Pilgrim's Beautiful days...Beautiful mind
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
10 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
สวนเรือนกระจก

รางรถไฟที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า ตัดผ่านโรงงานเล็กๆ และทุ่งนาป่าเขา
สองข้างทางเขียวขจี สดสวยไปด้วยดอกไม้ป่า ที่ขึ้นสลับสล้างอยู่ริมทาง โบกไหวไปกับสายลมที่ล้อโยนแกว่งไกว
ฉันเหม่อมองออกนอกหน้าต่าง ด้วยความตื่นเต้น
วันนี้สินะ คือวันที่ฉันกำลังจะเดินทางไปหาเธอ ด้วยความคิดถึง

ฉันกำลังอยู่บนขบวนรถไฟแห่งความคิดถึง รถไฟที่แล่นไปตามรางพาหัวใจฉันโลดแล่นด้วยความตื่นเต้นที่จะได้พบเธออีกครั้ง

ท้องฟ้าสีเทาเข้มแผ่ผืนคลุมโดยรอบ อีกไม่นานหรอกนะ ฝนคงจะตก...แต่ฉันไม่กลัว เพราะฉันรักสายฝนที่นี่จับใจ

นั่นไง เธอเดินเข้าสถานีมาแล้ว ส่งยิ้มเผล่มาแต่ไกล ฉันรู้ว่าเป็นเธอ เพราะจดจำแววตาขี้เล่นช่างยั่วเย้าคู่นั้นได้
ดวงตาคู่สีฟ้าอมเทาของเธอมักจะส่งรอยยิ้มแบบมีเลศนัย ราวกับเด็กซุกซน และเมื่อเธอเปล่งคำพูดหยอกเย้าใคร มันก็จะให้ความรู้สึกแสบๆคันๆ จนเพื่อนๆบางคนขยาดกลัวเธอ และกล่าวหาว่าเธอเป็น "นักเสียดสี" ตัวร้าย
แต่ทำไมฉันถึงได้รู้สึกสนุกไปกับอารมณ์ขันเจ็บๆของเธอก็ไม่รู้ หรือว่าฉันก็เป็น "นักเสียดสี" ไม่แพ้เธอเหมือนกัน
วันนี้เธอใส่แว่นสายตากระจกใส ไม่ใช่คอนแทคเลนส์เหมือนเคย ฉันดูเธอทรงภูมิราวกับศาสตราจารย์ผู้ชาญฉลาด


เราเดินฝ่าสายฝนที่โรยกระหน่ำลงมาค่อนข้างจะแรงมุ่งไปยังสวนฤดูหนาว หรือที่เธอบอกฉันว่า ชื่อของมันคือ Winter garden





ฉันเคยมาที่สวนแห่งนี้ ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ตอนที่แวะมาต่อรถไฟ ณ เมืองเชฟฟิลด์ เมืองอันมีตำนานแห่งอุตสาหกรรมเหล็กกล้าอันยาวนานแห่งนี้ แต่วันนี้ ตำนานนั้นได้ปิดฉากลง คงเป็นเพราะทรัพยากรที่ร่อยหรอ สิ้นสูญไป

ขณะที่เรานั่งดื่มชาร้อนๆบนระเบียงชั้นสามของร้านน้ำชาภายในมหาวิทยาลัย พลันสายฝนก็โปรยลงมา พร้อมกับท้องฟ้าที่หม่นมัว
เราเพิ่งกินพาสต้ากันมาคนละจานใหญ่ๆ จากร้านอาหารหรูในเมืองที่เธอพาฉันไปเลี้ยง ดังนั้น ทั้งเธอและฉันจึงนั่งกันอย่างเกียจคร้านอยู่ในร้านน้ำชาแห่งนี้ หลังจากเธอพาฉันเดินชมเมืองเชฟฟิลด์และมหาวิทยาลัยที่เธอไปเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่นั่น

ฉันรู้สึกชื่นชมกับอนาคตอันสวยงามของเธอ และดีใจที่ไถ่ถามเธอแล้ว เธอบอกว่า มีความสุขกับงานที่ทำ
ใครก็ตามที่มีความสุขกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ ฉันว่าช่างโชคดีเสียนี่กระไร

