|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ฝนที่ตกในใจ
ผมเดินกลับมายังแค้มป์ด้วยสีหน้าหมองหม่น
หลังจากนั่งอารมณ์เสียอยู่สักพักก็ตัดสินใจที่จะฝ่าสายฝนออกไปเพื่อกลับไปเฝ้านกในเทรลนั้นอีกครั้งโดยไม่สนว่าฝนจะตกหนักเพียงใด ผมใช้เสื้อกันหนาวตัวนอกที่สามารถกันน้ำได้คลุมเลนส์และกล้องเอาไว้เพื่อไม่ให้เปียกฝนแล้วเดินออกนอกแค้มป์ไปด้วยอารมณ์บูดบึ้งในขณะที่สายฝนเริ่มลงเม็ดหนักขึ้นเรื่อยๆ พ่อผมคงสังเกตดีว่าผมอารมณ์เสียอย่างรุนแรงเลยกางร่มเดินตามมา พอเดินมาได้ครึ่งทางฝนก็ยิ่งตกหนักจนเสื้อกันหนาวแทบจะต้านไม่ไหว ผมเลยเข้าไปหลบอยู่ในมุมเล็กๆใต้หน้าผาแต่ก็ใช้กันฝนไม่ได้มาก สักพักหนึ่งพ่อผมก็เดินมาถึงแล้วก็ชวนให้กลับไปที่เต็นท์ แต่ผมกลับปฏิเสธและยืนกรานที่จะนั่งรอจนกว่าฝนจะหยุดอยู่ตรงนี้ พ่อเลยเดินมานั่งข้างๆอยู่สักพัก เวลาแบบนี้พ่อผมคงรู้ดีว่าไม่ต้องพูดอะไรจะดีที่สุด พ่อเลยนั่งเงียบอยู่สักพักก่อนจะถามว่าจะเอาร่มไว้มั้ย ผมปฏิเสธอีกครั้ง พ่อเลยเดินจากไปเพื่อกลับไปยังแค้มป์ในขณะที่ผมยังคงนั่งตากฝนอยู่กลางพายุเพียงลำพัง ผมนั่งนิ่งมองสายฝนพลางนึกโกรธ เกลียดมันว่าทำไมจะต้องมาตกหนักอะไรเอาตอนนี้ด้วย เกลียดแม้กระทั่งทำไมตัวผมเองถึงต้องเดินทางมาในทริปนี้ด้วย ไหนจะดวงซวยกล้องเสียตั้งแต่วันแรกที่เหยียบแผ่นดินอินเดีย จนเดือดร้อนต้องยืมกล้องของพี่มะเดี่ยวมาใช้แทนทำให้พี่เค้าไม่ได้ใช้กล้องของตัวเอง แล้วไหนจะยังทำกล้องล้มฟาดพื้นจนแฟลชแยกของพี่เหน่อแตกอีก ทำไมมันถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อน ซวย ซวย ซวยที่สุดแบบนี้ แล้วฝนบ้านี่เมื่อไหร่จะหยุดตกเสียที ผมนั่งก้มหน้างุดอยู่กลางสายฝนที่ยังคงกระหน่ำลงมาแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่อย่างน้อยฝนตกหนักๆแบบนี้ก็ดีอยู่อย่างหนึ่งสินะ เพราะถ้าใครบังเอิญเดินผ่านมาก็คงจะมองไม่ออกอยู่ดีว่าน้ำตามันกำลังไหลอาบแก้มอยู่
ฝนยังคงตกหนักต่อไป ผมก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ในมือกอดกล้องเอาไว้แน่นภายใต้เสื้อกันหนาวตัวหนาที่ยังคงใช้กันฝนให้กับกล้องได้ดีอยู่ ภายในหัวมีสภาพเหมือนหนูที่กำลังถีบจักรจนเหนื่อยล้า คร่ำเครียดอยู่กับเรื่องเดิมๆที่วกไปวนมาหาจุดจบไม่ได้ เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันซิ แต่จนกระทั่งฝนเริ่มที่จะซาลง ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเป็นครั้งแรก ผมเหม่อมองก้อนเมฆสีเทาที่กำลังค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านไปช้าๆแบบไร้จุดหมาย สักพักหนึ่งสายฝนที่เคยตกหนักก็เหลือเพียงละอองฝนปรอยๆ พร้อมๆกันกับที่หมู่เมฆบนท้องฟ้าค่อยๆเคลื่อนตัวออก เผยให้เห็นท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนที่กำลังระเรื่อไปด้วยสีเหลืองทองของพระอาทิตย์ยามเย็นที่ซ่อนตัวอยู่หลังกลีบเมฆมาเป็นเวลานานแสนนาน...