มีนาคม 2553

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
21
22
24
26
28
29
30
31
 
 
ตอนที่ 2 Wildly owl เจ้าราชานกกลางคืน...งั้นเหรอ!!!




วันต่อมาที่มหาลัยนักศึกษาหลายกลุ่มต่างก็พูดคุยถึงข่าวการชนะศึกของอาร์มแพร่ไปในกลุ่มคนเล่น AT ในเน็ตเองต่างก็เริ่มมีการเอ่ยถึงทีมในตำนานที่หายไปร่วม 10 ปี และคนหน้าใหม่ที่เพิ่มเริ่มเล่นเอทีแต่ก็สามารถเอาชนะกลุ่ม MamMolia ซึ่งเป็นทีมที่รู้จักกันดีในเขตกลาง

“ดูเหมือนเราจะเริ่มดังกันแล้วนะ”
อาร์มทำเป็นลำพองใจ

“ก่อนอื่นจะต้องตั้งชื่อทีมและทำตราสัญลักษณ์เสียก่อนนะ” ลิปดาเสนอ
“ฉันคิดเอาไว้แล้วล่ะ”

“แฮ่...ๆๆ หวังว่าทุกคนคงชอบ อีกาเพลิง Flame crow //www. “ เสียงของอาร์มประกาศศักดา

ทุกคนหันไปมอง
“มันหมายความว่าไง” ทานุสงสัย

“ฉันคิดว่า แม้เราจะเป็นเพียงอีกา แต่พลังของเราก็เผาไหม้คู่ต่อสู้ให้เป็นจุลได้”

สายตาที่มุ่งมั่นแบบนั้น

“ท่าทางหมอนั่นคงเอาจริงแล้วล่ะ” ทานุรู้ดีว่าเวลาอาร์มทำหน้าแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง

“โอเค.....ก็แล้วกัน” ทุกคนสนับสนุน
เมื่อทุกคนตกลงตามแผนการได้แล้ว

“ต่อไปก็ต้องออกแบบเสื้อและก็ตราสัญลักษณ์”

“พวกเราจะจัดการให้เองจ๊ะ” แครอลและเอมิราอาสาทันที
เมื่อได้แบบเสื้อและตราสัญลักษณ์เรียบร้อยดีแล้วทุกคนก็เริ่มต้นการฝึกทันที
ทุกคนไม่ได้มีพืนฐานมาก่อนการเล่นจึงเป็นไปได้ยากเย็นวันนั้นหลังเลิกเรียนทุกคนแยกย้ายกันกลับ ทานุ ซอยและแครอลบ้านอยู่ทางเดียวกันจึงกลับด้วยกัน ส่วนเอมิร่ามีรถมารับกลับไป

อาร์มกับลิปดาเดินกลับด้วยกันเมื่อมาถึงทางขึ้นเขาทั้งสองจึงชวนกันเดินเล่น

“เราไม่ได้มาที่นี่นานแล้วนะ” ลิปดาเอ่ยเมื่อมายืนที่หินผาที่ก่อตัวเป้นเหมือนหัวกระโหลกตั้งเด่นอยู่บนหน้าผาที่สามารถมองลงไปเบื้องล่างเห็นเมืองทั้งเมืองได้

“ฮืม.....ตอนเป็นเด็ก...เธฮชอบขึ้นมาบนนี้ทั้งที่เธอกลัว” อาร์มนึกถึงตอนเป็นเด็กที่ทั้งสองชอบมาด้วยกันลิปดาชอบปีนขึ้นมาที่นี่แต่ก็มักร้องไห้งอแงกลัวร่วงลงไปอาร์มต้องคอยพยุงจนขึ้นมาได้

“ก็เพราะฉันอยากจะเห็นน่ะสิว่าบนที่สูงมันเป็นยังไง”
อาร์มล้มลงนอนมองฟ้า ลิปดานั่งลงข้างๆ

“ดูนั่นสิ นกกำลังบิน” ลิปดาชี้ไปที่นกตัวใหญ่สีน้ำเงินที่กางสุดปีกถลาอยู่บนฟ้า

อาร์มลุกขึ้น

“ฉันก็จะบิน......” เขากางแขนออกหลับตานิ่งสายลมพัดผ่านมาต้องแสงอาทิตย์ยามเย็น ปีกสีแดงเลือดกำลังกางออกอย่างสง่าผ่าเผย ลิปดายิ้มที่มองเห็นมันที่หลังของอาร์ม

“เฮ้ย.....ไอ้พวกนั้นมันทำอะไรกันน่ะ” ทานุมองเห็นนักเรียนต่างมหาลัยกำลังทำอะไรกันอยู่ที่ข้างกำแพงของมหาลัย
หน้าตาแต่ละคนเหมือนนักเลงมากกว่านักเรียน
“ก็กำลังระบายสีอยู่น่ะสิ” พวกมันตอบกวนๆ

เมื่อร่างบึกบึนของแต่ลคนถอยออกเห็นคนที่กำลังละเลงอย่างเมามันตัวเล็กๆท่าทางติ๊งต๊องหันมายิ้มให้

“ไง....พวกแกน่ะมหาลัยกลางเหรอ”
ท่าทางน่ากวนๆเอ่ย

ทานุ ซอย และแครอลเห็นคำที่มันละเลงอยู่บนกำแพงถึงกับโกรธจัด
“ที่นี่มันไม่ใช่ถิ่นพวกแกนะจะมาทำตามอำเภอใจแบบนี้ไม่ได้นะ”

“พวกนี้มันแก๊งค์ Wildly owl ของมหาลัยใต้นิ” แครอลเอ่ย
“เธอรู้จักพวกเขาด้วยเหรอ” ซอยถาม

“ตั้งแต่เรารวมกลุ่มกันฉันกับลิปดาและเอมิราก็หาข่าวการเคลื่อนไหวของพวกที่เล่น AT ของเมืองเราและเมืองใกล้ๆ พวกนี้น่ะมันทีมที่แข็งแกร่งที่สุดระดับมหาลัยทางใต้เชียวนะ ชื่อของมัน wildly owl หรือเค้าแมวป่า พวกมันมีการต่อสู้ที่ดุเดือดราวกับนกเค้าแมวที่ดุร้ายในเวลากลางคืน” แครอลตอบ
ทั้งสามมองชายร่างผอมสูงที่ยิ้มอย่างยั่วยุ

