ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
 
พฤษภาคม 2558
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
3 พฤษภาคม 2558
 
 

อีกสักครั้ง? Again? ฉบับรีไรท์ ตอนที่ ๓

https://www.youtube.com/watch?v=LI7AAFg0dQM



สาวร่างโปร่งไม่ได้นั่งแท็กซี่ตรงกลับไปบ้าน หากแต่แวะลงกลางทาง ด้วยความรู้สึกหดหู่ใจมากมายจนเกินจะยับยั้ง เกรงว่าตนจะร้องไห้จึงตัดสินใจลงจากรถเสียก่อน แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อกวาดสายตามองไปรอบตัว เธอกลับมายังสถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

'เลือกที่ลงรถได้เก่งมากจริงๆ นัทชา'

ประชดตัวเองในใจ ขณะยืนใกล้กับประตูหน้าโรงเรียนมัธยมฯ ซึ่งเธอกับหล่อนเคยเรียนที่นี่ มีความทรงจำเก่าๆ มากมายที่ประทับตราตรึงไม่ลืมเลือน

วันแรกที่ได้พบกัน เด็กแว่นตัวกลมในชุดนักเรียนชั้นประถมปีที่หกกำลังจะข้ามถนน โดยไม่ได้ดูสัญญาณไฟจราจร ที่กำลังจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว แล้วชนากานต์รีบคว้าไหล่ของเธอเอาไว้ พร้อมจูงมือพาข้ามทางม้าลายอย่างปลอดภัย วันนั้นนัทชาลืมถามชื่อของหล่อน แต่กลับจดจำใบหน้าสวยหวานนั้นได้อย่างแม่นยำ

อีกเหตุการณ์ที่หล่อนได้ผายปอดด้วยปากให้เธอ หลังจากจมน้ำในสระ เพราะขาเป็นตะคริว มีภาพถ่ายลงหนังสือพิมพ์เป็นหลักฐาน ทำให้เด็กแว่นที่แสนจะธรรมดาโด่งดังขึ้นทันตา แถมด้วยการเป็นเป้าเกลียดชังของเหล่าแฟนคลับ ‘คุณกานต์’ ที่มีสมาชิกกว่าค่อนโรงเรียน

แต่ที่นัทชาหงุดหงิดที่สุดในตอนนั้นก็คือ สาวสวยขโมย ‘เฟิร์สคิส’ ของเธอไป

สาวแว่นยกมือลูบริมฝีปากบางของตัวเองอย่างเผลอไผล ที่ผ่านมาเธอไม่เคยยอมมีอะไรเกินเลยกับใครสักคน คงมีแต่รุ่นพี่แสนสวยคนนี้ที่ได้สิทธิ์นั้น แถมยังล้ำเส้นมากกว่าความสัมพันธ์ปกติด้วยซ้ำ ในตอนเธอเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีสุดท้าย และหล่อนเรียนปีสอง


“นัทขา อย่าให้ใครจูบซ้ำรอยพี่นะคะ” เสียงหวานๆ ของหล่อนกระซิบ ขณะตระกองกอดรุ่นน้องที่นอนหงายบนเตียงอย่างหวงแหน

“ค่ะ” สาวแว่นรับคำเสียงแผ่ว ไม่เป็นตัวของตัวเองนัก

รุ่นพี่ยิ้มหวานอย่างพึงใจ พลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของนัทชา แล้วก้มหน้าลงประทับจูบดูดดื่มลึกซึ้งเนิ่นนานจนอีกคนหายใจเหนื่อยหอบ หล่อนจึงละจากริมฝีปากบาง เลื่อนไปฝากจุมพิตเบาๆ ที่กลางหน้าผาก พรมจูบไล่เลื่อนลงมาอย่างช้าๆ ที่ปลายจมูกแก้มเนียนทั้งสองข้าง

สาวสวยจูบสลับหนักบ้างเบาบ้าง จนทั่วทั้งวงหน้าคมอย่างรักใคร่ แอบตั้งใจว่า ค่ำคืนนี้จะประทับฝากรอยไว้บนร่างของเด็กสาว...ไม่ให้หลุดรอดไปแม้แต่ตารางนิ้วเดียว

นัทชาหลับตาพริ้มล่องลอยปล่อยกายใจให้ชนากานต์สัมผัส แตะต้องล่วงเกินตามอำเภอใจ

ริมฝีปากอุ่นของชนากานต์ค่อยๆ ซุกไซ้ไปที่ซอกคอเรียวของรุ่นน้อง ประทับฝากรอยแดงสองแห่งแสดงความเป็นเจ้าของ ก่อนเลื่อนริมฝีปากให้ต่ำลงครอบครองยังเนินอกที่ยังคงมีเสื้อผ้าสวมใส่ แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด เลื่อนมือเรียวขึ้นปรนเปรอนวดเฟ้นหน้าอกรุ่นน้องอีกข้างอย่างไม่ลำเอียง

“อา...” สาวแว่นหลุดครางออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ไม่คุ้นเคยกับสัมผัสแปลกใหม่ที่ชนากานต์กำลังมอบให้ สองมือเผลอขย้ำผ้าปูที่นอนข้างตัวแน่น เพื่อบรรเทาอาการร้อนรุ่มในกาย แต่ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

ร่างบางเลื่อนตัวขึ้น ก้มหน้าลงครอบครองริมฝีปากของรุ่นน้องอีกครั้งอย่างดูดดื่ม ก่อนเอ่ยร้องขอเสียงสั่น ด้วยความต้องการเต็มเปี่ยมเกินจะควบคุมไหว

