สมุดบันทึกผู้หญิงชอบเที่ยว "ภัทรานิตย์" -- www.atourthai.com --

"เที่ยวเมืองไทยด้วยหัวใจ แล้วคุณจะรักเมืองไทยอย่างยั่งยืน"


<<
กรกฏาคม 2549
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
29 กรกฏาคม 2549
 

BKK - PRACHINBURI :: ล่องแก่งหินเพลิงนอนบ้านทะเลหมอกรีสอร์ท

22-23/07/06

หลังจากที่รอคอยกันมานานแสนนานกับกิจกรรมเที่ยวประจำปีของฝ่ายขาย ก็ได้ฤกษ์ดีคือวันที่ 22-23 กรกฏาคม จุดหมายของพวกเราคือ แก่งหินเพลิง กิจกรรมล่องแก่งความสนุกระดับ 3-5

เช้าวันที่ 22 กรกฏาคม 2549

วันนี้เราแบ่งเป็นสองสาย คือสายรถบัสและรถตู้ งานนี้ Project + UPC ได้รถตู้แหละ พี่ตุ้มอาสาไปเอารถตู้ที่ออฟฟิต แล้วขับมารับพวกเราที่หลักสี่ เจ็ดโมงเช้าเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น "พี่เกตุยังติดต่อไม่ได้เลย" เอาแล้วครับ จะต้องมีสักราย เอาน่าเดี๋ยวมันก็มารอหน่อย เจ๊ดโมงครึ่งกว่ารถก็มาถึงจุดนัดพบที่สองคือ หลักสี่ เช้าวันนี้สมาชิกในรถตู้คือ พี่ตุ้ม เบ็นซ์ ตูน พี่กุ้ง พี่เจตน์ เกตุ พี่หมวย บู และเรา พอขึ้นรถได้ความเฮก็เริ่มขึ้น คุยกันแบบต้องปิดเพลงเหมือนกับไม่ได้เจอกันมาช้านาน เล่าเรื่องกันเป็นทอดๆ ประหนึ่งว่าอยู่ในเหตุการณ์ เลยเป็นที่มาของ Project Prodution สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตุเห็นบนรถตู้คือไม้สองขนาดอันหนึ่งยาวเท่าความกว้างของรถตู้ อีกอันขนาดเหมาะมือ เราก็เลยถามว่า ไอ้ไม้เนี่ยเค้าเอาไว้ทำไม คำตอบคือ เอาไว้เพื่อมีเรื่องกับคู่แข่ง เพิ่งรู้นะเนี่ยว่ารถตู้ดีคอมมีอาวุธคือไม้หน้าสาม

จุดหมายช่วงเช้าของพวกเราคือวัดหลวงพ่อโสธร เพื่อดูโบสถ์ใหม่นั่นเอง อีกนัยหนึ่งก็คือไหว้พระขอพรเอาฤกษ์เอาชัยนั่นเอง พวกเราไปถึงวัดก็ราวๆ เกือบๆ สิบโมง ก็แวะเข้าไปไหว้พระขอพร แล้วก็เก็บภาพความประทับใจกันหน่อย



หลังจากนั้นเราก็เดินทางกันต่อตามถนนหมายเลข 304 ไปเรื่อยๆ จุดหมายต่อไปคือทานข้าวกลางวันกันที่บ้านเนินน้ำ แต่ช่วงนี้บนรถตู้ก็ยังไม่เลิกเสียงดังเหมือนเดิม เพราะมีเรื่องให้เฮกันตลอดเวลา แถมหลับก็หลับไม่ได้เพราะดังกันเหลือเกิน เลยต้องคุยแจมกันไปด้วย ไม่นานนักเราก็ถึงร้านอาหารบ้านเนินน้ำ เส้นทางไปคือจากทางเข้าแก่งหินเพลิงเลยไปจะเจอสี่แยก ตรงไปประมาณสองร้อยเมตร์ก็จะเห็นป้ายบ้านเนินน้ำ เข้าไปอีกประมาณร้อยเมตร์ก็ถึงร้านอาหาร วิวสวยที่เดียวแหละ