“แต่ว่าไอ้หมอนั่นน่ะเป็นหัวหน้าทีม ทำไมมันดูติ๊งต๊องจัง” ทานุอดสงสัยไม่ได้
ซึ่งก็ทำให้พวกกลุ่มร่างใหญ่ไม่พอใจที่มาว่าหัวหน้าแบบนั้น
“นั่นแหล่ะ จอร์นสัน อาร์เน๊ต ขึ้นชื่อว่าราชานกเค้าแมวไงล่ะ”

ทั้งสองกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นเมื่อมองสายตาที่น่ากลัวของคนที่เอ่ยถึง

“ชิ....แต่พวกเราไม่ยอมหรอกนะ จะมากร่างในถิ่นเราแบบนี้ให้อภัยไม่ได้”
“ทานุ อย่านะ พวกนายสู้เขาไม่ได้หรอก”

“แต่เราจะให้พวกเขามาหยามแบบนี้ ไม่ให้อภัย” ซอยเห็นด้วย

“แต่พวกนายสองคนจะสู้พวกเขาได้เหรอ ตามอาร์มมาช่วยเถอะ”
เชอะเจ้าหมอนั่นมันเก่งคนเดียวมาตลอดยังไงซะเราก็ต้องแสดงให้เห็นว่าเราก็เจ๊งเหมือนกัน ทานุคิดอยู่ในใจ

“พวกแก...เป็นเจ้าถิ่นงั้นหรือ ก็ดีสิ มาเล่นกันหน่อย” ดวงตานกเค้าแมวจ้องมองชายร่างผอมทั้งคู่

แครอลตะลึงนิ่งมองเหตุการณ์ใจระทึกเห็นร่างของทานุและซอยล้มลงไปจมกองเลือดเธอจึงรีบหันหลังวิ่งสุดฝีเท้าของเธอ
“จอร์นสัน...แม่นั่นล่ะ”

“ปล่อยเธอไป” จอร์นสันพูดอย่างไม่ยีหระเมื่อจัดการกับเยื่อเรียบร้อยแล้ว
อาร์มกับลิปดาเดินลงมาจากเขาพบแครอลที่วิ่งมาอย่างเหน็ดเหนื่อยจนแทบจะเป็นลม ลิปดาวิ่งเข้าไปหาเพื่อน
“แครอล....เป็นอะไรน่ะ”

“แย่.....แย่....แล้ว.....ทานุ...กับซอย” เธอแทบจะพูดไม่ออก
“เป็นอะไร ทานุกับซอยเ เกิดอะไรขึ้น”

อาร์มไม่รอฟังเขารีบวิ่งกลับโรงเรียนทันที และเมื่อมาถึงเห็นเพื่อนทั้งสองนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น กำแพงสีขาวมีรูปนกฮูกอยู่ที่นั่น Wildly owl.......
เขามองดวงตาที่ฉายแววประดุจสัตว์ร้าย

ลิปดามองดูชายร่างสูงโปร่งที่นั่งกุมมืออยู่หน้าห้องฉุกเฮินเขาไม่ได้เอ่ยอะไรตั้งแต่พาทั้งสองมาที่โรงพยาบาลแล้ว สายตาที่นิ่งคิดมันดุดันน่ากลัว
จนกระทั่งหมอออกมาและพาคนป่วยไปที่ห้องพักฟื้น

“ลิปดากลับบ้านไปก่อนเถอะมันดึกแล้ว...” เขาหันมาบอกเธอเมื่อดูแลเพื่อนทั้งสองนอนที่เตียงเรียบร้อยแล้ว

“แล้วนายล่ะ”
“ฉันจะอยู่เฝ้าสองคนนี้”

“ฮืม....แล้วพรุ่งนี้ฉันจะแวะเอาเสื้อผ้ามาให้นะ”
“ขอบใจ...”

“อาร์ม....มันไม่ใช่ความผิดของเธอนะ” ลิปดาเอ่ยเพราะเห็นสีหน้าเป็นกังวลของอีกฝ่ายแล้วพอเข้าใจความรู้สึก
“ฮืม....”

“ฉันไปล่ะ” ลิปดากับแครอลจากไป

อาร์มหันมามองเพื่อนทั้งสองที่ถูกพันตัวราวมัมมี่
“ทำไมพวกนายไม่เรียกฉัน.......เราเป็นเพื่อนกันนะ” น้ำตาซึมดวงตาที่แข็งกร้าวเขากำหมัดเอาไว้แน่น

รุ่งเช้าลิปดาแวะมาที่โรงพยาบาลก่อนที่จะไปโรงเรียนแต่ก็ไม่พบอาร์ม ทานุกับซอยฟื้นแล้ว

“พวกนายเป็นยังไงบ้าง?”
“ดีขึ้นแล้วล่ะ ขอบใจนะที่เป็นห่วง และก็สำหรับอาการเช้านี่ด้วย” ทานุยิ้มอย่างยินดี

“ฮืม....เห็นพวกนายโอเคฉันก็สบายใจ ฉันก็ไม่อยากจะมาหาพวกนายที่โรงพยาบาลบ่อยๆหรอกนะ” เธออดเหน็บเพื่อนร่วมคณะและร่วมวันสมัยประถมไม่ได้ ทั้งทานุและซอยเป็นเพื่อนของเธอและอาร์มตั้งแต่เรียนประถม

“พวกเราก็ไม่อยากเป็นแบบนี้หรอกนะ แต่ว่าสถานการณ์มันพาไปน่ะ” ซอยยิ้มแห้งๆ

“แล้วนี่อาร์มไปไหนแล้วล่ะ”

“อ้อ...ตายล่ะ อาร์มบอกว่าจะไปที่มหาลัยใต้นะสิ ลิปดาเธอช่วยหยุดเขาที”

ลิปดาอึ้งกับข่าวที่ได้ยินเป็นอย่างมากเธอรีบวิ่งออกจากโรงพยาบาล
อาร์มอย่าบอกนะว่านายคิดจะทำอะไรน่ะ อย่านะ อย่าทำอะไรบ้าๆล่ะ เธอร้องอยู่ในใจอย่างเป็นห่วง

จากเมืองที่เธออยู่ไปมหาลัยใต้ต้องใช้เวลาเดินทางร่วม 2 ชั่วโมง อาร์มเพิ่งขึ้นรถไฟไปก่อนหน้าเธอประมาณ ชั่วโมงเดียวเอง ลิปดาได้แต่ภาวนาอย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น

