|
ทางเลือกของ ทักษิณ ชินวัตร เหลืออยู่ไม่มาก ★เมื่อหาญกล้าถ่มน้ำลายรดฟ้า ก็ต้องรับผลละเลงหน้าตัวเอง
"กระบี่พระราชทาน ปานประหนึ่งฟ้าให้ ไว้ตัดหัวผู้คิดคด ทรยศต่อแผ่นดินสยาม กระทำผิดคิดมิชอบ กอปรด้วยกิเลส เศษมนุษย์มาผุดมาเกิด เชิดใบหน้าด้วยภิกขุ ใจคุกรุ่นโลกีย์ หากผู้ถือกระบี่เล่มนี้เป็นเอง ขอให้วอดวาย ตายตามเทอญ" นี่คือคติของทหารรักษาพระองค์ทุกคน ! เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรหาญกล้าเปิดยุทธการชนฟ้าระยะที่ 1 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549 การตอบโต้ก็เกิดขึ้นในทันที พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร มท.ภ.3 เริ่มเดินสายออกมาแสดงท่าทีของ ทหารอาชีพ และ ทหารของพระเจ้าอยู่หัว อย่างชัดเจนต่อสาธารณะตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม 2549 แต่ยังไม่ปรากฏเป็นข่าว และยังไม่ได้รับการจับตาจากสังคมภายนอกมากนัก หนึ่งในสถานที่ ๆ แม่ทัพภาคที่ 3 เดินสายไปเป็น ถ้ำเสือ โดยแท้ นั่นคือการไปพูดต่อหน้ากำลังพล โดยประกาศอย่างชัดเจนแสดงความไม่พอใจนักการเมืองที่ปากกล้า เหิมเกริม ในบ้านเกิดของรักษาการนายกรัฐมนตรีเลยทีเดียว "ค่ายกาวิลละ จังหวัดเชียงใหม่" การเคลื่อนไหวของแม่ทัพภาคที่ 3 ยิ่งชัดเจนขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่ช่วงวันที่ 7 กรกฎาคมเป็นต้นมา เมื่อมีคำสั่งให้สถานีวิทยุกองทัพภาคที่ 3 ทั้ง 23 สถานีในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ประชาสัมพันธ์ชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบว่าอย่าได้ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองที่หวังระดมพลเข้ากทม. ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ กองกำลังผาเมือง (ทหารม้า) ส่งหน่วยประชาสัมพันธ์ออกเตือนประชาชนว่าอย่าหลงการปลุกระดมของบุคคลบางฝ่าย จากกองทัพภาคที่ 3 ข้ามฟากมาสู่กองทัพภาคที่ 2 เวลาเดียวกัน ที่จังหวัดนครราชสีมา กองกำลังสุรนารี สั่งให้หน่วยขึ้นตรงเข้าพบทำความเข้าใจกับประชาชนถึงบันไดบ้าน ทุกครอบครัว ทุกหมู่บ้าน เพื่อขอร้องให้อยู่ในความสงบ อย่าไปหลงเชื่อผู้ที่มาชักชวนไปชุมนุม หรือไปก่อการอย่างใดที่ใดก็ตาม และมีรายงานว่าทหารได้เขียนป้าย เราคือทหารของพระเจ้าอยู่หัว ติดข้างรถยีเอ็มซี. เพื่อแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของตนเอง ปรากฏการณ์ที่เป็น แอ็คชั่น ในช่วงสัปดาห์แรกหลังจากวาทะชนฟ้าในรอบนี้ มีที่มาที่ไป เพราะอย่างน้อย พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร ก็เป็นหนึ่งในบรรดา ลูกป๋า ที่ยืนอยู่ข้าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ตั้งแต่ครั้งคุมเชิงประลองกำลังในสถานการณ์ชุมนุมประท้วงเดือนมีนาคม 2549 ในห้วงเวลานั้นข่าวทางเปิด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน มีเพียงหน่วยสงครามพิเศษ (นสศ.) เท่านั้นที่ไว้วางใจได้ จึงได้ให้ พลร่มป่าหวาย, หมวกแดง ขยับเข้ากทม. ทดแทนกำลังทหารจากพล.ปตอ. ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ ตท. 10 แต่แท้จริงแล้ว นอกจากกองกำลังจากป่าหวาย ผบ.ทบ.ยังมีกำลังสำรองในสายรบพิเศษจากต่างจังหวัด เช่น จากเชียงใหม่ อีกจำนวนหนึ่ง ที่ได้รับคำสั่งเตรียมพร้อม 24 ชั่วโมง โดยเครื่องซี.130 ของกองทัพบก ที่สแตนด์บายเอาไว้ 2 ลำ สถานการณ์คุมเชิงระหว่าง ตท.10 กับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ไม่ได้สิ้นสุดลงเมื่อหมดม็อบ เพราะหลังสถานการณ์การเมืองหลังม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพักรบเมื่อสิ้นเดือนมีนาคม และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรถูกบีบจนต้องประกาศเว้นวรรคออกจากตำแหน่ง 4 เมษายน 2549 กลับยิ่งทวีความแหลมคม เพราะมีข่าวการขยับอย่างผิดสังเกตของนายทหารที่ใกล้ชิดพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ว่าด้วยการใช้กำลังรองรับอำนาจให้กับรัฐบาลพรรคไทยรักไทยอยู่ต่อไป ช่วงนี้เองที่มีการพูดคุยด้วยท่วงทำนอง พี่น้องเลือด จปร. สีเดียวกัน เพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดการใช้กำลังทหารออกมาเพื่อรองรับอำนาจการเมือง ช่วงเทศกาลสงกรานต์ต่อเนื่องถึงสิ้นเดือนเมษายน 2549 เป็นช่วงที่ผบ.พัน ทั้ง 15 กองพัน ในสังกัด 3 กองพลใหญ่หัวใจรัฐประหาร ไม่ได้หยุดพักเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป เพราะเป็นช่วงของการตรวจแถว วัดหัวใจ ใครจะยืนตรงไหน เมื่อถึงเวลาที่ต้องการ ใครจะออก หรือใครปฏิเสธไม่ออก ซึ่งในแวดวงทหารก็รับรู้กันว่า การผูกสัมพันธ์เพื่อนร่วมรุ่นตาม วิธีการทักษิณ นั้นเขาใช้อะไรผูก ระดับนายพลเพื่อนร่วมรุ่นนั้นชัดเจนว่าอยู่กับรักษาการนายกรัฐมนตรีคนนี้แล้ว อิ่ม จึงบังเกิดการปล่อยข่าวลือแพร่ในกองพันเมืองกรุงต่าง ๆ นานาในทำนองว่า... เงินมาแล้ว กรมนี้ได้มา 3 ล้าน...แบ่งกองพันละล้าน แต่ที่สุดแล้ว การเคลื่อนไหวจัดทัพ จัดคน ของทหารเมืองหลวง ก็ถูกจัดการด้วยวิธีการแบบพี่น้อง และบรรดาผบ.พันส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมหากมีปฏิบัติการ ข่าวปฏิวัติเริ่มแพร่ออกมาสู่ภายนอกในช่วงกลางเดือนเมษายน 2549 สอดคล้องกับที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงความไม่สบายพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในระดับที่ทรงยืนเหม่อทอดพระเนตรมองทะเลเป็นเวลานาน ต้นเดือนพฤษภาคม 2549 ผบ.เหล่าทัพเข้าเฝ้าฯ ภาพที่เป็นข่าวปรากฏภายนอกคือการเข้าเฝ้าระยะสั้น ๆ หากแท้จริงแล้วหลังจากกล้องโทรทัศน์เสร็จภารกิจ มีรายงานข่าวว่าพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินยังคงอยู่ถวายรายงานต่อเพียงคนเดียวอีกช่วงหนึ่ง ท่าทีเช่นนี้ ทำให้ผู้มีอำนาจทางการเมืองไม่สบอารมณ์ และใช้วิธีที่เคยใช้กับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลลานนท์ ครั้งเป็นผบ.ทบ. คือเข้าไปถามตรง ๆ ในกรณีนี้ คำถามที่ผบ.ทบ.