|
ห้องภาพที่ ๓๓
สมุดภาพพระพุทธประวัติ ภาพที่ ๓๓
ครั้นแล้วก็ทรงเปิดโลก บันดาลให้เทวดา มนุษย์ และสัตว์นรกแลเห็นซึ่งกันและกัน
วันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์นั้น พระองค์ได้แสดงปาฏิหาริย์อีกครั้งหนึ่ง คือขณะที่พระองค์ประทับยืนอยู่ที่บันไดแก้ว ทรงทอดพระเนตรไปทางทิศเบื้องบน เทวโลกและพรหมโลกก็เปิดมองเห็นโล่ง เมื่อทรงทอดพระเนตรไปในทิศเบื้องต่ำ นิรยโลกทั้งหลายก็เปิดโล่ง ในครั้งนั้น สวรรค์ มนุษย์ และสัตว์นรก ต่างก็เห็นซึ่งกันและกันทั่วจักรวาล
ภาพนี้อยู่ในเหตุการณ์ตอนเดียวกับวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกเหตุการณ์ตอนนี้ว่าพระพุทธเจ้าทรงเปิดโลก โลกที่ทรงเปิดในเหตุการณ์คราวนี้มี ๓ โลก คือ เทวโลก มนุษย โลก และยมโลก
เทวโลก หมายถึง ตั้งแต่พรหมโลกลงมาจนถึงสวรรค์ทุกชั้น มนุษย์โลก ก็คือโลกมนุษย์ และ ยมโลก ซึ่งอยู่ทางเบื้องต่ำ คือ นรกทุกขุมจนกระทั่งถึงอเวจีมหานรก (หมายเหตุ จขบ. - คติเรื่องนี้เป็นการแทรกซ้อนจากลัทธิพราหมณ์...ผู้อ่านพึงใคร่ครวญอย่างมีโยนิโสมนสิการ)
พระพุทธเจ้าขณะเสด็จลงจากสวรรค์ ทอดพระเนตรดูเบื้องบนโลกทั้งมวลตั้งแต่มนุษย์ก็สว่างโล่งขึ้นไปถึงเทวโลก เมื่อทรงเหลียวไปรอบทิศรอบด้านสากลจักรวาลก็โล่งถึงกันหมด และเมื่อทอดพระเนตรลงเบื้องล่าง ความสว่างก็เปิดโล่งลงไปถึงนรกทุกขุม ผู้อาศัยอยู่ในสามโลกต่างมองเห็นกัน มนุษย์เห็นเทวดา เทวดาเห็นมนุษย์ มนุษย์และเทวดา เห็นสัตว์นรก สัตว์นรกเห็นเทวดาและมนุษย์ แล้วต่างเหลียวมองดูพระพุทธเจ้าผู้เสด็จลงจากสวรรค์ด้วยพระ เกียรติยศอันยิ่งใหญ่
คัมภีร์ธรรมบทที่พระพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้แต่ง ( หมายเหตุ จขบ. - เข้าใจว่าเป็นคัมภีร์ วิสุทธิมรรค อันเป็นต้นเรื่องของไตรภูมิพระร่วงอีกต่อหนึ่ง ) บอกว่า "วันนี้คนทั้งสามโลกได้เห็นแล้ว ที่ไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้านั้นไม่มีเลยสักคน"
ปฐมสมโพธิพรรณนาไว้ยิ่งกว่านี้เสียอีก คือว่า "ครั้งนั้นเทพยดามนุษย์แลสัตว์เดรัจฉาน กำหนดที่สุดมดดำมดแดง ซึ่งได้เห็นองค์พระชินสีห์ แลสัตว์คนใดคนหนึ่งซึ่งจะมิได้ปรารถนาพุทธภูมินั้นมิได้มีเป็นอันขาด"
พุทธภูมิ คือ ความเป็นพระพุทธเจ้า
หมายเหตุ - จขบ. อติพจน์ในคัมภีร์อรรถกถาชั้นหลังที่ไม่ใช่พระพุทธวจนะ...มักแทรกเสริมเติมแต่งรูปการณ์ทางด้าน ฤทธิ์เดช ปาฏิหารย์ต่างๆ เพื่อเชิดชูพระพุทธองค์แข่งกับ พระเจ้าองค์ต่างๆของพราหมณ์...เพื่อดึงศรัทธาชนชั้นรากหญ้าที่จำเป็นต้องใช้ศรัทธานำในการเผยแผ่พระศาสนา (ชนชั้นศูทร และจัณฑาล หรือชนชั้นใช้แรงงานนั่นเอง)
ด้วยเหตุที่พระพุทธองค์นั้นปฏิเสธแนวคิดแบบพราหมณ์...คือตัวตนหรืออัตตา หรืออาตมัน ของชีวิตหนึ่งๆว่ามีอยู่อย่างถาวรหรือเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้...จึงเป็นไปไม่ได้ที่โลกทั้งสามแบบพราหมณ์จะเป็นอุดมคติของพุทธจิต...
