Group Blog
 
 
มิถุนายน 2554
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
30 มิถุนายน 2554
 
All Blogs
 

น้ำผึ้งหยดเดียว


ชี้แจงก่อนเริ่มเล่า



คนไทยเราเมื่อเกิดมีการขัดแย้งจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหา แต่เพราะว่าต่างคนต่างถือทิฐิ หวังผลประโยชน์ใส่ตัวเองเพียงเล็กน้อย พยายามจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามให้ได้ ไม่ยอมลดราวาศอก จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ บางครั้งอาจถึงขั้นเอาชีวิตอีกฝ่ายหนึ่งไปโดยมิได้ตั้งใจ เราเรียกว่า “น้ำผึ้งหยดเดียว” ดังเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในจังหวัดนครราชสีมาในภาคอีสาน เพื่อหลีกเลี่ยงเจ้าของเรื่องอาจไม่พอใจให้เรื่องของตนปรากฏต่อสาธารณะ จนผู้เขียนถูกฟ้องร้องดำเนินคดี จึงขอเปลี่ยนชื่อคู่กรณี ใช้นามสมมุติแทน

ในอดีตที่ผ่านมา สมัยจังหวัดต่างๆทางภาคอีสาน ยังต้องอาศัยรถไฟเป็นพาหนะในการเดินทางและขนส่งสินค้าเป็นประจำ เวลานั้นชนชั้นกรรมกรแต่ละครอบครัวมีสมาชิกมาก จึงมีผู้คนออกขายแรงงานจำนวนมาก โดยกลุ่มผู้ขายแรงงานจะไปจับกลุ่มอยู่ตามสถานีรถไฟ เพื่อรับจ้างขนถ่ายสินค้าขึ้นลงรถไฟ และอาจติดตามรถบรรทุกนำสินค้าไปส่งถึงร้านค้าหรือขนสินค้าจากร้านค้ามาสู่สถานีรถไฟ ส่วนร้านค้าที่ต้องการส่งสินค้าเข้ากรุงเทพฯเป็นครั้งคราว ไม่มีกรรมกรประจำร้าน ก็จะมาเรียกหากรรมกรจากสถานีรถไฟ มาขนถ่ายสินค้าขึ้นลงจากรถยนต์บรรทุก ถ่ายลงตู้บรรทุกของขบวนรถไฟ ช่วงที่มีผู้ขายแรงงานมาก เกาะกลุ่มที่สถานีรถไฟมากเกินไปบางคนถือโอกาสเป็นกาฝาก เวลาทำการขนย้าย หลีกเลี่ยงงานหนัก เช่น ยกข้าวสาร ก็ทำท่ายกรวมกับ 4-5 คน แต่ไม่ยอมออกแรงแต่อาศัยแต่แรงเพื่อน

บางวันมีรถมาขนถ่ายสินค้าน้อย จึงมีส่วนแบ่งค่าแรงน้อย ผู้ที่ทำงานได้มาตรฐานไม่อยากมารวมกลุ่มกับคนเอาเปรียบเพื่อน เป็นเหตุให้เจ้าหน้ที่สถานีรถไฟหลายแห่งจำต้องเข้ามาคัดเลือกเฉพาะคนงานที่มีพละกำลังไกล้เคียงกัน ทำงานเป็นทีมกัน ด้วยจำนวนจำกัดมาทำงานที่สถานีนั้นๆ และกำหนดให้แรงงานเหล่านั้นต้องมารวมกลุ่มทุกวันมิให้ขาดงาน หากผู้ใดเกิดการเจ็บป่วยหรือติดธุระจำเป็น มารวมกลุ่มกันมิได้ ต้องไปหาเพื่อนมารวมกลุ่มแทนเพื่อมิให้เสียงาน เพราะสถานีรถไฟ สามารถเรียกเก็บค่าขนถ่ายสินค้าจากเหล่าพ่อค้าที่มาใช้บริการให้ค่าแรงสูงกว่าค่าแรงนอกสถานี จึงมีคนเกาะกลุ่มมารับจ้าง ขายแรงงานไม่ขาดจำนวน และต้องทำการขนถ่ายสินค้าทุกชนิดจากตู้รถไฟ เลือกงานไม่ได้

กรรมกรที่หลุดจากากรคัดเลือกของสถานีรถไฟ จึงไปหาสถานที่รวมกลุ่มใหม่ รอให้คนที่ต้องการแรงงานมาว่าจ้าง เช่น จังหวัดนครราชสีมา จะไปรวมกลุ่มกันระหว่าง ประตูเมือง และประตูน้ำ และบริเวณสถานีรถไฟ อ.จิระ ด้านจังหวัดขอนแก่น ผู้ขายแรงงานจะมารวมตัวกันที่สถานีรถไฟ และบริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมือง…..นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มแรงงานรายย่อย รวมตัวกันอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ รอให้มีผู้คนมาว่าจ้าง