“เป็นของพี่นะคะ”

ตอนนั้นนัทชาจำไม่ได้ว่าตอบอะไรออกไป

รู้ตัวอีกที ชนากานต์ก็ทำให้เธอสูญเสียการควบคุมตัวเอง ครวญครางและหวีดร้องดังออกมาแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต เหนื่อยหอบยิ่งกว่าวิ่งรอบสนามบาสเสียอีก ไม่นานสมองก็ว่างเปล่าขาวโพลน รู้สึกเบาหวิวล่องลอย สุขสมเต็มเปี่ยมอยู่ในอ้อมแขนของหล่อน


“What can I do to make you love me…”

เสียงโทรศัพท์ทำให้นัทชาหลุดจากภวังค์ รีบหยิบมือถือออกมาดู หน้าจอแสดงชื่อ ‘น้ามน’ จึงรีบกดรับ

“สวัสดีค่ะ”

“นัทอยู่ไหนลูก? ทำไมยังมาไม่ถึงออฟฟิศอีก? นี่มันจะบ่ายโมงอยู่แล้วนะ” เสียงมนรดาถามแฝงความเป็นห่วงปนอยู่ไม่น้อย

สาวแว่นไม่รู้จะตอบอย่างไร ได้แต่ตอบกล้อมแกล้มไปว่า

“เมื่อเช้าบังเอิญมีเรื่องยุ่งนิดหน่อย แต่นัทจะรีบเข้าไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”

มนรดาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ แต่เลือกที่จะไม่ซักไซ้อะไร

“ถ้ามาถึงแล้ว แวะหาน้าที่ห้องด้วยล่ะ”

“ค่ะ” รับคำก่อนกดปุ่มปิด แล้วรีบหารถแท็กซี่ไปบริษัททันที

ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง

“เชิญค่ะ” เจ้าของห้องกล่าวอนุญาต

มนรดาเงยหน้ามองไปทางประตูที่เปิด และต้องหรี่ตาลงเมื่อเห็นท่าทางเดินโขยกเขยกของหญิงสาว จึงลุกจากเก้าอี้มายืนข้างตัวประคองร่างโปร่งไปนั่งยังเก้าอี้นวมชุดหรูที่อยู่ใกล้ๆ

“ไปทำอะไรมา ถึงเดินขาเป๋แบบนี้?” เจ้าของห้องแกล้งหยิกแก้มหยอก สายตาจับจ้องอีกคนอย่างคาดคั้นให้แจกแจงเรื่องทั้งหมดออกมา

นัทชานิ่ง รับรู้ได้ถึงรังสีบางอย่างที่แผ่ซ่านออกมาจากญาติผู้ใหญ่

'ตอบไงดีละเนี่ย?'

สาวแว่นเม้มริมฝีปาก ก่อนทำหน้าตายตอบติดตลก

“เมื่อเช้า เจ้าใหญ่ถูกเสยท้ายที่ไฟแดงตรงสี่แยก นัทก็เลยได้แผลมานิดหน่อยเป็นที่ระลึก” ‘เจ้าใหญ่’ ที่นัทชากล่าวถึง คือดูคาติคันโตที่เพิ่งถอยออกมาสดๆ ร้อนๆ

มนรดาขมวดคิ้วแทบจะเป็นปม ใบหน้าสวยสมวัยบึ้งตึง นึกโมโหขึ้นมาจนเกินจุดเดือดของน้ำ หายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อข่มอารมณ์เอาไว้จนเกือบเหมือนปกติ เธอไม่อยากระเบิดคำพูดเกรี้ยวกราดใส่ใคร โดยเฉพาะกับนัทชา

“เกิดอุบัติเหตุ แล้วทำไมนัทไม่โทรมาบอกน้าสักคำ?” น้าสาวเอ่ยถามเสียงเย็นเยือก ชวนให้คนฟังเสียวไส้

นัทชานิ่งเหมือนมีอะไรก้อนโตมาจุกอยู่ในลำคอ สมองทำงานหนักเพื่อหาคำตอบ แต่ก็ไม่อาจกลั่นออกมาเป็นคำพูด ได้แต่นั่งคอตกก้มหน้าไม่กล้าสบตาของอีกฝ่าย

“เอ่อ คือว่า นัท...” พึมพำติดอ่าง

“อย่า ทำ แบบ นี้ อีก” เน้นคำพูดทีละคำ กล่าวเตือนออกมาด้วยเสียงไม่พอใจชัด “ถึงนัทจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่น้าก็ยังเป็นห่วงนัทเสมอ รู้บ้างรึเปล่า?” มนรดาตัวสั่นเทิ้ม ขอบตาเริ่มเปียกชื้น เมื่อจินตนาการไปว่า หลานสาวอาจจะเกิดเรื่องร้ายแรงแบบเดียวกับพี่สาวของเธอ ที่เสียชีวิตหลายปีก่อน เพราะอุบัติเหตุรถยนต์

“ขอโทษค่ะ” สาวร่างโปร่งพูดเสียงอ่อย รู้สึกผิดเต็มหัวใจที่ไม่ได้รับรู้ความรัก และความห่วงใยที่ญาติผู้ใหญ่มีให้ หลายครั้งที่ทำตัวเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก จนเย็นชาลืมที่จะแคร์ความรู้สึกของคนอื่น

มนรดาเป็นคนอบอุ่น ใจดี แต่เวลาดุก็ชวนสยอง แทบไม่ต่างจากมารดาของเธอนัก ทุกครั้งที่ทำผิด หญิงสาวจะรู้สึกเหมือนเป็นเด็กตัวเล็ก ไม่กล้าอ้าปากเถียงสักคำ ได้แต่ก้มหน้ายอมรับผิดโดยดี

สถาปนิกใหญ่กระพริบตาถี่ๆ เพื่อไม่ให้น้ำใสๆ ที่กำลังเริ่มก่อตัวเอ่อล้นออกมา

“แล้วเกิดอะไรขึ้นอีก?”

เธอเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดออกมา ตั้งแต่ต้นอย่างละเอียด จนต้องไปโรงพยาบาลใกล้ๆ เพื่อทำแผล...เพียงแต่ไม่ได้เล่าว่า เธอรู้จักผู้หญิงคนที่พาไปหาหมอ

“แผลใหญ่ขนาดต้องเย็บเชียวเหรอ” น้ำเสียงตกใจไม่น้อย

“แค่ไม่กี่เข็มเองค่ะ คุณหมอบอกว่าสองอาทิตย์ก็หาย” หญิงสาวไม่กล้าบอกจำนวนเข็มที่ถูกเย็บ เพราะเดาได้ว่าคนฟังจะโวยวายออกมา

“เจ็บมากไหมลูก?” มนรดาถามเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล เหมือนเห็นคนตรงหน้าเป็นเด็กตัวเล็กๆ

“พอสมควรค่ะ” สาวแว่นปากเก่งตอบไปอย่างนั้น แต่จริงๆ ตอนทำแผลเธอเจ็บมากทั้งที่หมอก็ฉีดยาชาแล้ว เผลอหลุดร้องครางดังออกมาตั้งหลายหน เจ็บจนลืมอายหมอพยาบาลและบุรุษพยาบาลไปเลยทีเดียว

“หยุดงานอยู่บ้านสักอาทิตย์ เดี๋ยวน้าโทรไปบอกข้างล่างให้”

“เอ่อ...นัทกลัวทำงานไม่ทันค่ะ” รีบยกเรื่องงานขึ้นมาอ้าง เธอไม่อยากให้คนอื่นทำงานนี้แทน

มนรดานิ่งคิดไปแป๊บหนึ่ง จ้องหน้าหลานสาวเขม็ง แล้วพูดตัดบทเสียงเข้มเหมือนคำสั่งเด็ดขาด

“เอาไปทำที่บ้านก็ได้ ตกลงตามนี้นะ”

“ได้ค่ะ” สาวแว่นได้แต่รับบัญชาเสียงอ่อย เดินกระโผลกกระเผลกไปห้องทำงานของตน เพื่อเอาชิ้นงานที่จำเป็นกลับไปทำต่อที่บ้าน


หลังทานอาหารเย็น อาบน้ำเรียบร้อย มนรดาก็ไล่ให้หลานสาวไปพักผ่อนตั้งแต่หัวค่ำ นัทชาเพิ่งรู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบหมดแรง จึงนอนยกแขนก่ายหน้าผากหมดสภาพอยู่บนเตียง

การเจอะเจอกับหล่อนวันนี้ ทำให้จิตใจที่คิดว่าแข็งแกร่งอ่อนแอลง ตะกอนที่คิดว่าลบเลือนไปแล้ว กลับปรากฏออกมามากมาย ความฟุ้งซ่านรบกวนจิตใจให้หวั่นไหวเกือบตลอดทั้งวัน

ภาพความทรงจำเก่าๆ ผุดขึ้นในสมองเป็นฉากๆ แม้จะผ่านมาเนิ่นนานหลายปี แต่กลับจำได้อย่างแม่นยำ เกือบทุกคืนที่อยู่ต่างแดนเธอต้องนอนขดหน้าซุกหมอนแอบร้องไห้ ปวดทรมานหัวใจกับรอยอดีตที่ตามหลอกหลอน

สถาปนิกสาวเคยคิดอิจฉาคนบ้า ที่มีความสุขทุกวินาทีอยู่กับโลกจินตนาการของตัวเอง ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอาทรอะไรกับสิ่งรอบตัว ผิดกับเธอที่ยังคงจดจำเรื่องที่ควรลืมเลือนไว้มากมาย

'ถ้าสมองมีปุ่ม Delete ก็คงจะดี ฉันจะได้ลืมทุกเรื่องที่เจ็บปวด'

สายตาคู่คมเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำรอดผ่านหน้าต่าง พระจันทร์คืนวันเพ็ญลอยสูงเหนือฟากฟ้า ดวงเดือนดูสวยเด่นข่มดวงดาวมากมายที่แข่งกันทอแสงระยิบระยับ

'คุณยังคงเป็นเดือนสวยเด่น สูงเกินเอื้อม
...ส่วนนัท ก็คงเป็นแค่ดาวดวงน้อยต้อยต่ำ'

นึกเปรียบเทียบตนเองกับหล่อนอีกรอบ แล้วภาพของหญิงชายที่เป็นเหมือนพระนางคู่สร้างคู่สมที่พบในวันนี้ ย้อนมาสร้างความเจ็บแปลบกับหัวใจของนัทชาอีกครั้ง...เจ็บยิ่งกว่าแผลเย็บที่ขาเสียอีก

สาวร่างโปร่งฝืนหลับตาแน่น เพื่อกั้นไม่ให้น้ำใสๆ ไหลทะลักออกนอกเบ้า เม้มริมฝีปากบางจนแทบเป็นเส้นตรง

'คุณคงไม่เคยสนใจหรอกว่า...นัทเจ็บแค่ไหน?'


