1 2 3 4
5 6 7 8 9 10 11
12 13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30 31
แม่นาควิกดรีมบ๊อกซ์ มีอะไรในความยาวยืดร่วม 3 ชั่วโมงกว่า
เห็นรีวิวหลากหลายสถาบันกับแม่นาควิกดรีมบ๊อกซ์ ตั้งแต่ในกระทู้พันทิบไปยันคอลัมน์หนังสือพิมพ์ ล้วนพูดถึงในแง่มุมอันปลื้มมากปลื้มน้อยกันถ้วนทั่ว ครั้นจะรีวิวซ้ำซ้อน เดี๋ยวก็พาลจะเบื่อหน่ายหาว่าแห่กันมาอวยกันซะอีก ก็ขอเม้าท์ในประเด็นที่คนอื่นๆ ยังไม่ได้เอ่ยถึงก็แล้วกันSpoiler Alert! สำหรับบรรดาแฟนคลับและผู้ที่ยังไม่ได้ดู เพราะอาจจะต้องสปอยล์แหลกพอท้วมๆ เนื่องจากส่วนที่ต้องวิจารณ์มันเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องโดยตรง และจะว่ากันตรงไปตรงมาว่าชอบไม่ชอบอะไร แฟนขาประจำถ้าไม่อยากเสียอารมณ์จะผ่านไปก็ได้ อันดับแรก เห็นควรด้วยว่า 3 ชั่วโมงฝ่าๆ นั้น มันเป็นหนักหนาสากรรจ์อยู่สำหรับโศกนาฏกรรมเนื้อหารุนแรงเรตอาร์แบบนี้ (เลยพาลเข้าใจไปถึงอารมณ์วิกรัชดาลัยที่พยายามยัดฉากตลกหนีผีลงไป) รวมไปถึงฉากอันมากมายที่อาจจะทอนให้สั้นลง หรือยกทิ้งไปบ้าง แต่ก็เข้าใจคนทำงาน อุตส่าห์เขียนกันแทบล้มประดาตาย นึกจะโยนอะไรทิ้งซะง่ายๆ มันก็ไม่ง่ายดังใจนึก แล้วด้วยเทคนิคของโปรดักชั่นที่ยังก้ำๆ กึ่งๆ ในเชิงเอ็ฟเฟ็คของผี จะว่าไม่ดีก็ไม่เชิง จะว่าดีก็ไม่ใช่อยู่นั้น ก็ทำให้เรื่องที่ควรจะเร้าอารมณ์เข้มข้นกลับพาให้หนืดๆ ชวนมึนประสาทไปบ้าง แต่โดยรวมแล้ว ก็ค่อนข้างชื่นชมกับรูปแบบการนำเสนอของแม่นาควิกนี้นะ คิดว่ามาถูกทางแล้ว เพียงแต่น้ำหนักการนำเสนอและรายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละฉากมันสมเหตุสมผลเพียงพอแค่ไหน เพราะเมื่อเล่นกับที่มาที่ไปของแม่นาคอย่างซีเรียสมาแต่ต้นแล้ว การเล่าเรื่องก็ควรให้คนดูเชื่อในเหตุผลสนับสนุนนั้นด้วย เราสงสัยอยู่อย่างว่า คนมีการศึกษาแสนไฮโซอย่างแม่นาคในยุคนั้น ทำไมถึงคิดสั้นหนีตามผู้ชายอย่างอีตามากมาอย่างง่ายๆ ฉะนี้ การที่ต้องเป็นลูกผู้ดีมีสกุลในสมัยนั้นมันต้องถูกอบรมให้รักนวลสงวนตัวมีสติสตังค์ในการเลือกผู้ชาย ไม่ใช่เอะอะเจอกันในงานวัดไม่เท่าไร เผลอแผลบเดียวพายเรือหายไปกะผู้ชายซะงั้น ก็คง ฯลฯ ไว้ให้คนดูเข้าใจ(เดา)เอาเองว่า แม่นาคอาจจะถูกพ่อมากแอบให้ดมป๊อปเปอร์..เอ๊ย..เปล่าๆ พ่อมากคงมีเสน่ห์เหลือล้ำ (หรือมีทีเด็ด? อะไรสักอย่างเหมือนที่นังพวกนั้นเม้ากาน) เลยหน้ามืดตามัวทิ้งพ่อทิ้งแม่ (แต่ยอมมาอยู่กับแม่ผัวใจร้ายที่ยอมเป็นควายๆๆๆ..