มกราคม 2558

 
 
 
 
1
2
3
31
 
All Blog
White Pearl Metropolis : บุษยานคร part 2.3/1,000



และแล้วเรื่องราวก็ดำเนินมาถึง
ตอนจบของพระสุบินนิมิตทั้ง  16  ประการ
กันได้เลยค่ะ


ครั้นทรงทำนายผล
แห่งสุบินใหญ่ๆ ๑๖ ข้อ อย่างนี้แล้ว

ตรัสว่า

“  ดูก่อนมหาบพิตร มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น
ที่บพิตรได้เห็นสุบินเหล่านี้

แม้พระราชาทั้งหลายแต่ก่อนๆ
ก็ได้ทรงเห็นแล้วเหมือนกัน

แม้พวกพราหมณ์ก็ถือเอาสุบินเหล่านี้
นับเข้าในยอดยัญพิธีอย่างนี้เหมือนกัน

ภายหลังอาศัยคำแนะนำ
ที่พวกเป็นบัณฑิตพากันกราบทูล

จึงถามพระโพธิสัตว์
แม้ท่านโบราณกบัณฑิตทั้งหลาย
เมื่อทำนายสุบินเหล่านี้
แก่พระราชาเหล่านั้น
ก็พากันทำนายทำนองนี้แหละ  ”

อันพระเจ้าปเสนทิโกศลทูลอาราธนา
จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้   :- 


ในอดีตกาล
ครั้งพระเจ้าพรหมทัต
เสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี

พระโพธิสัตว์กำเนิดในตระกูล
อุทิจจพราหมณ์
เจริญวัยแล้วบวชเป็นฤๅษี

ให้อภิญญาสมาบัติเกิดแล้ว
ได้ประลองฌานอยู่ในหิมวันตประเทศ

ในครั้งนั้น ณ พระนครพาราณสี
พระเจ้าพรหมทัต
ทรงเห็นพระสุบินเหล่านี้
โดยทำนองนี้เหมือนกัน

มีพระดำรัสถามพวกพราหมณ์
พวกพราหมณ์ปรารภจะบูชายัญ
อย่างนี้เหมือนกัน

บรรดาพราหมณ์เหล่านั้น
ท่านปุโรหิตมีศิษย์เป็นบัณฑิตฉลาด

กล่าวกะอาจารย์ว่า
“  ท่านอาจารย์ครับ
คัมภีร์พระเวทย์ทั้ง   ๓
ท่านอาจารย์ให้ผมเรียนจบแล้ว
ในพระเวทย์ทั้ง ๓ คัมภีร์นั้น

ข้อที่ว่า การฆ่าคนหนึ่งแล้ว
ทำให้เกิดความสวัสดีแก่อีกคนหนึ่ง
ไม่มีเลยมิใช่หรือ ขอรับ ?  ”

ท่านอาจารย์ตอบว่า
“  พ่อคุณ ด้วยอุบายนี้
ทรัพย์จำนวนมากจักเกิดแก่พวกเรา
ส่วนเจ้าชะรอยอยากจะ
รักษาพระราชทรัพย์กระมัง ? ”

มาณพกล่าวว่า
“  ท่านอาจารย์ครับ ถ้าเช่นนั้น
พวกท่านจงกระทำงาน
ของพวกท่านไปเถิด

กระผมจักกระทำอะไร
ในสำนักของพวกท่านได้  ”


แล้วเดินเรื่อยไป
จนถึงพระราชอุทยาน.

ในวันนั้นเอง
แม้พระบรมโพธิสัตว์ก็รู้เหตุนั้น คิดว่า

“  วันนี้ เมื่อเราไปถึงถิ่นมนุษย์
ความพ้นจากการจองจำ
จักมีแก่มหาชน ”

ดังนี้แล้ว จึงเหาะมาทางอากาศ
ลงที่อุทยาน
นั่งเหนือแผ่นศิลาอันเป็นมงคล
ประหนึ่งรูปที่หล่อด้วยทองฉะนั้น

มาณพเข้าไปหาพระโพธิสัตว์
ไหว้แล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง
ได้ทำการต้อนรับพระโพธิสัตว์

แม้พระโพธิสัตว์
ก็ได้ทำการปฏิสันถาร
อย่างไพเราะกับเขาแล้ว ถามว่า

“  เป็นอย่างไรเล่าหนอ พ่อมาณพ
พระราชายังจะเสวยราชสมบัติ
โดยธรรมอยู่หรือ ? ”

มาณพกราบเรียนว่า
“  ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ
พระราชายังได้พระนามว่า
ธรรมิกราชอยู่ดอกครับ

