กับแกล้มการเมือง
เบื่อ ๆ การเมือง จนเลิกติดตามข่าวการเมืองเกือบเดือน การเมืองเลยไม่เป็นปัจจุบัน พูดมากโดยไม่มีข้อมูล อายคนอื่นแย่เลย เอาล่ะ จะค่อย ๆ เข้ามาตั้งหลักใหม่อีกครั้ง... วันก่อน กำลังจะขึ้นไปพักผ่อนบนดอย โทรศัพท์ก็ดังขึ้น "เฮ่ย! แปดโมงวันเสาร์ไปรับกูที่สนามบิน..." "เออ! ไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้กูกำลังจะขึ้นดอย คลื่นไม่ค่อยมีโว้ย ภูเขานะไม่ใช่ทะเล" ...... เช้าวันเสาร์ต้องตื่นแต่เช้าไปรับเพื่อน อาการอ่อนล้ายังไม่กระเตื้อง ขี้เกียจจริง ๆ "จะไปไหนก่อน" ..เราถาม "กินข้าวสิวะ ที่เดิม ข้าวแกงร้านลุงทัย" (ร้านลุงทัยอยู่ตลาดต้นพยอม เคยพาเพื่อนไปกิน เขาว่ามันอร่อยมาก และหาว่าเราลิ้นจรเข้ สะเออะมาอยู่เมืองท่องเที่ยว) หลังจากไปทำธุระต่อช่วงเช้า...เพื่อนสั่งต่อ "ไปหาอะไรเย็น ๆ กิน..." "อะไรเย็นที่ไหนดีวะ ในห้าง ริมน้ำ หรือร้านนั้น ร้านนี้..." "นี่มึงถามกูหรือมึงรำพึงรำพันวะ เพราะกูไม่ใช่คนที่นี่" "รำพึงรำพันโว้ย" กำลังคิดว่าถ้าไปในห้างก็ต้องรำคาญตัวเองมองผู้คนขวักไขว่ ริมน้ำปิง บรรยากาศดี แต่เวลาก็น้อยเกินไป เลยขับรถพากันไปใกล้ ๆ บ้าน มีเวลากินกันพักใหญ่ ๆ เพื่อรอไปงานตอนเย็นกัน "น้อง..ขอเบียร์ไฮเนเก้น ส่วนกับพี่คนนี้จะสั่ง..." เพื่อนเราคนนี้ เป็นคนที่รู้รสชาติของกินที่สุด อะไรที่ไหนอร่อยมั่ง เบียร์ก็ต้องอย่างดี เหล้าก็ควรจะเป็นแบล้คเลเบิ้ล มันว่าเป็นเรื่องของชาติตระกูล และเพื่อรักษาชีวิตให้ยืนยาว ขณะเราเองดำรงอยู่ในปัจจุบัน เหล้ายาดองก็พอกิน เบียร์ก็จำพวกลิโองี้! ช้างงี้! แต่ถ้าเป็นมัน ต้องสั่งของดี ๆ จะว่ากันก็ไม่ได้ เพราะเวลาเราไปกรุงเทพฯ มันก็สั่งของที่มีชาติตระกูลให้กินตลอด แค่สองคน เราก็คุยกันออกรส.... เรื่องราวสมัยเรียนมัธยม โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม เป็นตำนานของเหล่าเพื่อนฝูงที่สนิท และยังคงสนิทถึงวันนี้ ขุดเรื่องราวของเพื่อนที่ละคนมาคุยอย่างเอร็ดอร่อย พอ ๆ กับเบียร์ เรียกว่านินทากันสนุกปาก แต่เรื่องราวของเราสองคนที่พอจะคุยกัน เป็นเพียงการแลกทัศนะต่อกันเท่านั้น "เป็นไงเมียมึง ยังคลั่งอภิสิทธิ์? " เราตั้งคำถาม "ก็เออ! แม่ง!