พวกเรามาถึงหลังรถบัส แต่มาเร็วก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ทานกันก่อน เพราะร้านเค้าโทรติดต่อพวกเราไม่ได้ เลยไม่รู้เวลาที่จะมาแน่นอน เลยไม่ได้ทำรอไว้ สำหรับมือนี้เมนูที่เราอร่อย จากห้าเมนูเห็นจะเป็น ต้มยำน้ำใสทะเล ทอดมันปลา น้ำตกปลาดุก เรียกว่าใครผ่านไปอย่าลืมสั่งดูนะ เพราะทุกคนให้ความเห็นว่าอร่อยทีเดียว หลังจากอิ่มกันเรียบร้อยแล้ว มิรอช้า พวกเรามาหลังไปก่อน เพราะกลัวหลง เราก็ย้อนกลับไปแก่งหินเพลิง จากทางเข้าไปประมาณ 25 กิโล ก็ถึงแก่งหินเพลิงริเวอร์ไซค์ คราวนี้พวกเราก็ไปถึงก่อนเพราะไม่ได้เข้าทางนาดี ก็ตามระเบียบถ่ายรูป



ถ่ายรูปกันสักพัก รถบัสใหญ่ก็มาถึง กิจกรรมต่อไปคือ ดูวิธีการล่องแก่งที่ถูกวิธี การพายมีสองแบบพายปกติกับพายทวนน้ำ เพื่อเปลี่ยนทิศทางเรือ เวลาลงจากช่วงที่น้ำสูงก็ให้ดึงเชือกตึงแล้วถอยหลัง ถ้าเจอกิ่งไม้ก็ก้ม วิธีไม่ค่อยยากเท่าไหร่ จากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถหกล้อเพื่อไปจุดหมายแก่งหินเพลิง เราใช้เวลาเดินเท้าเข้าไปประมาณสองกิโลครึ่ง เริ่มแรกก็เสียงดังยังกับนกแตกรัง ผ่านไปหนึ่งครึ่งกิโล เสียงเริ่มเงียบ เพราะนกกระจอกเริ่มเหนื่อยนั่นเอง ไม่นานนักเราก็ถึงแก่งหินเพลิง น้ำเชียวทีเดียวล่ะ เห็นเค้าเล่ากันว่าที่เรียกแก่งหินเพลิงเพราะเวลาไม่มีน้ำ แผ่นหินจะร้อนมาก เลยเรียกว่าหินเพลิง กลุ่มเราเป็นกลุ่มแรกที่ล่องแก่ง ตามสไตล์ชอบความท้าทายของโปรเจคอยู่แล้ว เริ่มนั่งเรือก็เริ่มกรี๊ดแล้วสำหรับกลุ่มเราเพราะเกือบคว่ำตั้งแต่โค้งแรก แต่ดีที่น้ำหนักตัวคนบนเรือ ค่อนข้างหนักทำให้พยุงเรือไว้ได้อย่างสบาย