ฟ้าหลังฝนก็เป็นอย่างนี้เองสินะ ผมจึงตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินไปยังเทรลเพื่อกลับไปเฝ้าดูฝูงนกที่มากินน้ำหวานจากดอกไม้ต่อ พอเดินไปถึงทางเข้าเทรลก็เจอพี่มะเดี่ยวกำลังเดินออกมาพอดี พี่มะเดี่ยวเองก็คงจะหาที่หลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้ในเทรลเหมือนกัน แล้วผมก็เดินเข้าไปในเทรลต่อเพียงลำพังและก็เป็นอย่างที่คาด ไม่มีนกสักตัวเดียวตรงจุดที่ผมตั้งใจจะไปเฝ้ารอ เรื่องนี้ผมพอจะเดาได้อยู่แล้วล่ะ ฝนตกหนักขนาดนี้แถมยังเย็นย่ำใกล้มืดอีก ผมหวังเพียงปาฏิหาริย์ลมๆแล้งๆที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในโลกแห่งความเป็นจริง ผมจึงค่อยๆเดินออกจากเทรลช้าๆเพื่อที่จะกลับไปยังแค้มป์ ระหว่างทางก็พบกับอาหมอหม่องกำลังดูนกต้องสงสัยตัวหนึ่งอยู่กับคนอื่นๆอีกสองสามคน ผมจึงส่องดูแล้วก็บอกว่าเป็น Green Shrike-Babbler แต่อาหมอหม่องยังคงสงสัยอยู่เพราะคิดว่ามันหน้าตาแปลกๆ แต่ผมก็ไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจแม้แต่นกแล้ว ผมจึงขอตัวเดินกลับมาก่อน อาหมอหม่องเองก็คงจะงงๆอยู่เหมือนกันก็ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วยละกันนะครับ แล้วผมก็เดินกลับมาถึงแค้มป์พร้อมๆกันกับที่สายหมอกเคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมจนมิดมองไปทางไหนก็เห็นแต่สีขาวโพลนไปหมด แล้วคืนนั้นก็เป็นคืนที่ผมหลับใหลยาวที่นานที่สุดของทริปนี้
เช้าวันใหม่
ดูเหมือนว่าอาการซึมเศร้าเมื่อวานนี้ของผมจะหายไปจนหมดสิ้นแล้ว ส่วนหนึ่งคงเพราะตื่นขึ้นมาแล้วเห็นท้องฟ้าสดใสเลยชวนให้อารมณ์ดีขึ้นด้วย วันนี้พวกเราเลือกที่จะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มที่จะขึ้นไปบน Eaglenest Pass อีกครั้งกับกลุ่มที่อยากจะตื่นสาย ดื่มกาแฟ อ่านหนังสือ พักผ่อนอยู่รอบๆเต็นท์ ผมเลือกที่จะขึ้นไปบน Eaglenest Pass ประมาณหกโมงเช้าล้อก็เริ่มหมุน วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสเป็นสีฟ้าสดแตกต่างกับเมื่อวานลิบลับ ผมนั่งเปิดหน้าต่างสูดอากาศเย็นบริสุทธิ์มาตลอดทางจนเกือบจะถึง Eaglenest Pass พวกเราก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงร้องประกาศอาณาเขตของนกกะรางลายจุด (Spotted Laughingthrush) ที่พวกเรายังเห็นกันได้ไม่เต็มตาที่แมนดาลาเมื่อหลายวันก่อน คราวนี้เจ้านกยอมออกมาเกาะร้องโชว์ตัวให้ได้เห็นกันเต็มๆตา พวกเราจึงได้ดูลวดลายและสีสันสวยๆของมันก่อนที่จะโผลับเข้าไปในดงไผ่ข้างทาง บน Eaglenest Pass เราก็ยังได้เซอร์ไพรส์เป็นเก้งตัวหนึ่งที่ออกมาเดินอยู่บนถนน เป็นครั้งแรกของทริปที่เราได้เห็นสัตว์ป่าขนาดใหญ่แบบนี้นอกเหนือไปจากร่องรอยขี้ช้างที่มีอยู่เต็มไปหมดตลอดทาง นกข้างบนนี้ก็ดีเลยทีเดียว เราเจอต้นไม้กำลังออกลูกอยู่หลายต้นมีนกกะรางหน้าดำ (Black-faced Laughingthrush) เข้ามากินกันหลายตัวเต็มไปหมด นอกจากนั้นก็ยังเจอดงดอกกุหลาบพันปีที่มีนกกินปลีหางยาวเขียวและนกภูหงอนคอลายเข้ามากินน้ำหวานอีกด้วย กำลังนั่งถ่ายรูปนกภูหงอนอยู่เพลินๆก็มีนกกินปลีแดงหัวไพลิน (Fire-tailed Sunbird) ตัวผู้แสนสวยเข้ามาร่วมวงด้วยซะอย่างนั้นแต่ก็มาเร็วไปเร็วเลยพลาดไปอีกจนได้ แถมยังมีเจ้า นกแกะถั่ว Spotted Nutcracker ที่เราเห็นกันไกลๆที่แมนดาลาบินโผมาให้ดูใกล้ๆแถมยังส่งเสียงร้องดังลั่นอีกต่างหาก พวกเราเดินดูนกกันจนเริ่มหิวเลยนั่งรถกลับลงไปยังแค้มป์เพื่อทานอาหารเช้าร่วมกับอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ขึ้นมากัน
