Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
16 พฤศจิกายน 2556
 
All Blogs
 
O ชั่วฟ้าดินดับ .. 1 O









พระอาทิตย์ชิงดวง - ดนตรีประยุกต์



.
.
อารัมภบท ..
.
.
ร่าย
๑ ศรีอยุธยาไพจิตร - - - ราวนิมิตแดนสรวง
ตอบคำบวงบรรหาร - - - เอี่ยมโอฬารรูปลักษณ์
ลงจำหลักปฐพินทร์ - - - รองรับยินดีโลก
เกียรติบ่ายโบกกำจาย - - - พ้องบรรยายเรื่องราว
ภาพปรางค์วาววับแสง - - - ช่อฟ้าแซงเสียดยอด
เจดีย์ทอดเงาอ้อน - - - แดดรุ่มร้อนยามสาย
พฤกษ์ปลิวปลายยอดรับ - - - แสงจู่จับลมล้อม
ใบลู่น้อมแนวระเนน - - - ต้นอ่อนเอนแอบใบ
เวียงวังในเบื้องหน้า - - - กองแกล้วกล้าเรียงตอน
พร้อมราญรอนไพรินทร์ - - - ป้องธาณินทร์สินธู
ร่วมบำรูชาติให้ - - - ปลอดเศิกเสี้ยนเหนือใต้
ปลดไข้ขุกเข็ญ - - สิ้นนา
.
.
แผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ หรือ เจ้าสามพระยา ..
พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๗ แห่งกรุงศรีอยุธยา
ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
พศ.๑๙๗๕
.
.

๒ แสะ,สาร,แกล้ว,เคลื่อนคล้อย - - - คลาขบวน
ธง,หมวก,ดาบ,ขอ,ทวน - - - ทั่ว-พร้อม
แผ่วหอมกรุ่นมาลย์หวน - - - ลมหอบ หาเนอ
คล้ายร่วมบำเรอ, น้อม - - - นบก้านชุลีกรรม ฯ

๓ เหือดฝนเห็นฝุ่นฟุ้ง - - - ฝากยาม
เริ่มเศิกเสี้ยนคุกคาม - - - ขอบแคว้น
กัมพุชกำแหง, ลาม - - - ปามลอบ ปล้นนา
ใจที่ขุ่นที่แค้น - - - ย่อมแค้นจนขม ฯ

๔ ผืนธงพลิกพลิ้วรูป- - - ระบัดลม
พร้อมหมู่ชายปรารมภ์ - - - รบป้อง-
เขต, เอา-เลือด,ร่าง ถม - - - ลงทับ ถิ่นนา
ยอเกียรติยศให้ก้อง - - - เกริกหล้าแหล่งสถาน ฯ

๕ แดดสายทอส่องต้อง - - - ตอน-พล
เมื่อฝุ่นลอยวกวน - - - แวดล้อม-
ขอ,ง้าว,ดาบ,จิตจะรณ - - - รบศึก
ทั่วทัพทั้งทัพพร้อม - - - พรั่งพร้อมเข้าผลาญ ฯ

๖ นาเนกสุโนกร้อง - - - รัวเกรง
หรุบปีกหลีกกุมเหง - - - หว่างไม้
คน,สัตว์-ข่มวังเวง - - - วอดบท
เหลือบทขุ่นข้องไว้ - - - บดขยี้ตีขอม ฯ

๗ พรากเมือง, เพียงแมกไม้ - - - มองชม
เสียงเอ่ยอ้อน, เพียงลม - - - ลูบไล้
แก้มเนียนอิ่ม, เพียงฉม - - - ชื่นกลิ่น มาลย์นา
กุมกอปรคำนึงไว้ - - - หว่างร้อนการณรงค์ ฯ

๘ ใจนั้นย่อมห่วงละห้อย - - - คอยหา
ทุกเหม่อลอย, แววตา - - - ย่อมแต้ม-
ติด-ด้วยรูปปรารถนา - - - เนื้อนิ่ม แม่แม่
จำหลักล้วนกลิ่นแก้ม - - - กรุ่นไว้เวียนถวิล ฯ

๙ แผ่วพลิ้วลมลูบไม้ - - - มวลผกา
นึก-ออดอ้อนเพรียกนา - - - สิกชู้
เนียนแก้ม, ช่อเกสรา - - - อวลกลิ่น
จนจบลงรับรู้ - - - รสแล้ว, จะแล้วหรือ ฯ

๑๐ ป่านนี้คงโอดอื้น - - - อาดูร
กรอมโศกกำสรดพูน - - - เพียบหน้า
หาก-เพื่อชาติไพบูลย์ - - - บทเลื่อง ลือเนอ
จำ-ขับข่มชั่วช้า - - - ไป่ช้าคืนหวน ฯ

๑๑ ช้าง, ม้า, คน-เคลื่อนคล้อย - - - ใจครวญ
มาทัพ, พรากเรือน, นวล - - - ห่างห้อง
ถ้วนเหตุที่พาหวน - - - มาห่าง
ทวน, ดาบ, ใจขุ่นข้อง - - - จักสะบั้นบั่นคอ ฯ

๑๒ ดาบต้องแดดวาบล้อ - - - อารมณ์
เนื้อ, เลือด, ชีพ-รอถม - - - ถิ่นให้-
รับรู้-โทษทัณฑ์, คม - - - ดาบขุ่น ข้องเวย
บ่มทุกข์เข็ญขื่นไข้ - - - บีบเค้นขอมเขมร ฯ

๑๓ เคลื่อนทัพมาป้องศักดิ์ - - - ศรีอโย ธยาเฮย
ล้อมกักให้เสื่อมโม - - - หะจิตสิ้น
ย่ำเหยียบเกียรติภิญโญ - - - ให้ย่อย ยับแล
เพรียก-เร่าร้อนเดือดดิ้น, - - - พลุ่งย้อมดาบสยาม ฯ







๑๔ ปราสาทสูงเสียดฟ้า - - - ฝ่าสรวง
หิน-แกะรูปบำบวง - - - ทิพทั้ง-
หกฟ้า, กล่อมเกลาดวง - - - จิตศรัท ธาเนอ
จำหลักไว้เหนี่ยวรั้ง - - - จิตรู้วิทูวิถี ฯ

๑๕ รูปหินแกะก่ายก้อน - - - เรียงกัน
โถง, แท่น, เทพ, รำพัน - - - พร่ำพร้อง
อัปสรร่ายรำ, บรร - - - โลมต่อ ทิพเนอ
ยามแว่วเสียงทัพร้อง - - - เร่งล้อมทำลาย ฯ

๑๖ แสะ, สาร, แกล้ว-เคลื่อนเข้า - - - คุกคาม
อำนาจแสนยาสยาม - - - บดขยี้
โดยอธิราช, เจ้าสาม - - - พระยา-ยก มาเนอ
ย่ำเหยียบขอมป่นปี้ - - - ศักดิ์สิ้นเสรีสลาย ฯ

๑๗ คมดาบวาบผ่านแล้ว - - - เลือดริน
คมแทรกเนื้อ, ทรพินทร์ - - - ร่วงพื้น
ดาบเดียว, วูบเดียว-ภิน - - - ทนะกิจ แล้วแล
เลือดอุ่น, เสียงโอดอื้น - - - อาจรู้สิ้นหรือ ฯ

๑๘ คมดาบวาบผ่านแล้ว - - - บรรลัย
คมเสียด-เนื้อ, กระดูก, ขัย - - - ฆาตสิ้น
ดาบเดียว, เดือดเดียว, ภัย - - - พังพาบ
ใช้ดาบพูดแทนลิ้น - - - ย่อมแล้วโดยเร็ว ฯ

๑๙ ขุนขอมเคยห่ามเหี้ยม - - - สิ้นหาญ
ศักดิ์ชาติเอี่ยมโอฬาร - - - ล่มแล้ว
เพียงเศษซากวิญญาณ - - - ย่างย่ำ
โซ่, ขื่อคา-ฤๅแคล้ว - - - ครอบค้ำคอขอม ฯ

