เมื่อเสร็จสิ้นการนำเสนอประวัติเบียร์แล้ว พวกเราเดินต่อไปยังห้องจัดแสดงห้องที่สอง ซึ่งจัดแสดงโมเดลจำลองของพื้นที่โรงงานเบียร์ไฮนาเก้น ซึ่งมีเจ้าหน้าที่อธิบายแต่ละส่วนของโรงงานอย่างคร่าวๆ นอกจากนี้ห้องนี้ยังจัดแสดงรางวัลที่ไฮเนเก้นได้รับอีกด้วยล่ะ พวกเราเดินดูกันสักพัก จากนั้นก็ย้ายเข้าสู่ห้องบรรยาย เพื่อฟังบรรยายขั้นตอนการผลิตเบียร์ไฮเนเก้นต่อไปล่ะ
ประเทศไทยเบียร์ได้เริ่มเป็นที่นิยมหลังจากเริ่มต้นศตวรรษใหม่ บริษัทเบียร์แห่งแรกของประเทศก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2477 โดยผลิตเบียร์ขายเฉพาะภายในประเทศ ส่วนเบียร์น้ำเข้าหลายหลากชนิด ดังเช่นจากประเทศญี่ปุ่น ประเทศเดนมาร์ก และประเทศเยอรมนี จะมีวางขายในร้านขายเบียร์หรือ Beer Halls ในภัตตาคารและในโรงแรมซึ่งภายในระยะเวลาอีกไม่นานเบียร์ไฮเนเก้นก็เริ่มปรากฏสู่ตลาดประเทศไทยด้วยรสชาติที่กลมกล่อมไม่ซ้ำใคร ซึ่งไฮเนเก้นยังคงใช้ตำรับดั้งเดิมไม่เปลี่ยนแปลงแม้กระทั้งกระบวนการหมักบ่มที่ยาวนานจึงทำให้เบียร์ไฮเนเก้นมีรสชาตินุ่ม สดชื่นจึงทำให้นักดื่มทั่วโลกมั่นใจในคุณภาพและรสชาติของเบียร์ไฮเนเก้น และกลายเป็นขวัญใจของนักดื่มเบียร์ชาวไทยในที่สุด
สำหรับเบียร์ไฮเนเก้น เค้าแบ่งระดับเบียร์ไว้สามระดับ ได้แก่ 1. ระดับ Premium เป็นเบียร์ไฮนาเก้น ใช้เวลาหมักและบ่มยาวนานถึง 28 วัน 2. ระดับ Standard เป็นเบียร์ไทเกอร์ ใช้เวลาหมักและบ่มยาวนานถึง 18 วัน 3. ระดับ Economy เป็นเบียร์เชียร์ ใช้เวลาหมักและบ่มยาวนานถึง 11 วัน และการผลิตแต่ละครั้งจะต้องส่งตัวอย่างเบียร์ไปตรวจที่ประเทศฮอลแลนด์กันเลยทีเดียว โดยใช้เวลา 3 วัน เพื่อตรวจสอบ สี กลิ่น รสชาติ ให้ได้มาตรฐานจากไฮเนเก้นแท้ๆ ล่ะ และเมื่อได้รับผลแล้วสินค้าในล็อตนั้นก็ถูกจัดจำหน่ายไปยังผู้บริโภคอย่างเราๆ นี่ล่ะ เห็นไหมล่ะของเค้าดีจริงๆ
พี่ๆ ที่ไฮเนเก้นเค้ายังบอกอีกว่า ที่โรงเบียร์แห่งนี้มีนักชิมเบียร์ด้วยล่ะ ซึ่งกว่าจะเป็นนักชิมก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะต้องผ่านการทดสอบตามกระบวนการด้วย ว่ากันว่า ส่วนใหญ่คอเบียร์มักสอบไม่ค่อยผ่านหรอก คนที่ผ่านส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนทานเหล้าน้อยนั่นแหละที่ผ่าน งานนี้คอทองแดงไม่ช่วยอะไรเลยจริงๆ
สำหรับส่วนประกอบในการทำเบียร์ไฮนาเก้นนั้นประกอบด้วย
1. ข้าวมอลท์บาร์เล่ย์ 100%
2. ดอกฮ็อปบริสุทธิ์
3. เอ-ยีสต์สูตรเฉพาะ
4. น้ำบาดาล