เอ๊ะ พ่อผัวไปอยู่ไหนหว่า ถ้าตายไปแล้ว จะมาบ่นเรื่องถูกกดขี่ทางเพศทำไมอะ??) แล้วคนมีการศึกษาอย่างแม่นาคก็น่ามีวิจารณญาณว่าอะไรควรไม่ควร ไหนๆ ก็ยอมลดตัวต่ำศักดิ์มาอยู่บ้านคหบดีชานเมืองแล้ว ก็น่าจะยอมปรับตัวให้เหมือนๆ กะชาวบ้านเขา ไม่ใช่แต่งตัวไฮซ้อแขนยาวห่มสไบแพรเกร๋ไก๋ แต่ละฉากไม่ซ้ำสี ผ้านุ่งงี้มันวับสะท้อนไฟเวทีอยู่วาวๆ กระเด้งกระดอนจากบรรดาหมู่มวลชะนีบางพระโขนงเป็นอันมั่ก นึกไม่ออกว่าคุณเธอแอบขนมาจากบ้านใหญ่ตอนไหน ก็สมแล้วที่จะถูกค้อนควักอิจฉาตาร้อนจากเหล่าชะนีตัวร้ายทั้งหลาย ที่น่าสมเพชอีกคนคืออีตาพ่อมาก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำมาหากินอันใด วันๆ ก็หายไปปล่อยให้เมียต้องถูกกระทำย่ำยีจากนังตัวแม่ใจร้าย ที่แสนนนน..จะร้ายยยยย แบบว่า นางแม่ผัวละครหลังข่าวสามารถถูกเบียดตกทางด่วนได้ทันทีทันควัน บทของแม่เหมือนซึ่งตีกระจุยโดยครูอ้วนนั้น ดูเป็นที่บันเทิงเริงรมย์ของผู้ชมไม่น้อย สังเกตจากเสียงปรบมือกระหน่ำหลังทุกฉากที่หล่อนโชว์พาว แต่หลังจากเจอเข้าไปร่วมสิบฉาก เราก็เริ่มเหนื่อยกับความร้ายของนังชะนีตัวแม่ นับเป็นแคแรกเตอร์ที่(จงใจ)ให้แบนสนิทเป็นอันมาก (พอๆ กับลูกชาย) นังนี่สรุปได้ชัวร์ว่า มันเป็น S&M แหงแซะ (แง่นี้ค่อยดูเกร๋มีจิตวิทยาในแบบฮิทช์ค็อกขึ้นมาหน่อย) แต่ความซับซ้อนพวกนี้แหละที่ทำให้แม่นาคเวอร์ชั่นนี้ดูมีอะไร ถึงแม้เราจะไม่ชอบวิธีการดำเนินเรื่องแบบ Sung-Through ด้วยภาษาดาดๆ ซึ่งเป็นภาษาพูดของยุคปัจจุบัน แทนที่จะเรียงร้อยให้มีชั้นเชิงอย่างเพลงไทยยุคเก่าๆ เช่นเพลงของพรานบูรพ์ (หาฟังได้จากเพลงยุค “แผลเก่า”) ทำนองที่ผู้แต่งพยายามครอบลงไปในคำพูด (ที่ฟังไม่เหมือนบทเพลง) เหล่านั้นเลยลงตัวบ้างไม่ลงบ้างกระโดกกระเดกไปถ้วนทั่ว ให้นึกสงสัยอยู่ครามครันว่าในยุค ร.4 นั้น เขาพูดภาษาไทยกันเยี่ยงใดหนอ คำร้องที่เป็นภาษาพูดก็เลยกัดๆ กับทำนองซึ่งแสนจะยากในการรวบคำ (ต้องยกให้กับความสามารถของนักแสดงที่ไม่ทราบว่าร้องกันได้ยังไง โดยเฉพาะน้ำมนต์ เธอร้องคำพิลึกๆพวกนี้ได้ไพเราะกว่าใครเพื่อน ฟังดูเนียน ไม่สะดุดเหมือนคนอื่น) ทำให้นึกไปถึงวิธีแต่งเพลงของประพันธกรชาวอเมริกัน เจ้าพ่อมิวสิคัล สตีเฟน ซอนด์ไฮม์ที่แต่งเพลงคล้ายพูดแนวนี้ได้พิศดารพันลึกเป็นอันมั่ก ถึงจะฟังยากอยู่บ้าง อย่างใน Sweeney Todd หรือ Sunday in the park with George