ก็แต่ว่า พวกพราหมณ์
กำลังชักจูงพระองค์ให้วิ่งไปผิดทาง

พระราชาทรงเห็นพระสุบิน ๑๖ ข้อ
ตรัสบอกแก่พวกพราหมณ์
พวกพราหมณ์กล่าวว่า

พวกเราจักต้องบูชายัญ
แล้วเตรียมการทันที

พระคุณเจ้าผู้เจริญขอรับ
การที่พระคุณเจ้า
ทำให้พระราชาทรงเข้าพระทัยว่า

ขึ้นชื่อว่า ผลแห่งสุบินนี้เป็นอย่างนี้
แล้วช่วยให้มหาชนพ้นจากภัย
จะมิควรหรือขอรับ ?  ”

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า
“  พ่อมาณพ เราเองก็ไม่รู้จักพระราชา
พระราชาเล่าก็มิได้ทรงรู้จักเรา

ถ้าพระองค์เสด็จมาถาม ณ ที่นี้
เราพึงบอกแก่พระองค์ได้ ”

มาณพกราบเรียนว่า
“  ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ
กระผมจักนำพระองค์เสด็จมา

ขอพระคุณเจ้า
ได้โปรดนั่งรอการมาของกระผม
สักครู่หนึ่งนะขอรับ ”

ขอให้พระโพธิสัตว์ปฏิญญาแล้ว
ก็ไปสู่พระราชสำนัก กราบทูลว่า

“  ข้าแต่มหาราชเจ้า
ดาบสผู้เที่ยวไปในอากาศได้องค์หนึ่ง
ลงมาในอุทยานของพระองค์
กล่าวว่า จักทำนายผล
ของพระสุบินที่พระองค์ทรงเห็น
กำลังรอพระองค์อยู่  ”

พระราชาทรงสดับคำของมาณพนั้น
ก็รีบเสด็จไปพระอุทยาน
ด้วยบริวารเป็นอันมากทันที

ทรงไหว้พระดาบสแล้ว
ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

มีพระดำรัสถามว่า
“  ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ
ได้ยินว่า พระคุณเจ้า
ทราบผลแห่งสุบินที่กระผมเห็นหรือ ?  ”

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า
“  ขอถวายพระพร มหาบพิตร
อาตมาภาพทราบ ”

พระราชาตรัสว่า
“  ถ้าเช่นนั้น
นิมนต์พระคุณเจ้าทำนายเถิด ”

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า
“  ขอถวายพระพร มหาบพิตร
อาตมาภาพจะทำนายถวาย
เชิญมหาบพิตรตรัสเล่าพระสุบิน
ตามที่ทรงเห็นให้อาตมาภาพฟังก่อนเถิด ”

พระราชาตรัสว่า
“  ดีละ พระคุณเจ้าผู้เจริญ  ”

พลางตรัสว่า   :-

โคอุสุภราช ๑
ต้นไม้ทั้งหลาย ๑
แม่โคทั้งหลาย ๑
โคทั้งหลาย ๑
ม้า ๑
ถาดทอง๑
นางสุนัขจิ้งจอก ๑
ตุ่มน้ำ ๑
โบกขรณี ๑
ข้าวไม่สุก ๑
จันทน์แดง ๑
น้ำเต้าจม ๑
ศิลาลอย ๑
เขียดขยอกงู ๑
หงษ์ทองล้อมกา ๑
เสือดาว เสือโคร่งกลัวแพะจริงๆ ๑ ดังนี้.

แล้วตรัสบอกสุบิน
ตามนิยมที่พระเจ้าปเสนทิโกศล
ตรัสบอก นั่นเอง


แม้พระโพธิสัตว์ก็ทำนายผล
แห่งสุบินเหล่านั้นโดยพิสดาร
ตามทำนองที่พระศาสดา
ทรงทำนายในบัดนี้แหละ


ในที่สุดถวายพระพรดังนี้ ด้วยตนเองว่า



“  จะเป็นไปต่อเมื่อโลกถึงจุดเสื่อม
ยังไม่มีในยุคนี้  ”


อรรถาธิบายในคำนั้นมีดังนี้ คือ
“  ดูก่อนมหาบพิตร
ผลแห่งพระสุบินเหล่านั้นมีดังนี้

คือการบูชายัญที่กำลังดำเนินไป
เพื่อปัดเป่าพระสุบินเหล่านั้น

ย่อมดำเนินไปผิดหลักเกณฑ์
ท่านกล่าวอธิบายว่า
ย่อมเป็นไปอย่างผิดตรงกันข้าม
ความเสื่อมจากความจริง.

เพราะเหตุไร ?