๒๐ เชลยศึกถูกกวาดต้อน - - - ตามวิถี ศึกนา
อำมาตย์, ขุนนาง, มณี - - - ปลั่งน้ำ
อัปสร, ระบอบพิธี - - - บวงเทพ
รวบ, ริบ -เว้นชอกช้ำ - - - ชดใช้อหังการ ฯ

๒๑ ยาวเหยียดแถวผู้พ่าย - - - ผลรบ
ยกย่างก้าวอย่างสงบ - - - เงียบแท้
อับอาย, อดสู, ครบ - - - ครันอยู่
ศักดิ์และสิทธิ์ผู้แพ้ - - - พ่ายนั้นพร้อมไฉน ฯ


๒๒ จนทัพศึกย่ำก้าว - - - ถึงอกเมือง, รูปอะคร้าว-
อยู่เฝ้าจึ่งเห็น

๒๓ จนดวงเนตรเหลือบชม้อย - - - ชม้ายสบ, ความละห้อย
จึ่งแห้งเหือดหาย

๒๔ จนอ้อมแขนโอบไว้ - - - อกอุ่นแนบชิดใกล้
สร่างสิ้นฤๅเขษม

๒๕ จบจูบแก้มนิ่มเนื้อ - - - อย่างแผ่วเบา, รูปอะเคื้อ
สั่นสะเทิ้นสุดถอน





๒๖ จบจูบ, ตาซ่อนยิ้ม - - - ถูกจบจูบ, ตาพริ้ม-
หลบ-สะท้อนสะท้านเขิน

๒๗ หน้าแนบอกกระซิบอ้อน - - - งามยิ่ง-ยามเหลือบค้อน
ฝ่าร้อนปรารถนา

๒๘ เอวคอดกิ่วรูปแก้ว - - - ถูกโอบรั้งเหนี่ยวแล้ว
จักแคล้วคลาดหรือ

๒๙ หอมกรุ่นผิวผ่าวเนื้อ - - - เพรียกเร่าร้อนโชนเชื้อ
อุ่นเอื้ออาวรณ์

๓๐ กลางจันทร์รูปต่ายแต้ม - - - กลางอกอวลกลิ่นแก้ม
ยั่วแย้มรมยา

๓๑ โอบนั้น-คือโอบเนื้อ - - - เพรียกอุ่นให้อุ่น-เชื้อ-
ช่วงร้อนระเร้าระรุม

๓๒ แผ่ว-ออดอ้อน,โอดอื้น - - - ผิว-ผุดผ่องพลิ้วพื้น
ผ่าวน้อมตฤษณา

๓๓ แว่ว-กระซิกระส่ำสร้อย - - - แว่ว-ออดอ้อนอ่อนน้อย
ข่มละห้อยฤๅหาย

๓๔ แว่ว-นกค่ำหวีดก้อง - - - พร้อม-อีกเสียงหวีดร้อง
กลบสิ้นสรรพเสียง


๓๕ แขนเนียนคล้องเหนี่ยวรั้ง - - - ร่ำรอ-
โน้มจบเนื้อนวลลออ - - - อุ่นให้-
เสียงครวญสั่นเครือ, คลอ - - - เคล้าโสต พี่แม่
กอด, กล่อม, อยู่ชิดใกล้ - - - กล่าวล้วนคำประโลม ฯ

๓๖ เหนี่ยวโลกทั้งโลก-ห้อม - - - แหนขวัญ
กับออดอ้อนจำนรรจ์ - - - นั่น-นี้
แววตาอิดโรย, พลัน - - - เขินหลบ
เมื่อรูปการณ์ก่อนกี้ - - - กลับย้อนกระหึ่มกระเหิม ฯ

๓๗ อบอวลคำเอ่ยอ้อน - - - ออดแสดง
แผ่วกระซิบความแฝง - - - ฝากชู้
เยี่ยงหวานสุมาลย์แจรง - - - จรดหยาด
ผึ้ง, ภู่, คน แต่รู้ - - - หลั่งน้ำใจสนอง ฯ

๓๘ ปีกบางหรุบปีกล้อม - - - ละอองมาลย์
ตฤปรสเรณูหวาน - - - หว่างไม้
อกอุ่น-อุ่นเนื้อคราญ - - - ครวญ-กล่อม
แตะรูปตฤปรสให้ - - - แต่ละห้อยระโหยหา ฯ

๓๙ หอมกรุ่นกลีบดอกเชื้อ - - - เชิญภมร
แต่เมื่อเสียงเว้าวอน - - - แว่ว-กระชั้น
แยกฤา-สุมาลย์, สมร - - - หอม-อุ่น
เสียง, อุ่น, หอม-ยามนั้น - - - ประณีตล้ำคำแถลง ฯ

๔๐ แล้วเล่าหลังตฤปรู้- - - รสสุคนธ์
เบิกบทความอลวน - - - ว่อนล้อม
แล้วเล่าจากอนุสน- - - - ธิรูป
เพรียกจิตวิญญาณพร้อม - - - ปลีกพ้นนิพพิทา ฯ

๔๑ แอบ-อุ่นนวลอ่อนน้อย - - - นงพะงา
พิมพ์รูปรสตฤษณา - - - เหนี่ยวรั้ง-
ให้โลกล่มลับคา - - - เสียงคร่ำ ครวญเนอ
อย่างแผ่วเบาซ้ำครั้ง - - - คร่ำละห้อยคอยหวน ฯ

๔๒ หอมเอยกลางแห่งห้วง - - - เสน่หา
กลบรูปรสกุสุมา - - - มอดเชื้อ
อวลกลิ่นกล่อมถึงนา- - - - สิก-รูป
ให้รับรอง, โอบเอื้อ - - - อุ่นเนื้อนวลนิรันดร์
.
.
พระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยา
แผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ
พศ. ๒๐๐๐
.
.
๔๓ ปลดขื่อคา, ถ่ายทิ้ง - - - ทรมาน
สืบเผ่าพงศ์, บริบาล - - - บทไว้-
สร้าง-เกณฑ์กรอบ, พิธีการ - - - ใช้ปก ครองเนอ
สืบลูกสืบหลานให้ - - - ห่วงด้าวแดนสยาม ฯ

๔๔ แรกรุ่งสุริยะเรื้อง - - - โรยทาง
ขับมืดหม่นสลัวลาง - - - เลื่อนพ้น
รูปหนึ่งหยัดสรรพางค์ - - - พร้อมหมู่ บ่าวเนอ
รอบาตร, จิตท่วมท้น - - - ศรัทธะ, ถ้อย, อธิษฐาน ฯ

๔๕ งามพร้อม-รูปพักตร์ล้ำ - - - เลอสมร
ลอบเหลือบเนตร, ดั่งวอน - - - เลศไว้
อิริยาทุกช่วงตอน - - - เตรียบรูป รอเนอ
รอ-ตอกตรึงจิตให้ - - - แต่ละห้อยถวิลเห็น ฯ

๔๖ แถวพระยกย่างก้าว - - - ยอกรรม-
ขึ้น-เทียบ, ทาน-สภาพธรรม - - - เท็จ-แท้
อุ้มบาตรห่มบุญ, กำ- - - - จัดโลก
ย่ำโลกเหยียบโลก, แก้ - - - บ่วงรั้ง-ปลาตรอย ฯ

๔๗ โอภาสธรรมพระล้าง - - - หม่นหลัว
แต่เมื่องามเตรียบตัว - - - ต่อหน้า
คำข้าว, คำพระ, หัว- - - - ใจหนึ่ง
หอม, แว่ว, ล่มเหว่ว้า - - - วาบสิ้นวายสูญ ฯ

๔๘ ผ้าแดงเข้มห่มเนื้อ - - - นวลอนงค์
ไหล่พาดสไบขาวลง - - - ลูกไม้
ผมยาวรวบเป็นทรง - - - เกล้าเสียบ ปิ่นแล
เลือดฝาดลูบแก้มไว้ - - - ระหว่างเช้าเบิกโฉม ฯ