หลังผิดหวังไม่พบแม้แต่เงาของนัทชา ชนากานต์ตัดสินใจกลับเข้าออฟฟิศเพื่อสะสางงานให้เรียบร้อย แต่หล่อนแทบไม่มีสมาธิในการทำงานมากนัก เผลอเมื่อไหร่เหมือนหัวใจจะลอยไปหาสาวแว่นเสียทุกที

มีหลายเรื่องคาใจที่อยากรู้มานาน และผู้ที่จะตอบคำถามได้กลับชิ่งหนีหายวับไปเฉยๆ แต่วิธีหลบแบบตื้นๆ แค่นี้สกัดคนอย่างหล่อนไม่อยู่หรอก เพียงแต่ตอนนี้ชนากานต์ยังคิดแผนดีๆ ไม่ออก

“ตอบหน่อยได้ไหม ตอบฉันหน่อย ว่าเธอคิดถึงกัน...”

ริงโทนของมือถือ เรียกสติของสาวสวยให้หลุดจากห้วงความคิด และต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นชื่อผู้ที่โทรมา จนต้องสงบจิตสงบใจก่อนกดรับ

“สวัสดีค่ะแม่” สาวหวานทักทาย แล้วเงี่ยหูคอยฟังคำบัญชาของ ‘พระนาง’ ตลอดเวลาที่ฟังหล่อนได้แต่พูด “ค่ะ” สามสี่คำก่อนวางสาย

'อีกแล้วเหรอ?'

หลับตาลงเอนหลังพิงเก้าอี้ ถอนหายใจทิ้งออกมาอย่างเบื่อๆ

ค่ำนั้น ชนากานต์ต้องไปปรากฏตัวในงานเลี้ยงของไฮโซชื่อดัง ที่จัดขึ้นในโรงแรมหรูตามคำสั่งของมารดา ด้วยเหตุผลเพื่อโชว์ตัว เป็นหน้าเป็นตาให้ธุรกิจ

หล่อนแต่งกายด้วยชุดราตรีเปิดไหล่สีชมพูอ่อน ยิ้มแย้มทักทายกับทุกคนที่ผ่านเข้ามา ไม่สำคัญว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จักกันหรือไม่? การสนทนาเป็นไปตามมารยาททางสังคม ซึ่งเกือบทุกคนในงานแบบนี้ ล้วนแต่สวมหน้ากากเข้าหากัน หาความจริงใจบริสุทธิ์ใจได้น้อยเต็มที ประหนึ่งหลุดเข้ามาในวงสิงสาราสัตว์ที่ต้องระวังตัวทุกย่างก้าว

แชะ! แชะ! แชะ!

เสียงถ่ายรูปรัวของตากล้องหลายคนดังแข่งกัน

นักข่าวมักจะได้รับบัตรเชิญให้ร่วมงานเลี้ยงใหญ่เสมอ เพื่อสร้างกระแสให้เจ้าภาพดังเป็นพลุแตก ถ้ายิ่งเจ้าของงานใจป้ำ ยอมจ่ายทิปหนัก บทความก็จะออกมาดูดีเลิศหรูจนทำให้คนที่ได้อ่านอิจฉาตาร้อน เป็นหนึ่งในวิธีการอวดบารมีแบบง่ายๆ ที่ไฮโซไฮซ้อนิยมทำ

“ขอตัวก่อนนะคะ” ชนากานต์กล่าวอย่างสุภาพกับคู่สนทนา ที่ส่งสายตาวิบวับ แต่ไม่มีผลใดๆ กับหล่อนเลยสักนิด แล้วเดินหลบออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ที่มุมสงบด้านหนึ่งของเทอเรซ หลังเหลือบเห็น ‘แฟน’ ของตนก้าวเข้ามาในงาน

ในวันนี้หล่อนคุยโทรศัพท์กับเขาน้อยมาก แค่ไม่กี่นาทีก็วางสาย โดยอ้างว่า ‘งานยุ่ง’ ทั้งที่ค่อนข้างว่างซะด้วยซ้ำ

หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี ที่มีพระจันทร์ดวงโตลอยเด่นกลางนภาชวนให้หลงใหล แล้วพลันได้ยินเพลงจากนักร้องบนเวทีที่กำลังขับกล่อมคล้ายต้นฉบับ เพลงที่หล่อนและนัทชาชื่นชอบเหมือนกันเมื่อนานมาแล้ว...เพลงขอจันทร์

เนื้อเพลงที่กล่าวถึง การอ้อนวอนขอ ‘ใครสักคน’ จากดวงจันทร์ ผู้ที่จะดูแล อยู่เคียงข้าง และเข้าใจเราเสมอ

หล่อนยืนฟังเพลงโปรด ด้วยหัวใจห่อเหี่ยวซึมเศร้า จนกระทั่งจบเพลง ความรู้สึกหนักอึ้งมากมายถาโถมเข้ามาในจิตใจ หล่อนเงยหน้ามองจันทราแสนสวยอีกครั้ง และหวังอยากให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเหมือนในบทเพลงนั้น จึงร้องขอพรบางอย่างในใจ

'พี่อยากให้ ‘เรา’ เป็นเหมือนเดิม'