ระยะสมัยก่อนบางจังหวัดอาจมีผู้มารอขายแรงงานวันละ 40 - 100 คนมารวมตัวกันอย่างหลวมๆ เมื่อร้านค้ามาว่าจ้าง ก็จะถามว่า ขึ้นลงสินค้าอะไร เช่น ขนปูนซีเมนต์ บางคนก็ไม่ชอบเพราะคันตัว เหล็กหรือข้าวสาร บางคนก็ไม่ชอบเพราะหนักเกินไป สินค้าเบ็ดเตล็ดบางคนก็ไม่ชอบ เพราะว่าจุกจิก ฯลฯ เป็นอันว่าทุกครั้งที่ร้านค้ามาจ้าง ก็จะมีคนรวมเป็นกลุ่มเล็กไปรับจ้าง คนที่ไม่ชอบงานชนิดนั้นก็จะรอต่อไปจนกว่าจะพบงานที่ตนชอบ การแยกกลุ่มไปรับจ้างตามร้านค้า อาจมีเพียง 3คน คนน้อยกว่านี้จะทำงานยกแบกไม่ได้ บางครั้งมีสินค้าให้ขนถ่ายจำนวนมาก ก็จะมีการรวมกลุ่มกันมากกว่า 10 คน แต่ส่วนมากจะมีกลุ่มละ 5 คน จึงจะเข้าขาทำงานเป็นทีมได้สะดวก และแบ่งค่าแรงได้พอสมควร

ปัจจุบันทุกสิ่งทุกอย่างแข่งขันเต็มที่ ร้านค้าที่เคยสั่งซื้อสินค้าจากกรุงเทพฯ ด้วยการขนส่งทางรถไฟหรือบริษัทขนส่ง ล่าช้าไม่ทันคู่แข่ง อาจถูกคู่แข่งทำการซื้อขายตัดหน้า จึงหันมาจัดซื้อรถยนต์เพื่อบรรทุกสินค้าจากโรงงานกรุงเทพฯโดยตรง ตอนขาล่องก็จะรับจ้างบรรทุกสินค้าพืชไร่จากต่างจังหวัดไปส่งกรุงเทพฯ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายขนถ่ายหลายรอบให้น้อยลง ร้านค้าสามารถซื้อรถยนต์เหล่านี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา และเป็นผู้ว่าจ้างกลุ่มแรงงานนอกสถานีที่สำคัญ เพราะแต่ละร้านมีคนงานประจำร้านไม่มาก และแต่ละคนต่างมีภาระหน้าที่ต้องทำประจำ การขนส่งสินค้าของร้าน ไปให้ลูกค้าประจำ

ด้วยเหตุนี้ความต้องการแรงงานชั่วคราวมาทำการขนถ่ายสินค้าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ขณะเดียวกัน กรรมกรที่เคยมารวมตัวเสนอขายแรงงานกลับลดจำนวนน้อยลงมาก เพราะปัจจุบันชาวบ้านต่างวางแผนครอบครัวคุมกำหนด จึงมีลูกน้อยลง และพยายามสงเสริมให้การศึกษาเล่าเรียนแก่ลูกหลานของตน คนรุ่นใหม่ได้รับการศึกษาดีกว่าคนรุ่นก่อน ไม่ต้องการขายแรงงาน ด้วยรายได้ของกรรมกรขายแรงงานปรับไม่ทันค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน

ตัวอย่าง เช่น ปัจจุบันค่าแรงขึ้นลงข้าวสารกระสอบปุ๋ยละ 2 บาท 1 รถสิบล้อมี 260 กระสอบปุ๋ย ได้ค่าแรงเป็นเงิน 520 บาท ทีมแรงงานมาตรฐานกลุ่มหนึ่งมี 5 คนได้ส่วนแบ่งคนละ 104 บาท ถ้ารับงานได้วันละ รถ ได้เงิน 104 บาท ระหว่างทำงานอาจดื่มเครื่องดื่มชูกำลังขวด-2ขวดหรือเครื่องดื่มอื่นอีกรวม 20-30 บาท ค่าอาหารระหว่างวันอีก 20-40 บาท บางคนอาจติดยาขยันด้วยอาจจะยิ่งหนักเข้าไปอีก วันหนึ่ง ๆ ถ้าได้ส่วนแบ่ง 104 หรือ 208 บาท หักค่าใช้จ่ายส่วนตัวแล้ว ก็แทบจะไม่มีเงินเหลือกลับบ้านเลี้ยงครอบครัว ยิ่งพวกที่อยู่อำเภอรอบนอกจังหวัด ผู้ซึ่งยังสนใจขายแรงงาน มารับจ้างในเมืองต้องจ่ายค่าพาหนะ 10-20 บาทเข้ามารับจ้างในเมือง ไปกลับก็ 20-40 บาท