บนเรือเราคู่หน้าเป็นพี่เจตกับเบนซ์ คู่สองเป็นเรากับพี่หมวย คู่สามเป็นตูนกับเกตุ คู่สี่เป็นพี่ตุ้มกับพี่กุ้ง ผ่านแก่งหินเพลิงไป ก็ได้พักสักหน่อยก็เริ่มแก่งที่สอง วันนี้ดีนะที่ฟ้าเป็นใจล่องแก่งตอนฟ้าใส ก่อนมาก็ใจไม่ดีนิดหน่อยเพราะกรมอุตุเตือนน้ำหลาก แต่พอมาจริงก็ไม่มีอะไร ผ่านแก่งที่สองไป คนคุมเรือก็บอกว่าจะลงกันไหม ข้างหน้าเป็นแก่งสไลด์เดอร์ ตอนแรกก็ช่างใจเอาไงดีเรา ไปๆ มาๆ ก็โดดกันตู้มตาม แต่เราสิลำบาก ดันไม่ได้กลั้นหายใจสำลักน้ำ แต่พอได้สักพักก็ดีขึ้น ก็ลอยกันไปจนถึงแก่งสไลด์เดอร์ อันนี้สนุกมากเพราะต้องปล่อยตัวให้ลอยไปเรื่อยๆ เหมือนเราเล่นสไลด์เดอร์เลยล่ะ ตรงช่วงนี้เราจับคู่กับเกตุก็ด้วยความหวังดีของเพื่อน เคาะหัวป๊อกๆ เป็นไงมั้งวะ แต่หารู้ไม่ เราสำลักน้ำ เพราะหมวกเราใส่ไม่แน่น พอถูกกดหัวก็ถูกกดไปด้วย เลยสำลักน้ำรอบสอง พอลอยๆ ไป เริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ คนคุมเรือก็บอกให้พยายามอยู่ตรงกลางให้มากที่สุด เพราะข้างขวาเป็นกิ่งไม้ เราเกาะกันมามีเกตุ ตูนและเรา เข้าไปกิ่งไม้เต็มๆ ผ่านไปได้สักพักน้ำเริ่มแรงขึ้น พี่เจตน์ก็ไปดึงเราให้อยู่ตรงกลางโดนไปอีกยกหนึ่งสามรอบล่ะ สักพักคนคุมเรือก็ให้พวกเราขึ้นเพราะข้างหน้าถ้าหลุดแล้วต้องลอยไปเอง พวกเราก็ขึ้นกันหมด แก่งที่สามกับแก่งที่สี่ก็นิดหน่อยไม่ค่อยตื่นเต้นมากเท่าไหร่แล้ว เราว่าตื่นเต้นสุดคือแก่งหินเพลิงนั่นแหละ ผ่านแก่งที่สี่ก็หมดแล้ว พวกเราก็พายกันมาเรื่อยๆ จนใกล้จุดที่เราขึ้นรถคนคุมเรือก็ให้เราเล่นน้ำ วินาทีนี้มีการเอาคืนไปๆ มาๆ โดนกดน้ำสำลักน้ำรอบที่สี่ คราวนี้น๊อกเลยเรา เพราะหายใจไม่ได้แล้วน้ำเข้าเต็มทั้งจมูกเลย พี่กุ้งกับเบนซ์ก็ลากเข้าฝั่ง งานนี้มีเคืองเพราะโดนพี่เจตน์ พี่กุ้ง เกตุ เบนซ์จับกดน้ำ ระหว่างที่จมอยู่ก็ได้ยินเพื่อนๆ หัวเราะแล้วก็แซวกันว่า "กูซีเรียส" แล้วก็หัวเราะกันใหญ่เลย ที่มาของกูซีเรียสก็คือเราชอบอำเพื่อนๆ ด้วยมุกนี้บ่อยนั่นเอง แต่คราวนี้ของจริงคือไม่ไหวแล้วง่ะ เป็นอุทาหรณ์สอนว่า อย่าเล่นกันมากนัก พอถึงเวลาของจริงอาจตายได้ ขึ้นจากน้ำทางเจ้าหน้าที่ก็มีน้ำใบเตยและลูกชิ้นปิ้งให้กิน



แต่กลุ่มเรากระเพาะช้างกันอยู่แล้ว มีหรือจะอิ่มกวาดขนมกินกันเกลี้ยงเลย ซึ่งตอนมาไม่มีใครสนใจเอาเสียเลย จากนั้นพวกเราก็เดินทางไปที่พัก จุดหมายสุดท้ายของวันนี้คือ "บ้านทะเลหมอก" บ้านทะเลหมอกอยู่ติดกับบ้านผางามที่นี่ เค้าบอกว่าโอโซนบริสุทธ์อันดับ 7 ของโลกเชียวนะ พอรถตู้วิ่งเข้าไปก็ได้กลินตุแม่งตุแม่ง เหม็นมาก ประมาณขี้วัวหมัก พวกเราก็เลยแซวกันว่า เนี่ยนะโอโซนอันดับ 7 มันกลิ่นแบบนี้เหรอ ขับรถเข้าไปไม่นานนัก ก็ถึงบ้านทะเลหมอก สวยมากเป็นบ้านสองชั้นเล่นระดับตามเขา ต้นไม้เยอะมาก พวกเราจัดแจงเข้าไปในห้อง ห้องเราชื่อผกากรอง ขอบอกว่าสวยมาก มีระเบียงด้านหน้ามองเห็นต้นไม้สุดตา ด้านในตกแต่งด้วยไม้ยูคาลิบตัสอย่างสวยงาม เหมาะแก่การมาพักผ่อน (ขอบอกไม่ได้ค่านายหน้านะ แต่ของเค้าดีจริงๆ) ห้องเราพักกันสี่คนเค้าเลยจัดเตียงเสริมให้ แต่อยู่จริงๆ กันห้าคนเพราะบูหาห้องไม่เจอ ก็เลยนอนรวมกัน พออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็โผล่ไปดูห้องข้างๆ กำลังกินกุ้งกันอย่างเมามัน



พวกเราอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อกันสักพักใหญ่ รถบัสก็มาถึง ช่วงเวลานี้เราก็นอนรอคอยเวลากินข้าวคือหกโมงเย็น แต่ช่วงรอเนี่ยคนเต็มห้องเลย คือที่อยู่ในรถตู้อยู่ในห้องเดียวกันเต็มไปหมดเลย พี่เจตน์ก็ช่างรู้ใจรู้ว่าน้องๆ หิวก็หิ้วข้าวเหนียวหมูปิ้งมาด้วย หายไปในพริบตา แบบว่าหิวมาก สักพักพวกเราก็ไปที่นักหมายเพื่อกินข้าวเย็นกัน ก็ออกไปก็ตามระเบียบถ่ายรูปเก็บวิวไปเรื่อยๆ



กว่าจะเดินไปถึงคนอื่นที่อยู่รถบัสใหญ่เค้าก็นั่งกินกันเรียบร้อยแล้ว อาหารเย็นมื้อนี้ที่ชูโรงคงเป็นเมนูยำหมูย่าง ซึ่งเราก็พี่หมวยกินกันอย่างเมามันลืมเรื่องอ้วนไปเลย ส่วนกับข้าวอื่นๆ ก็พื้นๆ เราว่าถ้าแบบสั่งน่าจะดีกว่านี้นะ เพราะโต๊ะข้างอลังการมาก ระหว่างกินกันไปคุยกันไปแล้วก็ถ่ายรูปกันไป



จากถ่ายทีละคนไปจนเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเปลี่ยนโต๊ะเม๊าส์กันสักพัก เหล้าหมดก็แยกย้ายกันไปตามระเบียบ ห้องเราก็นั่งเล่นไพ่กันสักพักหนึ่ง ก็ลงไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ไปก็เจอกลุ่มใหญ่กำลังคุยกันสนุกสนาน แต่เริ่มกร่อยตรงที่ผู้จัดการฝ่ายคนใหม่ เริ่มให้แนะนำตัวทีละคน แล้วแบบว่ามันมืดมากง่ะ ยังไงก็จำไม่ได้หรอก เลยเริ่มเซ็ง วงเริ่มแตก บ้านใครบ้านมัน ห้องเราก็เริ่มเล่นไพ่ จากสี่เป็นแปด จากแปดเป็นสิบสอง เรื่อยๆ จนเต็มห้อง แต่เรา พี่หมวย บู ก็ไม่ย่อท้อง่วงนิน่า เลยนอนทั้งเสียงดังๆ อย่างนั้นแหละ สุดท้ายก็โดนพี่กุ้งตัวดี ถ่ายรูปทำฉากประกอบขวดเหล้า เหมือนตอนไปเกาะช้างเลย แต่อาศัยไหวตัวทัน เช้ามาเลยลบก่อน อิอิ รอด

เช้าวันที่ 23/07/06

หลังจากรู้สึกตัวเอ๊ะทำไมในห้องเหลือสามคน อีกสองคนหายไปไหนหว่า แต่ไม่เป็นไรเห็นแสงสว่างข้างนอกล่ะเดี๋ยวไม่ทัน ปลุกทุกคนตื่นไปดูหมอกกัน แล้วเดินไปเคาะประตูอีกห้อง โหอยู่นี่เอง ปลุกเจ้าตูนกับเจ้าเกตุ ตูนตื่นแต่เกตุเหมือนเดิมนอนต่อ หันไปอีกเตียงเจอพี่ตุ้มกับพี่กุ้งนอนสลบอยู่ด้วยกัน สรุปคนที่ตื่นไปดูทะเลหมอกก็มีเรา ตูน บูและพี่หมวย เดินตามทางที่เค้าบอก อันนี้ไม่อยากเล่าเลยเป็นความซื่อบื้อของตัวเอง ไอ้ทางที่เค้าบอกว่าไปทะเลหมอก ก็คือทางไป Resort ชื่อทะเลหมอกนั่นเอง แบบว่าก็นึกเอ๊ะใจอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมไม่ดูบนเขาหว่า กับเดินลงไปข้างล่าง แต่ไม่เป็นไรก็เห็นเหมือนกัน มาดูวิวหมอกกันดีกว่า








สักพักพวกเราก็เดินขึ้นมาเพื่อไปทานอาหารเช้ากัน และเหมือนเดิมก็เก็บรูปกันไปเรื่อยๆ พวกเราขึ้นไปถ่ายรูปกันบนที่โดดหอ ก็เลยได้วิวสวยๆ มาอีก






ถ่ายรูปได้พักใหญ่ๆ ท้องชักหิว ไปทานอาหารเช้ากันก่อนดีกว่า วันนี้มีข้าวต้มหมูเห็ดหอมอร่อยทีเดียว กับอาหารเช้าปกติ พอทานกันเสร็จก็ทยอยเดินกลับบ้านพัก เพื่อเตรียมตัวเก็บข้าวของเดินทางกลับ



ก่อนกลับก็ต้องถ่ายรูปหมู่เพื่อกลับไปเบิกออฟิฟิต และที่ไม่ลืมคือแบกป้ายกันก่อน เดี๋ยวไม่รู้ว่ามาเทียวที่ไหน



แต่งานนี้คนที่ยิ้มแก้มปริคงเป็นเจ้าเบนซ์ เพราะได้ถ่ายรูปคู่กันสาวสวย รูปนี้เซ็นเซอร์เดี๋ยวมีใครเห็นแล้วจะหัวแตกเสียก่อน แต่กล้องทุกกล้องมีรูปนี้หมด เล่นเอาเจ้าเบนซ์เขินหน้าดำเลย สำหรับโปรแกรมวันนี้ของเราคือ เดินทางต่อไปที่ ร้านแมกไม้ เพื่อไปรับประทานอาหารเที่ยงกันที่นั่น ใช้เวลาประมาณเกือบสามชั่วโมงเชียวแหละ เพราะอยู่แถวๆ อรัญประเทศ พอไปถึงร้าน สวยทีเดียวล่ะเพราะตกแต่งด้วยต้นไม้หลากหลายชนิด เห็นว่าที่นี่รายการเปรี้ยวปากก็มาชิมแล้ว เหมือนกับได้นั่งทานข้าวกันในสวนเลยทีเดียว



พวกเรารถตู้มาถึงก่อนตามเคย ระหว่างนั่งรอเพื่อนก็เก็บรูปกันไปเรื่อยๆ เรียกว่าอย่าให้ว่างว่างั้นเถอะ ทริปนี้พี่เจนต์กับเกตุตัวติดกันเป็นตังเมเลย ไม่ใช่เป็นแฟนกันนะ แต่เป็นบัดดี้กัน แต่ที่ต้องตัวติดกัน เพราะเพื่อนๆ คนอื่นเค้ารำคาญพี่เจนต์ เพราะมันพูดมาก พูดตั้งแต่กรุงเทพฯ ยันปราจีนจะข้ามไปอรัญแล้ว ยังไม่หยุดคุยเลยง่ะ งานนี้เกตุเลยรับเคราะห์ไป เพราะเลือกที่นั่งผิด อิอิ



ที่เหลือไม่ได้ถ่ายรูปก็นั่งรอเพื่อนๆ รถบัสกันไปตามอัธยาศัย แต่ในใจอยากทานก่อนกันทุกคนแหละ แต่เกรงใจเดี๋ยวเค้าจะหาว่ามาเที่ยวแผนกไม่ใช่มาเที่ยวฝ่าย พอรถบัสใหญ่มาเท่านั้นล่ะ ทุกอย่างหายลับไปกับตา เพราะหิวกันมาก อาหารที่นี่ก็อร่อยดีนะ คิดดูว่าขนาดเกตุกินปลานึ่งมะนาวแบบ เหลือแต่ก้างจริงๆ เลยล่ะ แบบว่าถ้ากินก้างเข้าไปได้คงกินเข้าไปแล้ว อันนี้สิบปากว่าไม่เท่าลองไปชิม กันเองนะจ๊ะ