เมื่อสายฝนเริ่มซาเม็ดลง เราพากันเดินลัดเลาะกลับมาตามทางเดิม เพื่อไปยังสวนฤดูหนาว แต่ขณะเดิน สายฝนก็พลันโปรยปรายลงมาหนักอีก ฉันเลยหยิบร่มที่ติดตัวมาออกมากางให้เธอ ก่อนหยิบร่มออกมา เธอยังถามฉันแบบติดตลกว่า
"ร่มคุณสีอะไร แดงหรือว่าชมพู" เธอคงคิดว่าฉันน่ะ ผู้ยิ้ง...ผู้หญิง
ฉันรู้ว่า หนุ่มอังกฤษเลือดรักชาติอย่างเธอ ไม่มีวันยอมใช้ร่มสีแดงหรือสีชมพูเด็ดขาด เธอคงจะยอมเปียกปอนเหน็บหนาวเพื่อรักษาความรู้สึกหยิ่งทะนงแบบผู้ชายเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์
โดยเฉพาะกับคนอังกฤษขนานแท้ด้วยแล้ว ภาพที่ฉันได้พบคือ ร่มสีดำและเสื้อผ้าสีเข้มทึมจะเป็นสิ่งที่อยู่คู่วัฒนธรรมของพวกเขา
และฉันก็ดีใจที่ร่มของฉัน แม้มันจะไม่ใช่สีดำ แต่มันก็เป็นสีกากี นั่นค่อยเหมาะกับความเป็นผู้ชายของเธอหน่อย

เราเดินเคียงคู่กันมาในร่ม ท่ามกลางสายฝนพรำ จนในที่สุด ก็มาถึงสวนฤดูหนาวกลางเมือง




สวนแห่งนี้เป็นเรือนกระจกปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับพืชเมืองร้อนหลายหลากพรรณ เป็นสวนที่ได้รับรางวัลด้านความงามและการสร้างสรรค์ และเป็นความภาคภูมิใจของชาวเมืองเชฟฟิลด์

ในสวนเรือนกระจกเป็นพื้นที่สีเขียว ที่มีดอกไม้เบ่งบาน ใบไม้ผลิใบเขียวแม้ในฤดูหนาว เป็นสวนที่ต้นไม้ พรรณไม้เติบโต เบิกบานสวยงามข้ามกาลเวลาอย่างยั่งยืน มิต้องพักคำนึงถึงร้อน ฝน หนาว




ไมเคิล พาลิน นักเขียนชาวเมืองเชฟฟิลด์กล่าวไว้ว่า
"สวนฤดูหนาว เป็นสวนที่สวยงามอย่างเหลือจะกล่าว มีสัดส่วนในการสร้างที่ทรงพลังมาก ผมชอบไม้ที่นำมาแต่งสร้างในสวนนี้ เพราะไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน คุณก็จะได้เห็นแต่ผนังคอนกรีตทุกหนทุกแห่ง ดังนั้น การได้มองเห็นโครงสร้างที่เป็นไม้ จึงทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติ ไร้สารปรุงแต่ง ผมชอบที่มันติดกับ Millennium Galleries ด้วย ซึ่งเป็นอาคารอีกแห่งหนึ่งที่สวยงามเช่นกัน"





ฉันและเธอก้าวเข้าสู่สวนฤดูหนาว เธอหุบร่มและสลัดน้ำฝนให้หยดลงบนพื้น ฉันรับร่มมาถือไว้ แล้วเราก็เดินเข้าไปชมนิทรรศการใน Millennium Galleries ซึ่งกำลังจัดแสดงงานประดิษฐ์คิดค้นด้านการออกแบบทางศิลปกรรมต่างๆในยุโรป ฉันเห็นป้ายห้ามถ่ายรูป จึงระงับใจไม่หยิบกล้องออกมา
ยังจำได้เมื่อฉันหยุดถ่ายรูปตามถนนหนทาง เธอก็หยุดยืนรอแล้วเอ่ยล้อๆว่า
"คุณนี่ ทำเหมือนนักท่องเที่ยวเลย" ฉันกลัวเธอจะรำคาญเลยบอกว่า "คุณก็เดินไปก่อนซี เดี๋ยวฉันวิ่งตามเองก็ได้" แต่ฉันรู้ว่า เธอจะไม่ปล่อยให้ฉันวิ่งตามแน่นอน

"คุณรู้ไหม สวนนี้เป็นเรือนกระจกกลางใจเมืองที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในยุโรปเชียวนะ"
ฉันพยักหน้าอย่างทึ่งๆ ตามประวัติของสวนนี้ มีการริเริ่มโครงการในปี 1996 จากนั้น ก็ค่อยๆปลูกสร้างและสะสมพืชพรรณไม้ มีการจัดภูมิทัศน์ของสวนอย่างงดงาม เปิดให้ชาวเมืองและผู้มาเยือนเข้าชมได้ โดยไม่คิดเงิน ตั้งแต่เวลาแปดโมงเช้าถึงหกโมงเย็น
ฉันอ่านประวัติของสวน พบว่า สถาปนิกผู้ออกแบบ คือกลุ่ม Pringle Richards Sharratt Architects ความกว้างยาวของสวนมีขนาด 70 เมตร คูณ 22 เมตร ความสูงของหลังคาโค้ง 21 เมตร