แต่คำก็สละสลวยคล้องจองเพลิดเพลินในการฟัง ทำนองก็เข้ากันได้กลมกลืน แสดงกึ๋นของคนแต่งเป็นอันมาก โดยเฉพาะ West Side Story ซึ่งเป็นเพลงมิวสิคัลที่โดดเด่นที่สุดของเขาแล้ว ฟังแล้วติดหูตรึงใจฮัมตามได้ ประมาณดูจบแล้วต้องตามหาซีดีกันให้ควั่ก เพิ่งได้ชุด Revival ล่าสุดของบรอดเวย์มา ทำได้เริดมาก ตัวแสดงร้องกันได้มหัศจรรย์ ว่าแล้วก็ขอเม้นท์ต่ออีกเล็กน้อยกับเพลงที่แต่งโดย 3 นักแต่งเพลง ซึ่งมีบุคลิกค่อนข้างแตกต่างกันไป เพลงในเรื่องแม่นาคฉบับนี้เลยมีหลากหลายสไตล์อยู่ไม่น้อย ผสมผเสระหว่างมิวสิคัล คลาสสิคัล ละติน สวิง และพ็อพ แน่ะ..ไม่น้อยหน้าแม่นาครัชดาลัยอยู่ดอกหนา 555 หากแต่ Arranger พยายามคงสไตล์การเรียบเรียงเพลงไว้ไม่ให้มันโดดจนเกินไปนัก กระนั้นเพลงที่มีทำนองไพเราะสะดุดหู สนุกสนาน เพลิดเพลิน กลับหาได้ยากยิ่ง กลายเป็นเพลงที่เล่าเหตุการณ์ หรือประชันไดอะล็อกที่ผ่านแล้วก็ผ่านเลยไปซะส่วนมาก อย่างเพลงสนุกๆ ที่บรรดาคอรัสอองซองได้มีโอกาสโชว์ออฟ ไม่ว่าเพลงผู้หญิงเหมือนควายอะไรนั่น หรือเพลงที่แม่หมอตำแยกะผัวสัปเหร่อหยอกล้อกัน ก็ไม่มีอะไรติดหู ทำให้นึกถึงเพลงของ Rogers & Hammerstein ที่ประพันธ์ไว้ใน South Pacific อย่าง There’s nothing like a dame หรือผลงานของ Lerner & Loewe ในเพลง With a little bit of luck จาก My Fair Lady ทำไมทำนองคำร้องของเขามันไพเราะติดหูได้ในทันที นี่คือฝีมืออันประดิดประดอยล้วนๆ อันนี้ขอเป็น request สำหรับมิวสิคัลเรื่องหน้าแล้วกันนะ พูดถึงดนตรีแล้วเลยพาลไปถึงกระบวนการผสมเสียง (Mixing) และอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ใช้ ขอบอกว่าคุณภาพระคายหูดีเป็นอันมาก แข็งไปหมดทุกอย่าง นับตั้งแต่วงดนตรีที่ไม่รู้คิดผิดหรือถูกที่นำไปขึ้นแท่นเก็บไว้หลังเวที เสียงเครื่องดนตรีที่ออกมาทุกชิ้นเลยประมาณว่าต้องผ่านมิกเซอร์ ซึ่งไม่ทราบว่าซาวด์เอ็นจิเนียร์มีปัญหากับอุปกรณ์แค่ไหน แต่บอกได้ว่าเสียงไวโอลินที่เล่นไม่ค่อยเข้ากันมันฟังได้ชัดมากก ดนตรีฟังไม่กลมกลืน จนพาลนึกไปถึงดนตรีหน้าม่านสมัยเล่นประกอบหนังเงียบยังไงยังงั้น สู้ยกวงนำมาเล่นหน้าเวทีแบบละคร คู่กรรม ยังจะเข้าท่ากว่า อย่างน้อยก็ยังได้ยินเสียงสดๆ ของดนตรีแท้ๆ ผสมผสานออกมา ซึ่งเรื่องนี้ วิกรัชดาลัยเอาไปกินสบายๆ ยัง..ยังไม่หมด..