สุดท้ายเราก็มานั่งกินข้าวกันอยู่ตรงหน้าเทรลเพื่อที่จะได้สะดวกหากใครอยากดูนก กินเสร็จก็จะได้แยกย้ายกันเดินเข้าป่าไปดูนกได้เลย ไม่ต้องย้อนกลับไปที่แค้มป์อีก หลังอาหารผมจึงพกกล้องติดตัวเดินเข้าเทรลไปโดยมีเป้าหมายก็คือเข้าไปถ่ายรูปนกกินปลีเข้ามากินน้ำหวานเหมือนเดิม ระหว่างทางก็มีนกตัวเล็กๆออกมาให้ดูอยู่เรื่อยๆไม่ว่าจะเป็นฝูงของนกมุ่นรกอกสีทอง (Golden-breasted Fulvetta) และนกมุ่นรกคอเหลือง (Yellow-throated Fulvetta) หรือนกเขนน้อยคิ้วขาว (White-browed Bush-Robin) ตัวเมียที่ออกมาเกาะตอโชว์ตัวให้ได้เก็บภาพกันใกล้ๆเลย พอเดินไปถึงดงดอกไม้ก็ไม่เสียแรงเปล่า เห็นฝูงนกกินปลีตัวเล็กๆบินกันให้ว่อนเต็มไปหมดเหมือนอยู่ในสวนสวรรค์ ผมเลยเพลิดเพลินอยู่ในนั้นเสียนานกว่าคนอื่นๆ นอกจากนกกินปลีที่หลักๆมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิดได้แก่นกกินปลีหางยาวเขียว (Green-tailed Sunbird) และนกกินปลีหางยาวคอสีฟ้า (Mrs Goulds Sunbird) แล้วก็ยังมีนกหางรำสีสวย (Beautiful Sibia) กับนกภูหงอนก้นสีส้ม (Rufous-vented Yuhina) เข้ามาร่วมแจมในดงดอกไม้อีกด้วย จะเสียใจนิดหน่อยก็ตรงที่เจ้านกเป้าหมาย นกกินปลีหางแดงหัวไพลิน (Fire-tailed Sunbird) ตัวผู้แสนสวยก็ยังคงเล่นตัว บินลับๆล่อๆอยู่แต่เฉพาะบนยอดไม้เท่านั้นทำให้เก็บภาพไม่ได้เสียที
แต่แล้วขณะที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับฝูงนกกินปลี พ่อของผมก็รีบเดินฝ่าพุ่มไม้เข้ามาพร้อมกับเรียกให้ไปดูนกตัวหนึ่งอย่างรีบร้อนที่เพียงแค่ผมได้ยินชื่อก็ถึงกับต้องอ้าปากค้างเลยทีเดียว!
Create Date : 01 กันยายน 2552 |
|
12 comments |
Last Update : 7 ตุลาคม 2553 19:01:43 น. |
Counter : 991 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Unravel 1 กันยายน 2552 23:08:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: minporee 1 กันยายน 2552 23:52:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 3 กันยายน 2552 13:47:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: บลูยอชท์ 4 กันยายน 2552 14:33:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: บลูยอชท์ 4 กันยายน 2552 14:40:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: kirofsky 4 กันยายน 2552 21:37:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: SevenDaffodils IP: 208.59.174.164 21 กันยายน 2552 3:33:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: โป่งวิด 5 มกราคม 2553 23:04:56 น. |
|
|
|
|
|
|
|
แต่การเขียนกรุ๊ปบล๊อกนี้ เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการตะลุยดูนกแถบหิมาลัย
ก็ยังไม่จบสิ้นเสร็จสมบูรณ์เสียที อาศัยช่วงปิดเทอมนี้ขอตะลุยเขียนต่อละกันครับ
คลิกย้อนกลับไปอ่านตอนเก่าๆได้ตามศรัทธาและอัธยาศัย
จะเห็นว่าแม้แต่ในบล๊อกเก่าๆก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอรูปด้วยนะครับ
ไม่ทำรูปแยกเป็นเดี่ยวๆแล้ว แต่ขอเอามาต่อกันเป็นช่องๆเลียนแบบนิตยสารเอาก็แล้วกันครับ
ปล. หวังว่าจะจบได้ในปีนี้ละกันนะ