หลังจากทานกันเรียบร้อยแล้ว จุดหมายต่อไปก็คือโรงเกลือซึ่งอยู่ห่างจากร้านแมกไม้ไม่ไกลนัก วันนี้อากาศร้อนมาก โรงเกลือแตกต่างกับที่เราคิด ก็ไม่ใหญ่มาก แต่ขอบอกว่าราคาแพงมาก ไม่ได้ถูกเลยถ้าซื้อเดียว ราคาถูกต้องมาซื้อยกกระสอบ ส่วนกระเป๋าก๊อปก็เลือกยาก ต้องคนที่เลือกเป็นถึงจะคุ้ม สุดท้ายเดินกันไปเดินกันมา ได้แต่กางเกงทหาร ราคาก็ใกล้ๆ กันทุกร้าน ผิดคาดไปตามๆ กัน อุตส่าห์เตรียมเงินมาช็อป ไม่ได้อะไรเลย ไปเจอรองเท้าคู่หนึ่งมือสองนะ 290 บาท เพื่อนๆ ที่เคยมาบอกว่าให้ต่อครึ่งหนึ่ง ถ้าเค้าไม่ให้ก็เดินหนี เดี๋ยวก็ได้เองล่ะ ปรากฏว่าลองต่อเหลือ 150 บาท เค้าก็บอกว่าไม่ได้ ได้ที่ราคา 200 บาท แล้วก็ไม่ง้ออีกด้วย สรุปเลยไม่ได้ซื้อ เพราะราคาพอๆ กับที่เมเจอร์รัชโยธินเลย สรุปมาเดินให้ดำกันทั่วหน้า

หลังจากไม่ได้อะไรพวกเราก็เลยกลับกันดีกว่า ไม่น่าเชื่อขากลับดูยาวนานเหลือเกิน แรกๆ พี่เจตน์ก็ลองขับรถตู้ แต่ดูแล้วเพื่อนๆ คงหลับกันไม่ได้ เลยเปลี่ยนเป็นพี่กุ้งขับ สักพักก็เปลี่ยนเป็นเบนซ์ขับ ค่อยยังชั่ว หลับกันทั้งรถเลย หลังจากโรงเกลือ เวลาผ่านไปประมาณใกล้ห้าโมงเย็นแล้ว ทุกคนก็เริ่มตื่น ตามปกติตื่นเสร็จก็เริ่มหิว หาของที่มีในรถกินกันพัลวัน จนไม่มีเหลือให้กิน เลยบอกเจ้าเบนซ์ให้แวะปั๊ม เรากับตูนก็เลยไปซื้อไก่ย่าง แต่ที่สุดๆ คงเป็นพี่กุ้งลงมากินบะหมี่เกี๊ยวหน้าตาเฉย พวกเราซื้อไก่ย่างเสร็จก็ไปนั่งกดดันพี่กุ้งต่อ จนรู้สึกเกรงใจ แต่แบบว่าก็เกือบหมดชามเลยล่ะ พี่ตุ้มก็โผล่หัวออกจากรถมาชะโงกดูว่าไปกันที่ไหนทำไมนานจัง พอเราขึ้นรถได้เท่านั้นล่ะ ก็เฉลยว่าทำไมนาน เผาพี่กุ้งกันซะ สุดท้ายก็มาถึงกรุงเทพฯ ราวๆ หกโมงครึ่งเห็นจะได้ และแล้วทริปนี้ของพวกเราก็ผ่านไปด้วยดี ....



Create Date : 29 กรกฎาคม 2549
Last Update : 17 สิงหาคม 2556 21:36:17 น. 1 comments
Counter : 1408 Pageviews.  
 
 
 
 
ไม่น่าลบภาพออกไปเลย มันเป็นกติกานะ โดนแล้วต้องยอมรับ
 
 

โดย: กูเอง ... IP: 58.9.70.123 วันที่: 13 เมษายน 2550 เวลา:23:11:19 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

patthanid
 
Location :
ราชบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]




: การท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ
: คืออีกก้าวของประสบการณ์
: ทุกๆ ก้าวที่ก้าวเดิน
: มีจุดหมายที่อยากสัมผัส
: โลกใบกลมๆ ใบนี้

ติดต่อผู้เขียน
Email :: patthanids@hotmail.com
Line :: @atourthai
Facebook :: Patthanid Cheang
Fanpage :: โสดเที่ยวสนุก

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ.2539 ห้ามผู้ใดละเมิดโดยนำภาพถ่าย
รูปภาพ, บทความ งานเขียนต่างๆ รวมถึง
ข้อความต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมดของข้อความใน Blog แห่งนี้
ไปใช้ทั้งโดยเผยแพร่ไม่ว่าเป็นการส่วนตัว
หรือเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็น
ลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด
New Comments
[Add patthanid's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com