อาร์มเดินทางมาถึงมหาลัยใต้ก่อนเวลานี้ยังไม่เข้าเรียนนักเรียนเพิ่งจะเดินทางมาโรงเรียนกัน เขามองหาเป้าหมายอย่างกระหาย

“รู้จัก Wildly owl ไหม?” เขาเข้าไปถามนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง
“อ้อ...ไอ้พวกอันธพาลพวกนั้นเหรอ พวกมันไม่ชอบเรียนหนังสือหรอก ชอบไปจับกลุ่มกันอยู่ที่ลานข้างโรงเรียนน่ะสิ”

หญิงสาวชี้มือบอกที่หมาย แล้วอาร์มก็ขอบใจเธอก่อนจะเดินไปที่นั่น
เมื่อมาถึงลานแห่งนั้นมีเพียงกองซากรถเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วไม่ว่าจะเป็นอะไหล่รถ และรถที่ยังคงสภาพครบแต่ทรุดโทรมแล้ว เขาเห็นมีชายร่างผอมสูงนั่งอยู่บนหลังคารถเก๋งสีแดงข้างๆเขามีลูกน้องร่างใหญ่อีก 2 -3 คนนั่งอยู่บนล้อที่กองข้างๆ

“พวกแกใช่ไหม Wildly owl?” เขาตะโกนถามอย่างโมโห
“ฮืม...แล้วเป็นใครล่ะไอ้หน้าอ่อน” คนร่างยักษ์เอ่ยถาม

“ฉัน อาร์ม โรล ไลน์ แห่งมหาลัยกลาง ฉันมาคิดบัญชีกับพวกแกที่เมื่อวานไปทำร้ายเพื่อนฉัน”

“ใจเด็ดจริงนิ มาแค่คนเดียวเองเหรอ นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร” ชายร่างผอมสูงเอ่ย

“ฉันจอห์นสัน อาร์ เน็ต”

“คิดว่าจะสามารถเอาชนะฉันได้เหรอ” คำพูดเย้ยหยันอยู่ในที
“แล้วแกคิดว่าฉันเป็นใครล่ะ” อาร์มพูดเสียงเหี้ยวเกรียม

ชายเมื่อครู่ที่นั่งอยู่ตรงนั้นกระโดดอย่างรวดเร็วเข้ามาหาเขาพร้อมกับกระโดดแตะที่ปลายคางส่งร่างสูงโปร่งไปนอนจมกองเลือด

“ไอ้หน้าอ่อนคิดว่าจะทำอะไรฉันได้งั้นรึ” เท้าหนักๆที่ใส่ AT กระแทกลงที่หน้าชายหนุ่มอย่างแรง

“อั๊ก......แก......” อาร์มรู้สึกเจ็บแค้นใจที่ทำอะไรไม่ได้
“อย่างแกจะทำอะไร พวกแกมันอ่อนแอ ก็ต้องอยู่ภายใต้คนที่แข็งแกร่งกว่า มันก็เหมือนกับนกนั่นแหล่ะ นกที่ปีกแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะเป็นพญานกกกกก” เสียงจอร์นสันขาดห้วงไปอย่างน่าแปลกใจ
เท้าที่กระแทกลงหน้าอาร์มเกร็ง สั่นสะท้าน

“อ่ะ...นี่มันจิตสังหารรรรรของราชา” จอร์นสันคางออกมา เคลือบไปบนหลังคารถเก๋งสีดำที่อยู่ไม่ไกลนัก

“แก.......เป็นใครกัน” เขาถามออกมาร่างกายขยับเขยื่อนไม่ได้
อาร์มตกใจกับท่าทีที่แปลกไปของอีกฝ่ายเขาลุกขึ้นมองไปทางด้านที่จอร์นสันกำลังมองอย่างตกตะลึง

“หน้ากากดำ” เขาเรียกเบาๆ

“ใช่แล้ว นายคิดถูกแล้วล่ะ นกปีกที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นถึงจะเป็นพญาแห่งนก...”
ราวกับว่ามีปีกของนกสีน้ำเงินอันมหึมากำลังกระพืออย่างแรงส่งร่างผอมของจอร์นสันกระเด็นไป

“ท่านจอร์นสัน....” ลูกน้องร้องเสียงหลงก่อนจะเข้ามารับร่างเขาไว้
“แต่นายคิดผิดไปอย่างหนึ่งนะเจ้านกเค้าแมว ไม่มีนกตัวใดในโลกนี้ที่มีปีกอ่อนแอ ยกเว้นมันไม่คิดจะกางปีกบินเท่านั้น ปีกของมันก็จะร่วงหล่นไปจนไม่สามารถบินขึ้นฟ้าได้ ปีกของนกที่แข็งแกร่งนั่นก็หมายถึงนกทุกตัวที่กางบินออกแล้วโผบินขึ้นสู่ฟ้าต่างหากล่ะ”

“อั๊กก....เออ....อ้า......เจ้า...เป็นนน...ใคร....”
“หน้ากากดำเธอมาทำอะไรที่นี่ แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่” อาร์มหันไปถามขัดจังหวะการสนทนา

ร่างบอบบางในชุดสีดำรัดรูปดวงตาภายใต้หน้ากากดำเพ่งมองเขา
“ฮืม….ก็แค่มาช่วยนาย”

“ฮึๆๆๆ.....” เสียงของจอร์นสันหัวเราะออกมา
“น่าสนใจนิ เป็นผู้ช่วยงั้นเหรอ 555.......”

อาร์มมองจอร์นสันที่หัวเราะจนท้องแข็ง
“ถ้างั้นเราก็มาแข่งกันหน่อยสิ อยากจะรู้นักว่านายน่ะเก่งขนาดไหนกัน ไอ้หน้าอ่อน” จอร์นสันลุกขึ้นยืน

“อีก 7 วัน เรามาแข่ง Warfare ที่นี่ เวลา 3 ทุ่มตรง ถ้ากลัวล่ะก็ไม่ต้องมาหรอกนะ 555”

“ได้......ฉันจะแข่งกับนาย”

“นี่นาย.......” หน้ากากดำแทบไม่อยากจะเชื่อว่าอาร์มจะรับคำท้าเอาง่ายๆ
“การเดิมพันของเรา....” จอร์นสันหันไปมองร่างอ้อนแอ้นที่อยู่อยู่บนหลังคารถ

“ถ้าฉันชนะเธอต้องมาอยู่เป็นเงาของฉัน” เขาประกาศกึงก้อง
ทั้งสองจ้องมองกันด้วยสายตาที่แข็งกร้าว

“ชิ.....” หน้ากากดำกระโดดหนีไปทันที
จอร์นสันและเพื่อนๆ ก็สลายตัวเช่นกันเหลือเพียงอาร์มที่ยืนอยู่ที่นั่นคนเดียว
เสียงคนวิ่งมาที่นี่

ลิปดามองเห็นแผ่นหลังที่เธอคุ้นเคยยืนอยู่ที่สนานเก็บรถเก่าคนเดียว
“อาร์ม......”