หลงรูป รวมทั้งแม่ยายอีกคน" "แล้วลูกล่ะ .." เราถามต่อ "เออ! ไปด้วยกันหมดแหละ" "เฮ่ย! ยังงี้ก็แย่นะ มึงเป็นพ่อนี่หว่า ทำไมอำนาจอิทธิพลถูกยึดครองหมด" "ไม่หรอก.." มันว่า... มันเป็นผลผลิตของสังคมยุคใหม่ และอีกอย่าง มันเรียนโรงเรียนอำมาตย์ วันก่อนมันโพสข้อความด่าทักษิณ กูเลยโทรไปบอกว่าลูกเอ๊ย จะรักใครเกลียดใครต้องมีเหตุมีผลรองรับ ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ เกลียดทักษิณเพราะอะไร หรือรักอภิสิทธิ์เพราะอะไร ลูกเลยยอมลบออกไป และลูกก็ยังชวนไปคุยกับแม่เรื่องนี้ด้วย จะได้เคลียร์ ๆ แต่เพื่อนว่า.."ผู้เจริญอย่างกู ไม่ลดตัวลงไปทะเลาะกับเมียและแม่ยาย..." "กูเห็นมึงในเฟซบุ๊คแล้ว" เพื่อนถามเรามั่ง หลังจากเจอกันในเฟซบุ๊คมาพักใหญ่ "ทำไมใส่อารมณ์ขนาดนั้น กูว่ามันไม่ถูก..." เพื่อนว่า "เออ! กูยอมรับ แต่มันไม่ใช่อารมณ์ มันผ่านกระบวนการคิด และตกลงใจแล้ว" หากใครจะมาระรานตัวเล็ก ๆ อย่างเรา ต่อไปคงระรานมดปลวกแล้ว ลัทธิล่าแม่มด ก็อ่านมาหมดแล้ว ไม่น่ากลัวขนาดนั้น อีกอย่าง..กูก็ไม่ใช่จำพวกตีรันฟันแทง "แต่มึงสิ โพสความเห็นในเฟซบุ๊คยังกะกินแกงจืด ผิดวิสัย" เราโต้กลับมั่ง "กูอยู่ฝ่ายอำมาตย์โว้ย ต้องทำตัวเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่ใช่ไพร่อย่างมึงนี่......" เป็นคำตอบ พนักงานมายืนส่งสายตาหลังจากหมดเบียร์ไปสี่ขวด เราสบตากันอย่างเต็มใจยิ่ง แม้เวลางานตอนเย็นเบียดใกล้เข้ามา เอามาอีกขวดน้อง..... เฮ่ยย!! กูมีข่าวที่เป็นนิมิตหมายที่ดีเกี่ยวกับความรักเว้ย!!! เพื่อนเริ่มเรื่องใหม่ วันก่อนอ่านข่าวฝรั่งอายุ 82 แต่งกับผู้หญิงอายุ 45 ผู้หญิงเป็นคนดังด้วยนะ เป็นนักร้องหรือดาราอะไรนี่แหละ "แล้วไงต่อ..." เราซัก ก็นี่ไง คืออย่างพวกเรานี่ยังมีเวลาอีกนับสิบปีเลย เผลอ ๆ อาจได้ทำลายสถิติ อายุ 83 กับ 38 หรือไม่ก็ 82 กับ 28 ได้เป็นข่าวกันทั่วโลก มันพูดยิ้ม ๆ ความรักเป็นสิ่งสวยงามนะเว้ย มันพล่าม... มึงคิดดู คนเราถ้าเกลียดชังใครซักคน อานุภาพของความเกลียดชัง มันจะรับรู้ไปยังอีกฝ่ายได้ทันที แต่ความรักต้องใช้พลังถึงสองเท่าของความเกลียดชัง อีกฝ่ายถึงจะรับรู้ถึงกันได้ ความรักจึงเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนส่งเสริมให้มนุษย์ควรมีต่อกัน... "เฮ้ย! พอแล้ว อยู่ไม่ได้ใกล้ถึงเวลางานตอนเย็น" เราเบรค ก่อนที่มันจะปล่อยความคิดเพริดไปกว่านี้ รีบขับรถกลับไปอาบน้ำแต่งตัวให้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แล้วก็ไปยืนปรบมือที่งานเปิดร้านใหม่ของคนรู้จักคนหนึ่ง จนเลิกงานก็ไปส่งเพื่อนคนนี้ที่สนามบิน ร่ำลากันอย่างง่าย แล้วกลับไปนอนพักผ่อน ยิ้ม ๆ กับเรื่องราวที่คุยกันจนหลับไป......     
