|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เทวดาและนางฟ้าตัวน้อยของแม่ (2) : โรคภูมิแพ้กับเจ้าตัวอ้วน
ตอนเจ้าตัวอ้วนอายุประมาณ 3 ขวบ เริ่มมีอาการผิดปกติ
จริง ๆ แล้วเขาก็ขี้โรคมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นหวัดบ่อยมาก อาเจียนบ่อย ถ้าวันไหนถูกแดด หรือถูกฝน กลับมาก็จะเป็นไข้ วันไหนไปเล่นน้ำ กลับมาตัวก็จะเป็นผื่นคัน ช่วงอากาศเย็น จะคัดจมูก หายใจไม่ออก ไปหาหมอทีไรก็ได้ยาแก้ไข ยาแก้อักเสบมากินเป็นประจำ
ที่เขาไม่ค่อยแข็งแรง อาจเพราะกินนมแม่น้อยเกินไป และไม่ชอบกินผัก ผลไม้ ทำให้ภูมิคุ้มกันที่น่าจะมี ลดน้อยลงไป ขณะเดียวกัน เขากลับกินนมวัวเยอะมากได้ และนี่อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาเป็นภูมิแพ้ เพราะนมวัวเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้คนเป็นภูมิแพ้ง่ายขึ้น (เราถึงมีการรณรงค์ให้ดื่มนมแพะ และนมถั่วเหลืองกันมากขึ้น)
จนในวันหนึ่ง เขามีไข้สูง มีผื่นขึ้นตามตัว คันตา เราเห็นท่าไม่ดีจึงพาเขาไปหาหมอ คุณหมอแนะนำให้ทดสอบภูมิแพ้ โดยใช้วิธีการทดสอบทางผิวหนัง ( Skin Tests ) โดยใช้หลอดเล็กๆ หน้าตาคล้ายเข็ม ซึ่งคุณหมออธิบายว่า เป็นน้ำสกัดของสารก่อภูมิแพ้ทางอ้อม มาแตะบริเวณท้องแขนเจ้าตัวอ้วน กดอยู่ประมาณ 6 จุดไล่กันไป แล้วปล่อยเจ้าตัวอ้วนออกไปวิ่งเล่น
สำหรับเจ้าตัวเล็ก เพื่อความปลอดภัย เราก็ขอให้คุณหมอทดสอบไปพร้อม ๆ กัน
สักประมาณ 20 นาที ที่แขนเจ้าตัวอ้วนกลายเป็นตุ่มแดงเบ้อเริ่ม 3 ตุ่ม คล้าย ๆ รอยยุงกัด คุณหมอจับเลยได้ข้อสรุปว่า เจ้าตัวอ้วนแพ้ขนหมา ขนแมว และฝุ่น คุณหมอสรุปว่า เจ้าตัวอ้วนเป็นโรคภูมิแพ้อย่าง สมบูรณ์แบบ
ในขณะที่เจ้าตัวเล็กไม่แพ้อะไรเลย
คุณหมออธิบายว่า เด็กๆ ปัจจุบันเป็นภูมิแพ้กันง่ายขึ้น ด้วยปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีมากขึ้น และหากไม่รักษาแต่เนิ่นๆ ก็อาจรุนแรงกลายเป็นหอบหืดได้เมื่อโตขึ้น เจ้าตัวอ้วน เลยต้องกินยาแก้แพ้ ก่อนนอน ต้องล้างจมูกทุกเช้า - เย็น และต้องพ่นจมูก คุณหมอแนะนำให้มาหาหมออย่างต่อเนื่อง และรักษาให้ต่อเนื่อง เพื่อให้หายขาด
เพื่อให้ความกระจ่าง แก่ผู้อ่านที่อาจมีคนใกล้ชิดเป็นภูมิแพ้ ขอนำสาระน่ารู้เกี่ยวกับภูมิแพ้มาเล่าสู่กันฟังดังนี้ค่ะ (ขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซด์โรงพยาบาลปิยะเวทไว้ ณ ที่นี้)
ภูมิแพ้ คือ ปฏิกิริยาของร่างกายที่มีต่อสารก่อภูมิแพ้ เมื่อร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ ( Allergen ) เข้าไป ร่างกายจะถูกกระตุ้นให้มีการหลั่งสารเคมีบางชนิด ซึ่งทำให้ร่างกายมีการตอบสนองในลักษณะแตกต่างกันเช่น มีน้ำมูก คัดจมูก มีผื่นขึ้นตามบริเวณผิวหนัง คันในดวงตา เป็นต้น สารก่อภูมิแพ้ จะมีลักษณะแตกต่างกันไปแต่บุคคล เมื่อร่างกายได้รับสารดังกล่าวจะทำให้เกิดปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไป สารก่อภูมิแพ้ ได้แก่ ไรฝุ่น ขนสัตว์ต่าง ๆ หรือละอองเกสรดอกไม้ เป็นต้น
โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่สามารถติดต่อทางกรรมพันธุ์ได้โดยตรง บุคคลที่มีญาติ หรือคนในครอบครัวที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้มาก่อนจะมีโอกาสที่จะเป็นโรคภูมิแพ้ได้สูงกว่าบุคคลที่ไม่เคยมีประวัติครอบครัวเคยเป็นโรคภูมิแพ้มาเลย