อาร์มหันมาตามเสียงเรียก

“เกิดอะไรขึ้น?”
“อีก 7 วัน ฉันมีศึกที่นี่กับ Wildly owl “ เขาตอบเธอ
“ฮ้า.....นายว่าไงนะ” ลิปดาตกใจกับข่าวที่เธอได้รับรู้
“นายจะสู้กับพวกเขางั้นเหรอ”
“ฮืม.......”

“ว่าแต่เธอมาที่นี่ทำไม”
“ก็มาตามนายน่ะสิ ทานุกับซอยเขาเป็นห่วงนะ” รีบพูดแก้เก้อทันที
“ฮืม...ไม่มีไรแล้วล่ะ ต่อไปนี้ฉันคงต้องเอาจริงแล้ว” สายตาที่ดูมุ่งมั่นแบบนั้นเขาคงเอาจริงอย่างที่พูด

ทีม Flame crow นัดรวมกลุ่มกันเพื่อดูแบบตราสัญลักษณ์และเสื้อที่แครอลและอมิราออกแบบมาให้เมื่อได้ถูกใจแล้วก็นำไปที่ร้านรับทำตราสัญลักษณ์และทำเสื้อจัดทำตามแบบไม่กี่วันก็ได้ตามที่ต้องการ
อาร์มทุ่มเทกับการฝึกฝนการเล่น AT มากกว่าเดิม

“ลิปดาทำอะไรอยู่น่ะ” เขาเข้าไปในห้องนอนของลิปดาเห็นเธอกำลังยุ่งกับการทำแบบเครื่องบิน
“เครื่องบินเหรอ...”

“ฮืม...นายมีอะไรเหรอ”
“ฉันว่าจะมาชวนไปเดินเล่นด้วยซะหน่อยนะ”
“เออ....”

“แต่ถ้ายุ่งก็ไม่เป็นไรหรอกนะ ฉันจะไปคนเดียว”
“ไม่เป็นไร...ฉันจะไปด้วย” เธอรีบเก็บข้าวของใส่กล่องทันที
ทั้งสองใส่ AT วิ่งออกจากบ้านไป

“พี่คารินคะ.......ทำไมท้องฟ้าถึงกว้างจังเลยคะ” ซ้องส์หันไปถามพี่สาวคนโตหลังจากมองลิปดากับอาร์มที่กระโดดออกทางหน้าต่างไปแล้ว
“ก็เพราะมันเป็นท้องฟ้าน่ะสิ”
“เป็นท้องฟ้าก็ดีจังนะ ทำให้นกสามารถบินไปได้ ถึงท้องฟ้าจะกว้างแต่มันก็คงไม่เกินปีกเราจะบินไป”

“ฮืม....”
“สุดปลายฟ้า.....พ่อกับแม่จะอยู่ที่นั่นไหมคะ”
“ไม่รู้สิ ถ้าอยากจะรู้ซ้องส์ก็ต้องบินแล้วล่ะ บินให้สุดปีกของซ้องส์เลยแล้วจะได้รู้ว่าท้องฟ้าน่ะมันกว้างขนาดไหน”
คารินเอ่ยพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าเห็นนกสองตัวกำลังโบยบินไปอย่างสนุก
“แล้วเรื่องสนุกก็จะกำลังรอคอยเราอยู่”

“พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่เราจะทำศึกกับ Wildly owl” อาร์มพูดขณะวิ่งบนกำแพง
“นายกลัวไหมล่ะ?”
“อย่างฉันนี่นะจะกลัวเจ้าพวกนั้น”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นล่ะ”
“555....ตามฉันมาดีๆล่ะ ลิปดา” อาร์มวิ่งสุดกำลัง

นินายวิ่งได้เร็วขนาดนั้นแล้วเหรอเนี่ย ลิปดาได้แต่แปลกใจกับสิ่งที่ได้เห็น อาร์มกระโดดเปลี่ยนเส้นทางจากทางราบขึ้นไปบนเส้นทางที่จะขึ้นไปบนเขา
“อาร์ม....” ลิปดานิ่งงันเมื่อเห็นเขามาหยุดที่บันไดมังกร และเธอก็รู้ทันทีว่าเขาต้องการมาที่นี่ทำไม

“ฉันมาที่นีทุกวัน เพื่อมาดูคุณเคย์เขาบิน เธอบินได้สวยมาก ฉันอยากจะบินไปกับเธอ” อาร์มเอ่ยมองไปข้างหน้าด้วยสายตาที่ทอประกายความฝัน ลิปดารับรู้ได้ว่าใจของเขากำลังโบยบินหาเธอคนนั้น
“เหรอ...งั้นนายก็เข้ารวมกลุ่มกับเธอสิ พวกของเธอท่าทางมีแต่คนเก่งๆนะ”

“ก็เคยคิดนะ….เฮ้....นั่นเธอจะไปไหนกันน่ะลิปดา เดี๋ยวก่อนสิ”
ทำไมนะทำไม เราถึงห้ามใจไม่ให้สั่นไม่ได้ ก็แค่เขาบอกว่าคิดอยากจะไปอยู่กับคุณเคย์

ลิปดาวิ่งขึ้นทางขึ้นเขาจนไปถึงหน้าผาหัวกระโหลกแต่แล้วเธอก็พลาดร่วงลง ลิปดาร้องเสียงหลงอย่างตกใจสุดชีวิตพลันมีมือของใครบางคนฉุดเอาไว้ พอใบหน้าเปื้อนน้ำตาที่เงยขึ้นมามอง