Free TextEditor
Create Date : 06 มิถุนายน 2553 |
Last Update : 6 มิถุนายน 2553 22:45:46 น. |
|
12 comments
|
Counter : 776 Pageviews. |
 |
|
ดีนะยังคุยกันได้ ของเค้านี่ก็เหมือนกันกับสามีเนียะ ๕๕๕+ แต่บอกตรงๆ เมื่อก่อนไม่เคยสนใจการเมืองเลยใครจะอย่างไรอะไรก็ช่าง ไม่เคยสนใจตามข่าว ใครเป็นใคร อย่างไรช่างแม่...งวะ อะไรเทือกนั้น แต่เหตุการณ์เมื่อกี่ปีหว่า... เอาเป็นว่าพอเริ่มมีเหลืองออกมาทำตัวเด่นแรกๆ เออวุ้ยน่าสนใจก็ฟังๆ ฟังแล้วก็ดูท่าว่าการเมืองไทยคงถึงการพัฒนาก้าวกระโดดซะแล้ว แต่พอฟังไปฟังมาห่าเหว... (ขอภัยนะพี่ปากไม่ค่อยดีมันเป็นโดยสันดาน อิอิ) ยิ่งเห็นความพาล กร่างใหญ่ไปทั่ว หนักเข้าไปยังปิดสนามบิน ฮู้ยยยยยยยยยยย อีพี่เอ๊ยงานนี้เกลียดเข้าไส้
ฝ่ายสามีเมื่อก่อนเหลืองขี้ยี้คอรัปชั่นก็เชียร์เหลืองเหย็งๆ กับข้อหาเดียวที่เขาเห็นว่าทักษินสมควรลงจากความเป็นนายกคือเลี่ยงภาษีด้วยความเห็นที่ว่าเป็นผู้นำทำตัวอย่างไม่ดี เขาก็ชี้ให้เราเห็นผลเสียโยงเรื่องธุรกิจ....ว่าไปยาว เออเราก็เข้าใจ แต่ก็ไม่วายเถียง
"ก็แล้วหน้าไหนมันไม่เป็น" เมื่อเราแย้งไปอย่างนี้ฝ่ายสามีก็ว่า
"อ่อเลวกันถ้วนหน้า... " เราก็ว่า "เออ!" ถามสามีกลับไปว่า
"แล้วถ้าเธอต้องเลือกเธอจะเลือกยังไง?" สามีย้อนกลับมาอีก
"อ้อเธอเลยต้องเลือกใครเลวมากเลวน้อยหรือสร้างประโยชน์ให้ประชาชนมากกว่ากัน" (ว่าแบบเบะปากประชดประชัน..)
อ้าวก็ต้องเลือกสิในเมื่อมันไม่มีช้อยที่ดีกว่าไม่เลือกแล้วจะทำไงอีกหน่อยพวกก็ครองเมืองจะไปทวงสิทธิ์ขอเสียงคืนจะทันมั้ยล่ะ
สามีก็เข้าใจแต่ก็ยังเกลียดคนเลี่ยงภาษี... จนกระทั่งสามีตามข่าว (ต้องบอกว่าตามจิกทุกเม็ด) เขาจึงเริ่มเออ อืมม์กับเรา ยิ่งเห็นความไม่เป็นธรรมในการตัดสินอะไรต่างๆ อะไรๆ มันก็ชักชัดเจนขึ้นอย่างที่เราพยายามบอกเล่าให้เขาฟัง ตอนนี้ก็ถึงบางอ้อบางกังวลไปกับเรา
อ้อเกี่ยวกับหน้าหล่อนั่นก็เหมือนกัน แหมๆ ทีแรกทำเป็นเชียร์ออกหน้าออกตา การศึกษาดี แต่พอสักระยะแค่นั้นล่ะ เขาบอกเลยไอ้นี่เป็นแค่หุ่นเชิดที่เข้ามานี่ก็แค่อยากเป็นนายก คำพูดคำอธิบายฟังไม่ได้เลยถ้าแปลเป็นไทยภาษาชาวบ้านก็ว่าอย่างที่เราๆ ว่ากันนั่นล่ะ พูดจาดีวลีไพเราะ แต่ความเหมาะเจาะสมควรแก่ความเป็นนายกนั้นหาไม่
ยาวไปมั้ยพี่ อิอิ พอดีคุยเรื่องเดียวกัน