มีนาคม 2553

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
21
22
24
26
28
29
30
31
 
 
ตอนที่ 1. เอ..ที มันคืออะไรกันนะ?




“ลิปดา.....ลิปดา...ฉันหิวแล้วนะ” เสียงทุ้มๆ เอ่ยเสียงดังเป็นประจำทุกวันแต่นี่มันเวลา 1 ทุ่มกว่าซึ่งก็ผิดเวลาที่เขากลับถึงบ้าน

“วันนี้มีอะไรกินบ้างงงง” เจ้าของเสียงเดิมเอ่ยก่อนจะเปิดประตูห้องครัวเข้ามาก็ตรงตกตะลึงค้างที่พบ คาริน พี่สาวคนโตอายุ 25 รูปร่างสูงโปร่งอกอึมคับ C ผมสีมะฮอกกานีปล่อยยาวสยาย กับซ้องส์น้องนุชคนสุดท้องอายุเพียง 11 ขวบรูปร่างยังไม่เด่นชัดผมสีดำยาวสลวย ดวงตาสีดำกลมโตกำลังนั่งคีบเนื้อย่างกิน
กันอย่างเอร็ดอร่อยโดยมีลิปดานั่งร่วมวงอยู่ด้วย

“อะไรกันวันนี้มีเนื้อย่างหรอกเหรอ....ก็แล้วทำไมไม่บอกกันสักคำ” หนุ่มผมตั้งหน้าคมวัย 18 ร้องออกมาอย่างฉุนเฉียว

“ฉันต่างหากล่ะที่ต้องถามแกว่า...แกไปทำอะไรมา ไอ้บ้า นี่มันกี่โมงกันแล้ว ...” เสียงพี่สาวคนโตเอ่ยพร้อมด้วยดวงตาโหดเหี้ยมเมื่อเห็นใบหน้าบูดเบี้ยงของน้องชายคนเดียว ทำเอาไอ้หนุ่มผมตั้งสีทองถึงกลับถอยกรูดด้วยความกลัว
ผลสุดท้ายอาหารสำหรับเขาก็เป็นเพียงแค่ไข่เจียว

เมื่อพี่สาวเก็บกวาดบ้านอย่างเรียบร้อยดีแล้วทุกคนแยกย้ายกันเข้าห้อง

“กินเสร็จแล้วล้างถ้วยชามด้วยล่ะ” เสียงประกาศิตเอ่ยก่อนจะออกไป
ปล่อยให้หนุ่มหน้าอ่อนทำหน้าเศร้าที่พลาดอาหารวิเศษของมื้อเย็นไป

“ไปทำอะไรมาอีกล่ะ รู้ไหมว่าพี่คารินรอตั้งนาน พี่เขาเป็นห่วงมากนะ” ลิปดาที่ยังไม่ออกไปกับเพื่อนนั่งลงตรงกันข้าม

อาร์มยังทำหน้าไม่สบอารมณ์ใส่เจ้าหล่อน ก็ในความคิดแล้วสาวน้อยวัย 17 ปีตัวผอมบาง ในตาสีน้ำเงินเข้ม ผมสีชมพูที่ชอบรวมเอาไว้กลางหลังด้วยลิบบิ้นสีขาว เธอมักเป็นตัวถ่วงของเขาประจำ

“มันเรื่องของผู้ชาย อย่างเธอคงไม่เข้าใจหรอก” เขาตอบ

“เอ้า.....ฉันแบ่งไว้ให้” เธอวางถ้วยเนื้อย่างที่แอบพี่สาวเอาไว้ให้ชายหนุ่ม
อาร์มทำเป็นเมินในทีแรกแต่พอร่างอ้อนแอ้นเดินออกจากครัวไปแล้วเท่านั้นก็รีบจัดการอย่างรวดเร็ว

อาร์มเป็นผู้ชายคนเดียวของบ้านนี้อันที่จริงเขาเป็นเพียงคนอาศัยมากกว่า พอจำความได้เขาก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่คือใคร ที่เห็นก็เพียงพี่คาริน ลิปดาที่อยู่ด้วยกันมาและพ่อแม่ของทั้งสอง ซ้องส์เกิดหลังจากนั้นร่วม 7 ปี ต่อมาตอนอายุ 8 ขวบ พ่อของลิปดาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตที่ต่างประเทศ เป็นเหตุให้ทั้งครอบครัวเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น แม่ของลิปดาเอาแต่เสียใจและตรอมใจตามพ่อไปอีกคน ดังนั้นภาระการดูแลน้องๆ จึงตกมาอยู่ที่คารินซึ่งตอนนั้นอายุเพียง 15 ยังเป็นเด็กมัธยมปลาย แต่ยังเคราะห์ดีนักที่ยังมีป้าอังกาที่เป็นพี่เลี้ยงของทุกคนช่วยดูแลมาตลอด ด้วยสมบัติของพ่อกับแม่ลิปดาที่ทิ้งเอาไว้ไม่ใช่น้อย ครอบครัวจึงไม่ได้ลำบาก เมื่อคารินเรียนจบเธอก็รีบหางานทำเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูน้องๆ

ปีนี้ทั้งอาร์มและลิปดาเข้าเรียนหาวิทยาลัยแล้วทั้งคู่ อาร์มมีความสนใจในเครื่องยนต์กลไกเขาจึงเรียนด้านวิศวะกรรมเครื่องกล ส่วนลิปดาไม่ต้องพูดถึงเธอเป็นอัฉริยะจะอยากเรียนอะไรก็คงได้ แต่เธอเลือกเรียนวิศวะเครื่องกลเช่นเดียวกับเขา เพราะเธอบอกว่า สิ่งเดียวที่อยากจะทำคือการบินให้สูง เธอจะสร้างสิ่งที่บินให้สูง เพื่อที่จะพาเธอไปพบกับพ่อและแม่

หลังจากที่อาร์มล้างถ้วยชามเสร็จแล้วเขาเดินไปที่ห้องของคารินซึ่งกำลังยุ่งกับงานที่หอบมาทำที่บ้าน

“งานไม่น่าเอามาทำที่บ้านหรอกนะ มันเป็นเวลาพักผ่อน” น้องชายเอ่ยตำหนิพี่สาว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอใส่ใจ

“มีอะไร?” เสียงนิ่มๆ เอ่ยถาม

“ผมจะไปหางานพิเศษทำ ผมจะเก็บเงินซื้อ AT” เขาเริ่มเรื่องที่คิดมาตั้งนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสพูดสักที

“หน้าที่ของเธอคือเรียนหนังสือ เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจหรอก” ใบหน้าหวานแต่โหดหันมามองเขา

“และอีกอย่าง จะให้ดีล่ะก็ช่วยอัพเกรดให้ดีด้วย เพราะฉันก็หวังว่านายคงไม่ได้มีแต่ขี้เลื่อยอยู่ในสมองล่ะ”
ลิปดาออกมาจากห้องเมื่อได้ยินเสียงพี่สาวพูดเสียงดัง

“พี่คารินคะ”

“ผมโตแล้วนะ พี่จะมาทำเหมือนผมเป็นเด็กไม่ได้หรอก และอีกอย่างการหางานทำมันผิดตรงไหนอย่างน้อยก็ยังช่วยพี่อีกแรงด้วย”
ลิปดาเห็นท่าทางพี่สาวกำลังจะโกรธซึ่งทุกคนก็รู้ดีว่าเวลาเธอโกรธมันน่ากลัวแค่ไหน
“พอได้แล้วนะอาร์ม...พี่คารินคะ” เธอรีบเข้าไปหาพี่สาว

“ไปให้พ้นๆ หน้าเลยนะไอ้บ้า” เสียงเหี้ยมลอดไรฟันทำเอาน่าขนลุก
แต่หนุ่มผมตั้งตั้งแต่เล็กจนโตเขาก็ชอบยั่วโมโหพี่สาวคนเดียวนี้มาตลอดเพราะเขารู้ดีว่ายังไงพี่ก็ไม่เคยโกรธเขาจริงจังอะไร

“ยังไงผมก็จะทำ” เขายืนยันเสียงแข็ง

ร่างบอบบางก้าวเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็วเกินที่จะมองเห็นทันพร้อมกับหมัดอันทรงพลังกระแทกเข้าที่ปลายคางก่อนที่เขาจะหน้ามืดตามัวลอยออกมาจากห้องของพี่สาว

“พี่คะ......อาร์ม” เขาได้ยินแต่เพียงเสียงของลิปดาเรียกเขาแล้วคารินก็ปิดประตูห้องอย่างเสียงดัง พอได้สติหันมามองหน้ามองลิปดาที่ทำหน้าบอกไม่ถูกใกล้ๆ

“อะไรกันเรื่องแค่นี้......” เขาพูดอย่างหัวเสีย ก่อนจะลุกสะบัดตัวเดินหนีไป ลิปดาได้แต่มองตามอย่างไม่เข้าใจคนทั้งคู่

อาร์มเดินลงจากชั้นบนอย่างหัวเสียพอจะออกประตูหลังบ้านสายตาที่กำลังมีน้ำใสๆคลอเป้าก็สะดุดกับป้ายสีแดงใหญ่ๆว่า “ห้ามเปิด”