ยังกินแถวไปถึงเสียงร้อง ซึ่งกระด้างกันไปถ้วนหน้า เราว่าระบบเสียงรัชดาลัยดูมีปัญหา ก็ยังดีกว่าโรงนี้ เพราะช่วงที่ไปดู สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ ระบบเสียงทำได้ดีเกินคาด ทำให้รู้ว่า จริงๆ แล้วมันคงอยู่ที่ความชำนาญของคนควบคุมด้วยโสตหนึ่ง คนที่มีแก้วเสียงไพเราะนุ่มนวลคงเส้นคงวาแบบน้ำมนต์เท่านั้น ที่จะเอาตัวรอดได้ชิวๆ นอกนั้น บรรดาชะนีเสียงแหลมหลุดโลกทั้งหลายจะเจอปัญหาเสียงแผดแสบแก้วหูเหมือนกันหมด ยิ่งตอนแม่สายหยุดคลุ้มคลั่งร้องแต่เพลง เลือดๆๆๆๆๆๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก (เหมือนเพลงอีตาซอนด์ไฮม์) หูข้าพเจ้าบ่งบอกอาการล้าประมาณเกือบจะกรี๊ดด ออกไปแล้วว่า..เออ กรูรู้แล้วเฟ้ยย อ้อ ขอติงเรื่องสไตล์เพลงอีกนิสสนุง เพลงในช่วงหลังๆ ที่แม่นาคกลายเป็นผีไปแล้ว มันควรจะเปลี่ยนโทนไปสู่ความเวิ้งว้าง เหงาและ หลอน มากกว่านี้ สไตล์มันจะขึ้นๆ ลงๆ ตามคนแต่งแต่ละฉาก ดูมันไม่ค่อยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเท่าไร อย่างช่วงที่แม่นาคสร้างโลกของตัวเองมารอพ่อมากเนี่ย (ซึ่งเราก็ชอบวิธีการเปลี่ยนบรรยากาศฉากนะ) แต่ครั้นเห็นแม่นาคอยู่บนบ้าน ร้องเพลงสดใสเจื้อยแจ้วราวกับเพลง Somewhere that green (ในมิวสิคัล Little Shop of Horror) มันก็ดูแปลกๆ อยู่ ผิดกับตอนที่แม่นาคจะเผลอตัวยืดมือไปเก็บมะดัน มะอึก อะไรนั่น ฉากนั้นกลับร้องเพลงวังเวง คอนทราสต์กับอารมณ์พ่อมากและแนวดนตรี ซึ่งจริงๆ เราชอบอารมณ์นี้นะ ดูได้บรรยากาศหลอนลึกๆ ดี แต่โทนก็โดดจากฉากแรกที่ว่าจนต่ออารมณ์ไม่ค่อยถูก แล้วปฏิกิริยาพ่อมากตอนนั้นก็แบบว่า ทำท่าโตะใจอยู่แว้บเดียวแล้วก็เผ่นหายไปซะงั้น แทนที่จะให้เวลากับความตะลึงพรึงเพริดเพราะเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง จนกระทั่งกลายเป็นความสับสนหวาดกลัวผสมความผิดหวังเสียใจ แล้วค่อยตะเกียกตะกายหนีไป ยังมีเพลงเพราะๆ ให้ติดหูอยู่นะ อย่างเพลง ฟ้าเป็นพยาน เสียดายพ่อมากน็อตเอาไม่ค่อยอยู่เท่าไร ทั้งๆ เป็นเพลงโชว์ อาศัยน้ำมนต์ประคองให้จบได้สวย แต่ท่วงทำนองคำร้องไพเราะสะดุดหูดี แล้วมีอีกเพลงที่มีสำเนียงไทยๆ ดี ตอนแม่นาคเพิ่งย้ายบ้านหนีแม่ผัวมาอยู่กันสองคน น้ำมนต์ร้องได้ไพเราะเสนาะโสตเป็นอันมาก ซึ่งก็เป็นเพลงเดียวที่มีกลิ่นอายแบบไทยๆ นอกนั้นขนมผสมน้ำยาล่อกันนัว แม้จะแอบเอาเครื่องดนตรีไทยอย่างฉิ่งอย่างตะโพน กลองแขก ฯลฯ มาแจมบางฉาก แต่ลีลาท่วงทำนองมันไม่ใช่อยู่ดี คนแต่งเพลงคงไม่ค่อยคุ้นกับสำเนียงเพลงไทยเดิม และเพลงไทยสากลรุ่นเก่าๆสักเท่าไร ดูไม่ค่อยกล้าผสมผสานท่วงทำนองไทยแท้ลงไป เอ..