หลังควบคุมอารมณ์ได้เกือบเหมือนปกติ ชนากานต์จึงกลับเข้าไปในงานเลี้ยง สายตาพลันเหลือบไปเห็นปริวัตรกำลังคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งอย่างเป็นกันเอง สังเกตจากรอยยิ้มหวานของผู้หญิงคนนั้นปรากฏชัดเต็มใบหน้า สาวสวยจำชื่อเธอไม่ได้แต่คุ้นหน้ามาก น่าจะเป็นคนมีชื่อเสียงพอสมควร...แต่หล่อนไม่ได้ให้ความสนใจอะไร

ร่างบางหันไปยกแก้วน้ำส้มจากถาดของบริกรที่เดินผ่านมา ยกจิบเล็กน้อยดับกระหาย ก่อนหันไปส่งยิ้มให้กับคนคุ้นเคยอีกคน จึงไม่ทันสังเกตว่า มีใครบางคนมายืนอยู่ด้านหลัง

“คุณกานต์” เสียงทุ้มเรียกชื่อหล่อนอู้อี้กว่าปกติ คาดว่าเขาคงดื่มเข้าไปหลายแก้ว

ชนากานต์หมุนตัวกลับไปมองคนเรียกด้วยสายตานิ่งๆ แทบไม่มีอารมณ์ใดปรากฏบนใบหน้าสวยหวาน ก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบ

“มีอะไรคะวัตร?”

“ผมขอโทษที่ขับรถประมาท จนทำให้วันนี้เกิดอุบัติเหตุ” ปริวัตรพยายามอธิบายให้ออกมาดูดีที่สุด หลังใช้เวลาคิดคำแก้ตัวอยู่ค่อนวัน

“ค่ะ” หล่อนขานรับ ด้วยสีหน้าอ่านยาก แต่ชวนให้อีกคนผวาเสียวหลังไม่น้อย

“ผมไม่ได้ตั้งใจชนคุณ คุณคนนั้นเลยนะครับ” เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า คู่กรณีที่ไปเสยท้ายเมื่อเช้าเป็นใคร? ก็สวมหมวกกันน็อกอยู่ใครจะไปจำได้ รู้แต่รถดูคาติสีดำที่ชนนั้นสวยมาก สวยจนอยากซื้อมาใช้เองสักคัน

ชนากานต์หรี่ตาจ้องมองคนพูด ในใจเริ่มร้อน และหงุดหงิดมากขึ้น เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงนัทชาอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่ก็ยังคงนิ่งฟังเฉยๆ

“เธอคงแค่ถลอก ไม่น่าเป็นอะไรมากใช่ไหมครับ?” ปริวัตรพูดสรุปออกมาแบบนั่งเทียน โดยไม่สนใจจะสอบถามข้อเท็จจริงเลยสักคำ

'แผลเย็บต่างหาก…เย็บตั้งหลายเข็ม'

หล่อนแก้ในใจ

หญิงสาวละสายตาจากใบหน้าของเขา เพื่อสงบอารมณ์เดือดดาลที่ปะทุขึ้นในอก รู้สึกรำคาญจนอยากจะเหาะหนีไปจากตรงนั้น แม้อยากจะทำเต็มประดา แต่เสียดายที่ทำไม่ได้

ชนากานต์ไม่ประทับใจเขาที่สุด ตรงที่ชอบทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่เคยคิดจะปรับปรุงให้ดีกว่าเก่า ไม่เคยแม้จะกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ ยิ่งรู้จักคบหานานวัน ความรู้สึกไม่ชอบสะสมมากขึ้น มากขึ้น และมากมายจนเกินจะทนไหว

แม้ในวันนี้ ปริวัตรจะทำให้หล่อนได้พบกับนัทชาอีกครั้ง แต่เพราะความประมาทเลินเล่อของเขา ทำให้สาวแว่นบาดเจ็บเลือดตกยางออก ยังเป็นเรื่องที่ทำให้ชนากานต์หงุดหงิดใจไม่น้อย

เขายังคงพูดพร่ำออกมาอีกหลายประโยค แต่หล่อนก็เงียบไม่ได้สนใจฟังเลย แค่เหมือนลมพัดผ่านหาได้เข้าหูไม่ ส่วนชายหนุ่มที่เริ่มมึนๆ กลับเข้าใจไปฝ่ายเดียวว่า อีกคนสนใจฟังเขาอยู่เหมือนเช่นเคย

“คุณกานต์ คุณกานต์ครับ” เสียงเรียกของเขาทำให้หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตา “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

“ฉันไม่ค่อยสบายขอตัวนะคะ” พูดจบ หล่อนหมุนตัวสาวเท้าอย่างสวยสง่าไม่ต่างจากเจ้าหญิง ตรงไปยังประตูทางออกทันที

“เป็นอะไรของเขา?” ชายหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ

“ไปพูดอะไรผิดหูเจ้าหญิงอีกล่ะ?” พงศกรเอ่ยกระเซ้าขึ้น หลังเดินมาหาปริวัตร เขาไม่ถึงกับปลื้มคู่รักคู่นี้นัก เพราะฝ่ายหญิงสาวดูเย็นชาเหลือเกิน แอบเดาว่าหากแต่งงานกันจริงๆ ก็คงไปกันไม่รอด จึงไม่อยากพูดอะไรออกมามาก ประกอบกับเห็นปริวัตรรักหลงชนากานต์หัวปักหัวปำ ถึงพูดจนปากเปื่อยอีกฝ่ายก็คงดื้อรั้นหูทวนลม ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