ห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องเก็บของก่อนจะถึงประตูหลังบ้าน เป็นห้องที่ถูกปิดตามมาตลอด 5 ปี ที่เขาอยู่ที่นี่ เขายังไม่เคยเข้าไปเลย รวมทั้ง คาริน ลิปดา และซ้องส์ เขายังไม่เคยเห็นทุกคนเข้าไปเลย แม้ตอนเป็นเด็กเขากับลิปดาจะชอบเล่นซ่อนแอบแต่ก็ยังไม่เคยเข้าไปในห้องที่ถูกปิดตายนี้เลยสักครั้งเดียวในนี้มันมีอะไรนะ นิ้วมือเรียวจับลูกปิดที่ถูกปิดตายอย่างใจระทึกลองบิดดูเหมือนมันจะถูกล็อคเอาไว้

“คุณอาร์มคะ จะทำอะไรคะ” เสียงแก่ๆของหญิงสูงวัยเอ่ยถามทำเอาชายหนุ่มตกใจ

“ป้าอังกา”

เขารีบดึงมือกลับทันที

“คิดจะเปิดห้องนั้นเหรอ มันถูกปิดตายไปแล้วนะคะ ไม่มีใครอยากจะเปิดมันหรอกค่ะ”

“ในนี้มีอะไรเหรอครับป้า ทำไมถึงไม่มีใครเปิดมันเลย”

“อย่ารู้เลย..... ว่าแต่จะไปไหนคะ ดึกแล้วนะ” ป้าอังกาเปลี่ยนเรื่องอย่างไม่สนใจ

“ว่าจะออกไปเดินเล่นหน่อยครับ”

“เดี๋ยวคุณคาริน....”

“เขาไม่ว่าหรอก แล้วผมจะพยายามกลับให้เร็วก็แล้วกัน” เขาพูดอย่างไม่สนใจก่อนจะปิดประตู
อาร์มเดินไปตามถนนที่ยังมีพอมีผู้คนเดีนอยู่บ้าง อากาศเย็นกว่าหัวค่ำแล้วเขาซุกมือเอาไว้ในเสื้อคลุม

“ทำไมนะเรื่องง่ายๆ แค่นี้พี่คารินไม่ยอมเข้าใจ เราก็โตแล้วการทำงานนอกบ้านมันก็เรื่องธรรมดาจะตาย” ชายหนุ่มยังหัวเสียกับเรื่องที่ทะเลาะกันกับพี่สาว
ชายหนุ่มเดินไปเรื่อยๆ เขากำลังจะไปที่บันไดมังกรที่นั่นตอน 4 ทุ่มทุกวันเขามักจะไปนั่งอยู่ที่นั่น

“เฮ้....นายน่ะ ไอ้หน้าอ่อนมหาลัยกลางนี่” เสียงทุ่มๆหนักๆ เอ่ยทักจากด้านหลัง

อาร์มหันไปมองต้นเสียง พบชายร่างใหญ่3-4 คนกำลังเดินเข้ามาหาท่าทางจะหาเรื่อง

“ไอ้นี่แหล่ะที่มันทำร้ายผมมา” ในกลุ่มมีคนร่างเล็กหน้าตาบูดเบี้ยวชี้หน้าชายหนุ่มเพื่อระบุบหลักฐานบอกเพื่อนๆ

“เอ้อ.....ก็ดีสิจะได้ไม่ต้องหาตัวยาก” เสียงคนร่างใหญ่ที่กำลังคาบบุหรี่อยู่พูดอย่างดีใจ

“ฉันโย”

“ฉันโจโจ้”

“ฉันมอลล์”

“พวกเรามหา’ลัยตะวันออก จะแสดงพลังให้นายดู” ทั้ง 3 ตั้งท่าอย่างดุร้าย

“อะไรของพวกนาย” อาร์มเอ่ยอย่างไม่สนใจ

“ฉันมีเรื่องต้องไปทำ...ไม่มีเวลาเล่นด้วยเหรอนะ” เขาพูดแล้วหันกลับไปอย่างเมินเฉยทำเอาชายร่างยักษ์ทั้งสามโมโหเลือดขึ้นหน้า

“ท่านโย.....ทำไมมันเมินเราอ่ะ”

“ไม่ต้องพูด.........ฉันเห็นแล้ว” ท่านโยทำหน้าโกรธสุดฤทธิ์ที่ถูกหยาม
“เอ้ย....ไอ้หน้าอ่อนทำแบบนี้มันหยามกันชัดๆ มาสู้กับฉันเดี๋ยวนี้นะ”
ร่างอันทรงพลังกระโจนเข้าหาชายหนุ่ม แต่คนร่างสูงโปร่งก็หลบหลีกอย่างว่องไวส่งผลให้กำปั้นลอยเคว้งในอากาศแทน

“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่สนจะเล่นด้วยไงล่ะ”

“ว้าย..........” เสียงใสๆร้องอย่างตกใจด้านหลัง
อาร์มหันไปมองก็ต้องตกใจที่เห็นลิปดาถูกคนร่างสูงใหญ่อีกคนล็อคคอเอาไว้
“ลิปดา....นี่เธอมาทำอะไร”

“อ้าว....ท่าทางจะรู้จักกันด้วยสิ แม่สาวคนนี้น่ะ ก็ดีเลย งั้นฉันจะทำให้นายอยากสู้กับฉันเอง ไอ้หน้าอ่อนแห่งมหา’ลัยกลางงงง” เสียงมันเอ่ยอย่างดุร้าย

“ท่านซากุน....” เสียงเหล่าพรรคพวกร้องออกมาอย่างยินดี

“ถ้าแกไม่อยากเล่นกับฉันก็ตามใจฉันจะเล่นกับแม่สาวนี้แทนเองดีไหม” ใบหน้าหยาบๆโน้มลงมาแนบชิดแก้มใส

อาร์มขบกรามแน่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ก็ได้....ไอ้หน้าบาก.....ฉัน อาร์ม โรล ไลน์ เบบี้เฟรสแห่งมหาลัยกลางจะจัดการแกด้วยหมัดเดียวนี้เอง”

“อาร์ม....ไม่” เสียงลิปดาร้องห้ามเขา

แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกระโจนเข้าหาเหล่าบรรดานักเรียนนักเลงอย่างบ้าคลั่ง ลิปดามองดูเขาที่ถูกทั้งต่อยตีจนเลือดออกเต็มหน้า ใจเธอสั่นเทาอย่างหวาดกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป

ตลอดมาแม้อาร์มจะชอบเป็นหัวโจกในการชกต่อยกับเด็กผู้ชายด้วยกันแต่ทุกครั้งเขาก็ทำด้วยเหตุผล เขาไม่เคยระรานใครเพื่อหาเรื่องตีต่อยกันเล่นๆ สร้างความปั่นป่วนไปวันๆ แต่เขามีจุดมุ่งหมายที่จะทำถึงได้ทำ
อาร์ม....ลิปดาร้องเรียกเขาอยู่ในใจ เขาต้องการปกป้องเธอ เขาถึงยอมชกต่อยกับคนพวกนี้....ร่างหอบตัวโยนยืนอยู่ข้างหน้าของหญิงสาวหลังจากที่เขาล้มสามคนนั้นได้แล้ว หน้าตาที่บูดเบี้ยวเมื่อตอนเย็นตอนนี้มันเพิ่มความช้ำเลือดเข้าไปอีก

“ไม่เบานิไอ้หน้าอ่อน” เสียงของซากุนเอ่ยพลางมองเหล่าลูกน้องที่นอนกองกันอย่างไม่เป็นท่า

“นายเก่งมาก แต่คิดว่าจะเอาชนะฉันได้เหรอ”

“พอแล้วล่ะอาร์ม ฉันขอโทษ...” เสียงของลิปดาเอ่ยอย่างสั่นเทา

อาร์มมองหน้าเออย่างไม่เข้าใจนักว่าทำไมเธอต้องขอโทษด้วย

“ไม่เป็นไรหรอก แม้ฉันออกจะรำคาญเธอสักหน่อยที่ชอบหาเรื่องมาให้ฉัน แต่ว่านะมันก็คือหน้าที่....ที่ฉันจะต้องปกป้องเธอ” เขาเอ่ยเบาๆ
ลิปดาใจสั่นเทาน้ำตาไหลพราก

“ฉันขอโทษ………..”เธอเอ่ยปนสะอื้นก่อนจะกระแทกส้นรองเท้าลงกับเท้าของชายหนุ่มร่างใหญ่ที่ล็อคคอเธอเอาไว้ ถึงกับร้องเสียงหลงอย่างเจ็บปวดปล่อยเธอให้เป็นอิสระ

“Switching boom tunner” เสียงเธอเอ่ยท่าไม้ตายก่อนจะกระโดดหมุนตัวแตะฝ่าหมากซากุนราวกับพายุ คนร่างสูงใหญ่ทรุดลงนั่งแทบเท้าเธอมือกุมกล่องดวงใจเอาไว้หน้าตาบูดเบี้ยวใจแทบขาดแทบจะไม่ได้ยินเสียงร้องครวญครางเล็ดลอดออกมาเลย
อาร์มมองตาค้าง.......