“ลิปดา ไม่เป็นไรนะ อย่าปล่อยมือฉันนะ”
“อาร์ม.....”
“ฉันจะไม่ปล่อยมือเธอเด็ดขาด ดังนั้นเชื่อใจฉันนะ อย่าปล่อยมือฉัน”
น้ำตาใสๆ ไหลอาบแก้มทั้งสอง อาร์มค่อยๆดึงเธอขึ้นมาจนได้ ลิปดานั่งร้องไห้ขณะที่อาร์มโล่งอกอยู่ใกล้ๆ

“ฉันตกใจแทบแย่.....” เขาหันมามองลิปดาที่ปิดหน้าร้องไห้ อาร์มดึงหัวเธอมาซุกที่อก

“ยัยขี้แย เธอน่ะกลัวที่สูงขนาดนี้ก็จะอยากขึ้นมาอีกนะ” อาร์มปลอบโยนเธอ

เปล่าหรอก...ฉันไม่ได้หวาดกลัวที่สูงเลยสักนิดเดียว แต่ที่ฉันกลัว มันคือการเปลี่ยนแปลงต่างหาก แต่การเปลี่ยนแปลงมันก็คงจะเป็นสิ่งที่เราไม่อาจจะหยุดยั้งมันได้สินะ

“ดูสิ...ขี้มูกโป่งเลย 555...... ยัยลิปดาขี้แย ขี้มูกโป่ง” เขาล้อเลียนอย่างสนุก

“อีตาบ้า” ลิปดาทุบตีเขา อาร์มจึงกระโดดหลบและลงจากหน้าผาไปอย่างรวดเร็วโดยมีลิปดาวิ่งไล่ตาม
แต่เวลาเหล่านี้มันยังคงเหมือนเดิม เหมือนวันเก่าที่เคยผ่านมา อาร์มยังคงอยู่ที่นี่ ยังมีเธออยู่ ทั้งเดิน เล่นวิ่งไล่กัน ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่านมา

สายลมพัดผ่านมาดูเหมือนว่าศึกของ Wildly owl เจ้านกเค้าแมวแห่งมหาลัยใต้ที่โด่งดังกับเจ้าอีกาเพลิงทีมยังไม่มีอันดับจากมหาลัยกลางเป็นที่สนใจของกลุ่ม AT เหมือนกัน
“เขาว่ากันว่าไอ้หน้าอ่อนนั่นน่าสนใจนะ” เสียงเหล่านัก AT ซุบซิบกัน

“แล้วนิเธอก็จะไปดูด้วยเหรอเคย์” เสียงหนุ่มหล่อมาดเท่ห์ภายใต้ชุดคลุมสีดำเอ่ย
“ไปสิ หรือว่านายไม่อยากไป ดูท่าทาง ลิปดาก็ไปด้วยนะ”

“ฮืม.....” หนุ่มมาดเท่ห์ขยับหมวกลงปิดหน้าอันแดงระเรื่อ
เมื่อถึงเวลา 3 ทุ่มตามที่นัดหมายกันไว้ ทีม Wildly owl กับ Flame crow ผู้มาเยือนจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้ว

“เกมส์ของเราก็ง่ายมาก มีเราแค่ 2 คนเท่านั้น มันอาจจะดูป่าเถื่อนไปหน่อยนะ ถ้าฉันจะบอกว่า นายจะทำยังไงก็ได้ที่จะแย่งตราสัญลักษณ์ไปจากอกเสื้อของฉัน ฟังอาจจะดูง่าย แต่นายคงไม่ได้มีวันที่จะแตะมันได้หรอก คงต้องฉีกฉันเป็นชิ้นๆก่อนถึงจะมีโอกาสได้สัมผัสมัน” เสียงเย้ยหยันเอ่ย

“ได้สิ แล้วฉันจะทำให้นายเหละเป็นโจ๊กเลย” อาร์มตอบโต้อย่างไม่เกรง
“งั้นก็เข้ามาเลยไอ้หน้าอ่อน”

ทั้งสองกระโจนเข้าหากัน ทั้งอาร์มและจอร์นสันต่างใช้ศิลปะป้องกันตัวสู้กันอย่างสุดกำลัง

ผ่านไปร่วมครึ่งช่วงโมงแล้วที่ทั้งสองต่างก็ใช้ชั้นเชิงต่างๆในการต่อสู้ จ้องมองกันด้วยสายตาประดุจเสือร้าย

“ฉันจะไม่ให้ไอ้หน้าอ่อนอย่างแกมายิ่งใหญ่กว่าหรอกรู้เอาไว้ด้วย” จอร์นสันเอ่ยอย่างโกรธแค้นที่โดนอาร์มหมุนตัวมาแตะที่หน้าจนหัน
“ฉันก็ไม่ให้นกเค้าแมวอย่างแกมาจิกหัวเอาได้หรอก”

“แกมันไอ้เด็กเมื่อวานซืน จะไปรู้อะไร...ว่าการที่จะได้บินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ต้องใช้อะไรบ้าง เราอาจจะต้องฝ่าอุปสรรคนานัปการ ไม่ว่าจะเป็นการหักหลังเพื่อนที่สนิทมากที่สุด การทุ่มเทเวลาและร่างกายจนต้องสูญเสียอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตไป แกคิดว่าจะทำเหรอ” เสียงสะท้อนจากความมืดอย่างทรมานดังออกมากับเสียงโหดเหี่ยมนั่นจนอาร์มสัมผัสได้

“งั้นเหรอ ฉันไม่รู้หรอกว่าการหักหลังเพื่อนมันเป็นยังไง ฉันไม่รู้หรอกว่าการต้องทุ่มเททั้งร่างกายและจิตใจ แล้วมันต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง” อาร์มหมุนตัว 180 องศาก่อนจะกระโดดจัมป์ลงกระแทกที่หัวอีกฝ่าย
แต่จอร์นสันก็ไวพอที่จะหมุนตัวหลบลงนอนกับพื้น ทำให้อาร์มจัมป์ลงกับพื้นเปล่าล้มไม่เป็นท่า จอร์นส้นดีดตัวลุกขึ้นคว้าคอเสื้อเขาแล้วเหวี่ยงไปสุดชีวิตส่งร่างของอาร์มลอยไปปะทะรถเก๋งเก่าๆ ข้างสนาม

