Group Blog
 
<<
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
25 มกราคม 2554
 
All Blogs
 

ห้องภาพที่ ๓๓

สมุดภาพพระพุทธประวัติ
ภาพที่ ๓๓

ครั้นแล้วก็ทรงเปิดโลก บันดาลให้เทวดา มนุษย์ และสัตว์นรกแลเห็นซึ่งกันและกัน






วันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์นั้น พระองค์ได้แสดงปาฏิหาริย์อีกครั้งหนึ่ง คือขณะที่พระองค์ประทับยืนอยู่ที่บันไดแก้ว ทรงทอดพระเนตรไปทางทิศเบื้องบน เทวโลกและพรหมโลกก็เปิดมองเห็นโล่ง เมื่อทรงทอดพระเนตรไปในทิศเบื้องต่ำ นิรยโลกทั้งหลายก็เปิดโล่ง ในครั้งนั้น สวรรค์ มนุษย์ และสัตว์นรก ต่างก็เห็นซึ่งกันและกันทั่วจักรวาล

ภาพนี้อยู่ในเหตุการณ์ตอนเดียวกับวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกเหตุการณ์ตอนนี้ว่าพระพุทธเจ้าทรงเปิดโลก โลกที่ทรงเปิดในเหตุการณ์คราวนี้มี ๓ โลก คือ เทวโลก มนุษย โลก และยมโลก

เทวโลก หมายถึง ตั้งแต่พรหมโลกลงมาจนถึงสวรรค์ทุกชั้น
มนุษย์โลก ก็คือโลกมนุษย์ และ
ยมโลก ซึ่งอยู่ทางเบื้องต่ำ คือ นรกทุกขุมจนกระทั่งถึงอเวจีมหานรก
(หมายเหตุ จขบ. - คติเรื่องนี้เป็นการแทรกซ้อนจากลัทธิพราหมณ์...ผู้อ่านพึงใคร่ครวญอย่างมีโยนิโสมนสิการ)

พระพุทธเจ้าขณะเสด็จลงจากสวรรค์ ทอดพระเนตรดูเบื้องบนโลกทั้งมวลตั้งแต่มนุษย์ก็สว่างโล่งขึ้นไปถึงเทวโลก เมื่อทรงเหลียวไปรอบทิศรอบด้านสากลจักรวาลก็โล่งถึงกันหมด และเมื่อทอดพระเนตรลงเบื้องล่าง ความสว่างก็เปิดโล่งลงไปถึงนรกทุกขุม ผู้อาศัยอยู่ในสามโลกต่างมองเห็นกัน มนุษย์เห็นเทวดา เทวดาเห็นมนุษย์ มนุษย์และเทวดา เห็นสัตว์นรก สัตว์นรกเห็นเทวดาและมนุษย์ แล้วต่างเหลียวมองดูพระพุทธเจ้าผู้เสด็จลงจากสวรรค์ด้วยพระ เกียรติยศอันยิ่งใหญ่

คัมภีร์ธรรมบทที่พระพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้แต่ง ( หมายเหตุ จขบ. - เข้าใจว่าเป็นคัมภีร์ วิสุทธิมรรค อันเป็นต้นเรื่องของไตรภูมิพระร่วงอีกต่อหนึ่ง ) บอกว่า "วันนี้คนทั้งสามโลกได้เห็นแล้ว ที่ไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้านั้นไม่มีเลยสักคน"

ปฐมสมโพธิพรรณนาไว้ยิ่งกว่านี้เสียอีก คือว่า
"ครั้งนั้นเทพยดามนุษย์แลสัตว์เดรัจฉาน กำหนดที่สุดมดดำมดแดง ซึ่งได้เห็นองค์พระชินสีห์ แลสัตว์คนใดคนหนึ่งซึ่งจะมิได้ปรารถนาพุทธภูมินั้นมิได้มีเป็นอันขาด"