ท่าจะเม้าท์ไม่เลิก ยังมีอีกๆ เหอๆๆ.............. การเล่าเรื่องในช่วงเทคนิคผีๆ เป็นสิ่งที่ต้องเอาใจใส่อย่างมาก เพราะแม่นาคคือตำนานผีระดับคลาสสิค แถมยังมีคู่แข่งที่เงินถึงกว่ากำลังโชว์ประชันอยู่อีกตะหาก ฉากปะทะกันระหว่างหมอผีกับแม่นาคต้องทำให้ถึง ตื่นเต้นประทับใจ แต่ปรากฎว่า เอ่อ..ตอนผีกระโจมอินเดียนแดงโผล่ขึ้นมาหลังหมอผีนั้น เล่นเอาข้าพเจ้าแทบตกเก้าอี้ ไม่ใช่ด้วยความตกใจกลัวดอก หากแต่แทบดิ้นกระแด่วคาโรงด้วยนึกถึงละครผีๆ ที่ข้าพเจ้าเคยทำกะเพื่อนสมัยอยู่โรงเรียน จริงๆ มันต้องลงทุนทำให้มหัศจรรย์พันลึกเซอร์ไพรส์คนดูไปเลย เหมือนได้ชมมายากลระดับเดวิด คอปเปอร์ฟิลด์ ยังไงยังงั้น ส่วนในช่วงอื่นๆ ก็พอยกประโยชน์ให้จำเลย ก็คือตอนแม่นาคลอยไปลอยมาคลุมเครืออยู่เบื้องหลัง ถ้าให้เห็นสไบปลิวไสวด้วยแรงลมพอพลิ้วๆ ก็คงจะได้บรรยากาศหลอนดีกว่านี้ หรือตอนเรือมรณา ซึ่งเราก็ชอบนะ ถึงแม้คอนเซปต์จะฝารั้ง ฝาหรั่งไปนิสสก็เหอะ มันดูได้อารมณ์เยือกๆ กับไลท์ติ้งอึมครึม แต่ที่ขัดๆ หูอยู่ก็คือทำนองเพลง ที่จงใจแต่งหรือไงไม่ทราบให้เหินๆ เหมือนจะเพี้ยนกัดๆ กับดนตรีดีพิลึก ทำให้มันเพราะไว้ก็ไม่เห็นเป็นไร คอรัสก็เกร๋ดีแล้ว จังหวะตอนแม่นาคหลอกหลอนตอนอื่นก็โออยู่ ไม่ต้องเทคนิคจ๋าแต่ดูเนียนดี อ้อ..ตอนแม่แก่กลัวแม่นาคจนเรือคว่ำน่ะ ไม่ต้องเห็นไปถึงใต้น้ำก็ได้จ้ะ รู้แล้วว่าตาย....ดูมันล้นๆ เลยๆ ไงไม่รู้ แต่ที่ปลื้มคือฉากไคลแมกซ์ตอนจะจบ พ่อมากกะแม่นาคมาเผชิญหน้ากันครั้งสุดท้ายแลกหมัดวัดดวงกันไปเลยบนสะพานขาด แล้วหลวงตาโผล่มาห้ามเทศน์สั่งสอน เพลงตอนนี้เรียบเรียงได้ดี ร้องประชันกันได้อารมณ์ไคลแมกซ์ดีทีเดียว และเอ็ฟเฟ็คไฮโดรลิคก็ใช้ได้เวิร์คดี ดูแล้วกลมกลืนกับเรื่อง เสียอย่างเดียว ตอนวิญญาณแม่ล่องเรือมรณามารับ ร้องเพลงเหน่อๆ เพลงนั้นอีกแระ 555 พูดถึงพระหลวงตา เป็นตัวละครที่จับใส่มาชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ยเอาจริงๆ โผล่มาหนแรกคั่นฉากอะไรสักอย่าง ตาเด๋อก็พร่ำพูดบาลีอะไรไม่รู้ แปลไม่ออก ก็เลยไม่เข้าใจว่าอยากจะสื่ออะไร แล้วก็หายไป โผล่มาอีกทีก็มาเป็นพระปางห้ามญาติกลางสะพานมันซะงั้น กลายเป็นว่าคนดู(คนไทย)ต้องเอาใจช่วยร่างภาพพระรูปนี้ขึ้นมาเองในใจจากประสบการณ์ได้ยินได้ฟังตำนานแม่นาคมา ถ้าเป็นคนต่างชาติมาดู คงเอ๋อเหรอไปสนิท