๔๙ หอม-ข้าวหอม, ดอกไม้, - - - ดวงมณี-
แสงอ่อน, แถวพระลี- - - - ลาศ-คล้อย,
กรผุดผ่อง, ทัพพี - - - ผจงจับ
กอปร-ภาพงามแช่มช้อย - - - อยู่เชื้อเชิญประชัน ฯ

๕๐ บุตรีอำมาตย์เชื้อ - - - ชาติขอม
หลังพ่ายศึกจำยอม - - - ถูกต้อน-
สู่แดนต่างด้าว, ประนอม - - - ปวงขนบ ถวายแล
เผยรูป-เพรียกรุมร้อน - - - รบเร้าแรงถวิล ฯ







๕๑ คำข้าว-เจ้าคดน้อม - - - นำลง-
สู่บาตร, เกื้อกูลสงฆ์ - - - สืบไว้
เตยหอมอีกช่อ-บง- - - - กชมอบ ท่านนา
มือจบ, คอค้อมไหว้ - - - สืบสร้างทางกุศล ฯ

๕๒ คำข้าว-เจ้าคดน้อม - - - นำถวาย
พร้อมเพ่งจิตรำบาย - - - บอกเนื้อ-
ความ-ทุกข์โศกพึงวาย - - - วอดบท
เพรียกสุขศานติ์ผ่านเอื้อ - - - อุ่นเนื้อนวลถนอม ฯ

๕๓ ห่มเหลือง, มืออุ้มบาตร - - - ยอบุญ-
ลงเทียบมือเรียวละมุน - - - ละเมียดแก้ว
เมตตาจิตยามอรุณ - - - รับ-ส่ง
ตาสบ, พักตร์ผ่องแผ้ว - - - พร่างแพร้วพรายตา ฯ

๕๔ ลาทัพออกบวชให้ - - - บุพกา รีเนอ
เทียบเที่ยวทางปฏิปทา - - - ถูก-แท้
ย่ำเหยียบแต่มรคา - - - ควร, ชอบ
ทุกบ่วงรัด-แกะแก้ - - - กร่อนสิ้นปลาตสูญ ฯ

๕๕ ฤๅ-พรหมพาผ่านพ้อง - - - พบกัน
จูงจับภพพรหมจรรย์ - - - จบหน้า-
รูปเพ็ญลักษณานัน- - - - ทิต่อ ตาแล
เช้าที่เคยผ่านช้า - - - กลับช้ากว่าเคย ฯ

๕๖ รูปพรหมจรรย์เพ่งนิ้ว - - - เรียวนวล
เมื่อรูปงามประหนึ่งชวน - - - ชิดใกล้
หอมเอยกลิ่นข้าวอวล - - - อบอยู่
หอมเยี่ยงนี้มีได้ - - - แต่ด้วยเสน่หา ฯ

๕๗ เส้นทางเบื้องหน้าทอด - - - ยาวไกล
ลมหวีดแว่ว, ไม้ใบ - - - ระบัดเต้น
แดดพร่าง, พักตร์อำไพ - - - เผยทาบ ตาแล
แทรกรูปรอยแฝงเร้น - - - รุกเร้าอารมณ์ ฯ

๕๘ เที่ยวทางเบื้องหน้า, ร่ม - - - ใบบัง
เมื่อเที่ยวทางเบื้องหลัง - - - ลับแล้ว
รูปหนึ่งค่อยแทรกฝัง - - - ฝ่ายจิต
แลจิตนั้นฤๅแคล้ว - - - คลาดละห้อยถวิลเห็น ฯ
.
.
อีกเช้า
.
.
๕๙ ตาชาย, รูปชดช้อย - - - ชำเลือง
ลมร่ำ, แดดแรกเรือง - - - เรื่อฟ้า
รูปงาม, รูปห่มเหลือง - - - ลอบสบ ตาเนอ
โลกจากนั้น - เพียงหน้า - - - อ่อนน้อย-คอยคะนึง ฯ

๖๐ แสงแรก, อกรุ่มร้อน - - - เรื่อ, รอ
เนตรเหลือบ, จิตผู้ขอ - - - ข่ม, กลั้น
นิ้วหยิบจับ, นวลลออ - - - เนียนต่อ ตานา
ข้าว, ดอกไม้ช่อนั้น - - - นบ, น้อม-ประนอมคะนึง ฯ

๖๑ เห็นเพียงปลายนิ้วหยิบ - - - จับวาง
ก่อนกลิ่นหอมเจือจาง - - - จู่ล้อม
สายลมรื่น, หทยางค์ - - - โยกแกว่ง
มือจบ, หน้าก้มน้อม - - - นิ่ง-เชื้อเชิญชม ฯ





๖๒ หลังรูปงามลับหน้า, - - - คำนึง-
ก็แทรกจิตติดตรึง - - - แต่นั้น
แทนรำงับ, ถวิลถึง - - - โถมบท
ค่อยคุกคามบีบคั้น - - - ข่มล้างฤๅสลาย ฯ

๖๓ บุตรีอำมาตย์เชื้อ - - - ชาติขอม
เผยรูปเพรียกตาประนอม - - - นิ่ง-ช้า
ข้าว, ใจ, ช่อมาลย์-หอม - - - ถ้วนสิ่ง
หอมแต่เช้าเชิญหน้า - - - แม่นั้นประสานนัยน์ ฯ


๖๔ จวบรอบเดือนเคลื่อนคล้อย - - - ตาปลาบปลั่งยังชม้อย-
ลอบชม้ายไป่วาง

๖๕ กลางโบสถ์, หน้าพระแผ้ว - - - ลาเพศพระ, อกแกล้ว-
ยากแคล้วคลาดถวิล

๖๖ ธานินทร์ถ้วนถิ่นแคว้น - - - งามอาจเทียบเปรียบแม้น-
แม่นั้นฤๅมี

๖๗ แรกรุจี, บาตรใส่ข้าว - - - แถวพระเรียงแถวก้าว
รูปอะคร้าวจึ่งเห็น

๖๘ เพ็ญอำไพพักตร์ล้ำ - - - แววเนตรปลาบปลั่งน้ำ
เหลือบชม้อยคอยหา





๖๙ แววตาชายชาติผู้ - - - เพ่งพิศงาม, รับรู้-
เลศชู้หยอกเอิน

๗๐ ขัดเขินกลางตรู่เช้า - - - ดูเถิดยืนหยัดเฝ้า-
ฝากซึ้งตรึงทรวง

๗๑ จบคำบวงนิ่งน้อม - - - ภาพแช่มช้อยลามล้อม
ป่ายย้อมรมยา

๗๒ ตาสบ, ตาหลบพริ้ม - - - หลังสบแววซ่อนยิ้ม
อกสะท้านสั่นรัว

๗๓ เผยตัว-ชายชาติแกล้ว - - - เผยร่างต่อหน้าแก้ว
จักแล้วเลือนไฉน

๗๔ ใจวาบ, เลือดซ่านแก้ม - - - เรื่อก่ำ, ด้วยยิ้มแต้ม-
ติดเนื้อใจอนงค์

๗๕ รูปองค์-ค่อยเคลื่อนพ้น - - - ความรับรู้-หวานล้น
ท่วมท้นดวงหทัย
.
.
พศ. ๒๐๐๔
.
.