“อาร์ม...” ลิปดาได้แต่ระทึกใจอยู่ข้างๆ
“อาร์มอย่าเป็นไรนะ” เสียงของอเมราร้องเอาใจช่วยอย่าง่เทา ลิปดามองเพื่อนอย่างเข้าใจว่าเธอคงห่วงอาร์มมาก

อาร์มลุกขึ้นยืนตัวโชคไปด้วยเลือด เช่นเดียวกับจอร์นสันที่ยืนหอบตัวโยน
“ไอ้หมอนี่มันอึดจริงๆ” จอร์นสันได้แต่คิดอยู่คนเดียว
“ท่านจอร์นสันจัดการมันเลยๆๆ” เสียงลูกน้องของเราตะโกนมา
“ฉันน่ะไม่คิดที่จะบินบนท้องฟ้าคนเดียวหรอกนะ” อาร์มตะโกนบอกเขา
เขาคิดถึงเพื่อนๆทุกคนรวมทั้งครอบครัวของเขา

“ทั้งเพื่อนและคนสำคัญฉันจะพาพวกเขาไปด้วย” เสียงเขาประกาศก้อง
“อาร์ม” ลิปดายืนยิ้มอย่างยินดีที่ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นเช่นเดียวกับเพื่อนทุกคน
“555....ช่างน่าขำสิ้นดีไอ้ลูกเจี๊ยบ แกคิดว่าการจะบินได้นั้นมันต้องอาศัยอะไร.....ปีกนี่ ปีกที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะบินได้สูง อย่างแกคงบินไม่ได้แล้วล่ะเพราะฉันจะหักปีกแกเอง”
จอร์นสันเอ่ยพลางกระโจนเข้าหาอาร์ม

“Picky teary” เสียงอาร์มประกาศท่าไม้ตายพร้อมกับหมุนตัวอย่างรวดเร็ว AT ของเขาร้องเป็นเสียงนกเค้าแมวพลางปล่อยกงเล็บและจะงอยปากเข้ามาจิกข่วยชายหนุ่มจนร่างกระเด็นไป

“อั๊กกกก”
“อาร์ม......” ทุกคนร้องอย่างตกใจ
“นกที่มีเขี้ยวเล็บนี่แหล่ะคือปีกของฉันนนน”
อาร์มลุกขึ้นยืนชอบตัวโยนร่างกายชุ่มไปด้วยเลือด
“นายก็หลงระเริงกับสิ่งที่ตัวเองมี นายใช้ปากของนายทำลายพวกเขาเพื่อที่ตัวเองจะได้ไปสู่เส้นทางที่ตัวเองต้องการ จนนายไม่เหลือใคร นายมันโง่ที่สุด.....นายถึงไม่มีใครไงล่ะ”

อาร์มพูดแทงใจดำทำเอาจอร์นสันโกรธ
“อย่างนายจะไปรู้อะไร อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลยไอ้หน้าอ่อน”
เขากระโจนเข้ามาพร้อมกับขว่านเขาที่แขนแต่ชายหนุ่มก็หลบหลีได้ทัน
“นายมันขี้แพ้ คิดว่าแค่การมีเล็บจะทำให้บินได้งั้นเหรอ นายคิดผิดแล้วล่ะ”
“นายมันไม่เคยบินไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไง” เขายังกระโจนเข้ามาแต่ก็ได้แต่จิกถากๆร่างของอาร์มที่เริ่มจับการโจมตีได้ เขากระโดดหลบไปอยู่บนหลังคารถ
“นายเคยขึ้นไปแล้วหรือ? บนนั้นน่ะ” อาร์มชี้ขึ้นฟ้า
จอร์นสันมองตาม

“บนฟ้าน่ะนายเคยขึ้นไปแล้วหรือยัง? ถ้าเคยขึ้นไปนายจะรู้เองว่าจะถลาลงมายังไง”

“อย่ามาอวดดีหน่อยเลย ไอ้หน้าอ่อน” จอร์นสันโกรธที่โดนสบประมาท
เขากระโดดเข้ามาพร้อมกับท่าหมุนอากาศรอบตัวด้วยความเร็วสูงจนอาร์มไม่ทันได้ขยับตัวจึงโดนจิกไปเต็มๆ ส่งร่างลอยกระเด็นไปไกล แต่เขาก็ยังยืนหยัดขึ้นมาอีก

“แกนี่มันทนทายาทจริงๆ” เขาอดเอ่ยชมไม่ได้
“เป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่เคยคาดคิดเอาไว้จริงๆ”

“ฉันไม่คิดจะล้มให้กับคนอย่างนายหรอก เพราะฉันคิดเอาไว้แล้วตั้งแต่เริ่มสู้กับนาย ฉันจะเป็นคนพานายโผบินขึ้นสู่ฟ้าเอง” เขาประกาศกร้าว
“ก็เอาเลยถ้าทำได้” นกเค้าแมวมองเขาอย่างกระหายเลือดก่อนจะกระโดดจงจากรถมาหาเขา

“Switching boom tunner” อาร์มเอ่ยท่าไม้ตายหลังจากหมุนตัวกลับโดยใช้ข้อมือเป็นศูนย์กลางย่อตัวลงเพื่อให้เกิดการหมุนแหว่งได้เร็วและง่ายหลบการโจมตีของอีกฝ่ายแล้วกลับมาถีบด้วยความเร็วสูงราวกับพายุส่งร่างจอร์นสันลอยละลิ้วไปตกไกลจนไม่สามารถลุกได้

“ท่านี้มัน” ลิปดามองตาค้างเป็นท่าที่เธฮเคยใช้จัดการกับซากุน อาร์มเห็นมันแค่ครั้งเดียวทำไมสามารถทำได้

“นี่เรา...เป็นอะไรไปน่ะ เราแพ้แล้วงั้นเหรอ ทำไมขยับไม่ได้เลย” จอร์นสันพูดกับตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ

“ท่านจอร์นสัน” ลูกน้องของจอร์นสันร้องอย่างตกใจ
คนที่ถือหางข้างอาร์มต่างร้องเฮลั่น ลูกน้องของจอร์นสันช่วยกันลงมาพยุงเขาขึ้น

“ไม่อยากจะเชื่อเลยนะ เด็กคนนั้นเล่น AT มาแค่ไม่กี่อาทิตย์สามารถเอาชนะราชานกเค้าแมวได้ ไอ้หมอนั่นน่ะมันบ้าดีเดือดดีใครๆก็รู้” โทมัสเอ่ยแม้เขาเองไม่ได้ถือหางฝ่ายไหนก็ตามที