แบบไม่เข้าใจว่าพระรูปนี้มารู้เรื่องและมีอิทธิพลต่อตัวละครขนาดนี้ได้ยังไง ซึ่งบทหลวงตานี้เป็นบทสำคัญมาก เพราะเป็นจุดหักเห Turning Point ของเรื่อง แต่กลับเป็นตัวละครที่ Weak ที่สุดตัวหนึ่ง (ขอเพิ่มเติมเรื่องบทของหลวงตานี่สักนิด การที่พระรูปนี้จะมีณานหยั่งรู้ และตามมาช่วยพ่อมากทันในฉากสุดท้ายนั้น สมควรจะมีที่มาที่ไปและมีความสัมพันธ์กับตัวละครหลักคือ แม่นาคและพ่อมากตามสมควร ถ้าให้ท่านมามีบทบาทเนิ่นๆ ตั้งแต่ต้น ให้เห็นความขลังแบบเงียบๆ ลึกๆ ของท่าน คนดูก็จะเชื่อมากขึ้น และบทจะช่วยคานความแรงของกิเลสมนุษย์แบบชาวบ้านๆ ลงได้อีกโสตหนึ่ง ในฐานะที่เป็นสงฆ์ท่านก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องของฆราวาส แม้แม่นาคกับท่านเหมือนกับมีบุรพกรรมกันแต่เก่าก่อน แต่ท่านก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้ แม้กระทั่งยายเหมือนเรียกหมอผีเข้ามาจัดการ ก็ได้แต่ปลงไปกับชะตากรรมของทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เหมือนกับว่าท่านไม่อยากให้แม่นาคมีบาปติดตัวไปมากกว่านี้แล้ว ยิ่งหมายมาเอาชีวิตพ่อมากไปเสียอีก คราวนี้คงไม่ได้ไปผุดไปเกิดเป็นแน่ ท่านถึงตัดสินใจเข้ามาห้ามทัพได้ทันเวลา อะไรทำนองนี้) อีตาหมอผีก็เช่นกัน แหม นึกเสียดายฝีมือการร้องที่ประเสริฐมาก ติดตามมาตั้งแต่บทบาทหลวงใน สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ มีบทไม่มากแต่ตรึงตรา เสียดาย ตอนทำศึกกับแม่นาค ดูเงอะๆ งงๆ ไม่รู้ลงเอยกันยังไง จู่ๆ ผีกระโจมโผล่มาตอนจะตอกตะปูอาคม แล้วก็เวทีมืด เฮ้อ..สงสัยโดนผีกระโจมครอบหายใจไม่ออกตายไปแระ... พูดถึงเวทีมืด มันจะเฟดมืดกันสักกี่ร้อยหนกันเนี่ย กลายเป็นแพทเทิร์นการเปลี่ยนฉากไปเลย จะเปลี่ยนทีก็มืดกันซะที แทนที่จะโชว์กึ๋นในการใช้กลวิธีพลิกผันฉากด้วยเทคนิคใดๆ ก็ตามให้มันตื่นตา มีเพื่อนบอกว่า แหม เขาทำเป็นจังหวะจบฉากให้คนดูได้ปรบมือกานไง... เออ ถ้าจะจริงของมัน เมื่อยสมองไปนิด กับสามชั่วโมงกว่าๆ ถึงแม้จะมีพักครึ่งเวลาก็เหอะ คู่กรรมดูจะเพลิดเพลินกว่า (แม้ว่าข้าพเจ้าจะทนตาเซกิร้องไม่ค่อยได้ก็ตาม) แต่ก็ยอมรับว่าโครงสร้างโดยรวม เป็นละครมิวสิคัลที่ชมแล้วได้อารมณ์ “มิวสิเคิ่น” กว่าวิกอื่นๆ อยู่หลายขุม โดยเฉพาะดาราตัวแม่ทั้งหลายที่ร้องในระดับเทพ อย่างที่รีวิวอื่นได้ชื่นชมไว้อย่างอึงมี่ น่าเสียดายที่บทแม่นาคของน้ำมนต์ ไม่ค่อยได้สำแดงอารมณ์และฤทธิ์เดชมากมายนัก โชคดีที่เสียงร้องอันล้ำเลิศได้ช่วยให้อะไรๆ ก็ผ่านไปได้ แม้ฉากโศกเศร้าคร่ำครวญที่บางคนติงไว้ว่ายังแอบสวยอยู่ก็เหอะ ขอวกกลับมาที่แม่เหมือนครูอ้วนสักกระติ๊ด...