ได้รับก็คือ... พี่จะปฏิวัติผมเหรอ ? ซึ่งคำตอบที่ให้กลับมา มี นัย ซ่อนอยู่ ระหว่างบรรทัด อย่างชัดเจน ในช่วงนี้ถ้าผมยังอยู่ในตำแหน่ง การปฏิวัติจะทำไม่ได้ แต่ถ้ามี คนที่จะทำได้คือผม คำตอบที่ซ่อนนัยดังกล่าวตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่า หากคนอื่นที่ไม่ใช่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินหากคิดจะทำ - ก็ทำไม่ได้เช่นกัน เรื่องของกระแสการขยับเคลื่อนไหวของทหารใกล้ชิดอำนาจบริหารยังไม่จบ เพราะผู้ที่ต้องเกี่ยวข้องด้วยอีกคนหนึ่ง ก็คือ พล.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ตามหน้าที่แล้วต้องรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ในแวดวงนายทหารเล่ากันว่า งานศพของแม่ยายพล.อ.มงคล อัมพรพิศิษฎ์ ที่วัดเทพศิรินทร์ ในห้วงเวลาที่การขยับประลองกำลังของขุนทหารเสร็จสิ้นไประยะหนึ่ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์เดินทางเป็นประธานในพิธี ในตอนกลับบุตรเขยของผู้ตายเจ้าของสมญา บิ๊กหมง ได้แนะนำนายทหารที่มาร่วมงาน ในจำนวนนั้นมีนายพลเอกหัวขบวนของ ตท. 10 ที่คั่วตำแหน่งผบ.ทบ.คนต่อไปรวมอยู่ด้วย ประธานองคมนตรีที่ปกติไม่พูด แต่วันนั้นก่อนขึ้นรถเอ่ยขึ้นว่า คนนี้เหรอที่คิดปฏิวัติ กลายเป็นเรื่องเล่าในแวดวงนายทหารรุ่นต่าง ๆ เพราะเป็นที่รู้กันว่านายพลเอกคนนี้ไม่ได้โตมาในสายคุมกำลัง แต่กำลังลัดขั้นตอนโตเร็วหวังตำแหน่งใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมในบรรดาแวดวงทหาร ขณะที่บิ๊กหมงนั้นเดิมจัดอยู่ในชั้น ลูกป๋า ระดับ วงใน แต่ระยะหลังใกล้ชิดรัฐบาล มีตำแหน่งใหญ่หลายตำแหน่ง หลัง ๆ ใกล้ชิดนายพลหัวขบวนตท. 10 มากขึ้น เมื่อเจอเหตุการณ์ดอกนี้ ถึงกับสะอึกไป แท้จริงแล้ว เกมการคุมกำลัง หยั่งกันในเชิงอำนาจ ระหว่างทหาร 2 ฝ่าย ได้เริ่มขึ้นมาตั้งแต่การโยกย้ายนายทหารประจำปี 2546 ที่เริ่มมีการขยับ ตท. 10 ขึ้นมาคุมกำลังสำคัญในทุกกองทัพ โดยเฉพาะในกทม. แต่ในช่วงนั้นอำนาจทางการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรยังมีอยู่เต็มเปี่ยม กระแสความนิยมยังไม่ตก จึงไม่มีแรงกระเพื่อมภายในกองทัพออกมาให้เห็น ระบอบทักษิณจึงแทรกเข้าไปวางอำนาจภายในกองทัพอย่างชัดเจนตั้งแต่ยุคพล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตรข้ามห้วยมาขึ้นเป็นผบ.ทบ. และเริ่มวางเพื่อนร่วมรุ่นตท. 5 คุมกำลังหลัก แต่ที่สุดก็มาสะดุดในการโยกย้ายนายทหารประจำปี 2548 อันเป็นประวัติศาสตร์ที่โผทหารถูกเก็บไว้นานเกือบ 1 เดือน และก็ไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลได้เสนอไปรอบแรก จนเกิดรอยร้าวที่ชัดเจนจากกรณี ปากก้าวร้าว-วาจาจาบจ้วง ของลูกผู้พี่ลูกผู้น้องในตระกุลชินวัตร 2 คน นั่นคือ... ทางตรง - พาดพิง ถึงพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ประธานองคมนตรี ในฐานะผู้กลั่นกรองโผ ทางอ้อม - การบอกนักข่าวทำนองว่า ถ้าถือ(โผ)ไปเองเรื่องก็เรียบร้อยแล้ว ถือว่านี่คือการจาบจ้วงพระมหากษัตริย์ ทั้งไม่สนใจขั้นตอนตามที่เคยปฏิบัติมา และไม่คำนึงถึงพระราชอำนาจในฐานจอมทัพไทยตามรัฐธรรมนูญ และพระบรมราชวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญและนิติประเพณี และที่สุด รอยร้าว ที่เกิดขึ้น 2 สาย ระหว่าง พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ ตท.10 -- สายหนึ่ง