อาการของ โรคภูมิแพ้ หากเป็นอาการแพ้ทางระบบหายใจ จะมีลักษณะ คัดจมูก มีน้ำมูกใสๆ คัน จาม ถ้าโพรงจมูกบวมมาก อาจจะมีน้ำมูกไหลลงคอ หรือ ไอเรื้อรัง โดยเฉพาะตอนนอน และเมื่ออากาศเย็น (อาการหอบหืดก็ถือว่าเป็นภูมิแพ้ลักษณะหนึ่งเช่นกัน) ผู้ป่วยที่มีอาการภูมิแพ้มักจะไม่มีไข้ ถ้ามีไข้น่าจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสร่วมด้วย
- อาการทางผิวหนัง จะมีอาการคันตามบริเวณผิวหนัง มีผื่นแพ้ซึ่งเป็นได้ทั้ง ตุ่มเล็กๆ ไปจนถึงตุ่มที่เป็นปื้นขนาดใหญ่ ที่เรียกว่าลมพิษ - อาการทางตา จะมีอาการในลักษณะการคันในดวงตา น้ำตาไหลบ่อย ตาแดง - อาการแพ้อาหาร หรือแพ้สารพิษจากแมลง นั้นจะมีอาการได้หลากหลาย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ผื่นคัน หากมีอาการแพ้มากอาจจะมีอาการซ็อกได้ ขึ้นกับปริมาณความเข้มข้นของสารนั้นๆ - มีตุ่มใสขนาดเล็ก เกิดขึ้นภายในช่องปากที่บริเวณเพดานอ่อน
เมื่อเป็นโรคภูมิแพ้แล้วจะเป็นโรคอื่นได้หรือไม่
คนไข้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่จมูก มีโอกาสที่จะเป็นโพรงไซนัสอักเสบได้ง่าย เนื่องจากเมื่อมีอาการแพ้ โพรงจมูกจะบวม เยื่อบุโพรงไซนัสจะบวมด้วย รวมถึงรูเปิดของโพรงไซนัสจะบวม ดังนั้น น้ำมูกจะไม่สามารถไหลออกมาได้ ทำให้มีการติดเชื้อแบคทีเรียและนำไปสู่โพรงไซนัสอักเสบ
คนไข้ยังสามารถเกิดโพรงจมูกอักเสบได้ง่าย คนไข้จะมีอาการปวดบริเวณโพรงจมูก แต่จะไม่มีอาการปวดบริเวณใบหน้า อาจมีไข้บ้างเล็กน้อย หรือมีความรู้สึกหน่วงๆ บริเวณหน้าผากได้
คนไข้ที่เป็นภูมิแพ้จะมีโอกาสเป็นริดสีดวงจมูกได้ง่ายอีกด้วย
แนวทางการรักษาภูมิแพ้
การรักษาภูมิแพ้ที่ดีที่สุดคือ หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ แต่ถ้าทำไม่ได้ ต้องใช้การรักษาโดยรับประทานยาแก้แพ้ อาจร่วมกับการใช้ยาพ่นจมูก หรือรักษาโดยวิธีการฉีดสารก่อภูมิแพ้ โดยฉีดสารที่คนไข้แพ้ในปริมาณ และความเข้มข้นน้อยๆ จากนั้นจะเพิ่มปริมาณและความเข้มข้นขึ้น เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับตัวและสร้างภูมิคุ้มกันต่อสิ่งนั้นๆ ได้
ยาพ่นจมูกแบ่งเป็น 3 ชนิด คือ - ยาที่ลดการบวมของโพรงจมูก ยานี้ไม่ควรใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เพราะจะทำให้โพรงจมูกแห้งมาก อาจทำให้เลือดกำเดาไหลได้ - ยาที่ช่วยลดอาการแพ้ของโพรงจมูก ซึ่งเป็นยาที่มีเสตียรอยด์ สามารถใช้ต่อเนื่องได้ในระยะเวลานาน แต่ต้องใช้ในขนาดที่แพทย์กำหนด การใช้ในเด็กควรปรึกษาแพทย์ - ยาที่เป็นช่วยให้โพรงจมูกชุ่มชื้น ไม่แห้ง ยานี้ไม่มีอันตรายใดๆ สามารถใช้ต่อเนื่องได้
สำหรับเจ้าตัวอ้วนของเรา ตอนนี้ยังคงต้องกินยา และพ่นจมูก แต่เขาจะไม่ชอบการถูกล้างจมูกนัก เพราะต้องฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูกทั้งสองข้าง ถ้าอากาศเย็น เขาจะคัดจมูก หายใจไม่ออก และจะมีเลือกกำเดาออกง่ายมาก
หวังว่าเขาจะหายได้ในเร็ววันนะ......เทวดาตัวน้อยของแม่
Create Date : 09 ธันวาคม 2550 |
|
2 comments |
Last Update : 9 สิงหาคม 2551 14:27:07 น. |
Counter : 476 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|