๗๖ หลัง-ติโลกราชเจ้า - - - จอมคน
ยกทัพแสนยาพล - - - แผ่ล้อม
เพื่อศักดิ์เพื่อศรี-ชน - - - ชาวอยุท ธยาเฮย
จิต, ดาบ, หอกจึ่งพร้อม - - - ปกป้องแดนสยาม ฯ

๗๗ ครั้งนั้น-คือพ่อผู้ - - - ผลาญขอม
คมดาบกำราบ-ยอม - - - สยบสิ้น
ครั้งนี้-ลูกชายออม - - - ใจอด กลั้นฤๅ
เนื้อ, เลือด, ชีพดับดิ้น - - - ดาบนี้รอสนอง ฯ

๗๘ ลูกชายคุณพระผู้ - - - เพลงดาบ-
รอวาดคมวกวาบ - - - แหวกเนื้อ
ในสำนึกเพียงภาพ - - - โผเข่น อรินทร์เนอ
พร้อมภาพงามโอบเอื้อ - - - อกไว้ประคองหวัง ฯ

๗๙ ดวงตาคมปลาบคล้าย - - - รอคอย-
เผยภาพ, ผุดภาพ-ทะยอย - - - ยั่วเย้า
เหลียว, หัน, เหลือบ, ปริบปรอย - - - ปรุงตอบ โลกเนอ
โลกที่ทุกค่ำเช้า - - - ชื่นล้ำคำประโลม ฯ

๘๐ ดวงตาคมปลาบคล้าย - - - คอยพราง-
ซ่อนข่มอาวรณ์, ขนาง - - - หน่วงไว้
สายใย, เยื่อใย-กลาง - - - กลองศึก
รับ, ส่ง-ผ่านลมไล้ - - - ลูบเนื้อนวลถนอม ฯ

๘๑ พร้อม-ภาพชายชาติผู้ - - - พร้อมรบ
คือ-ภาพงามในขนบ - - - นิ่งน้อม
แสงทอด, ดาบ-กรรทบ - - - สะท้อนวาบ วามแล
รำลึกคุณพระ-พร้อม - - - พากย์เนื้อความเสนอ ฯ

๘๒ พร้อม-ภาพชายชาติผู้ - - - พร้อมรบ
คือ-ภาพแววตาสบ - - - เลศซึ้ง
เอ็นดู, อ่อนโยน-ครบ - - - ครันบ่ง บอกนา
หวิววาบถึงก้นบึ้ง - - - จิตแล้ว-ฤๅเลือน ฯ

๘๓ คำบวงในจิตน้อม - - - นอบลง-
ต่อพักตร์รูปพุทธองค์ - - - เอ่ยถ้อย
จวบชีพดับ-จักคง - - - คอยอยู่-
สองภพชาติพึงร้อย - - - ร่วมเนื้อนาบุญ ฯ
.
.
รอยอดีต ..
สี่สนมเอก .. แห่งสุพรรณภูมิ
พศ. ๑๘๙๓
.
.
ร่าย
๘๔ แต่ทวาราวดี - - - หลากหลายชีวาตม์ผอง
เข้าจับจองแผ่นดิน - - - ทั้งแหล่งสินธูผืน
ค่อยหยัดยืนรวมเหล่า - - - เป็นพวกเผ่าเสรี
สร้างธานีขอบเขต - - - รวบรวมเจตจำนง
เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ - - - ต่างราชันย์ต่างเมือง
คอยบรรเทืองขุกเข็ญ - - - ให้ร่มเย็นมีสุข
ในถ้วนทุกถิ่นแดน - - - ร่วมตอบแทนความชอบ
สร้างเกณฑ์กรอบร่วมกัน - - - แต่ละขันธสีมา
ตราบจนกาละผ่าน - - - เริ่มเชื่อมว่านวงศ์ถึง
ไมตรีตรึงติดนำ - - - สร้างสัมพันธภาพสู่
ระหว่างหมู่ต่างเมือง - - - ร่วมบรรเทืองยศศักดิ์
ร่วมใจรักสมัครสมาน - - - ร่วมสืบสานอำนาจ
รวมศูนย์อาชญาภาพ - - - ณ ที่ราบลุ่มเจ้า-
พระยาเข้าเป็นหนึ่ง - - - สองกลุ่มซึ่งร่วมกัน
คือสุพรรณภูมิปุระ - - - และจากละโว้บุรี
สานไมตรีเครือญาติ - - - รวมอำนาจจุนเจือ
จากด้านเหนือลงมา - - - ร่วมตั้งธานีใหม่
ร่วมเป็นใหญ่ในที่ - - - น้ำไหลรี่บรรจบ
แยกผืนภพเป็นเกาะ - - - เจ้าพระยาเลาะโลมฝั่ง
ป่าสักหลั่งบรรจบ - - - ตอนเหนือลพบุรีล้อม
เป็นเกราะห้อมแผ่นดิน - - - ป้องอรินทร์พวกพาล
ร่วมสืบสานธรรมพุทธ - - - กรุงศรีอยุธยานาม
เพรียกตามชื่อเมืองเดิม - - - จึงต่อเติมสร้างวัง
ทำเลหลังวัดพระราม - - - นิเวศม์คามกอปรสุข
ปวงผองทุกข์หลีกลี้ - - - พระย่อมคอยช่วยชี้
นั่นนี้ถ้อยแถลง - - - คดีนา








๘๕ เบิกเบื้องอตีตะพู้น - - - ปฐพี
แต่ละโว้สุพรรณบุรี - - - ร่วมด้าว
แผ่นดินถิ่นฐานมี - - - มาก่อน
ยกอู่ทองท่านท้าว - - - ที่ไท้ในสถาน ฯ

๘๖ รับรองสถานภาพด้วย - - - ดุษฎี
เงื่อนเหตุจากบารมี - - - มากล้น
สถาปนาราชธานี - - - เหนือถิ่น เดิมแฮ
ด้วยทำเลเหมาะพ้น - - - แผ่นพื้นไผทไหน ฯ

๘๗ สืบแต่เมืองละโว้ฟาก - - - ฝั่งขวา-
แห่งน่านน้ำเจ้าพระยา - - - รากเหง้า
สุพรรณภูมิฝั่งซ้ายมา - - - ร่วมร่ม ฉัตรเนอ
ร่วมสุขอยู่ค่ำเช้า - - - ทุกเชื้อชาติชน ฯ

๘๘ นครสวรรค์เหนือสุดด้าว - - - แดนอยุทธ
เมืองเพชรบุรีซ้ายสุด - - - จัดตั้ง
ขวาจดน่านน้ำสมุทร - - - ชลบุ รีเฮย
คือขอบขันธสีมาครั้ง - - - แรกพร้องเพรียกสยาม ฯ

๘๙ เวียงวังตระหง่านเงื้อม - - - เงาแสง
ป้อมค่ายคูกำแพง - - - รอบล้อม
บัลลังก์ร่มฉัตรแปลง - - - เปลี่ยนอาชญ ภาพนา
เกริกพระเกียรติยศพร้อม - - - เพียบพื้นปฐพินทร์ ฯ

๙๐ ทำเลอยู่ด่านหน้า - - - เมืองเหนือ
ปากแพร่งทางเดินเรือ - - - แวะ-ค้า
แลกเปลี่ยนร่วมจุนเจือ - - - ด้วยต่าง แดนแล
พูนเพิ่มอย่างช้าช้า - - - แต่ล้วนทรัพย์สิน ฯ

๙๑ โอรสแห่งท่านท้าว - - - อู่ทอง
คือพระราเมศวร์รอง - - - ฉัตรแก้ว
สายวงศ์ละโว้ครอง - - - เมืองลพ บุรีนา
เป็นหน่อพุทธเจ้าแล้ว - - - อยู่ล้อมบัลลังก์ ฯ

๙๒ จึงยามสิ้นท่านท้าว, - - - โอรส-
เถลิงเกียรติถวัลย์ยศ - - - เยี่ยงเจ้า
จึงหลวงพะงั่วปรากฎ - - - พร้อมอาชญ ภาพแล
พันหมื่นแกล้วเหยียบเข้า - - - อกด้าวแดนสยาม ฯ

๙๓ ครั้งขุนหลวงพะงั่วผู้ - - - ปิตุลา
เต็มเปี่ยมด้วยเดชา - - - ชื่อชั้น
ไม่น้อมรับศักดินา - - - หลานแต่ แรกเนอ
ประสบการณ์บารมีนั้น - - - ต่างชั้นเชิงกระบวน ฯ

๙๔ เมื่ออู่ทองท่านท้าวสู่ - - - สวรรค์บน
ควรแต่ผู้ชาญกล - - - ศึกแกล้ว
ขึ้นครองร่มฉัตรปรน - - - เปรอยศ ศักดิ์แล
หลานรวบรวมคนแล้ว - - - กลับละโว้เถิดหรือ ฯ