และระหว่าง พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร -- อีกสายหนึ่ง ก็ได้มาบรรจบกันเพราะการเปิดยุทธการท้าชนฟ้าจาบจ้วงผู้เสมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549 ก่อให้เกิดปฏิบัติการ:::: หักปีกทักษิณ ::::ขึ้นในห้วงเวลาต่อมาอย่างทันทีทันใด ระยะแรกของปฏิบัติการ ดูประหนึ่งว่าผู้ที่ไม่พอใจคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีไม่มาก และไม่กล้าแสดงตนออกมา จนกระทั่งการเคลื่อนไหวเป็นทัพหน้าของ พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร ในห้วงวันที่ 8 - 14 กรกฎาคม 2549 ที่เริ่มจากปฏิกิริยาเล็ก ๆ จากนายทหารต่างจังหวัด และก็มาถึง สัญญาณธง ที่พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์สวมชุดทหารหมวกเบเร่ต์ดำ ถือโบกสะบัดเหนือโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าในวันที่ 14 กรกฎาคม 2549 เป็น สัญญาณธง ที่ชัดเจนไม่ต้องตีความอ้อมค้อมอีกต่อไป ดูเหมือนว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเพียงคนเดียวที่ไม่เข้าใจความหมายของสัญญาณ หรือหากเข้าใจก็ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ใสนใจ ไม่ใส่ใจ ไม่มีความหมาย เพราะวันรุ่งขึ้นเสาร์ 15 กรกฎาคม 2549 เขาก็ประกาศในรายการวิทยุว่าจะทูลเกล้าฯเสนอร่างพรฎ.กำหนดวันเลือกตั้งในหลังวันที่ 15 สิงหาคม 2549 ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงแล้วร่างพรฎ.ดังกล่าวพ้นจากคณะรัฐมนตรีไปแล้ว อยู่ในขั้นตอนของสำนักราชเลขาธิการ ไม่บังควรที่จะไปก้าวล่วงแต่ประการใด เพราะจะเท่ากับเป็นการกดดันพระเจ้าอยู่หัว ปฏิบัติการ หักปีกทักษิณ 19 กรกฎาคม 2549 จึงเกิดขึ้นอย่างทันควัน::::click :::: และปฏิบัติการนี้ จะรวมถึง การ ไล่ กวาด ล้าง อิทธิพล ของ ระบอบทักษิณ ในกองทัพอย่างขนานใหญ่ตามมาในเร็ววัน ซึ่งไม่เพียงจะส่งสัญญาณต่อระบอบทักษิณว่าห้ามข้องแวะสร้างอิทธิพลเหนือกองทัพเท่านั้น ยังจะส่งผลสะเทือนที่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะนี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนคลื่น ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะเริ่มทยอยแสดงตนปฏิเสธอำนาจของระบอบทักษิณอย่างไม่กลัวเกรงอีกต่อไป สังคมเริ่มจับตาได้แล้วที่กระทรวงการต่างประเทศ กับการเปิดเผยจดหมายถึงคุณพ่อจอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช เชื่อว่าอีกไม่นานจะจับตาเห็นได้ที่กระทรวงการคลัง และกระทรวงอื่น ๆ อีกไม่นานระลอกคลื่นเหล่านี้จะพัฒนาเป็น สึนามิ ถล่มเข้าไปที่พรรคไทยรักไทย และคณะรัฐมนตรีรักษาการ อย่างแน่นอน เป็นเลือดที่ไหลออกชนิดท่วมทะลักชนิดที่เจ้าตัวคาดไม่ถึง ! และทางเลือกของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะเหลืออยู่ไม่มาก !! ที่สุดถ้ายังไม่ยอมรับ สุรามงคล ชะตากรรมที่อาจจบลงด้วยการจำต้องลิ้มรส สุราจับกรอก ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ !!!