อัตตา หรือ อาตมันเที่ยงแท้แบบพราหมณ์เป็นอย่างไร ?
คือแนวคิดว่า วิญญาณ มีอยู่ดำรงอยู่ได้เอง...เพียงอาศัยร่างกายเนื้อหนังเป็นที่อาศัย...เมื่อกายขันธ์แตกดับลงก็ละออกไป...ท่องเที่ยวไปในวัฏฏะสงสาร...โดยการขับเคลื่อนของวิบากกรรมที่ทำไว้ในชาติอดีต...
โดยคตินี้ยอมรับว่า"สิ่ง" หรือ "ภาวะ" ที่ล่องลอยออกจากร่างที่แตกดับนั้น...เป็นวิณญาณตัวตนเดิมเดียวไม่ว่าจะไปเกิดใหม่เป็นอะไร...อันเป็นหลัก อัตตาเที่ยงคือไม่เปลี่ยนแปลงแค่เปลี่ยนสภาวะของการอาศัยตั้งอยู่....ซึ่งแตกต่างตรงกันข้ามกับหลัก อนัตตา ของพระพุทธองค์โดยสิ้นเชิง....
สิ่งนี้เกิดการอธิบายผิดตั้งแต่เมื่อใดนั้นยากที่จะสืบสาวได้...แต่ปรากฏร่องรอยชัดเจนในคัมภีร์วิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆษาจารย์...ต่อมาพระยาลิไท ก็เอามาใส่ลงใน ไตรภูมิกถา ครอบหัวสังคมไทยมากว่า 800 ปี จนหลักการแห่งพุทธเลอะเทอะไปหมด (คัมภีร์วิสุทธิมรรคนี้มีอายุประมาณ 1500 ปีแล้ว...ในการออกตัวของผู้แต่งคือพระพุทธโฆษาจารย์ก่อนอธิบายเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท นั้นบอกไว้ว่าท่านอธิบายตามคำอธิบายของบูรพาจารย์ที่มีมาก่อนแล้ว....ตรงนี้แปลว่ามันมีร่องรอยการอธิบายผิดมาก่อนหน้าวิสุทธมรรคแล้ว....และท่านพุทธทาสภิกขุสันณิษฐานว่า น่าจะอธิบายผิดมาตั้งแต่ครั้งกระทำสังคายนาครั้งที่ 3 อันตกอยู่ในช่วงเวลาประมาณ พศ.300...คืออธิบายผิดมาตั้ง 2,200 กว่าปีมาแล้ว)
ในขณะที่"โลก"ของพระพุทธองค์คือ...ร่างกายยาววาหนาศอก ที่ยังเป็นๆ โดยมีสัญญาและใจอยู่พร้อม....
และ"วิญญาณ" ของพระพุทธองค์ คือ วิญญาณ 6 อันเกิดแต่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เท่านั้น....หามีวิญญาณล่องลอย..เกิดเข้าท้องแม่..ตายออกจากโลงแต่อย่างใดไม่ !
Create Date : 25 มกราคม 2554 |
|
0 comments |
Last Update : 25 มกราคม 2554 19:37:14 น. |
Counter : 2917 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]
|
|
|
|
|
|
|
|