ที่ว่า concept คนร้ายกว่าผีนั้น เห็นที่จะต้องแจกรางวัลความร้ายนิรันดร์ให้ครูอ้วนเธอ ฉากจบนี้นำเสนอตรงไปนิดในความเห็นของเรา จริงๆ เป็นโอกาสที่จะทำให้แคแรกเตอร์แม่เหมือนดูเป็นมนุษย์(มากกว่าฟายใจร้าย)ขึ้นก็ตอนนี้แหละ และยังช่วยทิ้งช่วงผ่อนคลายไคลแมกซ์ของฉากสะพาน โดยให้แม่เหมือนเธอประหนึ่งถูกทิ้งให้เดียวดายอยู่คนเดียวกับความสำนึกผิด ไม่เหลือใครอีกแล้วแม้กระทั่งหลานคนโปรดของตัวเอง แต่แล้วก็ค่อยๆ พลิกอารมณ์ตอนที่คนมาเห็นศพแม่สายหยุด ทำให้เธอต้องกลับมาปกป้องตัวเองอีกครั้ง โดยการลุกขึ้นมาหาแพะ..ซึ่งก็คือแม่นาคนั่นเอง มันถึงค่อยมีจังหวะจะโคน ไม่งั้นพอมีฉากโพนทะนาโผล่มาโดดๆ ตอนจบมันเหมือน Anti Climax อารมณ์ประทับใจของฉากเอกก่อนหน้านั้นไปอย่างน่าเสียดายปล..เห็นป้ายสั่งจองซีดีฉบับเต็ม ราคา 500 บาท เอ่อ..ถ้ากลับมาฟังเพลงทั้งหมดโดยไม่เห็น Visual ประกอบด้วยอาจเป็นการทรมานประสาทได้ง่ายๆ อะนะ มีคนหันมาสนใจ ซีดี 120 บาทกันไม่น้อย น้องผู้หญิงคนนึงเข้ามาถามคนขายว่ามันคือเพลงอะไร คุณน้องคนขายเธอก็คงมีปัญหาคล้ายๆ ลูกน้องท่านขุนตอนฉากแรก อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ ข้าพเจ้าเลยจัดการเลคเช่อร์ให้น้องผู้หญิงฟัง (อย่างเดาสวด) ว่าเป็นเพลงไฮไลท์ไม่กี่เพลงจ้า...ก็เลยช่วยปิดการขายไปได้อย่างโล่งอก...
Create Date : 12 กรกฎาคม 2552
Last Update : 14 กรกฎาคม 2552 19:25:55 น.
30 comments
Counter : 1827 Pageviews.
โดย: tee IP: 58.64.100.76 วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:4:43:46 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:7:53:26 น.
โดย: พี่หมี (Bkkbear ) วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:38:23 น.
โดย: yensid IP: 58.64.100.97 วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:40:18 น.
โดย: yensid IP: 58.64.100.97 วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:41:31 น.
โดย: ลุงแว่น วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:57:57 น.
โดย: blackskin วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:07:17 น.
โดย: ืนิก IP: 118.8.54.147 วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:17:02 น.