อันสุดท้ายนี่แหละที่แปลก เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าก่อนจะมาตั้งโรงงานที่นี่ก็มีการสำรวจแหล่งน้ำบาดาล ซึ่งปรากฏว่าที่นี่เป็นแหล่งน้ำบาดาลที่ดีที่สุด จากนั้นก็เป็นการบรรยายถึงขั้นตอนการทำเบียร์ไฮเนเก้น โดยเริ่มจากต้มข้าวไปจนถึงกรองจนใสเลยล่ะ ซึ่งแต่ละขั้นตอนก็มีมาให้พวกเราได้ชิมกันด้วยล่ะ ว่ารสชาติแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างไร
สำหรับเราคอเบียร์อยู่แล้วมีหรือจะพลาด ชิมมันตั้งแต่ข้าวบาร์เล่ย์เป็นเม็ดๆ เลยล่ะ โดยข้าวบาร์เล่ย์จะมีลักษณะคล้ายเมล็ดทานตะวันแต่พอทานแล้วรู้สึกชาๆ ที่ปลายลิ้นแหละ และก็มีตัวอย่างดอกฮ็อปที่ผ่านกรรมวิธีแล้วมาให้ดูด้วยล่ะ แต่กลิ่นของยีสต์นี่ยี้มากๆ เลยอ่ะ จากนั้นก็เริ่มชิมแต่ละขั้นตอน
ว่าแต่เบียร์ก่อนกรองด้วยสารส้มนั้นมีก็รสชาติเข้มกว่ากรองแล้วเสียอีก ลองชิมไปชิมมาชักเริ่มได้ที่แล้วล่ะ มีฝรั่งคนหนึ่งที่ไปด้วยบอกว่า "ให้ลองน้อยไปหน่อยนะ" ซะงั้น
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พาไปชมกระบวนการผลิตเบียร์ไฮเนเก้นล่ะ โดยเข้าไปในโรงงานซึ่งเค้าไม่อนุญาติให้บันทึกภาพ
เกร็ดความรู้จากโรงเบียร์ !!
ไฮเนเก้นผลิตจากฮ็อปส์ ยีสต์ มอลต์ .. และเวทมนตร์. ในอดีตคนจะนำดาวแดงไปแขวนหนือหม้อต้มเบียร์ เพื่อเป็นเวทมนตร์ป้องกันวิญญาณร้ายที่จะมาทำให้รสชาติเสีย ตั้งแต่ปี 1873 ไฮเนเก้นได้บรรจุสัญลักษณ์ดาวแดงบนไฮเนเก้น เพราะยังคงเชื่อประเพณีดั้งเดิมที่มีค่าควรแก่การเก็บรักษา ..
พวกเราออกจากห้องพิพิธภัณฑ์เบียร์ไฮเนเก้น ตรงไปยังโรงผลิตเบียร์ ซึ่งก็จะเดินผ่านถังบรรจุเบียร์ขนาดใหญ่ พี่ๆ เจ้าหน้าที่บอกกับเราว่า 1 ถังที่เราเห็นนั้นผลิตได้ 300,000 ลิตรเลยทีเดียว ภายในโรงงานไฮเนเก้นถูกจัดระเบียงวางผังได้อย่างดีทีเดียวล่ะ เราเข้าไปห้องแรกก็พบกันหม้อขนาดใหญ่ยักษ์วางเรียงกันสามใบ เจ้าหน้าที่อธิบายว่า ใช้เวลาต้มในแต่ละขั้นตอนประมาณชั่วโมงครึ่งล่ะ แต่เนื่องจากโรงงานหยุดเสาร์อาทิตย์ วันนี้เลยอดเห็นตอนต้มเลย
จากนั้นพวกเราก็เดินต่อไปยังห้องถัดไป ซึ่งเป็นกระบวนการบรรจุขวดแล้วล่ะ ซึ่งเริ่มตั้งแต่การล้างขวด คัดเลือกขวดโดยสแกนด้วยอินฟาเรด จากนั้นก็บรรจุ แล้วกลับมาติดฉลาก ตื่นตาตื่นใจกันเลยทีเดียว ที่นี่มีเครื่องจักรที่เป็นเมนหลักของการผลิตด้วยล่ะ แถมยังมีชื่อเก๋ไก๋ว่า "คุณลำใย" อีกต่างหาก ที่สำคัญหยุดวันเสาร์อาทิตย์ด้วยล่ะ สำหรับการเยี่ยมชมการผลิตนี้ก็ใช้เวลาเกือบๆ ชั่วโมงเห็นจะได้ล่ะ ซึ่งเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินย้อนกลับทางเก่า เพื่อเข้าสู่พิพิธภัณฑ์เบียร์ ว่าแต่น้องเราท่าจะแย่ แก่แล้วก็งี้แหละน้อง ก็เลยมานั่งหมดสภาพอย่างที่เห็น