เพราะเหตุว่า ผลแห่งสุบินเหล่านี้
จักมีในกาลที่โลกถึงจุดเสื่อม

คือในกาลที่ต่างถือเอาข้อที่มิใช่เหตุ
ว่าเป็นเหตุ

ในกาลที่ทิ้งเหตุเสีย
ว่ามิใช่เหตุ

ในกาลที่ถือเอาข้อที่ไม่จริง
ว่าเป็นจริง

ในกาลที่ละทิ้งข้อที่จริงเสีย
ว่าไม่เป็นจริง

ในกาลที่พวกอลัชชี มีมากขึ้น
และในกาลที่พวกลัชชี
ลดน้อยถอยลง

ยังไม่มีในยุคนี้
หมายความว่าแต่ผลของพระสุบินเหล่านี้
ยังไม่มีในบัดนี้
คือในรัชกาลของมหาบพิตร
หรือในศาสนาของตถาคตนี้
ในยุคนี้ คือในชั่วบุรุษปัจจุบันนี้

เพราะเหตุนั้น
การบูชายัญที่กำลังดำเนินไป
เพื่อปัดเป่าผลแห่งพระสุบินเหล่านี้
จึงเป็นไปโดยคลาดเคลื่อน
เลิกการบูชายัญนั้นเสียเถิด

ภัยหรือความสะดุ้ง
อันมีพระสุบินนี้เป็นเหตุ
ยังไม่มีแก่มหาบพิตร ”

พระมหาบุรุษทำพระราชาให้เบาพระทัย
ปลดปล่อยมหาชนจากการจองจำแล้ว
กลับเหาะขึ้นอากาศ
ถวายโอวาทแด่พระราชา
ชักจูงให้ดำรงมั่นในศีล ๕

แล้วถวายพระพรว่า
“  ตั้งแต่บัดนี้ต่อไป  มหาบพิตร
อย่าได้ร่วมคิดกับพราหมณ์บูชายัญ
ที่มีชื่อว่า ปสุฆาตยัญ ( ยัญฆ่าสัตว์ )
อีกต่อไป  ”


ครั้นแสดงธรรมแล้ว
กลับไปที่อยู่ของตนทางอากาศนั่นแล
ฝ่ายพระราชาตั้งอยู่ในโอวาท
ของพระโพธิสัตว์

ทรงทำบุญมีให้ทานเป็นต้น
แล้วเสด็จไปตามยถากรรม.

พระบรมศาสดา
ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว
ตรัสให้พระเจ้าปเสนทิโกศล
เลิกบูชายัญ  ด้วยพระพุทธดำรัสว่า

“  เพราะพระสุบินเป็นปัจจัย
ภัยยังไม่มีแก่มหาบพิตรดอก
มหาบพิตรจงสั่งให้เลิกยัญเสียเถิด
พระราชทานชีวิตทานแก่มหาชนแล้ว

ทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า

พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็น
พระอานนท์ ในครั้งนี้

มาณพได้มาเป็น พระสารีบุตร

ส่วนพระดาบสได้มาเป็น
เราตถาคต ฉะนี้แล. ”

ก็และครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จปรินิพพานแล้ว

พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย
ยกบททั้ง ๓
มีอสุภาเป็นอาทิ

ขึ้นสู่อรรถกถา กล่าวบททั้ง ๕
มีลาวูนิเป็นอาทิ
ยกขึ้นสู่บาลีเอกนิบาต
ด้วยประการฉะนี้.


Smiley



ในบทหน้า  จะมาต่อกันด้วย
พุทธทำนาย
ฉบับที่ใกล้เคียงกับเวลา ณ ปัจจุบัน
อย่างมากที่สุด กันเลยค่ะ

สิ่งที่พวกเราจะทำ  ก็มีแค่
คอยดูความแม่นและคอยจับตาดู

ว่าจะคลาดเคลื่อนมากน้อยเพียงไร
แค่นั้นเอง

ใบ้ให้นิดนึงว่า
มันเป็นช่วงเวลาที่มีพวกเรา
เป็นตัวประกอบด้วยนี่น่ะสิ

คิดแล้วยังหนาวๆ อยู่เลยค่ะ


Smiley



>>>    To  Be  Continue   >>>



Create Date : 24 มกราคม 2558
Last Update : 24 มกราคม 2558 10:33:10 น.
Counter : 887 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ไส้เดือนอเวจี
Location :
นนทบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



เมื่อเราไม่มีเวลาเพียงพอที่จะไปเรียนรู้ประสบการณ์ทุกอย่าง
ได้ด้วยตนเอง

ก็จงมีเวลารับรู้ถึงประสบการณ์ของคนอื่น

เพราะเราคงมีเวลาไม่มากพอที่จะประสบมันด้วยตนเอง
แม้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ตาม