัญมากเหลือเกินก็เพราะว่ามันสามารถพบได้เฉพาะแถบหิมาลัยตะวันออก และที่สำคัญยังมีสีสันที่งดงามจนเกินคำบรรยาย แม้จะเป็นนกตัวเล็ก แต่ลำตัวสีเขียวราวมรกต ที่ตัดกับขอบหางสีแดงเพลิงของมันนั้น ก็สามารถหยุดสายตาทุกคู่ได้อย่างอยู่หมัด น่าเสียดายที่ผมเห็นเพียงแค่เงาไวๆตอนเจ้านกบินหนีออกไป มีเพียงไม่กี่คนที่ได้เห็น แต่ก็ไม่เป็นไร เรายังพอมีหวังไปตามเก็บได้ที่จุดอื่นอีก
เราเดินกันมาเรื่อยๆ จนเจอกับคลื่นนก หรือ Bird Wave อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็คือการที่นกต่างชนิดกันรวมตัวมาเป็นฝูงใหญ่ และมาพร้อมๆกันในทีเดียว เพื่อต้อนให้เหล่าแมลงเกิดอาการตกใจ และหนีออกมาให้นกน้อยน่ารักเหล่านั้นได้เขมือบเล่นเป็นอาหาร ซึ่งในทางการดูนกถือว่าเป็นโอกาสดีเพราะเราอาจได้เจอนกแปลกๆปะปนมากับคลื่นด้วย แต่เนื่องจากที่นี่คืออินเดีย ดังนั้นคลื่นนกในครั้งนี้จึงน่าตื่นตาตื่นใจไปหมดแทบทุกตัว เริ่มต้นด้วยนกมุ่นรกสีทอง (Golden-breasted Fulvetta) ที่มีสีสันจัดจ้าน อกและท้องเป็นสีเหลืองทองอร่าม ตัดกับลายสีขาวดำบนใบหน้า มักจะมาเป็นชนิดแรกๆในคลื่น ตามมาติดๆด้วยฝูงนกกระจ้อยหน้าดำ สีสัน สวยสดไม่แพ้กัน และยังมีนกปากนกแก้วหูเทา (Black-throated Parrotbill) นกปากนกแก้วอีกชนิดที่สามารถพบได้ในประเทศไทยด้วยเช่นกัน และนกเขนน้อยคิ้วขาว (White-browed Bush Robin) ที่ไม่มีในเมืองไทย ตัวผู้สีสันสวยงาม ลำตัวด้านบนสีเทาน้ำเงิน ตัดกับท้องสีส้ม และคิ้วยาวสีขาวโดดเด่นอีกด้วย
สักพักหนึ่งหลังจากคลื่นนกเริ่มซา ก็มีเสียงร้องของนกในกลุ่มนกกะราง (Laughingthrushes) ซึ่งเป็นกลุ่มนกเด่นของอรุณาจัลอีกกลุ่มหนึ่ง ดังขึ้นมาจากหุบด้านล่าง เราอดทนเฝ้ารออยู่นาน เพราะนกพวกนี้ขี้อายมาก แม้จะตัวใหญ่ เสียงดัง และสีสวยสดก็จริง แต่ด้วยนิสัยที่ชอบมุดอยู่แต่ในพุ่มไม้ ไม่ค่อยยอมโชว์ตัวทำให้เราไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นมันชัดๆเสียที เสียงร้องยังคงดังต่อเนื่อง เราเริ่มเห็นพุ่มไม้สั่นไหว และในที่สุดฝูงนกก็เริ่มเผยตัวออกมา เราพบว่าในฝูงนี้มีนกกะรางปะปนกันมากถึง 3 ชนิดอันได้แก่ นกกะรางหัวแดง (Chestnut-crowned Laughingthrush) นกกะรางสีข้างเทา (Grey-sided Laughingthrush) และนกกะรางลายจุด (Spotted Laughingthrush) ซึ่งตัวหลังออกมาให้เห็นเพียงแว้บเดียวเท่านั้น และยังเป็นตัวที่สวยที่สุดอีกด้วย ทำเอาหลายๆคนบ่นอุบว่าเสียดายที่ยังเห็นไม่ชัด เมื่อเหตุการณ์ณ์สงบลง เราก็ขึ้นรถและออกเดินทางต่อไป
Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2551 |
|
20 comments |
Last Update : 7 ตุลาคม 2553 19:03:29 น. |
Counter : 778 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: สิบเข็ม IP: 58.8.189.244 16 กุมภาพันธ์ 2551 14:15:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: CindyD 16 กุมภาพันธ์ 2551 14:44:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่บัวจ้า ^____^ IP: 202.47.238.144 16 กุมภาพันธ์ 2551 18:32:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: Hana* 16 กุมภาพันธ์ 2551 19:06:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: SevenDaffodils IP: 69.140.210.74 16 กุมภาพันธ์ 2551 20:36:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: Dr.Manta 16 กุมภาพันธ์ 2551 23:28:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: fzero 17 กุมภาพันธ์ 2551 1:15:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: nanoguy IP: 125.24.78.128 17 กุมภาพันธ์ 2551 3:35:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: โป่งวิด 17 กุมภาพันธ์ 2551 23:53:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: haro_haro 18 กุมภาพันธ์ 2551 13:21:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: บลูยอชท์ 19 กุมภาพันธ์ 2551 16:15:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: Dr.Manta 20 กุมภาพันธ์ 2551 12:39:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: pangz IP: 158.108.213.72 20 กุมภาพันธ์ 2551 16:04:50 น. |
|
|
|
|
|
|
|