๙๕ สุพรรณภูมิเพียบพร้อม - - - พลังพล
ด้วยจิตมาเพื่อจะรณ - - - รบแล้ว
ยอมรับท่านท้าวบน - - - บารมีส่วน ตัวแล
ราเมศวร์-ยอม-คุมแกล้ว - - - กลับละโว้ถิ่นฐาน ฯ

๙๖ ยินยอมด้วยสุดต้าน - - - ต่อตี
ร่มฉัตรบัลลังก์มี - - - มอบให้
แล้วคุมพยุหะโยธี - - - ยกกลับ ละโว้นา
จำพรากอยุธยาไว้ - - - เพื่อย้อนมาเยือน ฯ

๙๗ ภูมิภาคสมภพพร้อม - - - ไพบูลย์
โดยเดชขัตติยาดูร - - - ดับร้อน
โอกาสอาชญภาพพูน - - - เพียบอยู่
กิตติศักดิ์เสพซ้ำซ้อน - - - ส่งให้หวงแหน ฯ

๙๘ ครั้นขุนหลวงพะงั่วไท้ - - - สู่สถาน ทิพแฮ
สมเด็จทองลันกุมาร - - - หน่อเชื้อ
ครองร่มฉัตรชั้นตระการ - - - กอปรกิต ติยศแล
ราเมศวร์เห็นการณ์เอื้อ - - - ออกหน้ามาเสนอ ฯ

๙๙ ทัพแกล้วจากละโว้เหยียบ - - - อยุธยา
ขัตติยะเยาวชันษา - - - สุดสู้
ชีวาตม์บัดพลีอา- - - - รมณ์เดียด ฉันท์เนอ
อำนาจอาชญภาพกู้ - - - กลับละโว้ฝั่งขวา ฯ

๑๐๐ เจ้าทองลันจับได้ - - - โดยพลัน
ด้วยศักดิ์แห่งราชันย์ - - - ชาติเชื้อ
โลหิตเมื่อต้องทัณฑ์ - - - ห้ามรด ดินนา
คุมชีพชนม์หน่อเนื้อ - - - นั่งหน้าหลักประหาร ฯ

๑๐๑ ท่อนจันทน์ขาวขนาดไม้ - - - เหมาะกำ มือนา
ผ้าปิดคลุมเศียรนำ - - - ครอบไว้
เพชรฆาตเคร่งครัดบำ - - - บวงเทพ ท่านนา
ขออโหสิกรรมไท้ - - - ที่ต้องกระทำการณ์ ฯ

๑๐๒ เสร็จพิธีฤกษ์พร้อม - - - ท่อนจันทน์-
ตวัดหวดกระเดือกพลัน - - - ชีพม้วย
จึงเศียรยุวราชันย์ - - - อ่อนพับ แล้วแฮ
ร่มฉัตรบัลลังก์ด้วย - - - อาจหิ้วหอบหรือ ฯ







๑๐๓ สืบวงศ์ละโว้ที่ - - - อยุธยา แลเนอ
สมเสพด้วยศักดินา - - - อยู่พร้อม
อำนาจขอบขันธสีมา - - - มอบสู่ หัตถ์เฮย
กอดเกี่ยวความนอบน้อม - - - แนบข้างเสนอสนอง ฯ
.
.
พศ. ๑๙๒๗
.
.
๑๐๔ ทัพแกล้วกรุงอยุทธขึ้น - - - ล้านนา
ครันครบพยุหะศาตรา - - - เร่งล้อม
เชียงใหม่สุดต้านหา- - - - ยนะสู่ เมืองแล
แพ้พ่ายเศียรจำค้อม - - - คลั่งแค้นอดสู ฯ

๑๐๕ ราษฎรจึงกวาดต้อน - - - ลงมา
เมื่อทัพหลวงยาตรา - - - หมู่แกล้ว
ผ่านพิษณุโลกจึ่งรา- - - - ชันย์แวะ ประทับเนอ
สมโภชน์พระชินราชแล้ว - - - กลับย้อนอโยธยา ฯ

๑๐๖ ส่งราษฎรไปไว้ที่ - - - เมืองจันทร์-
ทั้งพัทลุง, นครศรีธรร- - - - มราช, พร้อม
สงขลาแต่เบื้องบรร- - - - พกาลยุค นั้นนา
ชาว"ละคร"จำน้อม - - - นอบด้วยดุษณี ฯ

๑๐๗ เมื่อสิ้นพระราเมศวร์ไท้ - - - ในยาม นั้นนา
โอรสท่าน-พระยาราม - - - รับซ้อง-
สู่ร่มฉัตร, ครองคาม- - - - แคว้นถิ่น ต่อนา
วงศ์ละโว้อโยธยาพร้อง - - - เพรียกข้างฝ่ายขอม ฯ

๑๐๘ สันตติวงศ์สืบเชื้อ - - - ราชันย์
ไร้กฎเกณฑ์ระบุบัน- - - - ทึกไว้
เพียงแค่ครอบครองบัล- - - - ลังก์อยุทธ แลเนอ
เขตสุพรรณบุรีไซร้ - - - สุดเอื้อมข่มเหง ฯ

๑๐๙ สุพรรณภูมิมิตรแท้ - - - สุโขทัย
สอดแทรกกิจภายใน - - - ฝ่ายนี้
สัมพันธภาพเมืองไกล - - - ควรกล่าว
เป็นคู่คิดช่วยชี้ - - - แนะให้ความเห็น ฯ

๑๑๐ สืบสัมพันธภาพไว้ - - - ผ่านเครือ ญาติเนอ
คานอำนาจอยุธยา, เหลือ - - - เขตใต้
อำนาจส่วนสยาม-เหนือ - - - รวมแน่น แฟ้นนา
การทัพการศึกไซร้ - - - ร่วมไม้ร่วมมือ ฯ
.
.
พศ. ๑๙๕๒
.
.
๑๑๑ เมื่อยามขัตติยะไท้ - - - ถึงที พิโรธนา
กุมกักเจ้าเสนาบดี - - - เร่งล้อม
ครั้งนั้นท่านเจ้าหนี - - - รอดหลุด ได้แล
สู่ปท่าคูจามน้อม - - - นอบด้วยสุพรรณภูมิ ฯ

๑๑๒ เสนาบดีกิตติยศล้ำ - - - เลอนาม
จากแวดวงศ์เจ้าสยาม - - - รากเหง้า
ถูกหลู่เกียรติคุกคาม - - - เกินข่ม เก็บแล
เชิญทัพพระอินทราชเจ้า - - - ย่ำก้าวเหยียบเมือง ฯ

๑๑๓ สมเด็จพระอินทราชเจ้า - - - จอมสยาม
ยกทัพสุพรรณภูมิลาม - - - รุกล้อม
เจ้าเสนาบดีตาม - - - ต่อศึก ด้วยนา
ปล้นพระนครได้พร้อม - - - ผ่านให้นั่งเมือง ฯ

๑๑๔ รอนศรี, รอนศักดิ์แล้ว - - - พระยาราม
ภูมิภาคปท่าคูจาม - - - มอบไท้
สิ้นวงศ์อู่ทองตาม - - - แต่เหตุ นั้นนา
ถึงยุคสุพรรณภูมิให้ - - - ศิระค้อมคอถวาย ฯ

๑๑๕ ยกกาลแต่เบื้องนั้น - - - พรรณนา
สองแผ่นผืนรัฐสีมา - - - ร่วมด้าว
สยามรัฐ-ละโว้ปรา- - - - กฏหนึ่ง เดียวเวย
ขอม-ถดถอยขยับก้าว - - - กลับบ้านเมืองตน ฯ

๑๑๖ รวบสุโขทัยอยู่ใต้ - - - อำนาจ สยามแล
ขัตติยะรูปรองบาท - - - ท่านไท้
ร่วมสายเลือดเครือญาติ - - - ด้วยพระ ร่วงเนอ
เอื้อสิทธิ์ลูกหลานให้ - - - นั่งบ้านครองเมือง ฯ