“สุดยอดดดด.....นี่เธอ....ลิปดาจริงๆเหรอ” เขาครางออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ
ลิปดาเหมือนรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป

“ฉันน่ะคาราเต้สายดำของมหาลัยกลางเชียวนะ” เธอรีบออกตัว พอหันไปมองอาร์มที่เลือดเต็มหน้าก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที

“เธอแม่สาวน้อยช่างกล้าดีนะ” เสียงของโยเอ่ยขณะเข้าไปพยุงซากุน

“ไม่มีใครเคยทำร้ายท่านซากุนได้ ขอทราบชื่อเธอหน่อยสิ”

“ลิปดา..........ลิปดา เวลตัน”

“จะเป็นชื่อที่เราจะจดจำไว้ แต่สำหรับเจ้าเบบี้เฟรส พวกเราจะมาเอาคืน พวกเรารู้จักกับแก๊งค์ แมมโมเลีย พวกเราจะมาเอาคืน” โยเอ่ยคาดโทษเอาไว้ก่อนจะช่วยกันพยุงซากุนหายไปในความมืด

“อาร์ม...”เธอพยุงเขาขึ้น

“เป็นยังไงบ้าง...”

“ฉันไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่เธอมาทำไมแถวนี้” เขาหันไปถาม

หญิงสาวรีบหาข้ออ้าง

“ก็...ๆ...เห็นนายออกมาดึกๆแบบนี้กลัวว่านายจะลืมเอาผ้าพันคอมาน่ะสิ” เธอแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ


ชายหนุ่มหันหลัง

“อ้าว...แล้วนายจะไปไหนกัน”

“เธอกลับไปก่อนเถอะมันดึกแล้ว”

“ไม่...” เธอปฏิเสธเสียงแข็งก่อนจะไปจูงจักรยานที่ล้มไม่เป็นท่า

“ฉันจะไปด้วย”

“อะไรของเธอน่ะ.....” อาร์มทำหน้ายุ่งเหยิง

สุดท้ายเขาก็เป็นคนปั่นจักรวานให้ลิปดาซ้อนท้าย

“ลิปดา...ว่าแต่แมมโมเลีย มันคืออะไรเหรอ?”

“เออ.... ไม่รู้ซิ” หญิงสาวตอบอย่างไม่รู้หากอาร์มหันมามองจะเห็นแววตาที่แสนกังวลเกิดขึ้น

เมื่อมาถึงบรรไดมังกรทางที่ทอดตัวสู่วัดมังกรบนเขา บรรไดที่ทอดตัวยาวเหยียบสูงราว 300 ขั้น แน่ล่ะไม่มีใครที่ชอบนักหรอกหากต้องมาขึ้นบรรได 300 ขั้นแบบนี้ อาร์มนั่งลงที่โขดหินซึ่งห่างออกมาจากตัวบรรไดพอสมควร สายตาจับจ้องที่บรรไดยาวเหยียดที่ทอดตัวในความมืด ลิปดานั่งลงข้างๆ อย่างสงสัยว่าเขามาที่นี่ทำไม

เสียงล้อบดขยี้กับหินดังมาแต่ไกล เสียงมันช่างรุนแรง รวดเร็ว และ.....

ฟริ้ววววววววว.............

ได้ยินเพียงอากาศผ่านหน้าของทั้งสองไป อาร์มมองตาด้วยประกายตาที่สดใสราวกับกำลังมองเห็นเทพธิดามาจุติตรงหน้า ลิปดามองตามสายตาของเขาเห็นร่างบอบบางกระโปรงสั่นสีสีขาวปริ้วไหวกำลังเริงร่าอยู่บนอากาศราวกับนก ช่างมหัศจรรย์อะไรขนาดนั้น

“วิเศษจริงๆ” อาร์มหลุดปากออกมา

เขามาที่นี่ทุกคืนเพื่อมาดูผู้หญิงคนนั้น สายตาที่เขามองเป็นประกายตาที่สดใส ลิปดามองดูเงียบๆ

เมื่อร่างบอบบางบินไปตามอากาศของเงามืดไปแล้ว อาร์มจึงลุกขึ้น

“คอยดูนะลิปดา ฉันจะบินให้ดู” เขาชี้มือไปตามร่างบอบบางที่หายไป

“และชั้นจะบินให้สูงกว่าที่ทุกคนบินได้” ปลายนิ้วของเขาชี้ขึ้นไปที่ท้องฟ้า
พระจันทร์ดวงโตกำลังลอยเคว้งอยู่บนนั้น

เธออาจจะทำได้แน่....อาร์ม ลิปดาบอกตัวเองอยู่ในใจ

รอยยิ้มภายใต้แสงจันทร์คืนนั้นมันทำให้เธอมั่นใจว่าเขาต้องทำได้

วันต่อมาคารินต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัดหลายวันซึ่งก็ทำให้บ้านเงียบลงเพราะไม่มีศึกระหว่างอาร์มกับคารินเกิดขึ้น
หลังเลิกเรียน

“อาร์มจะกลับหรือยัง” ลิปดาเข้ามาถามเขาที่กำลังง่วนกับการเขียนแบบ เมื่อหญิงสาวชะโงกหน้าดูแบบที่กำลังเขียนถึงกับอึ้ง เป็นรองเท้าสะเก็ตที่เขากำลังออกแบบเอาไว้

“ยังหรอก เธอกลับก่อนเถอะ เอาไว้เจอกันที่บ้านนะ”

“อย่ากลับดึกล่ะ”

“เฮ้...อาร์ม นี่นายเอาจริงเหรอ”

ทานุ กับชอยเพื่อนร่วมคณะและเพื่อนสมัยประถมเอ่ยถาม

“ฮืม...เอาจริงสิ ถ้าอยากจะบินก็ต้องบินให้ได้” เขาตอบ
“แล้วนายจะทำได้จริงเหรอ”

“ฉันคิดว่าน่าจะทำได้นะ ก็ในเมื่อ...คนๆนั้นเขายังสามารถทำได้” อาร์มหมายถึงหญิงลึกลับที่ขาแอบดูทุกคืน

“แต่เขาว่าการทำรองเท้า สะเก็ตมอเตอร์ต้องเป็นผู้ที่ชำนาญเอามากๆเลยนะ และอะไหล่ที่ใช้ก็เป็นชนิดที่พิเศษไม่ได้หากันง่ายๆ” ชอยขัดจังหวะ

“ใช่แล้วล่ะ”

“ฮืม....ถึงอย่างนั้นฉันก็จะลองดู”

สายตาเขาดูมุ่งมั่นถ้าเอ่ยแบบนี้แสดงว่าเอาจริงสินะ
ลิปดากลับบ้านก่อนเธอเดินคิดเรื่องของอาร์มมาตลอดทาง

“อาร์มคิดจะเอาจริง เหรอเนี่ย”
“กลับมาแล้วค่ะ” เธอเปิดประตูเข้าบ้านเห็นซ้องส์กับป้าอังกากำลังดูทีวีกันอยู่
“มาแล้วเหรอคะพี่ลิปดา” ซ้องส์หันมาทักก่อนจะหันกลับไปดูทีวีต่อ
“เดี๋ยวป้าเอาน้ำองุ่นให้นะคะ”
อังการีบไปจัดเตรียมของว่างให้

ตกเย็นอาร์มเดินคิดเรื่องรองเท้าสะเก็ตติดเทอร์โบคนเดียว
“ที่จริง.....เราก็น่าที่จะเก็บเงินซื้อ....เฮ้อ......แล้วจะเอาที่ไหนล่ะ ลำพังค่าขนมต่ออาทิตย์ก็ได้น้อยนิด งานพิเศษพี่คารินก็ไม่ยอมให้ทำ ฮือ....ๆ จะทำยังไงดี” เขาคิดคอตกอยู่คนเดียว

“555.....พยายามเข้าหน่อยสิจ๊ะ” เสียงหวานๆ อารมณ์ดีของใครบางคนดังขึ้น

อาร์มหันไปมองสนามที่อยู่ด้านล่างสาวสวยที่เขาเห็นทุกคืนกำลังยิ้มหวานอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ สาวเจ้าหมุนตัวอย่างเริงร่า มีหนุ่มๆพยายามจะเข้าไปจับเธอแต่ก็ก็ว่องไวมากพอที่จะหลบหนีไป ก่อนจะก้าวกระโดดรวดเดียวมายืนข้างอาร์มที่เกาะขอบข้างถนนมองอยู่

“ขอโทษนะจ๊ะ” เธอเอ่ยเบาๆพร้อมรอยยิ้มหวานก่อนจะกระโดดตัวลอยขึ้นไปบนฟ้า อาร์มได้แต่มองตาม

“อย่าหนีนะเคย์” เสียงโหวกเหวกข้างล่างดังขึ้น

“เคย์” อาร์มเรียกเธอเบาๆ รอยยิ้มพิมพ์ใจที่เธอให้ก็ไปพร้อมร่างที่โบยบินขึ้นสู่ฟ้า อาร์มมองตามอย่างเสียดาย