//www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9490000093340
สุดยอดจริงๆ
20/07/49 ทภ.3 ออกแถลงการณ์ผ่าน 24 คลื่นวิทยุ แม่ทัพฯ ย้ำจุดยืน เป็นทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จวก ไอ้โม่ง-ทหารเลว เชลียร์ แม้ว ::: click ฟัง ได้ที่นี่:::
::: โดย ผู้จัดการออนไลน์:::
Create Date : 21 กรกฎาคม 2549 |
|
15 comments |
Last Update : 22 กรกฎาคม 2549 21:55:39 น. |
Counter : 959 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: แตนต่อย 21 กรกฎาคม 2549 13:12:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: ดำรงเฮฮา 21 กรกฎาคม 2549 15:45:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: เด็กชิน(ชา)แล้วล่ะครับพ่อแม่พี่น้อง (merf1970 ) 21 กรกฎาคม 2549 16:11:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: แตนต่อย 22 กรกฎาคม 2549 0:21:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: แตนต่อย 22 กรกฎาคม 2549 2:05:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: แตนต่อย 22 กรกฎาคม 2549 2:16:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณย่า 22 กรกฎาคม 2549 7:08:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: แตนต่อย 22 กรกฎาคม 2549 17:55:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: แตนต่อย 22 กรกฎาคม 2549 18:41:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: แตนต่อย 22 กรกฎาคม 2549 18:43:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: แตนต่อย 22 กรกฎาคม 2549 19:33:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: แตนต่อย 22 กรกฎาคม 2549 21:55:10 น. |
|
|
|
|
|
|
|
หน้าที่ของเด็กชิน
ฉบับ ปรับปรุงข้อความใหม่
...เด็กเอ๋ย เด็กชิน ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน...
เด็กเอ๋ย เด็กชิน ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน
หนึ่งนับถือ ตระกูลหนา
สองรักษา ความเลว มั่น
สามเชื่อ โคตรเหง้าพจมาน
สี่วาจานั้นต้อง สร้างความร้าวฉาน
ห้ายึดมั่น ข้างพวกกู***
หกเป็นผู้รู้ รักคนพาล
เจ็ดต้อง อิจฉาเข้าสันดาน ต้องมานะบากบั่น ข่มขู่คนค้าน**
แปดรู้จัก โกงสะบัด
เก้า ตระบัดสัตย์ ตลอดกาล
น้ำใจ นักกินเมืองล้างผลาญ ให้เหมาะแก่กาลสมัย ชาติทักษิณา
สิบทำตนให้ ไร้ประโยชน์ล้อบาปบุญคุณโทษเร่งขายชาติศาสนา
เด็กสมัย ชาติทักษิณา จะเป็นเด็กที่พา ชาติล่มจมเอยฯ
เด็กเอ๋ย เด็กชิน ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน
เด็กเอ๋ย เด็กชิน ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน