ศีล สมาธิ ปัญญา
หลังจากที่ได้อ่านนิยายเกี่ยวกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนาและดูละครกาษานาคาแล้ว ทำให้เกิดความรู้สึกอยากขีดๆเขียนๆถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตัวเองออกมาเป็นบทความบ้างค่ะ
ก่อนหน้านี้ผู้เขียนยอมรับว่าไม่เคยเชื่อเรื่องศาสนาเลยตั้งแต่เด็ก ถึงจะเข้าวัดทำบุญบ้าง แต่ไม่เคยตั้งจิตทำสมาธิสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลเลย เพราะไม่เชื่อว่าเรื่องเหล่านี้จะมีอยู่จริง อาจจะเพราะเป็นคนที่เชื่อแต่เรื่องที่มองเห็นได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ทำให้ผู้เขียนตระหนักได้ว่า เรื่องบางเรื่อง คนเรามองเห็นไม่ได้ แต่เราสัมผัสได้ ขึ้นอยู่กับศรัทธาและจิตว่ามั่นคงมากน้อยแค่ไหน
ประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้สัมผัสมาทำให้เริ่มเชื่อในอานิสงส์ของการสวดมนต์ปฏิบัติธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่งมงาย แต่เป็นการปฏิบัติธรรมและดำเนินชีวิตในกรอบศีลธรรมที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น
ยิ่งได้อ่านนิยายและดูละคร บางคนอาจมองว่าเป็นแค่สิ่งที่แต่งขึ้นมา แต่ถ้าหากว่าเรื่องเหล่านี้ไม่มีอยู่จริงเสียแล้ว แล้วทำไมผู้ที่เขียนเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาจึงมีความคิดเชื่อในเรื่องเวรกรรมและการทำบาปบุญคุณโทษได้ ยิ่งเมื่อผู้เขียนได้ศึกษาทางด้านปรัชญาและวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นก็ยิ่งเห็นว่าพระพุทธศาสนาผสมผสานทั้งความเป็นศาสตร์และศิลป์ไว้ได้อย่างคมคาย แม้แต่ไอสไตน์เอง ในระยะสุดท้ายของชีวิตก็ถึงกับอุทิศให้กับการเข้าถึงพระพุทธศาสนาด้วยตัวเองทีเดียว ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ผู้คนจำนวนน้อยทราบเท่านั้น
อันที่จริง ผู้เขียนไม่ต้องการถูกมองว่างมงาย หรือกู่ไม่กลับ แต่การสวดมนต์ทำสมาธิส่งผลต่อจิตใจ ไม่ใช่สิ สำหรับตัวผู้เขียนเองขอใช้คำว่าส่งผลต่อการควบคุมจิตใจจะเหมาะสมกว่า
การได้ปฏิบัติธรรมทำให้จิตใจสงบและเย็นลง จากที่ทุกข์ก็เริ่มมองเห็นทางสว่าง มองเห็นแนวทางการแก้ปัญหา และที่สำคัญคือทำให้ตัวผู้ปฏิบัติธรรมเองรู้สึกว่าตัวเองสามารถควบคุมสิ่งที่สามารถควบคุมได้อย่างมีสติ
สิ่งนี้ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง
ก่อนหน้านี้ผู้เขียนขอยอมรับอีกเรื่องว่าไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับการรักษาศีลเท่าใดนัก แ ต่เมื่อได้ลองพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าการรักษาศีลเป็นการละทิ้งสิ่งที่ก่อให้เกิดกิเลส อันทำให้จิตใจไม่สงบ ไม่จิตใจไม่สงบเสียแล้ว การทำสมาธิก็เกิดขึ้นไม่ได้ แล้วเมื่อไม่มีสมาธิ ก็ไม่เกิดปัญญา คือมองไม่เห็นทางสว่าง จิตใจที่เร่าร้อนก็วิ่งวนเวียนอยู่ในความมืดมน มองไม่เห็นทางออก เพราะจิตใจยังโดนกิเลสครอบงำ อีกนัยหนึ่งก็คือ หากจิตตั้งอยู่นิ่งๆ จะมีสภาพเป็นกลาง แต่กิเลสทำให้การควบคุมจิตให้เป็นกลางเกิดขึ้นไม่ได้ กล่าวคือกิเลสเป็นตัวปรุงแต่งให้จิตเกิดความฟุ้งซ่านนั่นเอง
Create Date : 04 พฤศจิกายน 2550 |
|
3 comments |
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 3:20:36 น. |
Counter : 436 Pageviews. |
|
|
|
ส่วนตัวเราไม่เชื่อเรื่องศาสนา บุญ บาป เหมือนกันนะ
(โดยเฉพาะ motto ประเภท "ทำดีถวาย xxx" หรือ "บวชให้พ่อให้แม่" มันดูล่องลอยยังไงชอบกล)
แต่ถ้าทำสมาธิแล้วส่งผลดีต่อการควบคุมจิตใจจริง ก็ดีแล้ว.. และที่ดีที่สุดคือ เพียงค้นพบสิ่งนี้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ออกมาชื่นชมความดีโดยที่ยังไม่เคยสัมผัส ตรงนี้แหละที่น่าชื่นชม โฮ่ๆๆ
แต่เรื่อง Einstein มีคนแย้งว่าไม่จริงนะ.. อันนี้เราก็ไม่รู้ว่ะ