“เฮ้....นายน่ะมาทำอะไรแถวนี้” เสียงดุเข้มของใครบางคนเอ่ย

“นั่นไอ้หน้าอ่อนของมหาลัยกลางนิ” เสียงซากุนคู่อริดังมาจากข้างหลัง
อาร์มหันไปมองกลุ่มคนที่ตามเคย์มาเมื่อครู่นั่นเอง

“งั้นเหรอ” ชายที่พูดร่างกำยำหัวโล้นมีรูปหัวกระโหลกอยู่ที่กลางหัว
“ว่าแต่วันนี้มาคนเดียวเหรอ” ซากุนเอ่ยถามพลางหันซ้ายแลขวาอย่างหวาดๆ

“แค่คนเดียวก็เหลือแหล่แล้ว” อาร์มเอ่ยอย่างนักเลง

“คนนี้แหล่ะที่เล่าให้ฟัง จัดการมันเลย แมมโมเลีย” ซากุนบอกชายคนนั้น
“เหรอ ไม่เห็นมีออะไรน่าสนใจนิ” ชายร่างใหญ่ใส่รองเท้า AT มองตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ไม่น่าเชื่อว่าหน้าอย่างนี้จะเป็นเบบี้เฟรส”
“อย่ามาดูถูกกันมากนะ แล้วฉันจะทำให้แกเชื่อเอง” สายตาที่เอาจริงเอาจังปรากฏขึ้นอีกครั้ง

.........
เสียงประตูหลังบ้านกระแทกลงอย่างแรงลิปดากำลังอ่านหนังสือถึงกับสะดุ้ง เกิดอะไรขึ้นเหรอ พี่คารินก็ไม่อยู่นี่นาแล้วจะมีใครเล่นมวยปล้ำกันได้
อาร์มกำลังทุบประตูอย่างคนบ้า

นี่ฉันแพ้พวกมันเหรอเนี่ย......ฉันแพ้พวกมันเหรอ เป็นเพราะพวกมันใส่ AT อย่างนั้นเหรอ เขาคิดอย่างเจ็บแค้นใจ ที่พ่ายแพ้ให้กับแก๊งค์แมมโมเลียพลางทุบประตูซ้ำๆ อย่างโกรธแค้นจนป้ายห้ามเข้าที่ติดเอาไว้ 5 กว่าปีหลุดออกมา อาร์มมองมันด้วยสายตาขวางก่อนจะใช้กำปั้นทุบกลอนทีเดียวกระเด็นออกชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปข้างใน ชั้นวางของข้างในมีกล่องแก้ววางเรียงกันอยู่ 4 ใบ มีสีดำ เหลือง ขาว และฟ้า อาร์มเดินเข้าไปดูใกล้ๆ อย่างสงสัย และก็ต้องตกใจที่เห็นรองเท้า AT รุ่นพิเศษที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลยอยู่ที่นั่น

“นี่มันอะไรกัน AT พวกนี้ เป็นของ...”

เขาเปิดกล่อง AT ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดสีดำที่เขาคิดว่าน่าจะใส่ได้ มีสิ่งหนึ่งที่วางอยู่ในกล่องด้วย เป็นตราสัญลักษณ์รูปนกอินทรีขยายปีกกว้าง
“Darkly Blue Eagle มันคืออะไรเหรอ?” เขาถามตัวเองแต่ก็ไม่มีคำตอบ

แต่ความดีใจที่ได้จับ AT ครั้งแรกนี่สิ ดวงตาที่ลุกวาวมันทอประกายแสงความมุ่งมั่นออกมา

“ฉันจะไม่มีวันแพ้แน่”

เสียงปิดประตูลงลิปดาลงมาจากห้องทันได้เห็นหลังไวๆ ของอาร์มที่ใส่ AT วิ่งออกไป

“อาร์ม.....” เธอครางชื่อเขาออกมาเบาๆ วิ่งไปดูที่ห้องเก็บของถึงกับเข่าทรุดเป็นอย่างที่คาดเอาไว้ ลิปดา หยิบเอา AT สีฟ้ามาใส่แล้วรีบตามอาร์มออกไป

อาร์มนายกำลังจะทำอะไรกันนะ..นายจะไปไหนกัน เธอถามตัวเองที่ไม่สามารถจะมีคำตอบได้...ลิปดาออกตามอาร์มอยู่ห่างๆ
ด้วยความที่ไม่เคยเล่น AT มาก่อนจึงทำให้อาร์มยังเหมือนเด็กหัดเดิน

“ทำยังไงว้า ถึงจะวิ่งได้เร็วเหมือนเขา......ฮืม....หรือว่า” ชายหนุ่มทำท่าวิ่งเหมือนสไลด์เดอร์ซึ่งก็ทำให้มันออกตัวเร็วขึ้น

“อย่างนี้นี่เอง AT จะวิ่งตามใจเรา ถ้าเพียงเราอยากจะวิ่งไปข้างหน้ามันก็จะวิ่งพาเราไป”

อาร์ม...นายยังไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับ AT นายยังไม่รู้อะไรเลย ....
ลิปดามองดูเขาจากข้างบนเงียบๆ

อาร์มกลับไปที่สนามที่เขาเห็นกลุ่มแมมโมเลียที่นั่น แต่ก็ไม่เจอใครแล้วเขาเห็นชายชรากำลังเก็บกวาดของอยู่จึงเข้าไปถาม

“ลุงๆ เห็นพวกแก๊งค์แมมโมเลียไหม?”
“ตอนนี้พวกเขาไปรวมกันที่สนามรางรถไฟแล้วล่ะพ่อหนุ่ม ที่นั่นน่ะเป็นที่รวมกลุ่มของเหล่า AT เลยล่ะ”

“เหรอ” เมื่อรู้แล้วชายหนุ่มก็มุ่งหน้าไปที่นั่นทันที
ก่อนจะถึงสนามรางรถไฟอาร์มกระโดดผิดกระโดดถูกทำให้วิ่งไปไม่เป็นท่าจนเขาถไลไปขนเข้ากับป้ายของร้านขายของร้านหนึ่งเข้า
“พ่อหนุ่ม...นี่เจ้าทำอะไรน่ะ” เสียงสาวร่างใหญ่ร้องตะโกนใส่เขาอย่างโมโห

“เจ้าต้องจ่ายค่าซ่อมให้พวกเราด้วย” เสียงทุ้มๆเอ่ยขึ้นด้านหลัง
“ลุง......ผมกำลังรีบน่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาเคลียร์ให้นะๆ” เขารีบเข้าไปอ้อน

“นี่เจ้าคิดจะไม่รับผิดชอบสิ่งที่ทำลงไปเหรอไอ้หนู” ชายร่างใหญ่กระชากคอเสื้อของชายหนุ่มมากำไว้

สติ๊กเกอร์รูปนกอินทรีย์สะดุดตาทำเอาเขาตะลึงค้าง

“นี่เจ้า.....ไปเอาไอ้นี่มาจากไหน”
“ลุงไม่ต้องอยากรู้หรอกนะ แต่ตอนนี้ผมขอไปก่อนจะได้ไหมล่ะแล้วพรุ่งนี้ผมจะมาเคลียร์”

“เฮ้ย...ไอ้หนู....กลับมาก่อน” อาร์มหลุดจากการเกาะกุมได้ก็รีบวิ่งไปทันที

“มีอะไรเหรอโซเฮย์.......” เสียงป้าร่างท้วมถาม

“ฉันเห็น.....อินทรีสีน้ำเงิน”

เมื่ออาร์มมาถึงสนามรางรถไฟทำเอาเขาต้องตะลึงเพราะที่นั่นเป็นที่รวมของของบรรดาคนที่ใส่ AT มากมาย เจ้าแมมโมเลียก็อยู่ที่นั่น รวมทั้ง เคย์

“คุณเคย์.....” เขาร้องออกมาอย่างดีใจ

เคย์กำลังสนุกกับการวิ่งเล่นอยู่โดยมีหนุ่มๆเอาตราสัญลักษณ์แปะตามประโปรงสะเกิร์ตสีขาว

“ขอผมแปะด้วยคนน้า” เสียงร่าเริงของอาร์มทำลายความสนุกไปเมื่อทุกคนหันมามอง

“ก็เอาสิ” เคย์หันมายิ้มให้ก่อนจะออกดีดตัวออกไป อาร์มพยายามวิ่งไล่อย่างสนุก ท่าทางเก้ๆกังๆเหมือนคนเล่น AT ไม่เป็นทำเอาทุกคนหัวเราะขบขัน
อาร์มหันไปมองคนเหล่านั้นอย่างโกรธเคือง

“อิอิ....อะไรกันแค่นี้ก็โกรธเหรอ”

“อ่ะ...นั่นอะไร” อาร์มชี้มือไปบนตึก เคย์มองตามและก็พลาดท่าเมื่ออาร์มแปะสติ๊กเกอร์ทับตราของช้างแมมมอสไปแล้ว

“ฮ้า......ไอ้หน้าอ่อน...แก....” เสียงของชายหนุ่มหัวกระโหลกก้าวเขามาหาเขาอย่างโกรธแค้น

“เจ้ากล้ามาท้าข้าเชียวเหรอ.....”