๑๑๗ พรหมจรรย์เถรวาทนั้น - - - น้อมนำ
ตั้งมั่นให้ชนสัม- - - - ผัส-รู้
คติขอมแห่งละโว้จำ- - - - ต้องเปลี่ยน
เสริมจิตไว้กอบกู้ - - - เกลศร้อนกลบเผา ฯ

๑๑๘ ค้าขายสัมพันธภาพด้วย - - - แดนไกล
ศิลป์ศาสตร์หัตถกรรมไพ- - - - จิตรล้ำ
บ่งบอกสถานภาพใน - - - ถิ่นแว่น แคว้นนา
ยอยศอยุธยาล้ำ - - - ยิ่งล้ำคำลือ ฯ

๑๑๙ ค้าจีน, กัมพุช, ทั้ง - - - มะละกา
สมสั่งธุรกรรมพา- - - - นิชย์ด้วย
อุปโภค, บริโภค, อา- - - - วุธต่าง ตอบเนอ
ตอบรับความรู้ฉ้วย - - - ชาติให้วัฒนา ฯ

๑๒๐ บัลลังก์กรุงอยุทธนั้น - - - อุดหนุน-
จากสี่วงศาสกุล - - - ร่วมพ้อง
พระร่วง, ละโว้จุน- - - - เจือร่วม สุพรรณนา
อีกนครศรีธรรมราชซ้อง - - - แซ่ซ้องสรเสริญ ฯ

๑๒๑ สี่สนมเอกท่านตั้ง - - - แต่ยาม นั้นนา
"ศรีจุฬาลักษณ์"คือนาม - - - หน่อเนื้อ
จากวงศ์สุโขทัยตาม - - - เหตุผูก พันนา
แต่เมื่อสุพรรณภูมิเอื้อ - - - อกป้องภัยอรินทร์ ฯ

๑๒๒ "อินทรสุเรนทร์"แต่งตั้ง - - - ตามสาย สกุลเนอ
จากฝั่งสุพรรณภูมิราย- - - - รอบไท้
รากฐานเก่าแต่ภาย- - - - ก่อนร่วม แดนนา
เสริมส่งสถานภาพให้ - - - เพรียบพร้อมบารมี ฯ

๑๒๓ "ศรีสุดาจันทร์"จากละโว้ - - - อโยธยา
วงศ์อู่ทองสืบมา - - - ชีพเชื้อ
มั่นคงต่อบรรดา- - - - ศักดิ์เก่า ก่อนเนอ
เสาหนึ่งค้ำจุนเอื้อ - - - อาชญ์ให้ชนเห็น ฯ

๑๒๔ "อินทรเทวี"อีกผู้ - - - ทรงสถา นภาพแล
สายอโศกศรีธรรมา- - - - ธิราช-ใต้
ดินแดนฟากฝั่งวา- - - - รีระริก ลมเนอ
ช่วยราชกิจบ้านเมืองให้ - - - เหือดไข้ห่างเข็ญ ฯ

๑๒๕ นับเขตนับคาบนั้น - - - หนึ่งเดียว
ยอมร่วมใจกลมเกลียว - - - ชิดใกล้
เหนือใต้ออกตกเหลียว- - - - แลร่ม ฉัตรนา
เพียงร่มเดียวนั่นไว้ - - - ระหว่างด้าวแดนสยาม ฯ

๑๒๖ โอรสคนที่หนึ่งเจ้า- - - - อ้ายพระยา
ครองสุพรรณภูมิผา- - - - สุขถ้วน
ส่วนเมืองแพรกศรีราชา - - - เจ้ายี่ ครองแล
ชัยนาท-สองแควล้วน - - - อยู่ใต้เจ้าสาม ฯ

๑๒๗ ถึงกาลมรณะร้อน - - - รุมชนม์
พระนครินทรราชบน - - - ฉัตรชั้น
พระสวรรคตบันดล - - - รณยุทธ แล้วแฮ
เจ้ายี่-เจ้าอ้ายนั้น - - - ขาดสะบั้นไมตรี ฯ

๑๒๘ อำนาจอาชญภาพเชื้อ - - - เชิญประชัน
สองพี่น้องโรมรัน - - - รบแล้ว
ขึ้นช้างขับช้างบรร- - - - ลุเขต อยุธยานา
สายเลือดฤๅอาจแคล้ว- - - - คลาดพ้นประหัตประหาร ฯ

๑๒๙ ทัพเจ้าอ้ายตั้งที่ - - - วัดพลับ พลาไชยแฮ
เจ้ายี่เคลื่อนตั้งรับ - - - เร่งร้อน
ที่ตลาดท่าพรหม, ทัพ - - - หยุดอยู่
สองจิตสองใจสะท้อน - - - สั่นด้วยโมหันต์ ฯ
.
.
ศึกสายเลือด
พศ. ๑๙๖๗
.
.

เจ้าอ้ายกับเจ้ายี่กระทำยุทธหัตถีกันที่สะพานป่าถ่าน



๑๓๐ ที่สะพานป่าถ่านนั้น - - - สองทัพ-
บรรจบพลสำหรับ - - - รบแล้ว
สองช้างพี่น้องขับ - - - เข้าสู่ ถิ่นแล
เมื่อโลกต่ำพร่างแพร้ว - - - ภาสเรื้องเมลืองสถาน ฯ

๑๓๑ สองช้างสองหน่อเชื้อ - - - ราชันย์
ย่ำเหยียบรอยโทษทัณฑ์ - - - เท่าสร้าง
มาดหมายนั่งเหนือบัล- - - - ลังก์อยุทธ แลนา
โดยศักดิ์โดยสิทธิ์อ้าง - - - เอ่ยด้วยดุษฎี ฯ

๑๓๒ ที่สะพานป่าถ่านนั้น - - - สองทัพ-
พร้อมดาบยอแสงวับ - - - บีบคั้น
ก่อนง้าวเงือดคมสับ - - - ลงสู่ ศอแล
วาบผ่านสองศอนั้น - - - เลือดร้อนอุ่นไหล ฯ

๑๓๓ ที่สะพานป่าถ่านนั้น - - - สองชนม์-
ซบร่างไร้เศียรบน - - - คชะ-แกล้ว
อำนาจเกียรติยศปรน- - - - เปรอแผ่น ดินเวย
สูรย์วับคนวอดแล้ว - - - ชั่วฟ้าดินสลาย ฯ

๑๓๔ รูปหนึ่งอำนาจน้อม - - - ลงรอ
แต่เมื่อสองพี่-ม- - - - รณะพร้อม
เอ่ยอ้างวาสนายอ - - - ยกสู่ ฉัตรแฮ
อำมาตย์ขุนนางน้อม - - - นอบเกล้า-กรถวาย ฯ

๑๓๕ อนุชาธิราชเจ้า- - - - สามพระยา
น้อมหัตถ์รับยศถา - - - แต่งตั้ง-
ครองเมืองสืบขัตติยา - - - วงศ์ราช
ใครเล่าอาจหยุดยั้ง - - - อาชญ์ไท้ในสถาน ฯ

๑๓๖ อำนาจอาชญภาพพ้น - - - พันไผท
กรุงอยุธเกรียงไกร - - - ทัพแกล้ว
ยกสู่พระนครใน - - - กัมพุช แดนแฮ
เหยียบย่ำขอมสยบแล้ว - - - ศักดิ์ล้วนล่มสลาย ฯ

๑๓๗ แดนขอมแต่คาบนั้น - - - สิ้นนาม
แต่ทัพอยุธยาลาม - - - รุกล้อม
สิ้นยุคยิ่งใหญ่ตาม - - - แต่เหตุ นั้นนา
พระนครเศียรจำค้อม - - - สุดคั้นแรงขืน ฯ

๑๓๘ โอรสหน่อเนื้อ, พระ- - - - ส่งไป-
อยู่ร่วมมาตุคามไกล - - - แต่น้อย
คือสมเด็จบรมไตร- - - - โลกนารถ
สายเลือดสุโขทัย, ร้อย - - - ร่วมเชื้อสุพรรณภูมิ ฯ

๑๓๙ เพื่อศักดิ์และสิทธิ์-เชื้อ - - - ราชันย์
วงศ์พระร่วง, วงศ์สุพรรณ - - - อยู่พร้อม
ร่วมเครือญาติสมานฉันท์ - - - สองฝ่าย
แผ่อำนาจขึ้นล้อม- - - - รอบล้านนา-เหนือ ฯ

๑๔๐ เติบใหญ่ใกล้ชิดด้วย - - - หมู่ญาติ แม่นา
เพื่อรับรองบทบาท - - - หน่อไท้
ขุนนางเหล่าอำมาตย์ - - - เห็นชอบ อยู่เนอ
รวบพิษณุโลกเอาไว้ - - - อยู่ใต้แดนสยาม ฯ

๑๔๑ ยุษฐิธีระผู้ - - - สัมพันธ์
เติบใหญ่ขึ้นกลับผัน- - - - พลิกข้าง
เข้าด้วยติโลกราช, ฝัน- - - - เป็นใหญ่-
เหนือพิษณุโลก, อ้าง- - - - เอ่ยย้ำ-สัญญา ฯ




ภาพสงครามการรบระหว่างราชอาณาจักรอยุธยากับอาณาจักรล้านนาสมัยพระบรมไตรโลกนาถและพระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่


ลำดับนี้ต่อไป .. ตามติดโคลงยวนพ่ายเข้าสู่สมรภูมิรบ ..


.. พรหมพิษณุบรเมศรเจ้า - - - จอมเมรุ มาศแฮ
ยมเมศมารุตอร - - - อาศนม้า
พรุณคณิกุเพนทรา - - - สูรเสพย
เรืองรวีวรจ้า - - - แจ่มจันทร ฯ ..

(กล่าวถึงเทพ ๑๑ องค์ได้แก่) พระพรหม พระวิษณุ พระอิศวร พระอินทร์ พระยม พระมารุตผู้ทรงม้าที่มีที่นั่งอันงาม พระพิรุณ พระอัคนี ท้าวกุเวรผู้เป็นจอมอสูร พระอาทิตย์ (ที่มี) แสงสว่างจ้า พระจันทร์ (ที่มีแสง) แจ่มกระจ่าง

.. เอกาทสเทพแส้ง - - - เอาองค์ มาฤๅ
เป็นพระศรีสรรเพชญ - - - ที่อ้าง
พระเสด็จดำรงรักษ์ - - - ล้ยงโลก ไส้แฮ
ทุกเทพทุกท้างไหงว้ - - - ช่วยไชย ฯ ..

เทพทั้ง ๑๑ องค์เสด็จมารวมกันเป็นองค์พระศรีสรรเพชญ์ เพื่อดำรงรักษาโลก โดยเทพทุกหนทุกแห่งช่วยส่งเสริมให้พระองค์ได้ประสบชัยชนะ

(เฉพาะโคลงตัวหนังสือสีเขียวด้านล่าง เป็นการแปลงโคลงดั้นยวนพ่าย เป็นโคลงสี่สุภาพ .. ซึ่งโคลงยวนพ่ายนี้เป็นพระราชนิพนธ์ใน"สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3" พระโอรสพระองค์โตของสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถที่ประทับครองกรุงศรีอยุธยาช่วงที่พระบิดาเสด็จขึ้นไปประทับบัญชาการศึกที่พิษณุโลก ..

และเมื่อพระบรมไตรฯ ขึ้นไปประทับที่พิษณุโลกก็มีพระมเหสีอีกองค์หนึ่งจากราชวงศ์สุโขทัย พร้อมกับมีพระโอรสพระนามว่า "สมเด็จพระเชษฐาธิราช หรือต่อมาคือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2" ซึ่งเป็นน้องต่างมารดาของ "สมเด็จพระราชาธิราชที่ 3" เป็นน้องที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับโอรสของพี่ชายคือ "สมเด็จพระอาทิตย์วงศ์ หรือ ต่อมาคือ สมเด็จหน่อพุทธางกูร หรือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4"

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 นี้ครองราชย์นาน 38 ปีหลังจากพี่ชายคือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 ครองราชย์ต่อจากพระบรมไตร ฯ ได้เพียง 4 ปีก็สวรรคต .. การครองราชย์นานของพระองค์ทำให้ปรากฎชื่อในวรรณกรรมขุนช้างขุนแผนในพระนาม .. "พระพันวษา"

ส่วนสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 นั้นนับเป็นกวีที่มีความรอบรู้ภาษาบาลีสันสกฤตสูงมากผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย .. ซึ่งนักปราชญ์พระองค์นี้คงต้องแตกฉานทั้ง รามายณะ และมหาภารตะยุทธ เป็นอย่างดีจึงสามารถนำมาอุปมาอุปไมยในงานเขียนได้ .. จากบทนี้ ..

๏ จึ่งชักช้างม้าค่อย - - - ลีลา
ยังนครไคลคืน - - - เทศไท้
พยงบานทพาธิก - - - ทรงเดช
ที่คนเคารพไข้ - - - ข่าวขยรร ฯ

เมื่อ ..
บานทพา คือ ปาณฑพ
เคารพ คือ เการพ

สันนิษฐานว่าพระองค์คือเป็นผู้แต่งโคลง .. ทวาทศมาส .. และ .. กำสรวลสมุทร (กำสรวลศรีปราชญ์) .. ด้วย .. มิใช่ 3-4 กวีร่วมกันแต่งในสมัยพระนารายณ์แต่อย่างใด .. )

๑๔๒ พระมาล่มโศกหล้า - - - เหลือสุข
มาตรยกไตรภพปลุก - - - ปลอบไห้
พระมากล่อมเกลาทุกข์ - - - ถ้วนสิ่ง
ทุกเทศทุกท้าวไท้ - - - นอบน้อมการณ์สนอง ฯ

๑๔๓ พระมายศยิ่งฟ้า - - - ดินชม ชื่นแฮ
มาแต่งไตรรัตน์, สม- - - - ภพรู้
พระมาเพื่อปรารมภ์ - - - เพญโพธิ ไส้แฮ
ใครแข่งใครข้องสู้ - - - สุดท้ายจักเห็น ฯ

๑๔๔ พระมาคฤโฆษเรื้อง - - - แรงบุญ ท่านนา
ถ้วนทั่วรับการุณ - - - กราบเกล้า
พระเสด็จแสดงคุณ - - - ครองโลกย ไส้แฮ
เอกกษัตริย์ส่องเฝ้า - - - ใฝ่ห้อมถวิลเห็น ฯ

๑๔๕ พระมายศโยคพ้น - - - พรหมา
ลือเลื่องยศขัตติยา - - - ปิ่นแก้ว
พระมาเทียบเทียมสมา- - - - ธิปราชญ เพรงแฮ
มาเทียบมาทบแผ้ว - - - แผ่นพื้นไตรภูมิ

๑๔๖ ศักดานุภาพแกล้ว - - - การรงค รวจแฮ
สบศาสตราคม, อง- - - - อาจรู้
สรรเพชญแกว่นการทรง - - - สรรพศาสตร์
สบศึกพระรบสู้ - - - ล่มเสี้ยนสลายสูญ ฯ

๑๔๗ ระบิลระเบียบเบื้อง - - - เบาราณ
พระถ่องถ้วนรูปการณ์ - - - ยิ่งผู้
แบบแผนเรื่องกลอนกานท์ - - - โคลงกาพย ก็ดี
ทรงแจ่มแจ้งรอบรู้ - - - ถูกต้องระเบียนวรรณ ฯ

๑๔๘ สารสยามภาคยพร้อง - - - รำพัน นี้ฤๅ
คือคู่มาลาสวรรค์ - - - ช่อช้อย
เบญญาพิศาลบรร- - - - โลมโลก พระฤๅ
คือคู่ไหมแส้งร้อย - - - กลีบสร้อยสุมาลย์สี ฯ


๑๔๙ แว่วเสียงโคลงแซ่ซ้อง - - - สดุดี
ศักดิ์กษัตริย์เจ้าธานี - - - ชนกผู้-
เตรียมทัพรับยุทธี - - - ทำศึก
ให้เหล่าลาวได้รู้ - - - อาชญ์แกล้วกรุงสยาม ฯ

๑๕๐ บวงพระนิ่งนึกเนื้อ - - - นัยความ
เมื่อศึกล่วงมาตุคาม - - - เขตแคว้น
พาให้พลัดพรากงาม, - - - ไปห่าง
ทุกข์, ลำบากยากแค้น - - - จักเค้น-มอบคืน ฯ

๑๕๑ คำ, ความ-บวงบอกไว้ - - - รองถวิล
รอเถิดเมื่อภัยอรินทร์ - - - ราบแล้ว
จักย้อนกลับรับยิน- - - - ดีโลก นาแม่
จงทุกข์โศก-อย่าแผ้ว - - - ผ่านกล้ำกรายขวัญ ฯ

๑๕๒ รักพี่โศภิตพ้น - - - อุปมา
อันพากย์ปราชญ์เทวดา - - - รับไว้
จักคงคู่กัลปา - - - ยืนโยค
แม้นแผ่นดินฟ้าไหม้ - - - ยากสิ้นยากสูญ ฯ

๑๕๓ แถลงปางข้าไท้ท่วย - - - ใจหาญ
ตามต่อยไพรีลาญ - - - ร่อนแกล้ว
เมื่อลาวเหล่ารำบาญ - - - ใจบาป
รบที่น้ำลิบแล้ว - - - ล่มล้างลาวสลาย ฯ

๑๕๔ ปางเค้นผู้ทุรยศเจ้า - - - เจียนตาย
เมื่อพลิกเป็นเสี้ยนสาย - - - ศึกแกล้ว
ปางเมื่อปิ่นลาวหมาย - - - ไหมโทษ เท็จนา
สมคบเชียงชื่นแล้ว - - - แข่งบ้านแข็งเมือง ฯ

๑๕๕ ปางเมื่อเชียงชื่นเศร้า - - - ใจพล พรั่นนา
เพราะเลื่องลือพลังรณ - - - ปิ่นเกล้า
ปางพระล่อลวงกล - - - เล่ห์ศึก
โถมถั่งกำลังเข้า - - - บุกปล้นชิงเสบียง ฯ


๑๕๖ แสะ, สาร, คน, ดาบ-ข้าม - - - สิงขร
รุดเร่งใต้ทินกร - - - แผดกล้า
คมดาบวับวามตอน - - - แสงเหลื่อม
รอวาดใส่ชั่วช้า - - - เชือดเนื้อเถือหนัง ฯ

๑๕๗ ดาบ-วก, ชีวาตม์ม้วย - - - มรณัง
แดดแผดเผา, ชีพพัง - - - ร่วงพื้น
เท้าย่ำเหยียบ, ความชัง - - - แจ่มชัด ตานา
เสียงแผดร้องโอดอื้น - - - อาจรู้สิ้นหรือ ฯ

๑๕๘ ดาบวก, คมวาบ-แล้ว - - - เลือดกระเซ็น
คมแทรกเนื้อ, กระดูก, เอ็น - - - แบะอ้า
ขอ, ทวน, โทษ, ทุกข์เข็ญ - - - คอยอยู่
คอยชีพแกล้วผู้กล้า - - - กลบพื้นปฐพินทร์ ฯ

๑๕๙ ดาบวาด, ชีวาตม์ล้ม - - - บรรลัย
ลิ่มเลือด, คาวเลือด-ไหล - - - หล่นพื้น
คมทวน-ทิ่มแทง, ขัย - - - ขาดช่วง แล้วนา
ดาบเชือด, เลือดคาวชื้น - - - ชุ่มล้ำคำประลือ ฯ

๑๖๐ อยู่ไทธิเบศเจ้า - - - จอมปราณ
พราวพรึบพลรณการณ์ - - - ฉกาจแกล้ว
ครั้นพระฝ่ารำบาญ - - - ยวนย่อย ยับนา
รบที่น้ำลิบแล้ว - - - เลื่องชั้นลือชัย ฯ

๑๖๑ จึงชักช้างม้าค่อย - - - ไคลคลา
ยกกลับอยุธยา - - - แต่นั้น
พ่างเพียงหมู่ปาณฑพา - - - ทรงเดช
ข่มหมู่เการพขยั้น - - - ขยาดไข้ทุกข์เข็ญ ฯ

๑๖๒ ทีนั้นธิเบศรเรื้อง - - - รณรงค์ เลิศแฮ
อยู่มอบรางวัลสง- - - - เคราะห์แกล้ว
ด้วยญาณพระทราบ, ตรง - - - ซื่อคด ถ่องแล
ใครชอบใครชั่วแล้ว - - - ทั่วทั้งในพิถี ฯ



๑๖๓ แว่วข่าวทัพกลับย้อน - - - ถึงอกเมือง, อกร้อน-
รุ่มนั้นพลันสลาย

๑๖๔ ถวิลถึงชายชาติผู้ - - - เฝ้าใฝ่หาใฝ่รู้
เลศชู้ประโลมขวัญ

๑๖๕ จนแสงวันลูบฟ้า - - - จึงรูปงามเผยหน้า
เหลือบละล้าละลังเหลียว

๑๖๖ จนมือเรียวคดข้าว - - - สู่บาตร, พระสืบก้าว
ล่วงพ้นกุศลสถาน

๑๖๗ จึง-เนตรคราญสบแล้ว - - - สบชาติชายฉกาจแกล้ว
ผ่องแผ้วแววตา

๑๖๘ จึง-อาวรณ์ลึกล้ำ - - - จู่อกแก้วซ้อนซ้ำ
เตรียบน้ำใจสนอง

๑๖๙ ลอบมองแล้วเหลือบชม้าย - - - เพรียกชาติภพเผ่นผ้าย-
พรึบพร้อมประนอมประนัง

๑๗๐ เมื่อชายชาติสืบก้าว - - - ก็เมื่อนั้นรูปอะคร้าว-
สะทกสะเทิ้นสะท้านหทัย






๑๗๑ กรกบ, หน้าจบน้อม - - - วันทนา
ปรางเรื่อ, รูปพักตรา - - - ประหนึ่งแต้ม-
เติมรูปติดคะนึงหา - - - ให้ห่วง
มือรับไหว้, เนียนแก้ม - - - ก่ำ-ล้อแรงภิรมย์ ฯ

๑๗๒ พิศรูปพักตร์เรื่อ-แต้ม - - - ติดตา
หอมรื่นลมร่ำพา - - - ผ่านต้อง
อกชายอิ่มเอมปรา- - - - โมทย์แต่ สบเนอ
สบเนตร, แววเนตรฟ้อง - - - ฝากชู้ตระกองโฉม ฯ

๑๗๓ หอมรื่นลมร่ำล้อม - - - ประโลมใจ
รื่นกว่าริ้วลมไหล, - - - เลศแก้ว
ฟ้าบนรัศมีไพ- - - - จิตส่อง
แจ้งกว่าสูรย์แจ้งแล้ว, - - - พักตร์เบื้องหน้าเผชิญ ฯ


ต่อภาค 2





Create Date : 16 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 10 มีนาคม 2566 13:35:28 น. 2 comments
Counter : 7425 Pageviews.

 
สุดยอด แห่ง บทกวีนับถือๆๆๆ


โดย: ประภัสสร โพธิจักร IP: 1.2.154.78 วันที่: 7 กันยายน 2557 เวลา:10:11:03 น.  

 
สวัสดีครับคุณประภัสสร ..

ฝีมือยังอ่อนด้อยอยู่มากครับ .. เพียงแต่ชอบเขียนนะครับ จึงดันทุรังเขียนไปเรื่อย .. อิๆๆ

แวะมาพูดคุยกันได้ตลอดเวลา ขอเชิญด้วยความเคารพคุณครู รวมทั้งเพื่อนๆ ..

ความรู้ภาษาไทยมีน้อยนัก
ช่วยแนะนำให้มากไว้จะขอบพระคุณขอรับ


โดย: สดายุ... วันที่: 8 กันยายน 2557 เวลา:20:33:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.