“ไม่รู้สิ คงจะเหนื่อยมั้ง เห็นบอกงานยุ่ง” ปริวัตรยักไหล่ทำไม่รู้ไม่ชี้ หันไปยกแก้วไวน์ที่มีน้ำสีสวยบรรจุอยู่บนโต๊ะขึ้นดื่มรวดเดียวหมด

“อย่ามัวแต่ช้าอยู่ล่ะ ระวังจะโดนคนอื่นคาบไปกินไม่รู้ด้วย”

“ว่าไงนะ?” ถามย้ำ เพราะได้ยินไม่ถนัด

พงศกรส่ายหน้าอย่างระอา บุ้ยใบ้สายตาไปรอบๆ ห้อง

“ผู้ชายทั้งโสดและไม่โสดในห้องนี้ มากกว่าครึ่งเล็งคุณกานต์อยู่ รู้บ้างรึเปล่า?”

“หืม?” ปริวัตรทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที

“ผู้หญิงทั้งสวยทั้งเก่ง แถมรวยขนาดนี้ หาได้ง่ายๆ ที่ไหน ระวังหน่อยนะครับ มัวแต่ชักช้าอยู่...หมาจะคาบไปซะก่อน” พงศกรทิ้งท้ายด้วยระเบิดลูกใหญ่ ก่อนเดินไปหาคนรู้จักที่โบกมือเรียกเขา

หนุ่มหล่อคิดตามคำพูดของอีกคน วางแก้วเปล่าบนโต๊ะ แล้วคว้าแก้วที่มีของเหลวสีสวยมากระดกดื่มหมดแก้ว ก่อนคิดอาฆาตในใจ

'ไอ้หน้าไหนกล้ามายุ่งกับคุณกานต์ มันจะได้รู้ว่านรกเป็นยังไง?'


หลังจากกลับถึงบ้าน ชนากานต์อาบน้ำเปลี่ยนชุดนอน เพื่อเตรียมพักผ่อน แต่สมองกับคิดอะไรเรื่อยเปื่อยในมือเรียวขยับพลิกบัตรประชาชนของนัทชาเล่นไปมา ก่อนถอนหายใจยาวแบบเบื่อๆ ออกมา เมื่อคิดแผนอะไรไม่ออก หล่อนเพ่งเหมือนคุยกับคนในรูปอยู่นาน

'ต้องทำอย่างไรนัทถึงจะยอมคุยกับพี่? บอกพี่ทีสิคะ?'

สักครู่คำตอบที่ต้องการก็ผุดขึ้นในสมอง ร่างบางไม่ลังเลที่จะหยิบมือถือกดเบอร์ที่คุ้นเคย รอสัญญาณไม่นานก็มีคนรับ

“ขอโทษที่โทรมารบกวนตอนดึก ช่วยเช็คประวัติคนให้ฉันหน่อยได้ไหม? ด่วนนะ” พูดกำชับจริงจังแบบที่ไม่ได้ยินบ่อยนัก หยุดฟังอีกคน “เดี๋ยวฉันส่งรูป ชื่อนามสกุลไปให้ทางอีเมล์ ขอบคุณมากนะ”

หลังเลิกการสนทนา หล่อนใช้มือถือถ่ายรูปบัตรประชาชน แล้วกดส่งไฟล์รูปอีเมล์ไปให้คนที่เพิ่งคุยเมื่อกี้ เวลานี้หล่อนอยากรู้เรื่องของนัทชามาก แม้จะขาดการติดต่อกันไปนานแล้วก็ตาม

'ถึงจะหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว พี่ก็จะตามนัทไป คอยดูสิว่า คราวนี้จะหนีไปไหนอีก'


หนึ่งอาทิตย์ต่อมา เพื่อนสนิทสามคนนัดเจอกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นในห้างสรรพสินค้ากลางเมืองเพื่อพบปะสังสรรค์ตามปกติ เดือนละครั้งสองครั้งแล้วแต่สะดวกโดยผลัดกันเป็นเจ้ามือ ซึ่งวันนี้เป็นความรับผิดชอบของชนากานต์

“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไม เธอถึงต้องคบกับหมอนั่นด้วย คนดีๆ มีให้เลือกตั้งเยอะ เยอะหยั่งกับต้นไม้” เหมวดีเปรยขึ้นกึ่งบ่น

เธอไม่รู้สึกประทับใจผู้ชายคนนั้นเลยสักนิด ผู้ชายที่มีแต่เปลือกทำเป็นไฮโซหรูหรา แต่รสนิยมไม่เอาอ่าว พูดเหมือนฉลาดมากมาย แต่ไม่รู้จริงสักอย่าง อยู่ใกล้แล้วชวนให้รำคาญ เหม็นเบื่อจนอยากจะวิ่งหนี

'ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน?'

