ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ - แล้วเราก็ผ่านมันมาได้
ที่จริงอัพไปแล้วรอบนึง แต่ยังไม่ทันจะเก็บไว้เป็นดราฟต์ ก็บังเอิญมือไปกด Ctrl N เข้า เรื่องที่อัพไว้จวนจะจบ เลยจบเห่ หายไปหมดเลย งั้นเอาแต่เนื้อๆ แล้วกันนะ อารมณ์สะดุดไปซะแล้ว คงสาธยายได้ไม่เท่ารอบตะกี้
มาแก้ตัวก่อนค่ะ ที่ไม่ได้อัพบล้อก มีสาเหตุมาจาก ๑. ไปออกบูธงาน Thai Metalex 2007 มา ตลอด ๔ วันจนจบงาน ไม่ได้เปิดคอมฯเลย งานนี้ก็มีอะไรชวนให้หยิบยกมาอัพบล้อกเหมือนกันนะเนี่ย ๒. วันก่อน วันที่ฝนตกไหลลงที่หน้าต่าง..ถ้าไหลแค่หน้าต่างจริงก็คงดี แต่มันทำท่าจะสาดมาที่เครื่องคอมฯที่บ้าน ด้วยลืมปิดหน้าต่างก่อนมาทำงานเพราะคิดว่าเข้าหน้าหนาวแล้ว ตอนนี้ก็เลยต้องทิ้งเครื่องไว้อย่างนั้น ๒-๓ วัน ให้หายชื้น(ถ้าโดนฝนจริงๆ) สักประมาณวันศุกร์คงได้ทราบผลว่าจะต้องควักกระเป๋ากันหรือเปล่า ๓. อย่างที่เคยบ่นปาวๆ ว่า คอมฯที่ทำงานมันชอบปิดตัวเอง เลยพาลทำให้ไม่อยากเข้าบล้อก เพราะขนาดไปเยี่ยมเพื่อนๆ เมนท์ยังไม่ทันเสร็จมันก็ปิดไปเอง จะเมนท์ใหม่ก็คงไม่ได้อรรถรสแล้ว แถมเยี่ยมได้ไม่กี่บ้านก็ติด error ให้รำคาญหัวใจ
เอาหละ เรามาต่อเรื่องเพื่อนที่จากไปโดยไม่ทันร่ำลา ให้จบดีกว่า จะได้ทำ tag ที่ติด แม่เจ้าปัน กับแม่น้องปิ่นได้
ความจริงแล้ว ตอนนี้ก็ไม่ได้เศร้าอะไรหรอกค่ะ มันผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว แต่บังเอิญมีหลายๆ เหตุการณ์มาประจวบกันในช่วงที่เริ่มอัพเรื่องนี้ ที่ทำให้คิดถึงเพื่อนคนนี้ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนๆ บางคน อยู่ๆ ก็โทรมาถามถึงเหตุการณ์ในสมัยใกล้ๆ กันกับช่วงนั้น หรือเพื่อนบางคนที่ห่างหายไป ก็เกิดจะโทรมาหากันในช่วงดังกล่าว แถมมีการพาดพิงถึง พี่จ๋า ด้วย เหตุทั้งหลายทั้งปวงทำให้ฉันได้คิดว่า มันคงถึงเวลาที่ฉันจะลุกขึ้นมากล่าวถึงเรื่องนี้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างจริงๆ จังๆ สักที ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำจริงๆ เพราะบางรายละเอียดก็ได้เลือนไปแล้ว
แถมได้ไปอ่านเรื่องเพื่อนที่จากไปของเพื่อนๆ ในบล้อก อย่างคุณเจ้าเตี้ย กับคุณNecessary ในสมัยที่ยังใช้ชื่อว่า จากวันที่เธอไม่อยู่ อ่านแล้วเกิดความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในเหตุการณ์ร่วมกัน
การสูญเสียเพื่อนสนิทไปในช่วงที่เราคิดกันไปเองว่าเป็นเวลา "ก่อนวัยอันสมควร"นั้น ย่อมยากจะหักห้ามใจได้ แต่สุดท้ายเราก็จะต้องข้ามผ่านช่วงเวลาอันหนักหน่วงนั้นมาให้ได้ เพราะเราก็ต้องมีชีวิตและหน้าที่ของเราเอง
ไม่แน่ใจว่าเพลงเจอกันในใจ ของพี่ป้อมเกริกศักดิ์ กับพี่ปุ๊ อัญชลีนี่เป็นของค่ายไหน แต่เพื่อความปลอดภัย เอาออกมาดีกว่า เชิญ build อารมณ์ตามนั้น