สรุปแล้ววันๆ เหมือนกับทำงานฟรี แรงงานรอบ ๆ จังหวัดจึงงดรวมกลุ่มมารับจ้าง แรงงานรุ่นเก่าในเมืองล้มหายตายจาก คนรุ่นใหม่ทันสมัยไม่สนใจการขายแรงงานดังกล่าวข้างต้น ร้านค้าที่ต้องการแรงงานมาทำการขนถ่ายสินค้า ต่างแก้ปัญหาด้วยการส่งรถปิกอัพไปรับคนงานบ้านนอกรอบๆเมืองทั้ง 4 ทิศ ภายในรัศมี 20 กม. โดยมีเงื่อนไขว่า หากคนงานนั้นๆได้รับส่วนแบ่งไม่ถึง 150 บาทต่อวัน ร้านค้าจะต้องจ่ายเพิ่มให้ครบ 150 บาท หากคนงานได้รับเงินเกิน 150 บาท ไม่อยากรับทำงานขนถ่ายต่ออีก ร้านค้าต้องขับรถปิกอัพไปส่งเหล่าคนงานให้กลับถึงถิ่นที่อยู่ของกรรมกรเหล่านั้น หรือจะจ่ายค่าพาหนะให้ ตามความเป็นจริง หากวันใดต้องทำงานขนถ่ายสินค้าเกิน 17.00 น. ในวันนั้น จะไปขึ้นรถโดยสารกลับหมู่บ้าน กว่าจะถึงหมู่บ้านที่ตนอยู่ ฟ้าอาจมืดค่ำเดินทางไม่สะดวก เพราะบางคนอาจอยู่ท้ายหมู่บ้าน ห่างจากที่รับส่งผู้โดยสารไกลเป็น ก.ม. จึงมีข้อตกลงกันว่า เมื่อกรรมกรทำงานเลยเวลา 17.00 น. ร้านค้ามีหน้าที่นำรถปิกอัพไปส่งกรรมกรเหล่านั้นถึงหมู่บ้าน ตามที่พักอาศัยที่รับตัวมา

ห้างเกษตรพืชผล เป็นร้านค้าพืชผลทางการเกษตรขนาดใหญ่ มีคลังสินค้ากว้างใหญ่บนเนื้อที่ 4 ไร่ จัดส่งสินค้าด้านการเกษตรโดยทางรถยนต์บรรทุกไปกรุงเทพเป็นประจำ ได้รับกรรมกร ที่หมู่บ้านห่างจากตัวเมือง ราว 15 กม มาทำการขนถ่ายเป็นประจำ. เผอิญวันนั้นมีร้านค้าอื่นมารับกรรมกรจากหมู่บ้านแห่งนี้ตัดหน้าไปก่อน จนมีคนเหลืออยู่เพียง 3 คน เนื่องด้วยเป็นเจ้าประจำกัน คนงานทั้ง3 จึงพยายามไปหาคนในหมู่บ้านมาเพิ่มเติม ปรากฏว่าได้นายองอาจ อยู่ท้ายหมู่บ้านมาเพิ่มเติมเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นคนขายแรงงานเป็นการชั่วคราว เดินทางมาถึงเกษตรพืชผล ในเวลาล่วงถึง 11.00 น. จึงลงมือทำงาน นายองอาจเป็นมวยแทนจึงไม่ชำนาญงาน และพละกำลังอ่อนแอกว่ากรรมกรที่ทำงานประจำทั่วไป การร่วมงานครั้งนี้จึงเป็นกาฝาก อาศัยแรงงานหมู่พวกยกแบก ทำให้งานขนสินค้าขึ้นรถล่าช้าไปมาก จนถึงเวลา 13.00 น.จึงขนสินค้าทางการเกษตรขึ้นรถแรกเสร็จ

นายเกษตร (นามสมมุติ)เจ้าของร้าน ให้คนขับรถประจำร้าน นำสินค้าไปส่งลูกค้าต่างอำเภอ ขณะที่รถลูกค้ามาจอดรอรับสินค้าอีก3คันรถสิบล้อ นายเกษตรจึงจี้เร่งคนงานเหล่านี้ให้ทำการขนสินค้าขึ้นรถให้เร็วขึ้นบ่อยครั้ง หวังให้ขนถ่ายเสร็จก่อน เวลา 17.00น. เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ต้องไปส่งคนงานทีมนี้กลับหมู่บ้าน เพราะคนขับรถของตนไปส่งสินค้าต่างอำเภอ คงจะกลับมาไม่ทันส่งคนงานเหล่านี้กลับหมู่บ้าน ส่วนตัวเขาเองก็ติดขัดมีนัดทำธุระเวลา 18.00 น.ถ้าหากจำต้องไปส่งคนงานด้วยตนเอง ก็จะกลับมาไม่ทันเวลานัดหมาย