อุณหภูมิที่ปรับไว้ภายในสวน สามารถป้องกันพืชพรรณไม้ได้ที่ระดับความหนาวเย็นถึง 4 องศาเซลเซียส

โครงสร้างไม้ที่ใช้ เป็นพืชไม้ในตระกูลต้นลาร์ช ซึ่งเป็นไม้เมืองหนาวที่ทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศ เมื่อนำมาปลูกสร้าง ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีเคลือบหรืออาบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อพืชพรรณไม้ในเรือนกระจกได้

เธอกับฉัน คุยกันถึงเรื่องราวที่ผ่านมาและผู้คนที่เราต่างได้พบพาน ฉันบ่นให้เธอฟังถึงใครบางคนที่ไร้น้ำใจและเย็นชา ไม่เคยสนใจไยดีกับความยากลำบากของคนอื่นๆ ไม่อยากจะช่วยเหลือใคร แม้จะอยู่ในภาวะที่ช่วยได้
เธอให้คำปลอบโยนฉันอย่างน่าประทับใจว่า
"อย่าคิดอะไรมากเลย บางทีคนพวกนั้น เขาหมดไฟไปนานแล้ว เขาอาจจะอยู่บนโลกนี้มานาน จนรู้สึกว่า อะไรๆก็ไม่มีความหมายกับเขา นอกไปจากตัวเขาเอง"
ฉันอึ้งไป เพราะเห็นจริงอย่างที่เธอว่า มันเหมือนเธออยากจะสื่อว่า
"บางทีเขาก็อาจมีปัญหาอะไรอยู่ในใจเขาเอง ที่เราไม่อาจเข้าไปรู้ได้นะ"

คำพูดของเธอเหมือนเป็นคำประนีประนอมกลายๆ ที่ฟังแล้วทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้น โลกนี้มันไม่ได้มีแต่สีดำหรือสีขาวนะ...ฉันคิด บางอย่างมันไม่ใช่สีดำ แต่มันก็ไม่ได้เป็นสีขาว มันไม่มีอะไรที่ควรจะสุดขั้วไปแบบนั้น
เหมือนท้องฟ้าอุ้มเมฆฝนขณะนี้ ที่มันเป็นสีเทามัวมน
เธอทำให้ฉันรู้สึกได้ ถึงความเห็นอกเห็นใจที่เราจะพึงมีต่อผู้อื่น แม้จะหยิบยื่น แบ่งปันอะไรกันไม่ได้ แต่อย่างน้อยความเข้าใจที่มีให้ต่อกัน ก็ทำให้โลกดูจะสดใสขึ้น
เราเองก็ไม่ควรจะเป็นฝ่ายรอที่จะรับจากคนอื่นแต่เพียงฝ่ายเดียว
แม้ว่าเราจะไม่ได้รับความเห็นใจจากคนอื่น แต่ถ้าเราเข้าใจและคิดอะไรที่เป็นไปในเชิงบวก นั่นก็จะเป็นการสร้างความสงบสุขในใจของเราเอง

ภายในสวนมีผู้คนไม่มากนัก คาดว่าเป็นวันทำงานและฝนตก บรรยากาศจึงชวนเงียบเหงา
สวนแห่งนี้มีพืชพรรณไม้หลากหลายถึง150 สปีชีส์ รวมเป็นต้นไม้ราวๆ 2,000 ต้นมาจากทั่วทุกมุมโลก เช่น พืชปาล์มเมืองร้อน พืชน้ำ พืชทะเลทราย และ ดอกไม้สีสันสดใส





เมื่อเดินดูนิทรรศการเสร็จ เธอก็เอ่ยล่ำลา บอกว่าเธอคงต้องกลับไปทำงานต่อแล้ว
ภายนอกสวน ฝนยังตกพรำๆ เธอคงจะเปียกปอนเมื่อเดินกลับไปที่ทำงาน
ฉันรู้สึกเศร้าอยู่ในใจ นี่ละหรือ คือเวลาแห่งการจากพราก
"กว่ารถไฟขบวนที่ฉันจะขึ้นกลับบ้านจะออกก็อีกราวๆชั่วโมงครึ่ง เดี๋ยวฉันจะเดินเตร็ดเตร่แถวนี้ก่อนแล้วกันนะ"
"ผมขอโทษที่อยู่กับคุณไม่ได้ แต่ผมต้องกลับไปทำงาน นอกจากสวนนี้แล้ว คุณจะเดินข้ามไปฝั่งตรงข้ามก็ได้นะ มีห้องสมุด แล้วขึ้นบันไดไปชั้นสามจะเป็นแกลเลอรี่แสดงภาพเขียน คุณเดินกลับไปสถานีรถไฟถูกใช่ไหม"
"ถ้าถึงตรงนี้แล้วไปถูก มันไม่ไกลเท่าไหร่แล้วนี่"
"ไม่ไกลแล้วละ เอาละ ผมขอให้คุณโชคดี และประสบผลสำเร็จทุกอย่างที่คุณปรารถนา อย่าได้กลัวกับอะไรที่จะเกิดขึ้น คนอื่นเขาเผชิญกับมัน แล้วผ่านมาได้ คุณก็จะผ่านมันไปได้เหมือนกัน บางทีมันอาจจะดีกว่าที่คุณคิด คุณคาดหวังไว้ก็ได้ ไม่ต้องกลัวนะ แล้วมีอะไรก็บอกให้ผมรู้บ้าง"

นี่คือ คำพูดปลอบโยนที่แสดงถึงมิตรภาพที่ซาบซึ้งใจ จากบุคคลที่ฉันเชื่อว่า เขาจะปรารถนาดีกับฉันเสมอ ฉันเดินจากเขามา เพราะเกรงว่ามิอาจจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้

ฉันเดินข้ามฝั่งไปดูภาพเขียนในแกลเลอรี่ของห้องสมุดประชาชนประจำเมือง เหลือบมองไปบนถนนหนทางที่มีผู้คนเดินมาไม่ขาดสาย แต่ไม่มีแม้แต่เงาเธอแล้ว
คำปลอบโยนและความดีของเธอ ทำให้ฉันอ่อนแอ

ภายในหอศิลป์ แสงไฟที่สลัวอึมครึม สร้างบรรยากาศที่ดีให้กับฉัน กับน้ำตาที่ไหลพรั่งพรายเพราะรำลึกถึงความดีของคนดีๆอย่างเธอ และสิ่งดีๆที่ฉันได้พบในชีวิตนี้
ฉันเดินดูภาพวาดของศิลปินเลื่องชื่อเหล่านั้น ท่ามกลางม่านน้ำตาของตัวเอง
เมื่อหอศิลป์ได้เวลาปิด ฉันเดินกลับมาที่สวนฤดูหนาวอีกครั้ง เพื่อมาดูสถานที่ที่เราต่างเอ่ยคำล่ำลาต่อกัน
ต้นไม้เขียวๆและดอกไม้สีสันสดใส ทำให้จิตใจของฉันเบิกบานขึ้นมาอีกครั้ง

ภายในสวนเรือนกระจกตกแต่งไว้งดงามด้วยฝีมือของนักจัดสวนชั้นยอดของอังกฤษ บางช่วงมีเก้าอี้ม้านั่งเรียงรายให้ผู้มาเยือนได้นั่งพักผ่อนทอดสายตาอยู่ท่ามกลางหมู่แมกไม้เขียว
บางช่วงทำเป็นลำธารไหลเลาะ มีแอ่งน้ำตกเล็กๆ
ฉันเห็นในแอ่งน้ำตกแห่งนั้น มีเงินเหรียญจมอยู่มากมาย คงเป็นนักเดินทางที่โยนไว้เป็นที่ระลึก ฉันรู้สึกว่าผู้คนทางซีกโลกแถบนี้ จะนิยมโยนเงินเหรียญไว้ในแอ่งน้ำหรือบ่อน้ำทุกแห่ง เขาคงมีความเชื่อว่า เมื่อโยนแล้ว จะได้กลับมาเยือนอีก





หลายครั้ง หลายหนนะ ที่คนเราต้องฝ่าฟันวิบากขวากหนามในชีวิตอย่างลำพังโดดเดี่ยว ด้วยตัวของเราเอง เหมือนต้นไม้ที่หยัดต้นโตไปตามฟ้าตามฝนในธรรมชาติ
ชีวิตของคนหลายๆคน คงไม่สามารถเป็นพรรณไม้ในเรือนกระจกใดๆได้ เพราะมันเป็นการเติบโตในสิ่งแวดล้อมที่ต่างที่ ต่างถิ่น ต่างฤดูกาล และต้องอาศัยมือของคนอื่นมาช่วยทำนุบำรุง กล่อมเกลี้ยง เลี้ยงดู ประคบประหงม เฝ้าดูแล ไม่ว่าจะเป็นยามหนาวหรือยามร้อน