และแล้วเราก็ได้ลางานกันเพื่อไปลอยอังคารเพื่อนในวันจันทร์ แต่เรายังคงเรียกว่าลอยอังคาร ไม่ใช่ ลอยจันทร์ อย่างที่ปุ๊กเพื่อนนิเทศฯของเพื่อนตั้งคำถามไว้ สถานที่คือ ปากน้ำ สมุทรปราการ ในเรื่องของขั้นตอนพิธีการต่างๆ คงขอข้ามผ่านไปไม่กล่าวถึง งานนั้นนอกจากเพื่อนนิเทศฯ ก็จะมีเพื่อนมัธยมกลุ่มที่เราสนิทด้วย มากันเกือบครบ ความที่พวกเรามาจากห้องศิลป์-ภาษา ทำให้ห้องเรามีผู้ชายทั้งห้องเพียง ๙ คน ๔ ใน ๙ คนนั้น ก็อยู่ในกลุ่มสนิทของเรา ได้แก่ นิด(พี่จ๋า) ไก่(เล่นเป็นหลานชาย ลูกพี่จ๋า) อู๋ และ อั๋น
"อู๋" เพื่อนของเรานี้กับในกลุ่มจะเป็นคนที่มาๆ หายๆ แต่ก็ยังสนิทสนมกันอยู่เหมือนเคย แม้ว่าจะมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต แต่เวลาอยู่ด้วยกันในกลุ่มนี้ เขาจะเหมือนเด็กๆ ชอบแกล้ง ชอบเล่น และประฝีปากกันประจำ (อันนี้ของโปรดของกลุ่ม)อู๋ เป็นเพื่อนอีกคนที่ได้รับการอำนวยความสะดวกจากพี่จ๋าในการซื้อเครื่องและจดทะเบียนโทรศัพท์มือถือ ในยุดที่ราคาเริ่มปรับลดจาก ๓ หมื่นมาเป็น หมื่นต้นๆ เขามักจะมาขอลองโทรศัพท์ของเพื่อนโดยให้ถอดซิมการ์ดออกแลกเครื่องกันใช้อยู่บ่อยๆ รวมถึงในวันที่ไปลอยอังคารด้วย แต่ฉันปฏิเสธไป เพราะกลัวจะมีเหตุผิดพลาดตกน้ำไป เพราะยุคนั้นยังต้องไปแจ้งความ ต้องชำระค่าซิมใหม่ ฯลฯ ฉันต้องล่อหลอกอู๋ว่า "เธอ อย่าเพิ่งเล่นตอนนี้เลยนะ เอาไว้กลับเข้าฝั่ง ค่อยไปแลกกัน ก็แล้วกันนะ" เหมือนหลอกเด็กยังไงไม่รู้ แต่อู๋ก็ยอมสงบโดยดี
การลอยอังคารในครั้งนั้น พวกเราแอบมองหาสัญญาณบางอย่าง แต่คงไม่ใช่ปาฏิหารย์ให้เขากลับมา เพราะหมดหวังโดยสิ้นเชิงตั้งแต่การประชุมเพลิงแล้ว (นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราร้องไห้กันแบบแทบเป็นแทบตาย เพราะที่แอบหวังจะให้เขาฟื้นนั้นไม่มีอีกต่อไป) เมื่อพวกเราปล่อยโถบรรจุอังคารลงไปในกระแสน้ำ ระหว่างที่เรือลอยนิ่งอยู่กลางน้ำก้ำกึ่งระหว่างแม่น้ำและทะเล ขณะที่เรือเริ่มวกกลับสู่ฝั่ง พวกเรามองกลับไปยังจุดที่จากกัน เราเห็นพวงมาลัยที่คล้องโถและกลีบดอกไม้ที่เราโปรยไว้ลอยนิ่ง ราวกับว่าคราวนี้เพื่อนกำลังเป็นฝ่ายโบกมือรอส่งเรากลับเข้าฝั่ง เพราะระยะหลังๆ ที่พบปะกันเขามักจะขอตัวกลับก่อนโดยพวกเราจะโบกมือส่งเขา เหมือนอย่างเมื่อคราวไปเกาะกระดาดนั่นไง พวกเรายืนอยู่ที่ท่าเรือโบกมือส่งเขาลงเรือกลับไปประชุมที่กรุงเทพฯ ก่อนจนลับสายตา คราวนี้พวกเราบอกเขาว่า "แล้วเจอกันที่เกาะมันนอกนะ" เนื่องจากเป็นสถานที่ที่เราตั้งใจจะไปเที่ยวด้วยกัน แต่วันนั้นก็มาไม่ถึงพวกเราครบทุกคน พวกเราเหม่อมองไปยังทะเล แต่จู่ๆ ก็มีผีเสื้อจากไหนไม่ทราบบินมาเกาะ (เริ่มจำไม่ได้จริงๆ ว่าผีเสื้อเกาะที่เรือ หรือเกาะเพื่อนหมู หรือจะทั้งสองอย่าง) พวกเราพยักยิ้มให้กันอย่างอิ่มเอม เพราะเราเชื่อว่านี่คือ สัญญาณที่เรารอคอย ก็เพราะกลางปากแม่น้ำไกลขนาดนั้นแถมลมก็ค่อนข้างแรง ผีเสื้อบินมาได้อย่างไร? แต่บางเรื่อง เราก็ยินดีจะลืมหาคำอธิบาย
ฉันเองเคยได้ยินคนพูดถึงความเชื่อที่ว่า หากมีผีเสื้อบินมาเกาะที่บ้าน แสดงว่าจะมีคนไกล คนที่คิดถึง กลับมาเยี่ยมเยือน
เมื่อเรือกลับมาเทียบท่า พวกเราก็ทะยอยกันขึ้นฝั่ง ฉันยืนอยู่ข้างหลังอู๋ อยู่ดีๆ ได้ยินเสียงอั๋นเกือบๆ จะตวาดออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจว่า "เฮ้ย อู๋อ้ะ" ตอนแรกนึกว่าโดนอู๋แกล้ง แต่เห็นสีหน้าเจื่อนๆ ของอู๋แล้ว ถึงได้ทราบว่า อู๋ทำมือถือตกน้ำ (นึกว่าไปทำมือถืออั๋นตกเสียอีก ดุกันเสียงดังขนาดนั้น) ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะตกไปได้เลย ช่องว่างระหว่างลำเรือกับฝั่ง และระหว่างยางนอกรถยนต์ ๒ เส้นที่แขวนไว้กันเรือกระแทกท่านั้น มีช่องว่างแค่เพียงไม่เกินขนาดของหนังสือพ็อคเก็ตบุ้ค แต่มือถือก็อุตส่าห์หล่นจากเข็มขัดลอดช่องเล็กๆ นั้นลงไปในแม่น้ำได้ พวกเราพาอู๋ไปแจ้งความเพื่อไปดำเนินเรื่องขอซิมใหม่ที่ สน.ใกล้ๆ แต่ระหว่างที่เดินไปพวกเราก็ดุเพื่อนว่า "เห็นไหม ชอบเอามือถือมาเล่นไม่รู้เวล่ำเวลา นิด(พี่จ๋า)มันคงโกรธ เลยเอาคืนไปแล้วทั้งเครื่องทั้งเบอร์"
ปลายปีถัดมา พวกเราตกลงใจทำตัวเข้มแข็งไปเที่ยวเกาะมันนอกกันเสียที เกาะนั้นสวยมาก (แต่กล้องของเราถ่ายรูปออกมาแล้วหาความงามไม่เจอ) และพวกเราก็สนุกกันดี แต่สิ่งที่ขาดไปก็คงจะเป็นเพื่อนหัวโจกเที่ยวเกาะของเรา
แต่ก็ให้มีเรื่องบังเอิญบางอย่างในทริปนั้น คือ มีสตาฟคนหนึ่ง เป็นใครไม่ปรากฏ แต่ฉันแอบเรียกว่า "น้องนิด" ด้วยความที่น้องคนนี้มักจะมาคอยดูแลกลุ่มเราอยู่ไกลๆ จนรู้สึกว่าเห็นหน้าน้องเขาไม่ชัด แต่รอยยิ้มนี่สิ เหมือนเพื่อนของเรามาก มากจนฉันและเพื่อนผู้ชายอีก ๒ คนคือ ไก่ และ อั๋น สะดุ้งได้เลย แต่น้องคนนี้เป็นคนจริงๆนะ เพราะในการทำกิจกรรมบนเกาะ เช่น พาไปดำน้ำดูปะการัง หรือเดินชมรอบเกาะ น้องก็ไปกับเรา แถมมีการกัดกันเล็กๆ ว่าเดินไกลขนาดนี้ระวังไปโผล่สุขุมวิท อ้าว นั่นไงต้นสำโรง เลยต้นสำโรงไปก็เป็นบางนา แต่ความที่พวกเราเป็นพวกที่มีความเป็นส่วนตัวสูง เราจะไม่ชอบสุงสิงกับใครมากนัก ก็เลยไม่คิดจะไปถามไถ่ตีสนิทอะไรกับใคร จนถึงเวลาอาหารเย็นแล้วมาจับกลุ่มคุยกันเองนี่แหละ ต่างคนต่างพูดว่า น้องคนนี้มีส่วนคล้าย โดยเฉพาะยิ้มเหมือนมากจนตกใจเลย เราไปพักที่เกาะ ๓ วัน ๒ คืน ฉันตั้งใจว่าเอาหละ วันรุ่งขึ้นฉันจะถ่ายรูปน้องคนนี้ไว้เป็นที่ระลึก ก็ให้บังเอิญอีกที่น้องคนนี้นั่งเรือกลับฝั่งไป และไม่กลับมาที่เกาะจนเรากลับไป ทิ้งปริศนาคาใจไว้
สัปดาห์ก่อนคุยกันถึงเรื่องนี้แต่เพื่อนหมูของฉันจำเรื่องน้องนิดไม่ได้เลยจนนิดเดียว ฉันคงต้องไปถามเพื่อนผู้ชายอีก ๒ คนว่ายังจำได้ไหม เพราะถ้าจำไม่ได้เพราะลืมก็เข้าใจ เพราะเพื่อนฉันเป็นพวกขี้ลืม แต่ถ้าจำไม่ได้แถมบอกว่าไม่มีละก็..ขอตัวไปหาพระก่อนนะ
เอวังจึงมีด้วยประการฉะนี้
Create Date : 21 พฤศจิกายน 2550 |
|
17 comments |
Last Update : 4 มีนาคม 2551 8:45:04 น. |
Counter : 694 Pageviews. |
|
|
|