การเร่งรัดบ่อยครั้งของนายเกษตรสร้างความไม่พอใจให้กับนายองอาจ ขณะที่นายเกษตรไม่ชอบนายองอาจอู้งาน จนถึงเวลา16.00 น. ขึ้นสินค้าเสร็จอีก 2 รถสิบล้อ เหลือเพียงรถสุดท้าย คนงานทุกคนอ่อนกำลังลง นั่งพักให้ฟื้นกำลัง นายเกษตรมาเร่งให้รีบขึ้นของเร็ว ๆ 3คนงานทำการขนถ่ายสินค้าตามคำเร่งรัดของนายเกษตร มีนายองอาจไม่ยอมลงมือทำงานคนเดียว เพราะหมดแรง ทีมงาน 3 คนทำงานขนสินค้าขึ้นรถไม่สะดวก คงไม่เสร็จทันเวลา 17.00 น.แน่

เมื่อนายเกษตรมาเร่งรัดอีก นายองอาจจึงระเบิดอารมณ์ใส่หน้าว่า “มึงจะเอาเร็วก็มาแบกเองสิ ” นายเกษตรไม่เคยถูกคนงานหยามหน้าแบบนี้ ระงับอารมณ์ไม่อยู่ ตบหน้าสั่งสอนนายองอาจ นายองอาจถูกตบหน้าจึงต่อยหมัดใส่หน้านายเกษตร (ตอนแบกของนายองอาจไม่ค่อยมีแรง ตอนต่อยหน้านายเกษตรกลับมีกำลังมาก) หมัดเดียวก่อให้นายเกษตรล้มคว่ำ

คนงานทั้ง 3คนมิได้เข้าห้ามมวยคู่ชก แต่มีคนหนึ่งวิ่งไปบอกนางยิ่งลักษณ์(นามสมมุติ) ภรรยานายเกษตร ที่สำนักงาน นางยิ่งลักษณ์คว้าปืนไปห้ามมวยในคลังสินค้าที่เกิดเหตุ นายเกษตรถูกสวนหมัดจนล้มคว่ำ จึงคว้าด้ามไม้กวาดใหญ่ใกล้ที่เกิดเหตุมาไล่ตีนายองอาจ นายองอาจหลบไม้กวาด และเห็นขวานปลายแฉกที่ใช้งัดตะปู เปิดลังหีบไม้ซึ่งอยู่ข้างฝา จึงไปคว้าขวานมาตอบโต้ต่อสู่ด้ามไม้กวาด จนนายเกษตรได้รับบาดแผลตามร่างกายหลายแห่ง เลือดอาบจึงหลบหนีไปทางสำนักงาน แต่เสียหลักล้มตัวลง จังหวะนั้นพอดี นางยิ่งลักษณ์ วิ่งมาถึงที่เกิดเหตุ ได้ยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าเพื่อห้ามทัพ ขณะนั้นนายองอาจกำลังบ้าเลือดไม่ยอมฟังเสียงขู่ ก้มตัวลงจะเอาขวานจามนายเกษตรซ้ำ นางยิ่งลักษณ์จึงยิงปืนใส่นายองอาจจนกระสุนหมดลูกโม่ นายองอาจตายคาที่ นายเกษตรบาดเจ็บแต่รอดตาย แต่สามีภรรยาทั้ง 2 คนต้องถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีอาญา ข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา นี่คือ”น้ำผึ้งอีกหยดหนึ่ง”ในสังคมปัจจุบัน น้อง ๆ ฮั่วเคี้ยว วิทยาเรียบจบและเติมโตขึ้น เข้าสู่สังคม อย่าลืม น้ำผึ้งหยดเดียว ในเรื่องนี้ ….

30 ธันวาคม 2550
เลียง นาราสัจจ์
087-8671280



สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์
ผู้เฒ่าเล่าเรื่องแปลก โดย เลียง นาราสัจจ์ อนุญาตให้ใช้ได้ตาม สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ต้นฉบับ.



Website counter




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2554
0 comments
Last Update : 30 มิถุนายน 2554 10:19:47 น.
Counter : 950 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธีรารัศมี
Location :
ขอนแก่น Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Color Codes ป้ามด
New Comments
Friends' blogs
[Add ธีรารัศมี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.