“อิอิ.....” เสียงเคย์หัวเราะ
แต่พอแมมโมเลียมองเห็นสัญลักษณ์รูปนกอินทรีย์ถึงกับหน้าถอดสี

“อะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย” อาร์มไม่เข้าใจที่แมมโมเลียเอ่ย
“นี่แก..... Darkly Blue Eagle......”

“การที่ปิดตราสัญลักษณ์ทับของทีมอื่นหมายความว่ากำลังท้าประลองกันน่ะสิจ๊ะ” เคย์กระซิบข้างหูชายหนุ่ม

“ฮ้า......” อาร์มร้องเสียงหลง แต่ก็รีบวางมาด

“ใช่แล้วๆ เรามาท้ากัน....อีก 7 วันเรามาเจอกันที่นี่ เรามาแข่งวิ่งกัน วิ่งไปที่......”

ชายหนุ่มคิดยังไม่ทันว่าจะไปไหนก็พอดีหันไปเห็นป้ายร้านของลุงที่เพิ่งจะทำป้ายเขาพัง

“วิ่งไปที่ร้านนั่น เอาตราสัญลักษณ์ไปติดที่ยอดร้าน โฮเกร๊ต ใครไปถึงก่อนและได้สัญลักษณ์ของตัวเองก่อนถือว่าชนะ โอเค!!!” ทำสุ่มเสียงจริงจังขณะมองอีกฝ่ายที่หน้าถอดสี

อาร์มยิ้มอย่างย่ามใจที่สามารถข่มคู่ต่อสู้ได้

“ฮืม...ได้ ใครไปถึงก่อนเป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าแพ้ก็ต้องเป็นไปตามกฏ”
อาร์มยังไม่รู้ว่ากฏนั่นคืออะไร

“ตามกฏ”
“ก็หมายความว่าทีมนั้นต้องสลายตัวทันทีไงล่ะ” เคย์บอกเขา

“สลายตัวทันที” เสียงเขาดูตกอกตกใจมาก แต่ก็ไม่ได้มีใครสนใจเพราะแมมโมเลียกำลังเครียดจัด

ลิปดาที่แอบดูอยู่ถึงกับถอนหายใจ

เมื่อแต่ละทีมสลายตัวกันไปแล้วเหลือเคย์กับอาร์มที่กำลังจะกลับด้วยกัน

“นายนี่ใจถึงจริงๆนะ ถ้านายชนะแล้วล่ะก็ชั้นมีรางวัลให้นะ”
“วางวัลงั้นเหรอ” อาร์มมีท่าทีดีใจ

“ตามมาสิ” เคย์ออกตัวนำไปก่อนตามรางรถไฟ
อาร์มออกวิ่งตามแต่วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่สามารถที่จะตามเคย์ได้ทัน

“คงมีทางเดียวเท่านั้นล่ะ” พูดแล้วเขาก็กระโดดขึ้นไปบนรางเหล็กด้านบนก่อนจะถไลตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับนกกำลังบิน

เคย์มองตามอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองนัก

“นี่นาย.....จะบินจริงๆเหรอ” เธอครางเบาๆ
“นี่ฉันกำลังจะบินจริงๆเหรอเนี่ย” อาร์มคิดอย่างลิงโลดใจ

แต่แล้วด้วยไม่มีพื้นฐานการเล่น AT ทำให้อาร์มเสียหลักร่วงออกจากรางเหล็ก เคย์ตกใจกำลังจะดีดตัวเข้าไปช่วย แต่ก็ช้ากว่าเงาของร่างบอบบางที่คว้าเอาคอเสื้ออาร์มเอาไว้ก่อนจะโผขึ้นสูงท้องฟ้า
เคย์มองตะลึงค้าง

“นกอินทรีสีน้ำเงินนนนน”

อาร์มรู้สึกว่าตัวเองมีปีกขนาดใหญ่มากโผผินพาเขาขึ้นสู่ฟากฟ้าก่อนจะพาลงสู่ดาดฟ้าอย่างปลอดภัย

อาร์มนั่งหอบตัวโยนอยู่บนดาดฟ้าของตึกหันไปมองร่างบอบบางที่ใส่หน้ากากสีดำอำพรางหน้าเอาไว้

“ขอบคุณนะที่มาช่วยผมเอาไว้”

“นายน่ะยังไม่รู้จัก AT ดีพอ อย่าเที่ยวไปทำอะไรตามอำเภอใจแบบนี้สิ”
แม้จะรู้สึกว่าลักษณะการพูดแม้เสียงจะดูดดัดๆจากความเป็นจริงแต่ช่างดูคุ้นเคยแต่เขาก็ไม่มีเวลาคิดแล้ว

“คุณมาช่วยผมทำไมล่ะ”

“เพราะฉันคือ ผู้ช่วยหน้ากากดำไงล่ะ”
ร่างบอบบางที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาราวกับเห็นปีกสีน้ำเงินสะท้อนกับเสียงไฟในราตรี

“ผู้ช่วยหน้ากากดำ” อาร์มทำหน้าไม่เข้าใจ

“ฉันว่านายควรกับบ้านได้แล้วนะ...แล้วก็เรื่องที่เอาตราสัญลักษณ์ไปท้าแข่งน่ะระวังตัวด้วยแล้วกัน”

ร่างบอบบางพุ่งทะยายขึ้นสู่ท้องฟ้าหายไปปล่อยให้อาร์มนั่งงงงันอยู่คนเดียว
หน้ากากสีดำหันกลับไปมองคนที่ตามเธอมา

“ไม่คิดว่าจะออกมาแบบนี้เลยนะ เฮ้อ......ไม่เสียแรงจริงๆ”
“คิดจะเล่นอะไรของเธอ”

“เขาไม่ใช่ลูกนกที่เธอจะกกเขาเอาไว้ตลอดไป ปล่อยให้เขาได้โบยบินด้วยปีกของเขาไปบนฟ้านั่นได้แล้ว”

“เธอยังทะเยอทะยายเหมือนเดิมเลยนะ เคย์”
“ฮืม..... ฉันน่ะ ไม่คิดจะมองดูคนอื่นบินบนท้องฟ้าคนเดียวหรอกนะ ฉันจะต้องบินให้สูงกว่าทุกคน”

“ก็เอาสิ ถ้าเธอคิดว่าจะทำได้…….” เสียงอ่อนหวานแต่เข้มแข็งเอ่ยขึ้น
ทำเอาสาวผมยาวกระโปรงสั้นสีขาวสั่นสะท้านก้าวขาไม่ออก
“นี่มัน.......จิตสังหารช่างรุนแรงจริงๆ”

กว่าจะรู้สึกตัวเธอก็ไม่เห็นแม้เงาของอีกฝ่ายแล้ว

อาร์มพาร่างเหนื่อยล้ากลับมาถึงบ้านแต่ก็พบว่าที่บ้านเปิดไฟเอาไว้สว่างจ้าพร้อมกับสาวๆทั้ง 4 ที่อยู่พร้อมหน้ากัน

“นี่มันอะไรกันน่ะ พี่คารินทำไมกลับมาเร็วจัง” เขาเอ่ย

“เป็นฉันต่างหากที่ต้องถามแก แกไปทำอะไรมา แล้วทำไมต้องพังประตูห้องเก็บของด้วย แล้วนั่น” คารินมองดูร้องเท้า AT ที่อยู่ที่เท้าชายหนุ่ม

“นี่แกเอา AT ไปใส่เหรอ” เสียงโหดเหี้ยวดังขึ้นพร้อมกับการลงโทษที่แสนโหด อาร์มได้แต่ร้องอย่างเจ็บปวด หลังจากที่ถูกอัดจนลงไปนอนซดน้ำข้าวต้ม พร้อมกับคำประกาศิตห้ามชายหนุ่มเข้าใกล้ AT อีกเป็นอันขาด
อาร์มนอนคิดเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ในห้องคนเดียว

“อาร์ม.....นายหลับหรือยัง” ลิปดาเข้ามาในห้องเห็นเขาพลิกกายหันหลังให้
“อาร์มยังไม่เข้าใจพี่คาริน ดังนั้นก็อย่าโกรธพี่คารินที่ทำแบบนั้นเลยนะ พี่คารินมีเหตุผลของเขา”

อาร์มไม่ได้ตอบอะไร

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่อยากคุยด้วยลิปดาจึงออกไปจากห้องเงียบๆ
รุ่งเช้าเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหาร อาร์มมีหน้าตาบูดบึ้งพอๆ กับคารินที่ไม่สบอารมณ์แต่เช้า เมื่อทานเสร็จป้าอังกาเตรียมเก็บโต๊ะ

“ฉันหวังว่าแกคงเข้าใจนะที่คุยกันเมื่อคืน”

“อย่างเมื่อคืนมันเรียกว่าคุยหรือยังไงกัน” ร่างสูงโปร่งหันกลับมาย้อน

“ถ้าแกขืนแตะต้อง AT อีกล่ะก็ ฉันเอาแกตายแน่”

“พี่ห้ามผมไม่ได้หรอก ผมจะเล่น” ทั้งสองหันหน้าเข้าหากันอย่างอาฆาต
“งั้นแกไม่ได้กินเข้าเย็นแน่”

“แล้วไอ้ตราสัญลักษณ์ล่ะจะเอายังไง”