กำหนดการต่อไปเป็นกำหนดการที่ทุกคนรอคอย นั่นก็คือได้ชิมเบียร์สดๆ จากโรงงานไฮเนเก้น เรามาดูบรรยากาศกันเลยดีกว่า
บรรยากาศภายในห้องนี้จำลองร้านอาหารมาเลยล่ะ ดนตรีสไตล์คันทรี จิบเบียร์เย็นๆ มีเลย์แถมเป็นกับแกล้มอีกต่างหาก โห ได้ใจไปเลยอ่ะ
วันนี้มีกลุ่ม Channel V มาด้วย ที่เห็นในรูปเป็นดีเจจาก Channel V อยากลองเสริฟ์เบียร์ดูบ้าง พอดีว่าเป็นช่วงที่เราไปขอเบียร์พอดีก็เลยเก็บรูปมาฝาก ด้วยส่วนตัวอ่ะไม่รู้จักอ่ะ เพิ่งมารู้ตอนหลังจากเพื่อนๆ นี่ล่ะ
ช่วงนี้ก็เป็นช่วง Enjoy Eating สำหรับพวกเราแล้วล่ะ นั่งกินอยู่ก็มีดีเจคนเดิมนั่นแหละมาสัมภาษณ์ไปออกรายการด้วย สักพักก็มีฝรั่งมานั่งแจมด้วย ต้องบอกว่า Loyalty Heineken สุดๆ อ่ะ เพราะเห็นดื่มเบียร์ไฮเนเก้นตั้งแต่ก่อนขึ้นรถแล้วล่ะ ถามไปถามมาเค้าเป็นนักบินแต่ตอนนี้เป็นเทนเนอร์แล้วล่ะ อยู่เมืองไทยมา 26 ปีแนะ มิน่าล่ะพูดไทยชัดป๋อเลย
ช่วงนี้ก็กลายเป็นช่วงดื่มด่ำกับไฮเนเก้น ใครใคร่ดื่มก็ดื่มกันไป ใครใคร่ช็อปก็ช็อปกันได้ที่ห้องขายของที่ระลึกสำหรับไฮเนเก้น เรียกว่ามีทุกอย่างที่เป็นของพรีเมี่ยมไฮเนเก้นให้เลือกช็อปกันตามสบาย สนนราคาก็มีตั้งแต่หลักสิบยันหลักพันเลยล่ะ ตัวอย่างเล่น หมวกสานราคา 100 บาท แก้วเหล็กราคา 1,500 เลย หลอดใส่เบียร์ราคา 2,500 บาท เป็นต้น ซึ่งสามารถเดินเลือกไปจิบเบียร์ไปตามสบาย ไม่ว่ากัน
จากนั้นก็ได้เวลาที่ต้องเดินทางกลับกันแล้วล่ะ แต่ดูถ้าแต่ละคนยังไม่อยากกลับเลย เพราะกำลังจิบเบียร์เพลินๆ เลย อ่ะแต่งานเลียงก็ต้องมีวันเลิกลาตามระเบียบ แต่ก่อนจะกลับเจ้าหน้าที่เค้าก็ให้ถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึกล่ะ
สรุปว่างานนี้นอกจากจะได้ความประทับใจที่ได้รับจากไฮเนเก้นกลับบ้านแล้ว ก็ยังมีของที่ระลึกจากไฮเนเก้นกลับบ้านไปคนละถุงสองถุงตามระเบียบ
ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณไฮเนเก้นที่เปิดบ้านพาพวกเราชมโรงงานในครั้งนี้่ค่ะ .. สำหรับทริปนี้มีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับการดื่มเบียร์มาฝากด้วยล่ะ!! เวลาดื่มเบียร์ให้ดูฉลากวันผลิตด้วยยิ่งใหม่ยิ่งดี โดยปกติเบียร์เก็บได้นาน 6 เดือนล่ะ หากดื่มไม่หมดให้เอาพลาสติกครอบปากขวดแล้วมัดยางให้แน่น จะเป็นการเก็บเบียร์ที่ดีกว่าการเอาฝาเบียร์มาปิดล่ะ ..