พุทธภูมิ คือ ความเป็นพระพุทธเจ้า


หมายเหตุ - จขบ.
อติพจน์ในคัมภีร์อรรถกถาชั้นหลังที่ไม่ใช่พระพุทธวจนะ...มักแทรกเสริมเติมแต่งรูปการณ์ทางด้าน ฤทธิ์เดช ปาฏิหารย์ต่างๆ เพื่อเชิดชูพระพุทธองค์แข่งกับ พระเจ้าองค์ต่างๆของพราหมณ์...เพื่อดึงศรัทธาชนชั้นรากหญ้าที่จำเป็นต้องใช้ศรัทธานำในการเผยแผ่พระศาสนา (ชนชั้นศูทร และจัณฑาล หรือชนชั้นใช้แรงงานนั่นเอง)

ด้วยเหตุที่พระพุทธองค์นั้นปฏิเสธแนวคิดแบบพราหมณ์...คือตัวตนหรืออัตตา หรืออาตมัน ของชีวิตหนึ่งๆว่ามีอยู่อย่างถาวรหรือเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้...จึงเป็นไปไม่ได้ที่โลกทั้งสามแบบพราหมณ์จะเป็นอุดมคติของพุทธจิต...

อัตตา หรือ อาตมันเที่ยงแท้แบบพราหมณ์เป็นอย่างไร ?

คือแนวคิดว่า วิญญาณ มีอยู่ดำรงอยู่ได้เอง...เพียงอาศัยร่างกายเนื้อหนังเป็นที่อาศัย...เมื่อกายขันธ์แตกดับลงก็ละออกไป...ท่องเที่ยวไปในวัฏฏะสงสาร...โดยการขับเคลื่อนของวิบากกรรมที่ทำไว้ในชาติอดีต...

โดยคตินี้ยอมรับว่า"สิ่ง" หรือ "ภาวะ" ที่ล่องลอยออกจากร่างที่แตกดับนั้น...เป็นวิณญาณตัวตนเดิมเดียวไม่ว่าจะไปเกิดใหม่เป็นอะไร...อันเป็นหลัก อัตตาเที่ยงคือไม่เปลี่ยนแปลงแค่เปลี่ยนสภาวะของการอาศัยตั้งอยู่....ซึ่งแตกต่างตรงกันข้ามกับหลัก อนัตตา ของพระพุทธองค์โดยสิ้นเชิง....

สิ่งนี้เกิดการอธิบายผิดตั้งแต่เมื่อใดนั้นยากที่จะสืบสาวได้...แต่ปรากฏร่องรอยชัดเจนในคัมภีร์วิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆษาจารย์...ต่อมาพระยาลิไท ก็เอามาใส่ลงใน ไตรภูมิกถา ครอบหัวสังคมไทยมากว่า 800 ปี จนหลักการแห่งพุทธเลอะเทอะไปหมด (คัมภีร์วิสุทธิมรรคนี้มีอายุประมาณ 1500 ปีแล้ว...ในการออกตัวของผู้แต่งคือพระพุทธโฆษาจารย์ก่อนอธิบายเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท นั้นบอกไว้ว่าท่านอธิบายตามคำอธิบายของบูรพาจารย์ที่มีมาก่อนแล้ว....ตรงนี้แปลว่ามันมีร่องรอยการอธิบายผิดมาก่อนหน้าวิสุทธมรรคแล้ว....และท่านพุทธทาสภิกขุสันณิษฐานว่า น่าจะอธิบายผิดมาตั้งแต่ครั้งกระทำสังคายนาครั้งที่ 3 อันตกอยู่ในช่วงเวลาประมาณ พศ.300...คืออธิบายผิดมาตั้ง 2,200 กว่าปีมาแล้ว)

ในขณะที่"โลก"ของพระพุทธองค์คือ...ร่างกายยาววาหนาศอก ที่ยังเป็นๆ โดยมีสัญญาและใจอยู่พร้อม....

และ"วิญญาณ" ของพระพุทธองค์ คือ วิญญาณ 6 อันเกิดแต่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เท่านั้น....หามีวิญญาณล่องลอย..เกิดเข้าท้องแม่..ตายออกจากโลงแต่อย่างใดไม่ !




 

Create Date : 25 มกราคม 2554
0 comments
Last Update : 25 มกราคม 2554 19:37:14 น.
Counter : 2917 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.