“ฮ้า.....ว่าไงนะ แกเอาตราสัญลักษณ์ไปทำอะไร” เสียงตกใจของคารินเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

“ผมเอาไปปิดทับตราของพวกแมมโมเลียไปแล้ว แฮ....ทำไงดีล่ะ” จากเมื่อครู่ทำท่าจะกินเลือดกินเนื้อกันอยู่ดีๆ กลับเปลี่ยนเป็นเสียงงอแงเหมือนเด็กไปแล้วทำเอาสามสาวทำหน้าไม่ถูก

“ไอ้บ้า ใครให้แกไปทำแบบนั้นเนี่ย” คนที่ได้สติก่อนคือคารินรีบคิดบัญชีทันที ลิปดาจึงรีบดึงร่างสูงโปร่งออกจากบ้านไป
ขณะที่เดินไปมหาลัยนั้นลิปดาจึงคุยกับชายหนุ่ม

“อาร์ม.....นายยังไม่รู้เรื่อง AT และยังไม่รู้เรื่องของพี่คาริน ฉันไม่อยากให้นายพูดเรื่อง AT กับเขา”

“ทำไมล่ะไม่เห็นเข้าใจเลย ทำไมพี่คารินถึงไม่อยากให้ฉันเล่น AT ล่ะ”
ถึงแม้ว่าเขาจะเห็นลิปดาชอบเป็นตัวคอยถ่วงเขาก็ตามแต่ว่าก็มีเพียงเธอที่เขาสามารถพูดคุยเรื่องต่างๆได้เป็นเพราะอยู่วัยเดียวกันก็ได้ ซึ่งต่างกับคารินและซ้องส์

“ฉันคงบอกนายไม่ได้หรอกนะ”

“แอ้...แล้วจะรู้ได้ไงล่ะ” ชายหนุ่มทำหน้ายุ่ง

“AT ไม่ได้มีเอาไว้ใส่โก้ๆเก๋ๆเท่านั้นหรอกนะ แต่การเล่น AT เราต้องมีสร้างทีมตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป แต่ละทีมจะมีตราสัญลักษณ์เพื่อบ่งบอกชื่อของทีม การเล่น AT เราจะใช้การแข่งเป็นการตัดสินความแข็งแกร่งของแต่ละทีม เรียก Warfare การประกาศศึกก็มีหลายวิธี เช่นการแข่งประจำฤดู หรือการท้าแข่งโดยการใช้สิ่งของเป็นการเดิมพัน แต่ถ้าไม่มีของก็อาจจะใช้สัญลักษณ์ในการท้าแข่ง เมื่อทีมไหนแพ้ก็จะต้องสลายทีมทันที ระดับความแข็งแกร่ง AT ก็จะมี Class ให้เราได้ไต่ขึ้นไป ตั้งแต่ระดับ F จนถึง A class ซึ่งก็ต้องเอาชนะทีมในระดับเดียวกันถึง 3 ครั้ง หรือชนะในแต่ละ Class ที่สูงกว่าตน 1 ครั้ง ถึงจะสามารถอัพเกรดตัวเองได้”

“ทำ....ทำไม ลิปดาถึงรู้เรื่องพวกนี้ล่ะ”
หญิงสาวเหมือนรู้ตัวว่าพูดมากไป

“ฉันก็แค่เคยอ่านในเน็ตมาน่ะ” เธอรีบออกตัว

“แล้ว AT ที่อยู่ในห้องเก็บของพวกนั้นเป็นของใครล่ะ “
“เอ่อ....” ลิปดาอึกอักตอบไม่ได้

“เอ่อ....ฉันไม่รู้”
“ไม่จริง...เธอกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่” อาร์มทำหน้าเข้ม

“ฉันเห็นเธอเคยใส่มัน” อาร์มบีบคัน
ลิปดาถึงกับพูดไม่ออก

“ใช่ของพวกเราเอง” ในที่สุดเธอก็ยอมรับออกมา

“ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นมันเลยล่ะ พวกเธอเอามันไปใส่ตอนไหนกัน” ใช่สินะอาร์มไม่เคยเห็นลิปดาใส่มันเล่นที่บ้านเลย

“เอ๋.....เมื่อกี้นายหลอกฉันเหรอ”
เหมือนรู้ตัวว่าถูกจับโกหกได้

“ก็.......พวกเธอชอบแอบทำอะไรกันไม่ค่อยบอกฉันนิ”
“ฉันบอกไม่ได้หรอก”

“ทำไมดูลับลมคมในจริง”
“เออ.....ฉัน...ขอโทษนะ” ลิปดารู้สึกผิดที่ไม่สามารถบอกอะไรได้
“จะขอโทษ.....ทำไม ในเมื่อลิปดายังมี AT เลย ก็แล้วทำไมพี่คารินไม่ยอมให้ฉันเล่นมั่ง”

“อาร์ม....” ลิปดาถอนหายใจกับความดื้อรั้นของอีกฝ่าย
“ฮืม.....แต่อีก 7 วัน มันเป็นศึกของฉัน ยังไงซะฉันจะต้องเอาสติ๊กเกอร์มาคืนพวกเธอให้ได้”

ลิปดายิ้ม......นายคงคิดเรื่องนี้มาตลอดคืนสินะ
หลังเลิกเรียนวันนั้นอาร์มจึงนัดทานุกับซอยมาคุยเรื่องตั้งทีม AT แต่ดูเหมือนทั้งสองจะไม่เห็นด้วยเพราะเล่นไม่เป็น

“ในเมื่อมีฉันอยู่ด้วยทั้งคนพวกนายกลัวอะไร” อาร์มพูดด้วยสาตตามุ่งมาด
เพื่อนทั้งสองเมื่อเห็นสายตาแบบนั้นจึงไม่คิดจะห้ามปรามอีก

“ก็ได้....ฉันก็มี AT อยู่คู่ 1 นะ เป็นของพี่ชายฉันเขาเลิกเล่นไปแล้ว สภาพยังดีอยู่ ฉันว่าน่าจะเอามาเล่นได้” ชอยพูด

“ฉันจะลองหาสักคู่ที่เหมาะกับฉัน”
ลิปดาก็อยู่ร่วมประชุมด้วยได้แต่นิ่งฟังทั้งสามที่เริ่มเอาจริง

“ให้พวกเราช่วยอีกแรงไหม” เสียงสองสาวจากคณะศิลปศาสตร์เอ่ยซึ่งก็เป็นเพื่อนๆของลิปดานั่นเอง

“แครอล เมริลา พวกเธอก็ด้วยเหรอ” ลิปดาดีใจที่เพื่อนๆเห็นด้วย
“ใช่พวกเราจะช่วยสนับสนุนทุกคนเต็มที่เลย”

สำหรับแครอลแล้วการช่วยเหลือทานุมันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องยากเช่นเดียวกับเมริลาที่เฝ้ามองอาร์มมาตลอด
หลังจากประชุมกันเสร็จแล้วสรุปหน้าที่ของสมาชิกดังนี้

อาร์มเป็นหัวหน้าทีม
ทานุเป็นรองหัวหน้า
ซอยเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์และหาข่าว
ลิปดาเป็นผู้จัดการทีมและกองสวัสดิการ
ส่วนสองสาวแครอลและเมริลาไม่ได้เล่น AT อยู่หน่วยพยาบาล

“พวกเราจะบินไปพร้อมกัน” อาร์มประกาศก้อง

“เออ....ว่าแต่เราจะตั้งทีมว่าไงดีล่ะ” เสียงเอ๋อๆของเขาทำลายบรรยากาศไป
“เฮ้อ.....ไม่เป็นไรแล้วค่อยมาคุยกันต่อพรุ่งนี้นะ”

แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ลิปดามองสีหน้าที่เริ่มเอาจริงเอาจังของฝ่ายแล้วอมยิ้ม
เธอต้องบินได้แน่ๆ อาร์ม และคงจะบินได้สูงกว่าใครๆ ฉันคิดแบบนั้น

“อาร์ม...จงบินอย่างที่นายอยากจะบินและพาพวกเขาบินไปอย่างที่นายอยากจะพาเขาไป” ลิปดาบอกเขา

“ใช่นะ...ฉันอยากจะพาพวกเขาบินไป...ให้สูงที่สุด”

หลังจากวันนั้นลิปดาก็คอยสอนวิธีการใช้ AT ให้กับอาร์ม

“ทำไมมันยากอย่างนี้ล่ะ ท่าทางพิลึกนั่นอีก” ชายหนุ่มแอบบ่น
แต่ก็พยายามทำตามหญิงสาวแม้จะยากเย็น
แต่เขาก็ค่อยๆ พัฒนามันอย่างรวดเร็ว

1 อาทิตย์ผ่านไป 6 โมงวันนั้นมีการท้าประลองกันระหว่างแมมโมเลียกับอินทรีสีน้ำเงิน หัวหน้าทีมถึงกับเข่าอ่อนไม่ยอมออกมาจนลูกน้องต้องร้องเตือนสติ

“ฮืม...ไหนๆ แล้วก็ อุตส่าห์ได้เจอกันทั้งทีกับทีมในตำนานคงต้องลองสักตั้งแล้ว”