ชนากานต์ฝืนยิ้ม ไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรดี

สินีส่ายหัวกับความเถรตรงของคนรัก ที่ไม่เกรงใจคนฟังเลยสักนิด จึงส่งสายตาปรามเหมวดีกลายๆ แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายแกล้งทำเป็นไม่สนใจ

“หาคนใหม่ดีกว่ากานต์ อีตานี้ไม่ไหวจริงๆ นะ” ทายาทเจ้าของหนังสือพิมพ์หัวสียักษ์ใหญ่พูด เธอรับรู้ข่าวพฤติกรรมห่วยแตกของหมอนั่น แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่หมายมั่นไว้ในใจแล้วว่า ถ้าได้ข้อมูลพวกนั้นมาเมื่อไหร่ เจ้าหน้าหล่อต้องถูกประจานแน่นอน

“วดีคะ” สินีที่นั่งอยู่ทนไม่ไหว จึงเอ่ยเรียกชื่อคนรักออกมา

“ก็มันจริงนี่” เหมวดียังคงยืนกรานคำเดิม

“เรื่องความรักนี่ ใจใครใจมันนะคะคุณวดีขา” สินี บรรณาธิการสาวแกล้งลากเสียงประชดคนรักของตัวเอง

เธอไม่อยากให้คนรักไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเพื่อน ด้วยเชื่อว่าหล่อนทำอะไรมักมีเหตุผล ไม่ทำอะไรตามอารมณ์ส่งเดชแน่ เพียงแต่การจะง้างปากเพื่อนคนนี้ให้คายความจริงออกมา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

“คุณสินีคะที่พูดปากเปียกปากแฉะ ก็เพราะฉันรักเพื่อน ห่วงเพื่อนหรอกนะคะ” เหมวดีลอยหน้าลอยตากวนประสาทคนรัก เหล่ตามองไปยังต้นเรื่องที่นั่งนิ่ง “อย่างยายกานต์น่ะ กระดิกนิ้วเมื่อไหร่ แห่มากันตรึม”

“ไม่ไหวล่ะ ฉันชอบอยู่เงียบๆ แบบนี้มากกว่า” หล่อนรีบปฏิเสธ

“ว่าแต่ จะเงียบไปได้นานแค่ไหนเชียว?” เหมวดีพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง แต่ดังพอที่อีกสองคนจะได้ยิน แล้วเธอก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เออใช่ เห็นเธอให้สินีหาข้อมูลคนอยู่ใช่รึเปล่า?”

“ใช่” หล่อนตอบ พลางเลิกคิ้วบางเรียวขึ้นเล็กน้อย ทำหน้าเครียดขึ้นแทบจะทันที “ทำไมเหรอ? หรือว่าหาไม่ได้?”

'ไม่น่าเป็นไปได้'

หล่อนคิดในใจ รู้ดีว่าเหยี่ยวข่าวของเพื่อนสนิทเก่งมาก ถนัดหาข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลัง ฝีมือดีแทบไม่ต่างจากนักสืบเอกชนเลยด้วยซ้ำ

“ก็ไม่เชิงหรอกนะ” เหมวดีว่าเสียงเข้ม ปั้นทำหน้าเครียดขึ้น

เพียะ!

สินีตีต้นแขนของคนรักเสียงดัง ก่อนต่อว่าออกมา

“คุณนี่ ชอบแกล้งคนจริงๆ”

“เจ็บนะสินี” สาวร่างใหญ่โวยวายพร้อมทำหน้าไม่รู้เรื่อง หลังแกล้งอำชนากานต์ “ฉันจะบอกยายกานต์ว่า เรียบร้อยแล้วต่างหาก ฉันแกล้งตรงไหนกัน?”

สาวสวยแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“แล้วได้ความว่าอย่างไรบ้าง?”

“เท่าที่หาได้ อยู่ในแฟ้มหมดแล้ว” บรรณาธิการสาวบอก ยื่นแฟ้มพลาสติกใสสีฟ้าออกมาตรงหน้า เป็นแฟ้มที่มีความหนาพอสมควร คาดว่าคงไปขุดข้อมูลมาได้เยอะเอาการ

“ขอบคุณนะสินี” ชนากานต์รับแฟ้มมาเปิดอ่านทันที ด้วยความกระตือรือร้น พลิกเปิดกระดาษหน้าแล้วหน้าเล่าอ่านอย่างใจจดจ่อ จนลืมสนใจทุกอย่างรอบตัว

คู่รักที่นั่งตรงข้ามจับตาเพื่อนสนิททุกการเคลื่อนไหว ดูเหมือนสาวสวยจะแสดงความสนใจเรื่องของนัทชามาก มากจนน่าสงสัย เหมือนที่สินีตั้งข้อสังเกตตั้งแต่คืนที่อีกฝ่ายโทรไปขอให้ช่วยสืบประวัติรุ่นน้อง


“ฉันว่ากานต์ น่าจะมีใครบางคนในใจอยู่แล้วนะคะ” สินีพูดขึ้น หลังเลิกคุยโทรศัพท์กับชนากานต์

เหมวดีหูผึ่ง ละสายตาจากโทรทัศน์แทบจะทันที

“มีคำอธิบายไหม?”

“ไม่รู้สิ ตั้งแต่เรียนคุณเคยเห็นกานต์ชอบ หรือสนใจใครเป็นพิเศษบ้างรึเปล่า?”

เหมวดีคิดทบทวนอย่างละเอียด เธอกับสินีรู้จักร่างบางตั้งแต่ ๗ หรือ ๘ ขวบ ได้เรียนหนังสือห้องเดียวกับชนากานต์ตอน ม.๑ ถึงม.๖ ส่วนตอนปริญญาตรีอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่เรียนคนละคณะ สาวสวยอยู่คณะบริหารธุรกิจ เธอกับสินีอยู่คณะนิเทศศาสตร์

“เหมือนจะไม่มีนะ” เหมวดีนึกไม่ออก

“แต่ฉันคิดว่ามี และมีมานานแล้วด้วย”

เหมวดีทำหน้าสงสัยเต็มแก่ จึงเอ่ยถามเสียงอ่อนเสียงหวาน

“ใครกัน? บอกหน่อยสิคุณสินีขา”

เธอนึกขำกับท่าทางอ้อนอยากรู้อยากเห็นของคนรัก แต่เลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้น

“ใจเย็นๆ ค่ะ อีกไม่นานก็คงได้รู้ เชื่อฉันสิ”


สินีอมยิ้มในหน้า หันสบตาเหมวดีพร้อมหลิ่วตาให้ เป็นเชิงรู้กันว่า ‘เป็นแบบที่ฉันคิดไว้ใช่ไหม’

สาวห้าวได้แต่ยักไหล่ยอมแพ้ให้คนรัก อีกฝ่ายมักจะมีลางสังหรณ์ดีกว่าเธอเสมอ

“ถามจริงๆ เถอะกานต์ เธอชอบนัทชาใช่หรือเปล่า?” เหมวดียิงคำถาม หลังจากคนตรงหน้าปิดแฟ้ม

ชนากานต์ชะงัก รู้สึกลำคอแห้งผากกะทันหัน ไม่นึกว่าจะโดนถามตรงๆ แบบนี้ เผลอเม้มริมฝีปากไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี

'ฉันอ่านใจง่ายขนาดนี้เชียวเหรอ?'

หล่อนคิดอย่างกังวล

แม้คนตรงหน้าจะเป็นเพื่อนสนิทกันมากว่าสิบปี แต่ชนากานต์ก็ไม่อยากให้ใครล่วงรู้ความลับในหัวใจ ที่เก็บงำเอาไว้มานานหลายปี สาวสวยเงยหน้าขึ้นสบตาคนถามอย่างช้าๆ แต่ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธสักคำ

ท่าทางลังเลของอีกคน ไม่พ้นสายตาจับผิดของเพื่อนทั้งสอง ซึ่งรู้ว่าภาษากายแบบนี้คือการตอบว่า ‘ใช่’

“ช่างเถอะ ถ้าเธอไม่อยากตอบ” เหมวดีโบกมือไปมาแบบเบื่อๆ คุ้นชินกับอาการปากหนักปากแข็งของสาวหวาน ที่ดูจะแก้ไม่หาย “ฉันแค่อยากจะบอกว่า เรื่องของหัวใจถ้าไม่กล้า...ก็กินแห้วต่อไปก็แล้วกัน”

สินีถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ก่อนบ่นกึ่งต่อว่าคนรักกลายๆ

“นี่เป็นวิธีให้กำลังใจของคุณเหรอคะ ฉันเพิ่งรู้”

เหมวดีหันขวับมองคนรัก และพูดจริงจังแบบที่ไม่เป็นบ่อยนัก

“หืม แล้วฉันพูดผิดตรงไหน? หากตอนนั้น ฉันไม่กล้าบากหน้าไปหาผู้ใหญ่ ก็คงไม่มีวันได้อยู่กับเธอแบบวันนี้ จริงหรือเปล่า?”

“จ้า จริงจ๊ะ” สินียิ้มอย่างอายๆ

เมื่อนึกถึงวันที่เหมวดีบุกไปขอคบกับเธอถึงบ้าน ทำเอาพ่อกับแม่ของเธอตกใจไม่น้อย แต่สุดท้ายผู้ใหญ่ก็ยอมรับ หลังเหมวดีพิสูจน์ความจริงใจอยู่นานเกือบปี และทำให้สองสาวได้อยู่ร่วมกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

สาวสวยหลุดยิ้มมุมปากออกมา รู้ว่ากว่าคู่รักคู่นี้จะสมหวัง ก็ฝ่าฟันอุปสรรคมาไม่น้อย แล้วก็ต้องหุบยิ้มสวยลงแทบจะทันที เมื่อคิดถึงเรื่องของตัวเอง

'แล้วนัทล่ะคะ จะยอมฝ่าฟันอุปสรรค เพื่ออยู่กับพี่หรือเปล่า?'

คืนนั้น สาวหวานนั่งพลิกอ่านแฟ้มข้อมูลของนัทชาหลายรอบ จนแทบจะท่องจำได้ทุกตัวอักษร แม้จะรู้ที่อยู่กับที่ทำงานของอีกคนแล้ว แต่ก็ไม่กล้าจะไปพบใบหน้าของคนที่แสนจะคิดถึง เพราะกลัวปฏิกิริยาอันแสนเย็นชาไม่ต่างจากจากน้ำแข็งขั้วโลกแบบคราวก่อน

หล่อนรู้สึกอ้างว้างเหน็บหนาว เหมือนยืนอยู่ริมหน้าผาสูงที่มีเหวลึกรออยู่เบื้องหน้า ขอเพียงก้าวพลาดก็พร้อมจะร่วงหล่นแหลกเหลวได้ทุกเมื่อ หญิงสาวรู้สึกว่าตนเองเปราะบางและอ่อนแอ แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คนอย่างชนากานต์ไม่เคยอับจนมืดมนหนทางเรื่องใดมากขนาดนี้

ขณะนั่งหมดอาลัยตายอยากปลงไม่ตก ก็เหลือบสายตามองไปยังชื่อบริษัทที่นัทชาทำงานอยู่ คิ้วเรียวบางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

'Finest Corp. งั้นเหรอ?'

OoXoO

ขอบคุณที่กรุณาติดตามนะคะ

นาง




 

Create Date : 03 พฤษภาคม 2558
0 comments
Last Update : 3 พฤษภาคม 2558 18:31:36 น.
Counter : 686 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com