ถ้าฉันเลือกได้ ฉันคงขอเป็นพรรณไม้ที่เติบต้นกลางสายลม แสงแดด และสายฝนตามธรรมชาติ เติบโตอย่างเข้มแข็งไปตามกาลเวลา
อาศัยเพียง หยาดน้ำฟ้าที่โปรยปรายมารินรดเพียงบางครั้งบางคราวนั่นก็คงพอแล้ว
ฉันอยากจะมีหัวใจที่เข้มแข็งมากกว่าหัวใจที่อ่อนแอ

เมื่ออยู่ในสวนเรือนกระจก ฉันไม่คิดจะโยนเหรียญลงในแอ่งน้ำ เพื่อที่จะได้กลับมาเจอเธออีก เพราะฉันรู้ว่า การจากกันครั้งนี้ ไม่ว่าจะได้พบหรือไม่ได้พบกันอีก แต่ในใจฉันจะยังมีเธออยู่เสมอ
ความดีและความงดงามแห่งจิตใจของเธอ จะติดตามฉันไปทั้งยามหลับและยามตื่น
และนั่นทำให้จิตใจฉันเข้มแข็ง ราวกับต้นไม้ที่รับฝนพรำเพื่อจะได้เติบโตยิ่งขึ้นไปท่ามกลางทะเลทรายแห่งชีวิตในรอยต่อของกาลเวลา




Create Date : 10 ตุลาคม 2550
Last Update : 10 ตุลาคม 2550 0:07:04 น. 4 comments
Counter : 1071 Pageviews.

 
พี่เข้ามเที่ยวสวนกระจกแต่เช้าเลย แต่ติดค้างไว้ก่อนนะ ค่อยมาอ่านต่อ จ้า เห็นความโค้งของสวน เมื่อเดินในอุโมงค์เลย แล้วตื่นเต้นดีจ๊ะ


โดย: dolores วันที่: 10 ตุลาคม 2550 เวลา:4:55:03 น.  

 
ชอบประโยคนี้เช่นกันค่ะ

"อย่าคิดอะไรมากเลย บางทีคนพวกนั้น เขาหมดไฟไปนานแล้ว เขาอาจจะอยู่บนโลกนี้มานาน จนรู้สึกว่า อะไรๆก็ไม่มีความหมายกับเขา นอกไปจากตัวเขาเอง"
ฉันอึ้งไป เพราะเห็นจริงอย่างที่เธอว่า มันเหมือนเธออยากจะสื่อว่า
"บางทีเขาก็อาจมีปัญหาอะไรอยู่ในใจเขาเอง ที่เราไม่อาจเข้าไปรู้ได้นะ"

ตรงใจมากค่ะ...

ดีใจจังค่ะ ที่พี่พิลกลับมาแล้ว สบายดีนะคะ คิดถึงนะคะ


โดย: Hachi_chan วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:21:21:41 น.  

 
รักนะจุ๊บๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


โดย: เด็กพัทลุง IP: 61.7.166.181 วันที่: 9 มกราคม 2551 เวลา:14:51:55 น.  

 
นึกแล้วว่าต้องอ่าน

คิดถึงคนอ่าน


โดย: เด็กเมืองพัทลุง IP: 61.7.166.181 วันที่: 9 มกราคม 2551 เวลา:14:55:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

navyblue
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Beautiful days...Beautiful mind เป็นคนเริ่มแก่ค่ะ แต่ก็ยัง"เก๋า" พอประมาณ หลังจากไปร่ำเรียนหนังสือ ที่มหาวิทยาลัยในเกาะบริเทน แถว East Midlands ใช้เวลาเรียนเกือบ 5 ปี เพราะเรียนไปเที่ยวไปตามใจฉัน ตอนนี้กลับมาทำงานรับใช้ชาติอยู่ในประเทศไทย ในเมืองหลวง ชีวิตการทำงานก็เหนื่อยดี เพราะงานเยอะมาก ๆๆๆๆๆ ตอนนี้ก็ทำงานไป เที่ยวไปตามใจฉันแบบเดิมๆ ชีวิตนี้มีทั้งสาระและไร้สาระค่ะ
Friends' blogs
[Add navyblue's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.