เมื่อแมมโมเลียออกมาพร้อมแล้ว อาร์มกระโดดออกมาอยู่ตรงหน้าของหัวหน้า
“อะไรกันไอ้หน้าอ่อน แกมาทำอะไรที่นี่”

“แกลืมไปแล้วเหรอไอ้หัวบากว่าฉันมาเอาสติกเกอร์ฉันคืน”
“555.....แกนี่มัน จะหยามกันเกินไปแล้ว” หัวหน้าแมมโมเลียเดือดดาษ
“แกนั่นแหล่ะอย่ามาดีแต่พูดหน่อยเลย”

ทั้งสองจ้องมองกันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ในเมื่อแกมาคนเดียว ฉันคนเดียวก็พอ” เขาประกาศกราวคนอื่นๆจึงถอยออกไป

แล้วศึกระหว่าง Darkly Blue Eagle และ MamMolia กำลังจะเริ่มขึ้นมีคนที่รู้ข่าวมาดูกันมากมาย

ลิปดามาแอบดูส่วนคารินก็พาซ้องส์มาเช่นเดียวกัน

“พี่คารินแบบนี้มันจะดีเหรอ”
“ก็งั้นสิไม่งั้นมันก็ต้องอดกินข้าวเย็นไปตลอดชีวิต”

อีกฝากหนึ่งสาวสวยรวยรอยยิ้มกับหนุ่มหล่อมาดเท่ห์ก็กำลังยืนดูอยู่เช่นกัน

“คนนี้น่ะเหรอที่เธอสนใจเขาอยู่เคย์”
“ใช่ล่ะ คนนี้แหล่ะนายจับตาดูเอาไว้ให้ดี”
ทั้งสองออกตัวไปแล้วทุกคนต่างก็ตามไปดูอาร์มออกตัวช้ากว่าจึงเป็นฝ่ายตาม การวิ่งไล่ตามหลังนี่มันไม่มีโอกาสแซงได้เลยซ้ำอีกฝ่ายยังวิ่งเร็วและซอกแซกอีก แมมโมเลียกระโดดขึ้นรางรถไปแล้ววิ่งไปด้วยความเร็วสูง อาร์มไล่หลังมาไม่มีทางที่จะแซงได้ พอนึกถึงวันที่เขาตามเคย์มาเท่านั้นก็เงยหน้ามองคานสูงข้างบน ใช่สินะเราสามารถไต่บนนั้นได้ ชายหนุ่มดีดตัวพุ่งขึ้นไปบนคาน

“การวิ่งบนที่สูงที่ดีต้องเทน้ำหนักไปข้างหน้าแล้วย่อตัวลงเพื่อลดแรงเสียดทาน” เสียงของลิปดาก้องเข้ามาอยู่ในหัว ชายหนุ่มย่อตัวลงแล้วโน้มตัวไปข้างหน้าทำให้เหมือนจรวดที่กำลังจะพุ่งไปข้างหน้าทำให้แรงและเร็วมาก
“555.....มันเป็นแบบนี้เองเหรอเนี่ย” เขาลิงโลดอยู่ในใจ

“อะไรน่ะ ทำไมมันเร็วขนาดนั้น” แมมโมเลียร้องออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เขาจึงดีดตัวตามชายหนุ่มไปเมื่อทั้งสองมาจนถึงร้าน Oh Great!! ตราสัญลักษณ์ที่ถูกติดเอาไว้ที่ปลายโดมทั้ง

ลุงโซเฮย์กับป้าบาโอก็ออกมายืนดูอยู่เช่นกัน
“อย่าทำร้านฉันพังล่ะ” ลุงร้องตะโกนบอก

อเรออนหัวหน้าแมมโมเลียหันมามองเจ้าหนูหน้าอ่อนแล้วยิ้มเยาะ
“ที่นี่น่ะเป็นสนามที่ฉันรู้จักดี นายอย่าคิดว่าจะวิ่งได้สบาย” เขาถีบตัวขึ้นสู่ท้องฟ้ากระโดดขึ้นหลังคา

“555..ตามมาสิเจ้าหนู” เขาหันมายิ้มเยาะ
“ฮืม...” อาร์มคบกรามแน่นก่อนจะกระโดดตามขึ้นไปแต่ก็ด้อยกว่าประสบการณ์จึงทำให้เขาถูกอเรออนหวดด้วยแซ่จนร่วงลงมา

“อาร์ม......” ลิปดาร้องอย่างตกใจ
เช่นเดียวกับทุกคนที่จ้อมมองตาไม่กระพริบอย่างระทึกขวัญ
เขานึกถึงสิ่งที่ลิปดาเคยสอนเขา

“อย่าประมาทเชียวล่ะ การเล่น AT แม้จะพาเราขึ้นที่สูงได้แต่ยิ่งสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เราตกลงมาเจ็บมากเท่านั้น” เสียงลิปดาดังก้องหู
“กฏของแรงโน้มถ่วง......คือการเอาชนะกฏนั้น แล้วเราจะเคลื่อนไหวอย่างอิสระ”

“กฏแรงโน้มถ่วงงั้นเหรอ” อาร์มคิดตามคำพูดของลิปดา
“คอยดูนะ”

ลิปดากระโดดขึ้นไปบนคานของโคมไฟข้างทะเลสาปก่อนจะหมุนตัวรอบคานอย่างรวดเร็วแล้วเธอก็กระโดดข้ามทะเลสาปไปที่ถนนอีกฝั่งอย่างง่ายดาย
“เป็นไปได้ไงเนี่ย”

“อาร์ม.....ตามมานี่สิ” เธอตะโกนเรียก

ในความเป็นจริงอาร์มกำลังร่วงลงสู่พื้นเขาเห็นท่อเหล็กวางขวางอยู่เขารีบคว้าเอาไว้แล้วหมุนรอบท่ออย่างรวดเร็วก่อนจะแหว่งตัวเองขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง
“Rolling jump เขาทำได้ยังไงกัน” คารินมองอย่างตะลึงเช่นเดียวกับทุกคนที่อยู่ที่นั่น

“คิกคิกๆๆ ไม่เบาเชียวนะ ท่านั้นสำหรับชั้นเทพเท่านั้น สำหรับชั้นแล้วยังทำไม่ได้เลย” เคย์ยืนอยู่อีกฝากกับโทมัสดูอย่างชื่นชม
“ไม่น่าเชื่อสำหรับคนที่เพิ่งจะหัดเล่นแค่ 1 อาทิตย์ แบบนี้สงสัยมีครูดีล่ะมั้ง”

“ไม่รู้สิ แต่ท่าทางคงเป็นชั้นเทพแน่นอน” เคย์จังตอบพลางมองฝ่าความมืดแต่ไม่เห็นเทพที่ว่า

“โล่งอกไปทีตกลงไปเดี้ยงแน่ๆเลย...อาร์ม” ลิปดายืนถอนหายใจอยู่คนเดียวในที่มืด

“555....” เสียงของอาร์มก้องฟ้า

“ทางตรงแบบนี้” เขามองเส้นทางของโดมที่ไม่มีอะไรช่วยได้
“คงต้องหมุน 360 องศาแล้วสินะ”

เขานึกถึงท่าที่ลิปดาเพิ่งสอนมาเมื่อกลางวัน

“ท่านี้สำหรับเป็นเบสให้ช่วยในการส่งตัว การหมุนรอบตัว 360 องศาจะทำให้เพิ่มแรงแหว่งในการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้มากขึ้นเป็นเท่าตัว ยิ่งหมุนเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ไปไกลมากเท่านั้น เหมือนกับการเล่นลูกข่างไงล่ะ”

แต่ท่านี้ใช่ว่าจะมีใครทำได้ง่ายๆ ยิ่งเป็นเด็กหัดเล่นอย่างอาร์มด้วยแล้ว
“แต่ยังไงฉันก็จะแพ้ไม่ได้” เขาประกาศก้องก่อนจะหมุนตัวขึ้นไปแซงอเรออนก่อนจะเหยียบที่ฐานของโดมแล้วกระโดดทีเดียวถึงปลายยอดแล้วคว้าเอาสัญลักษณ์นั้นมาได้

ท่ามกลางความตกตะลึงของท่านผู้ชม

อเรออนอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อก่อนจะเหยียบพลาดร่างล่วงจากหอคอยแต่โอมก็กระโดดเข้ามาเอาป้ายของร้านโยนให้เขาจับเอาไว้
“ฮืม...นี่ฉันแพ้แล้วรึ”

เสียงข้างล่างร้องกันเซ็งแซ่แล้วทั้งสองก็ลงมาอย่างปลอดภัย
“555....แค่นี้ล่ะ” เขาหัวเราะอย่างร่าเริงกับผลงานตัวเอง
“งั้นตามกฏพวกเราก็สลายตัวกัน” อเรออนประกาศก้องลูกน้องพากันถอดเสื้อคลุมออกแล้วโยนทิ้ง

“อะไรกัน...ฉันไม่ได้คิดถึงขนาดนั้นหรอกนะ”
“แต่นี่เป็นกฏของ AT ไอ้หนู เราแพ้แล้ว แล้วเราก็ต้องสลายตัวไป ยังซะนายก็แน่มาก” อเรออนเอ่ยก่อนจะไปอีกคน

“เป็นไปไม่ได้....” คารินตะลึงอึ้ง
“อย่างนี้พี่อาร์มก็ได้กินข้าวเย็นแล้วสิคะ”
“ฮืม...” ก่อนที่สองพี่น้องจะพากันกลับ

“เหลือเชื่อใหมล่ะ คิกๆ” เคย์หัวเราะอย่างชอบใจแต่พอลืมตาขึ้นมาก็ไม่พบร่างสูงโปร่งในชุดคลุมสีดำที่ยืนอยู่ข้างๆแล้ว
“ไปไหนนะ” เธอบ่นเงียบๆคนเดียว

ลิปดาหันกลับมามองด้านหลังปรากฏชายร่างสูงโปร่งยืนอยู่ตรงดาดฟ้าใกล้เธอ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ...” เสียงทุ้มๆเอ่ย
“โทมัส เมดิอาร์”

“ดีจังยังจำกันได้” เขากระโดดมายืนใกล้ๆเธอ
“อย่าบอกนะมาดูการแข่งของเจ้าหนุ่มนั่น”
“ฮืม.....แล้วคุณล่ะคะ”

“มาชวนคุณลิปดาเดินเล่นมั้ง 555..... ผมพูดเล่นน่า” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหน้างงงันกับการพูดจาเกี้ยวพาราสีของอีกฝ่าย
“ฝีมือไม่เบานะครับ ไม่เสียแรงที่เป็นปีกของอินทรีสีน้ำเงิน”
“เปล่าหรอกค่ะ เขามีปีกของตัวเอง เขาไม่ได้เป็นปีกของใคร”
“ช่างเป็นคำพูดที่ดีจริง.....แล้วเราจะได้ดินเนอร์กันบ้างไหมครับ” ชายหนุ่มยังวกลับมาที่ประเด็นเดิม

“เออ..... ถ้าว่างน่ะนะ” เธอติดอ่างทันที
“แต่ว่าไปผมเห็นนะ เห็นปีกของเขาที่กำลังจะโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ช่างเป็นปีกที่สวยอะไรขนาดนั้น”

“ค่ะ....ปีกของนกทุกตัวย่อมสวยงามเสมอ สีของมันยามต้องกับแสงของตะวันแล้วช่างสวยงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้”
“ฮืม...นั่นน่ะสินะครับ แต่ในสายตาของผมแล้วนกที่ปีกสวยที่สุดก็คือราชาแห่งนก พญาอินทรีสีน้ำเงินเท่านั้น” สายตาอันอ่อนโยนจับจ้องดวงหน้านวลจนทำให้อีกฝ่ายหน้าร้อนผ่าว

“เออ....ฉันต้องขอตัวก่อนนะคะ” เธอรีบตัดบท
ลิปดารีบกระโดดไปจากตรงนั้นเพื่อลงมาหาอาร์มที่พื้นหน้าร้านตอนนี้เขากำลังกระโดดโลกเต้นอย่างสนุก เคย์กระโดดลงมาหาเขาเช่นกัน
“เก่งจังเลยนะคะ อย่างนี้ต้องให้รางวัล” ว่าแล้วสาวเจ้าก็กอดคอหอมแก้มเขาทีหนึ่งก่อนจะกระโดดไป

ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน
“นี่มันอะไรกันน่ะ” ลิปดามองตาค้าง
ส่วนอาร์มได้แต่หน้าแดงตาลอยชวนฝัน
“เก่งๆ ยิ่งขึ้นไปอีกนะ แล้วฉันจะมีรางวัลให้อีก”
อาร์มได้แต่ทำหน้าตาระริกระรี้ตามคำพูดที่น่ารักนั่น
ลิปดาเบือนหน้าหนีซ่อนแววน้ำใสๆ ที่เอ่อท่วมดวงตาแล้วกระโดดหายไปในแสงอัศดง

อาร์มกลับมาถึงบ้านเวลาทุ่มกว่า
“มาแล้วๆ มีอะไรกินบ้าง”
แต่พอเปิดประตูเห็นทั้ง 4 สาวกำลังเก็บโต๊ะที่เพิ่งจะกินกันหมดเท่านั้นก็ทำเอาช็อคไป

“อะไรกันเนี่ยมีวันนี้มีชุดใหญ่ก็ไม่บอกกันก่อน”
“ก็ใครให้กลับช้าล่ะ” คารินไม่สนใจ
“ลิปดาๆๆ ไม่มีอะไรกินบ้างเหรอ” เขาเข้าไปออเซาะหญิงสาว
ลิปดาหันมากระแทกชามไข่ตุ๋นลงโต๊ะด้วยหน้าตาขึงขัง
“อะ.....ไร...ของเธอน่ะ” อาร์มหัวหดทันที เขาไม่เคยเห็นลิปดาเวลาโมโหบ่อยนักเพราะหล่อนเป็นคนใจเย็นพูดน้อย แต่เวลาทำหน้าขึงขังน่ากลัวกว่าพี่คารินอีก

“อยากกินอะไรก็ตามสบาย” เธอพูดแล้วเดินขึ้นห้องไป
คารินมองตามอย่างไม่เข้าใจเหมือนกันทีแรกว่าจะเล่นงานเจ้าหัวตั้งแต่เห็นท่าทางน้องสาวแบบนั้นแล้วก็เลยนิ่งแทน
“กินแล้วก็อย่าลืมล้างจานด้วยล่ะ” คารินบอกก่อนจะขึ้นข้างบนไปอีกคน
“ซ้องส์” อาร์มหันมาหาตัวช่วย
แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้านอกจากอาการยักไกล่

อาร์มกลับเข้าห้องอย่างเหน็ดเหนื่อยแต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาสามารถเอาชนะอเรออนมาได้ก็ทำเอาตื่นเต้นไม่ได้เขาหยิบเอาสติ๊กเกอร์ของอินทรีสีน้ำเงินออกมาดูแล้วเดินไปที่ห้องของลิปดา
ลิปดากำลังนั่งเหม่อมองท้องฟ้าเวลากลางคืนอยู่

“ลิปดา....” เขาเรียกหญิงสาว เธอหันมามอง
“ฉันเอาสัญลักษณ์มาคืนเธอ” เขาก้าวเอามันมาวางใส่มือ ลิปดาจ้องมองมัน
“วันนี้เธอเห็นแล้วใช่ไหมล่ะว่าฉันก็มีฝีมือเหมือนกัน” เขาล้มตัวลงนอนดิ้นอยู่บนเตียงหญิงสาว
“ก็ดีนิ ถ้านายทำไม่ได้ล่ะก็.....”

“ฮืม...ฉันถามอะไรหน่อยสิ Darkly Blue Eagle คือพวกเธอจริงๆเหรอทำไมฉันถึงไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลยล่ะ แล้ว AT ที่อยู่ในห้องนั่นมีทั้งหมด 4 คู่ไม่ใช่เหรอ 3 คู่เป็นของพวกเธอ แล้วสีดำเป็นของใคร”
ลิปดาจ้องมองสาวตาอยากรู้คู่นั้น
“ฉันบอกเธอไม่ได้หรอก”

“ทำไมล่ะ...ดูเธอมีลับลมคมในจริงๆ มันเป็นเรื่องไม่ดีหรือยังไง”
“เปล่า แต่นายอาจจะไม่เข้าใจ”
ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งเขม็ง

“ตอนนี้ฉันก็เล่น AT เป็นแล้วนะ แล้วคนที่สอนฉันก็คือเธอ แล้วมันจะยังมีความลับอะไรอีก ปกติแล้วเธอไม่เคยปิดบังอะไรฉันนิ”
ลิปดาได้แต่หลบตาเขาใบหน้าดูเศร้าสร้อยจนชายหนุ่มสังเกตุเห็น เขาล้มลงนอน
“แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ รู้ไหมตอนนี้ฉันคิดออกแล้วล่ะจะตั้งชื่อทีมฉันว่ายังไง ฉันคิดได้ตอนที่กำลังแหว่งขึ้นสู่ยอดโดมนั่นแหล่ะ” เขารีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“ฉันจะตั้งซื่อทีมฉันว่า Flame crow ซึ่งก็หมายถึง อีกาเพลิงไงล่ะเธอว่าไง”

“ก็ดีนิ”
“คุณเคย์จะต้องชอบมันแน่ๆเลย แล้วสักวันหนึ่งฉันจะต้องได้บินไปพร้อมๆกับเธอ” เขาพูดออกมาด้วยประกายตาที่สุกใส
ลิปดาล้มลงนอนข้างๆเขาแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมกาย
“เฮ้....นี่เธอจะนอนแล้วงั้นเหรอ เรายังคุยกันอยู่นะ” เขาชะโงกหน้ามาดูเธอ

ลิปดาดึงผ้าห่มปิดหน้าแล้วนิ่งไปซ่อนแววตาผิดหวังเอาไว้ เมื่ออาร์มเห็นว่าเธอไม่อยากจะคุยด้วยแล้ว
“โอเค....ฉันไม่กวนเธอแล้วก็ได้” เขาพูดล้วออกจากห้องไป



Create Date : 18 มีนาคม 2553
Last Update : 31 มีนาคม 2553 0:16:48 น.
Counter : 1103 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

unitan
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]