“นั่นนะสิถึงจะสมกับที่เป็นคนที่ฉันสนใจ” เคย์เอ่ยแล้วยิ้มหวาน

“นี่เราแพ้แล้วยังงั้นเหรอนี่” เขายังพูดอยู่ไม่อยากจะเชื่อ
สายตาอันน่าขนลุกหันมามองอาร์มที่ยังยืนหอบตัวโยนอยู่ที่เดิม

“ฉันแพ้ไอ้หน้าอ่อนงั้นเหรอ” เขาครางอีกครั้งก่อนจะเบิกตากว้าง
เร็วเกินกว่าที่ทุกคนจะคาดคิดจอร์นสันเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วเขาง้างหมัดหมายจะต่อยอาร์มที่ยังยืนอยู่กับที่ แต่ที่เร็วกว่าเขาคือร่างของสาวน้อยที่มายืนขวางหมัดเขาเอาไว้

ดวงตาแน่นิ่งที่ประสานกับดวงตาดุเดือดของเขาอย่างไร้แววหวาดกลัวสายลมพัดผ่านมาอย่างแรงเขาได้ยินเสียงเหมือนปีกขนาดใหญ่กระพือขึ้น จอร์นสันทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้า ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่แน่นิ่ง

“มันจบแล้ว นายแพ้แล้ว” เธอเอ่ยเบาๆ แล้วดึงตราของนกเค้าแมวจากอกเสื้อของจอร์นสัน

“ลิปดา นี่เธอ” อาร์มเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนทุกคนว่าลิปดาจะมาอยู่ตรงหน้าเขาเขามองแผ่นหลังบอบบางที่ปกป้องเขาเอาไว้อย่างทึ่งๆ

“ทำไม......ทำไม...” จอร์นสันยังจ้องมองหน้าเธอนิ่ง

“”ฉันถึง.....รู้สึกหมดแรง........เธอ......ทำไม....น่ารักที่สุดเลยยยยยย” เกินที่ใครจะคาดคิดจอร์นสันกระโดดขึ้นมากอดร่างบอบบางที่ไม่ทันตั้งตัว อย่างลิงโลดใจสุดชีวิต ลิปดาร้องเสียงหลง

“ไอ้บ้า....ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” อาร์มดึงมือเขาออก
“ไอ้บ้า.....ไอ้ฟั่นเฟือน ฉันบอกให้ปล่อยลิปดาเดี๋ยวนี้” อาร์มทั้งแตะทั้งทึ้งจอร์นสันสุดฤทธิ์

“ช่วยด้วย .... ช่วยด้วย..... นี่มันเรื่องอะไรกัน” ลิปดาคอตกอยู่ในวงแขนของเขาที่กอดรัดราวกับงูเหลือม ส่วนอาร์มจะทุบตียังไงก็ไม่เป็นผล
เฮ้อ.....ทุกคนมองเหตุการณ์ชุลมุนอย่างงงงัน
“ทำไมเป็นยังงั้นล่ะ” โทมัสมองอย่างไม่เข้านัก

จากศึกของวันนั้นผลการชนะของอาร์มถูกแพร่ไปทั่วอินเตอร์เน็ต ทำให้ชื่อของ Flame crow เริ่มเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป อีกทั้งการเลื่อนขั้นจาก F class เป็น E class ในทันที จอร์นสันสลายทีมตามกฏ แต่เขากลับมาเข้ารวมกลุ่มกับอาร์ม โดยให้เหตุผลว่าถึงแม้กลุ่มจะแพ้และถูกสลายไปแต่เขาในฐานะราชานกเค้าแมวยังไงก็ต้องมีภาระกิจของปีก แต่เป้าหมายที่แท้จริงของเขานั้นก็การได้ใกล้ชิดกับลิปดามากกว่า

“ภาระกิจของปีกมันคืออะไรเหรอ” อาร์มถามจอร์นสันขณะนั่งคุยกันอยู่บนดาดฟ้า

“ว่ากันว่า ในยุคที่เริ่มมีการก่อตั้งทีม AT มีปีกอยู่ทั้งหมด 5 ปีก เรียกปีกทั้ง 5 ว่า ราชา 5 ราชา ซึ่งก็ได้แก่ ฉันราชานกเค้าแมวมีสีประจำตัวคือสีเทา ราชากระเรียนมีสีขาว ราชานางนวลมีสีเหลือง ราชาอีกามีสีดำ ราชานกยูงมีสีแดง และเหนือกว่าราชาทั้ง 5 คือ ราชาอินทรีสีน้ำเงิน พวกเราทั้ง 6 มีหน้าที่ปกป้องเมืองของเราเอาไว้ นั่นเป็นตำนานที่พ่อฉันเล่าให้ฟัง ฉันยังไม่รู้เท่าไหร่เลยว่าราชาคนอื่นๆจะอยู่ที่ไหนบ้าง”

“ทำไมล่ะ”

“ก็เมื่อ 10 กว่าปีก่อนเกิดการปฎิวัติ พ่อแม่ฉันถูกฆ่าตาย เหลือพี่ชายกับฉัน ที่หนีรอดไปได้ แต่พี่ชายก็ต้องถูกทำร้ายจนขาหักข้างหนึ่ง เขาเป็นคนสอนให้ฉันเล่น AT ฉันจึงตั้งปณิธานเอาไว้ว่ายังไงซะฉันก็จะต้องทำสิ่งที่พ่อได้เหลือทิ้งเอาไว้ให้ดีที่สุด เพื่อที่จะทำให้พี่ชายของฉัน ญาติคนเดียวที่ยังเหลืออยู่เขามีชีวิตที่สุขสบาย”

“ฮืม.....ไม่เลวเลยนิ” อาร์มคิด พลางคิดถึงครอบครัวเขาเช่นกัน
“ฉันคิดว่านายจะเป็นราชาอีกาดำสะอีก”
“ฉันน่ะอีกาเพลิงต่างหากเล่า” อาร์มแย้ง

“ก็นั่นน่ะสินะเพราะถ้านายมีปีกสีดำของอีกาแล้วล่ะก็ สัญลักษณ์นั่นคงอยู่ที่คอร์ AT ของนายแล้ว”

ลิปดาได้แต่มองทั้งคู่อยู่เงียบๆ

“ปีกของ AT มันจะโบยบินหาเจ้าของของมันเองนะ”
“งั้นเหรอ”

“และฉันเองก็ได้รับการสืบทอดปีกนกเค้าแมวมาจากพี่ชายอีกที”
“เป็นเรื่องที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย” อาร์มอึ้ง
“อะไรกัน นายน่ะยังไม่รู้หรอกหรือ จุดมุ่งหมายของนักเล่น AT ทุกคนคืออะไร จุดสูงสุดที่พวกเขาอยากจะไปให้ถึงก็คือการได้ปีกของราชานกอินทรีสีน้ำเงินไงล่ะ”

“มันสำคัญขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“การได้ปีกของอินทรีสีน้ำเงินจะนำทุกคนเดินทางสู่ท้องฟ้าที่ไม่มีใครไปถึงได้ นั่นก็คืออิสระภาพนั่นไงล่ะ” จอร์นสันชี้ขึ้นไปบนฟ้า
อาร์มก็ยังไม่เข้าใจนักว่าพวกปีกทั้งหลายมันคืออะไรสำคัญขนาดไหน
“เอาไว้ให้นายไปถึงจุดหนึ่งแล้วจะเข้าใจเองล่ะ” จอร์นสันตัดเรื่องคุยเพราะเหมือนยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้เขางงเข้าไปใหญ่

ลิปดาเดินถือกล่องข้าวกล่องมาให้จอร์นสันมีท่าทีดีใจจนออกนอกหน้า
“คุณลิปดาช่างใจดีอะไรขนาดนี้”
ลิปดายิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“การจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ ไม่ใช่แค่มีปีกอย่างเดียวหรอกนะ แต่ต้องมีแรงลมช่วยในการกระพือปีกยิ่งลมแรงเท่าไหร่ก็จะโบยบินไปได้ไกลเท่านั้น ทุกคนต่างก็ฝันที่จะบินได้ด้วยกันทั้งหมด แต่จะมีใครสามารถที่จะทำตามความฝันได้ และสิ่งที่จะช่วยในการขับเคลื่อนเราสู่ท้องฟ้าได้ มันก็คงจะเป็น AT นี่สินะ”

“คุณลิปดาเท่ห์ที่สุดเลย” จอร์นสันทำตาหยาดเยิ้มใกล้ๆ
“คุณจอร์นสันมาอยู่ที่นี่เองหรือคะ?” เสียงอ่อนหวานเอ่ยอย่างน้ำเสียงขึงขัง
ทุกคนหันไปมองร่างบอบบางแต่อกอึมยืนมองทั้งสามด้วยสายตาที่ไม่พอใจนักที่เห็นจอร์นสันทำท่าทีชื่นชมลิปดาอยู่

“เธอคือใครกันน่ะ” อาร์มสงสัย
“นาเดีย” จอร์นสันเรียกชื่อเธอ
“นายรู้จักด้วยเหรอ”
“รู้จักสิ ก็เธอน่ะ เป็น........”

“เทพธิดาเชื่อมต่อพลังราชานกเค้าแมวว” นาเดียเอ่ย
“ดูสิเนื้อตัวบอกช้ำขนาดนี้แล้วนี่ปีกของท่านหักยับเยินไปแล้วใช่ไหมก็แล้วทำไมไม่เอามาซ่อมซะล่ะคะ”ก่อนจะเข้ามาลากตัวจอร์นสันไปอย่างไม่ปราณี

“ขอโทษที่มารบกวนนะคะ” เธอหันมาเอ่ยขอโทษอาร์มกับลิปดาที่นั่งเป็นลูกไก่อยู่ตรงนั้น

จอร์นสันได้แต่ร้องเรียกให้ช่วยเหลือเขา
อาร์มกับลิปดาได้แต่มองตามหน้าเหรอ

“มันอะไรกันเหรอทั้งสองคนน่ะ”
“เทพธิดาแห่งการเชื่อมต่อพลังราชากับผู้ใช้พลังนั่นไงล่ะ ว่ากันว่าราชาทั้ง 5 และราชาสูงสุดหรือราชาอินทรีสีน้ำเงินต่างก็มีเทพธิดาแห่งการเชื่อมต่อหรือการจูนซึ่งจะทำหน้าที่ซ่อมแซมปีกและจูนพลังราชาให้”
อาร์มพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

“เทพธิดากับราชาต่างก็จะเข้ากันได้ดี ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ต่างก็เป็นผู้ผลักดันให้พลังราชาขับเคลื่อนไป”
“ทำไม....เธอ...ถึงรู้ดีจัง”

ลิปดาทำหน้าเหรอ
“ฉัน...ก็อ่านมาจากเน็ตน่ะสิ” เธฮตอบเขาแต่ดูแล้วสีหน้าเหมือนคนโกหก

“ฉันอาจจะไม่เข้าใจเท่าไหร่น่ะนะ แต่ว่าเทพธิดาอะไรนั่นไม่ได้จำเป็นสำหรับฉันหรอก ฉันจะบินด้วยปีกของฉันเอง คอยดูนะลิปดา” พูดแล้วก็กางปีกออกแล้วทำท่าบินไป

“เธอต้องบินได้แน่ๆ อาร์ม” ลิปดาบอกตัวเองเบาๆ และยิ้มอย่างยินดีกับความคิดนั้น

ลิปดากลับมาถึงบ้านเห็นคารินกำลังซ่อมประตูห้องเก็บของอยู่เสร็จแล้วก็โยนกุญแจให้กับเธอ
“ล็อคเอาไว้ดีๆล่ะ อย่าให้เจ้าบ้านั่นมาเปิดอีก รู้ไหม?”
“ค่ะ”
“เจ้านั่นน่ะ ยังอยู่อีกไกลกว่าที่จะบินขึ้นฟ้าได้”

คารินพูดแล้วก็เดินขึ้นบ้านไป

ลิปดาปิดประตูลงเบาๆ มองดู AT ทั้ง 4 คู่ที่อยู่ในกล่องแก้วอย่างเรียบร้อยเหมือนเดิม แสงสะท้อนจากไฟด้านนอกกระทบกับปีกสีน้ำเงินของรองเท้าคู่สุดท้าย ลิปดามองครู่หนึ่งก่อนจะปิดมันลงและล็อคกลอน





Create Date : 19 มีนาคม 2553
Last Update : 30 มีนาคม 2553 5:59:49 น.
Counter : 863 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

unitan
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]