โดย: doo_wop_boy วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:37:30 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:16:09:45 น.
โดย: top IP: 119.31.55.195 วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:18:48:25 น.
โดย: ลูกขุน IP: 124.122.11.179 วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:00:53 น.
โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) วันที่: 13 กรกฎาคม 2552 เวลา:0:07:30 น.
โดย: เด็กม.ปลาย (Onlineza ) วันที่: 13 กรกฎาคม 2552 เวลา:0:14:36 น.
โดย: นู๋ปรี น้องพี่แพ็ต IP: 58.8.191.211 วันที่: 13 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:44:19 น.
โดย: พี่หมี (Bkkbear ) วันที่: 13 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:17:48 น.
โดย: patella IP: 119.42.72.59 วันที่: 13 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:52:13 น.
โดย: The Enesmble IP: 58.8.130.51 วันที่: 13 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:11:53 น.
โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) วันที่: 13 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:49:02 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:13:30 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:20:49 น.
โดย: นู๋ปรี IP: 58.8.193.81 วันที่: 14 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:19:05 น.
โดย: พี่หมี (Bkkbear ) วันที่: 14 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:08:45 น.
โดย: พี่หมี (Bkkbear ) วันที่: 14 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:10:35 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:00:44 น.
โดย: yyswim วันที่: 16 กรกฎาคม 2552 เวลา:1:53:29 น.
โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) วันที่: 16 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:33:29 น.
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [? ]
งานเขียนบทความ บทหนัง เรื่องสั้น และนวนิยายในบล็อกนี้สงวนลิขสิทธิ์โดย Bkkbear (หมีบางกอก) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามมิให้ดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต