ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
 
พฤษภาคม 2558
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
15 พฤษภาคม 2558
 
 
อีกสักครั้ง? Again? ฉบับรีไรท์ ตอนที่ ๑๐

เพลง ความรักเพรียกหา - ก้อง
https://www.youtube.com/watch?v=LoJodbtmeDw

๑๐

บรรยากาศภายในรถเงียบสนิท มีเพียงเสียงเพลงสากลเบาๆ เปิดคลอจากแผ่นซีดียุค 80’s ถึง 90’s

นัทชาขับรถอย่างเกร็งๆ พยายามไม่เหลือบมองคนที่นั่งเบาะคู่กับตนเลยสักนิด สายตาจ้องตรงมองแต่ถนนข้างหน้าเพียงอย่างเดียว สองมือกำพวงมาลัยแน่นเหมือนเกรงว่ามันจะหลุดลอยหายไปในอากาศ ในอกหัวใจเต้นรัวแรงกระหน่ำนานกว่าครึ่งชั่วโมง และยังไม่มีทีท่าว่าอาการตื่นเต้นจะลดน้อยถอยลง จนกลัวว่าจะหัวใจวายไปเสียก่อน

หลายครั้งที่เงอะงะลังเลในการเปลี่ยนเลน ราวกับเป็นมือใหม่หัดขับ ทั้งที่จริงเธอชื่นชอบความเร็วเป็นที่สุด ร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงไม่นับว่าเร็วเลยสำหรับเวลาปกติ แต่วันนี้แค่เหยียบแตะๆ ร้อยก็ผ่อนคันเร่งช้าลงเสียเฉยๆ ในใจแอบกังวลกับผู้โดยสารที่นั่งตัวตรง นิ่งเงียบมาตั้งแต่เคลื่อนรถออกจากประตูบ้าน ซึ่งถือว่าเป็นปฏิกิริยาผิดจากที่เธอคาดเอาไว้ลิบลับ

'ตั้งใจหน่อยสินัทชา'

ตะคอกตัวเองในใจ เริ่มลอกแลกไปสนใจสิ่งมีชีวิตในรถแทนถนนตรงหน้า แล้วอดใจที่จะลอบชำเลืองมองลอดแว่นผ่านหางตาไม่ได้ ก็พบว่าอีกคนคอพับคออ่อนไปเสียแล้ว สาวแว่นลอบถอนหายใจทิ้งออกมาอย่างโล่งอก ก่อนเผลอส่ายหน้าไปมาแบบขำๆ

อย่างน้อยการที่ชนากานต์หลับก็มีผลดีคือ ไม่ทำให้เกิดการปะทะคารม ซึ่งจะชวนให้อารมณ์เสียและอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ

นัทชาลดความเร็วลง และพยายามขับแบบไม่สอดส่ายไปมามากนัก แค่เปลี่ยนเลนบ้างเท่าที่จำเป็น ไม่อยากรบกวนความสุขของเจ้าหญิงนิทราที่ดูน่าอิจฉายิ่ง ความประหม่าเกร็งที่มีตอนแรกเริ่มจางหายลดลง จนเกือบเป็นศูนย์ เกือบทุกไฟแดงที่รถหยุด สาวแว่นจะหันมองผู้โดยสารที่ยังคงหายใจสม่ำเสมอ นัยน์ตาคมพินิจพิจารณาเค้าโครงหน้างดงามที่ติดตาตรึงใจอยู่มิลืมเลือนจนเพลิน แล้วเธอต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกดแตรไล่จากด้านหลัง

'บ้าจริง!'

นึกสบถในใจ ก่อนรีบเข้าเกียร์ออกรถอย่างรวดเร็ว โดยระวังไม่ให้รถกระชากเต็มที่

“อืม...” หล่อนส่งเสียงครางเบาๆ ในลำคอ พร้อมขยับตัวเล็กน้อย เหมือนกำลังจะตื่นจากห้วงนิทราที่แสนหวาน

“นอนต่อก็ได้นะ ถึงแล้วจะปลุก” นัทชากล่าวเสียงเรียบเบาๆ

“อือ...”สาวสวยขานรับแล้วเงียบไป ซึ่งเดาได้ว่า คงหลับไปแล้ว

'ขี้เซาไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ เอาไปขายเลยดีไหมเนี่ย?'

สถาปนิกสาวลอบมองอีกฝ่ายแล้วบ่นในใจ

ก่อนมุ่งความสนใจกับการขับรถต่อ ไม่นานก็ถึงจุดหมายอันมีป้ายโครงการขนาดยักษ์ปักอยู่ริมถนน นัทชาเปิดไฟเลี้ยวซ้าย ก่อนเข้าไปยังถนนดินเพื่อหาที่จอดรถแล้วดับเครื่องใต้เงาร่มต้นไม้ใหญ่

ได้เวลาปลุกเจ้าหญิงนิทรา แต่ไม่กล้ายื่นหน้าไปใกล้อีกคนมากนัก กลัวอดใจไม่ไหวจะทำเลียนแบบเจ้าชายในนิยาย...ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีนัก

“คุณ คุณถึงแล้ว”

“หืม...ถึงไหน?” ถามกลับเสียงอู้อี้ โดยไม่คิดจะลืมตาเลยสักนิด

“ก็คุณจะมาที่ไหน ก็ถึงที่นั่นแหละ” สาวร่างโปร่งตอบยวนๆ กลับอย่างหมั่นไส้คนที่ตีตั๋วนอนตลอดทาง

ชนากานต์เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ แล้วต้องกระพริบตาสองสามหนด้วยไม่ชินกับแสงจ้าตรงหน้า ขยับตัวนั่งตรงแม้จะยังเบลอๆ อยู่

“กี่โมงแล้ว?”

“เกือบเก้าโมงแล้ว” สาวแว่นตอบ ก่อนเอ่ยชวนตามมารยาท “ฉันจะลงไปคุยกับหัวหน้าคนงาน จะลงไปด้วยหรือเปล่า?”

ร่างบางที่เริ่มเข้าสู่โหมดปกติพยักหน้าเล็กน้อย

“ไปสิ”

นัทชาเปิดประตูหลัง หยิบหมวกนิรภัยสีเหลืองขึ้นสวม ก่อนเดินไปส่งอีกใบให้เพื่อนร่วมทาง แล้วกล่าวเสียงเรียบ

“สวมไว้ด้วย”

ร่างบางที่ทำหน้างงตอนแรก แล้วคลี่ส่งยิ้มหวานให้คนใจดี ขณะเอื้อมมือเรียวสวยรับของ

“ขอบคุณค่ะน้องนัท”

สาวแว่นรีบก้มหน้าต่ำหมุนตัวก้าวเท้าฉับๆ ไปยังเขตก่อสร้างโดยไม่สนใจที่จะรอหล่อน เมื่อนึกถึงรอยยิ้มบนหน้าสวยหวานที่เพิ่งได้เห็น ก็รู้สึกเหมือนกำแพงน้ำแข็งของตัวเองกำลังจะทลายพังลง ใบหน้าร้อนผ่าว ลำคอแห้งผาก หัวใจจู่ๆ ก็เต้นรัวแรงจนกลัวว่าจะกระโดดออกมานอกร่าง

'ควบคุมตัวเองหน่อยนัทชา'

ย้ำกับตัวเองในใจ

สาวหวานรีบสวมหมวกแล้วตามสาวแว่นไปทันที หัวใจดวงน้อยพองฟู อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ใจร้ายใจดำกับหล่อนนัก

ตลอดเวลาที่อยู่ไซด์งาน หล่อนทำหน้าที่ผู้ติดตามที่ดีเยี่ยม ตั้งใจฟังสถาปนิกสาวถามหัวหน้าคนงานอย่างละเอียด แทบจะทุกขั้นตอนของงาน เรียกว่าไม่เปิดโอกาสให้งานล่าช้าหรือผิดพลาดเลย

'นัทไม่ธรรมดาเลยจริงๆ'

ในความคิดของหล่อน นัทชามีความเป็นมืออาชีพสูงมาก สมกับที่มนรดาชื่นชมไว้ ขนาดหล่อนเป็นเจ้าของโครงการเองยังแอบทึ่งไม่น้อย

ร่างบางสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ วิลล่าหลายแห่งเริ่มขึ้นโครงเป็นรูปเป็นร่างบ้างแล้ว บางส่วนขึ้นโครงหลังคาแล้วแต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ งานโดยรวมเหมือนจะเร็วกว่าที่คิดเอาไว้ ทั้งหลายทั้งปวงคงต้องยกความดีความชอบให้สาวแว่นมากเป็นพิเศษ

หมดไปชั่วโมงกว่า สองสาวแทบไม่ได้คุยกันเลย เพราะสถาปนิกสาวเอาแต่สนใจเดินตรวจงานรอบโครงการ พูดคุยกับหัวหน้าคนงาน ช่างและคนงานหลายคน

อันที่จริง นัทชาก็ไม่ได้คิดจะถามไถ่หรือซักอะไรนักหนา แต่วันนี้ที่ทำทั้งหมด เพราะต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองต่างหาก เบี่ยง เบนจากคนที่อยู่ข้างหลัง...ผู้ที่มีอำนาจบาตรใหญ่กับหัวใจเธอมากมาย

ขณะเดินดูการก่อสร้าง สาวแว่นเดินคู่กับผู้ชายวัยสี่สิบเศษ โดยมีชนากานต์ตามเยื้องอยู่ข้างหลังไม่กี่ก้าว หลายครั้งที่นัทชาถามผิดถามถูก ถามคำถามเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำบ่อยจนวิโรจน์หัวหน้าคนงานทำหน้างงๆ กลายเป็นเธอต้องยิ้มแหยๆ และกล่าวขอโทษเบาๆ

วิโรจน์ไม่ได้ว่าอะไรแค่ผุดยิ้มแบบรู้ทันที่มุมปาก พอเดาได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้สาวแว่นคนเก่ง แสดงอาการเงอะงะต่างไปจากทุกที เพราะเขาเองก็แทบจะหยุดหายใจ ตอนเห็นใบหน้าหวานสวยผิวขาวผ่องของคุณกานต์ชัดๆ ในนาทีแรก

'น่าอิจฉาชะมัด ควงสาวแต่ละคนงามๆ ทั้งนั้น'

วิโรจน์แอบนึกอิจฉาสถาปนิกสาวนิดๆ แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่มองเฉยๆ เพราะเขาก็ไม่ได้โสดมีเมียมีลูกตั้งสอง แถมตัวดำปิ้ดปี๋ สาวสวยที่ไหนจะมาแล

“อุ๊ย!”

เสียงร้องของชนากานต์ ทำให้สองคนที่อยู่ข้างหน้าชะงักเท้าหันกลับมามอง นัทชาขมวดคิ้วเข้าหากันหลังเห็นว่า เกิดอะไรขึ้นกับหล่อน? จึงรีบก้าวเท้าไปหาร่างบางทันที เอื้อมมือไปจับต้นแขนของคนเจ็บพยุงไว้ไม่ให้ล้มลง

“เจ็บมากไหม?” เธอถามเสียงอ่อนโยน

“นิดหน่อยค่ะ” หล่อนฝืนตอบ แต่ใบหน้าสวยเหยเกเก็บความรู้สึกเจ็บไว้ไม่มิด ข้อเท้าซ้ายพลิกเพราะเหยียบพลาดไปบนก้อนหิน โชคดีที่ไม่ล้มคว่ำไปเสียก่อน

สาวแว่นถอนหายใจยาวออกมาอย่างเบื่อๆ ที่อีกฝ่ายไม่ตอบความจริง จากที่เห็นเดาได้ว่าชนากานต์คงเจ็บไม่น้อย

“ไปนั่งที่ออฟฟิศก่อนดีกว่า?”

“ค่ะ” ตอบเสียงแผ่ว หล่อนไม่อยากเป็นตัวถ่วงให้อีกคนรำคาญใจกว่านี้ และรู้ดีว่าตัวเองไม่อยู่ในสภาพที่จะเดินเหินร่อนไปร่อนมา แค่นี้ก็เจ็บจะแย่อยู่แล้ว

“ให้ผมช่วยประคองไหมครับ?” วิโรจน์ที่เดินมาสมทบ เสนอตัวที่จะประคองหล่อนไปยังออฟฟิศ ที่อยู่ห่างออกไปประมาณสามสิบกว่าเมตร

ไม่ทันที่ชนากานต์จะตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนอของเขา

นัทชาก็พูดเสียงเย็นแทรกขึ้นมาก่อน

“ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวนัทจัดการเอง” พูดจบสาวแว่นขยับตัวเข้าอุ้มร่างบางลอยขึ้นทันที

“ว้าย!” ชนากานต์หวีดร้อง ตกใจยกแขนกอดคอของอีกคนไว้แน่นกลัวหล่น

แม้ความสูงของทั้งคู่ต่างกันไม่ถึงห้าเซนติเมตร แต่นัทชาแข็งแรงกว่ามาก อาจเพราะเธอออกกำลังกายสม่ำเสมอ และเคยเป็นอดีตนักกีฬามหาวิทยาลัยมาก่อน

“กล่องยาอยู่ในออฟฟิศใช่ไหมคะ?” เธอเอี้ยวตัวหันมาถามหัวหน้าคนงาน

วิโรจน์ยืนตะลึงตาค้าง ไม่นึกว่าจะเห็นสถาปนิกคนเก่ง ‘โชว์แมน’ ต่อหน้า สายตาคนงานหลายสิบคู่ก็ล้วนหันมองดูอย่างสนใจ

“เอ่อ...คะ ครับ” เขาตอบตะกุกตะกัก ยืนมองตามหลังนัทชาที่อุ้มผู้หญิงอีกคนตรงดิ่งเข้าออฟฟิศไปแทบจะทันทีที่ได้คำตอบ

'ว้าว ขี้หวงชะมัด...สงสัยคนนี้จะตัวจริง'

คิดแบบขำๆ ในใจ นึกเสียดายที่ไม่ได้โอบอุ้มสาวสวยแบบนั้นบ้าง วิโรจน์สะบัดความคิดในหัว หมุนตัวกลับไปคุมลูกน้องทำงานต่อ ปล่อยให้นัทชาทำหน้าที่ปฐมพยาบาลคนเจ็บ ไม่คิดอยากเข้าไปเกะกะเป็นก้างขวางคอแต่อย่างไร

ในสายตาคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากอย่างเขา การแสดงออกของสองสาวไม่เหมือนคนเพิ่งรู้จักกันเลย แต่เหมือนคนสนิทชิดเชื้อที่กำลังทะเลาะกันอยู่มากกว่า ส่วนทั้งคู่จะสนิทสนมขนาดไหน เขาไม่อยากรู้ลึกรู้จริง แค่นี้ก็รู้สึกเสียดายมากพอแล้ว

ในโลกปัจจุบัน สาวงามไม่ได้เลือกคู่กับหนุ่มหล่อเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป สาวหล่อสาวเท่กำลังกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของชายหนุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่สังคมบางส่วนไม่กล้าที่จะยอมรับความจริงนี้เท่านั้น

นัทชากระชับวงแขนที่อุ้มหล่อนแน่น ถึงตายเธอก็ไม่ยอมปล่อยให้อีกคนหล่นร่วงลงพื้นเด็ดขาด กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ หอมกรุ่นโชยมาติดจมูกชวนเคลิบเคลิ้มได้ไม่ยาก แต่ทำใจแข็งรีบสาวเท้าไปยังจุดหมายปลายทาง โดยไม่กล้าชำเลืองมองคนเจ็บเลยสักแวบ

ตอนที่วิโรจน์เสนอตัวจะช่วยประคองหรือคิดจะช่วยอุ้มหล่อน สาวร่างโปร่งรู้สึกเดือดดาลเหมือนควันจะออกหู นึกหวงไม่อยากให้ใครสัมผัสแตะต้องชนากานต์แม้แต่ปลายเล็บ

...รู้สึกหวง ‘อดีต’ คนสำคัญ ที่ตอนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกัน

ขณะที่ชนากานต์แทบไม่อยากปล่อยสองแขนเรียว ที่โอบคอของอีกฝ่ายเลยสักนิด ฉกฉวยโอกาสซุกไซ้กดปลายจมูก และริมฝีปากที่ซอกคอเรียวของรุ่นน้องอย่างอดใจไม่ไหวหลายต่อหลายครั้ง ในใจนึกเสียดายที่เวลาอันแสนสุขนั้นสั้นมากสั้นเหลือเกิน...แค่นาทีเศษเท่านั้น

นัทชาก้าวเข้าไปในออฟฟิศชั่วคราว จัดการวางคนในวงแขนให้นั่งโซฟาตัวยาวอย่างระมัดระวัง

“ขอหาของแป๊บนะ”

“ค่ะ” หล่อนพยักหน้า รู้สึกอบอุ่นกับน้ำเสียงห่วงใยที่แสดงออกมาชัดแบบไม่ปิดบัง แบบเดียวกับที่เคยแสดงกับตนในอดีต ร่างบางมองตามแผ่นหลังที่แสนจะคุ้นเคยก้าวผ่านประตูไปยังอีกห้องด้านใน

ไม่ถึงสองนาที สถาปนิกสาวกลับมาพร้อมน้ำแข็งหนึ่งถุง เธอวางของนั้นข้างเก้าอี้ที่คนเจ็บนั่งอยู่ ทรุดตัวคุกเข่ากับพื้น หมายถอดรองเท้าข้างที่พลิกของหล่อน

สาวสวยพยายามจะชักเท้าหนี ด้วยมองว่าเป็นเรื่องไม่สมควร

“น้องนัทคะ พี่ถอดเองก็ได้ค่ะ”

“อยู่เฉยๆ ได้ไหม เดี๋ยวจะเจ็บกว่าเดิม” สาวแว่นขู่เสียงเรียบทำให้หล่อนหยุด เธอจึงถอดคัทชูทั้งสองออกอย่างเบามือ แล้วยกเท้าขาวเนียนข้างที่เจ็บของอีกคนวางบนหน้าขาของตนที่คุกเข่าอยู่ สังเกตเห็นตำแหน่งข้อเท้าที่บวมและเริ่มออกสีแดงเรื่อๆ จึงใช้ปลายนิ้วชี้จิ้มเบาๆ ลงไปเพื่อทดสอบ

“โอ๊ย!” เจ้าของเสียงหวานหลุดร้องออกมาเบาๆ รู้สึกเหมือนโดนรุ่นน้องกลั่นแกล้ง แต่ก็ไม่หลุดปากต่อว่าอะไรสักคำ เพราะรู้ว่าตนอยู่ในสภาพเสียเปรียบสุดๆ

“นอนลงสิ”

ชนากานต์ได้แต่ทำตามนอนเหยียดยาวบนโซฟา

สาวแว่นจับข้อเท้าบางนั้นไว้ อีกมือหยิบถุงน้ำแข็งมาประคบตรงตำแหน่งที่บวมเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ

“อยู่นิ่งๆ สักพักนะ เดี๋ยวน่าจะค่อยยังชั่วขึ้น”

“ขอบคุณค่ะ” หล่อนพึมพำ

“ไม่เป็นไร” เธอทำหน้าเฉยนิ่ง พยายามซ่อนความเป็นห่วงเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ

โชคร้ายที่ชนากานต์ไม่อาจล่วงรู้สิ่งที่อีกคนคิด ได้แต่ทำหน้าเศร้า คิดว่าการมาของตนกลายเป็นภาระให้รุ่นน้อง แทนที่จะได้แต้มเพิ่ม กลับ กลายเป็นได้คะแนนติดลบแทน จึงนึกต่อว่าตัวเองในใจ

'ไม่เอาไหนเลยชนากานต์'


สิบเอ็ดโมงเศษนัทชาปรับเปลี่ยนกิจกรรม จากเดิมตั้งใจจะออกไปทานกลางวันข้างนอกเหมือนทุกครั้งที่มากับอินทิพร กลายเป็นสั่งคนงานออกไปซื้ออาหารร้านส้มตำเจ้าอร่อยที่อยู่ใกล้ๆ มาแทน สั่งจัดโต๊ะอาหารรับประทานนอกออฟฟิศใต้ร่มไม้ใหญ่ ด้วยไม่อยากให้ชนากานต์นั่งอุดอู้ในห้องทำงานรกแคบที่ไม่ต่างจากรูหนูนานนัก

“หวังว่าคงพอทานได้” นัทชาพูดขึ้น หลังประคองหล่อนออกมานั่งที่โต๊ะที่ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมสรรพ รอแค่คนทานเท่านั้น

“ขอบคุณค่ะ” ร่างบางกล่าวอย่างสุภาพอ่อนหวาน หลังทรุดตัวนั่งเก้าอี้ กวาดสายตามองอาหารหลายจานที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้า อาทิ ส้มตำไทย ข้าวเหนียว คอหมูย่าง ลาบ น้ำตก และยำปลาดุกฟู จึงส่งยิ้มหวานออกมา “น่าทานนะคะ”

“ถ้าอร่อยสู้โรงแรมหรูไม่ได้ ก็ขออภัย แถวนี้มีแต่แบบนี้” เธอพูดเสียงเรียบ เอื้อมหยิบช้อนส้อมมาตักยำปลาดุกฟูประเดิมเป็นอย่างแรก

สาวสวยแอบส่งค้อนวงเล็กให้คนช่างประชด เอื้อมมือใช้ช้อนกลางตักส้มตำตรงหน้ามาชิม แล้วยิ้มกว้าง

“อร่อยค่ะ”

“อืม อร่อย” เพื่อนร่วมโต๊ะพยักหน้าเห็นด้วย

แล้วต่างคนต่างทานเงียบๆ ไม่สนใจจะพูดคุยอะไรกัน ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงอาหารบนโต๊ะพร่องไปเกือบหมด คนทานอิ่มหนำสำราญจนแทบลุกเดินไม่ไหว

แม้มื้อนี้จะไม่ใกล้เคียงคำว่า ‘โรแมนติก’ เลยสักนิด ทุกอย่างแสนจะธรรมดาเรียบง่าย แต่สาวแว่นทำให้ชนากานต์ประทับใจไม่น้อย เพราะอาหารบนโต๊ะล้วนเป็นของโปรดของหล่อนทั้งสิ้น ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังคงจดจำเรื่องของหล่อนได้แม่นยำมาก

'นึกว่าจะลืมไปแล้วเสียอีก ว่าพี่ชอบอะไรบ้าง'

สาวสวยเริ่มเชื่อมั่นว่า ถ่านไฟเก่ามีโอกาสจุดติดมากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องใจเย็นไม่ผลีผลาม เดี๋ยว ‘ไก่’ จะตื่นกระโจนหนีไปเสียก่อน


ช่วงบ่าย นัทชาเดินตรวจงานไม่ห่างจากออฟฟิศมากนัก เรียกว่าแทบไม่ปล่อยให้ร่างบางที่นั่งเล่นอยู่แถวนั้น คลาดสายตานานเกินห้านาทีเลย สมาธิทั้งปวงจดจ่อไปที่สาวสวยมากกว่างานตรงหน้าเสียอีก

“วันนี้คงต้องเลิกเร็วหน่อยนะครับ” วิโรจน์พูดขึ้นลอยๆ ขณะมองไปยังท้องฟ้าด้านที่เป็นชายหาด

“ทำไมล่ะ?” สถาปนิกสาวทำหน้าสงสัย เหลือบมองนาฬิกาข้อมือบอกเวลา ๑๕.๒๐ น. ยังไม่ใช่เวลาเลิกงานสักหน่อย

“ท่าทางพายุจะมานะครับ โน่นมืดมาเชียว” เขาชี้นิ้วไปยังเมฆดำทะมึนกลุ่มใหญ่ที่กำลังครอบคลุมพื้นที่จนเกือบเต็มท้องฟ้า ไม่ไกลจากจุดที่ทั้งสองยืนอยู่นัก

“นั่นสิท่าจะหนัก ถ้าไม่มีอะไรนัทกลับก่อนแล้วกัน ไม่อยากไปติดฝนกลางทาง” เธอทำท่าจะขอตัวกลับ

“ผมว่าคุณนัทค้างในเมืองดีกว่านะครับ ออกไปตอนนี้ก็ไปเจอฝนกลางทางอยู่ดี” เขาเตือนอย่างเป็นห่วง ขับรถหน้าฝนไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งขับทางไกลด้วยยิ่งต้องระวัง อาจเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง

หญิงสาวนิ่งคิดแม้จะเห็นคล้อยตาม แต่ติดตรงที่ไม่ได้มาคนเดียว

“นัทยังไงก็ได้ แต่ขอนัทคุยกับคุณกานต์ก่อน”

“ครับ” เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ

วิโรจน์ไม่รู้ว่า ‘คุณกานต์’ ที่มากับสถาปนิกสาวเป็นใคร? เพราะนัทชาไม่ได้แนะนำตัวเหมือนกับอินทิพร แต่คาดคะเนจากบุคลิกลักษณะและกิริยาท่าทางของหล่อนแล้ว ไม่ใช่สถาปนิกหรือวิศวกรแน่? ถึงสงสัยอยากรู้ก็ไม่กล้าสอบถาม เพราะเกรงจะเป็นการละลาบละล้วงเกินไป

แต่สิ่งเดียวที่เขามั่นใจสุดๆ จากที่สังเกตเห็นหลายหนในวันนี้ คือ สองสาวต้องมีใจให้กันไม่มากก็น้อย แถมสาวแว่นค่อนข้างจะเอาอกเอาใจชนากานต์มาก...มากกว่าที่แสดงออกกับอินทิพรอย่างเห็นได้ชัด

นัทชาก้าวไปหาสาวสวย ที่นอนเอนหลังบนเก้าอี้ชายหาดอยู่หน้าออฟฟิศ พลิกอ่านนิตยสารดาราเล่มใหม่ ที่วิโรจน์หยิบยืมจากลูกน้องมาให้แก้เหงา

เธอชะงักเท้าในระยะห่างห้าถึงหกเมตร แทบจะหยุดหายใจที่เห็นชนากานต์กำลังอมยิ้มในหน้าขณะอ่านบางอย่างอยู่ มือเรียวนั้นพลิกเปิดหนังสือช้าๆ เป็นอากัปกิริยาสบายๆ ดูผ่อนคลายชวนมอง เหมือนเป็นรูปสลักมีชีวิตที่ชวนหลงใหล...มองเท่าไหร่ก็ไม่รู้เบื่อ

'สวยมาก...สวยจริงๆ'

สาวแว่นไม่ทันรู้ตัว ตอนที่อีกคนละสายตาจากหนังสือและเงยหน้าขึ้นมองเธอ

“ตรวจงานเสร็จแล้วเหรอคะ น้องนัท?”

เธอหลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงหวานๆ ทำท่างงเล็กน้อย เพราะไม่ได้ยินคำถาม

“อะไรนะคะ?” นัทชาถาม

“พี่ถามว่า ตรวจงานเสร็จแล้วเหรอคะ?” หล่อนพูดทวนซ้ำอีกรอบ แอบหัวเราะในใจที่รุ่นน้องทำท่าทางแปลกๆ ซึ่งดูน่ารักมาก แต่ไม่กล้าพูดออกมาดังๆ เพราะเกรงจะทำให้คนฟังหงุดหงิด

“จะพูดอย่างนั้นก็ได้” เธอตอบแบบกวนๆ จนเห็นชนากานต์เลิกคิ้วทำหน้าสงสัย เธอจึงเริ่มพูดเข้าเรื่องแบบอ้อมๆ แต่เหมือนจะอ้อมไปไกลมาก “พรุ่งนี้มีธุระหรือเปล่า?”

หล่อนกระพริบตาสองครั้งอย่างงงๆ ด้วยไม่เข้าใจนัก แต่ก็ตอบคำถามนั้น

“ไม่ค่ะ พรุ่งนี้พี่ว่าง”

เงียบไปหลายวินาที เธอจึงถามต่ออย่างไม่เต็มเสียงนัก

“แล้วถ้าเราจะค้างที่นี่ หมายถึงที่พักในเมืองคืนนี้ เอ่อ...จะสะดวกไหม?”

คำถามเรียบง่ายแต่ทำให้คนฟังคิดหนัก หล่อนขมวดคิ้วบางแทบจะทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘จะค้างที่นี่’ ตกลงนัทชาต้องการจะบอกอะไรกันแน่? ความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยพุ่งพรวดเกินจะวัดได้ หล่อนอยากรู้สุดๆ ว่า คนตรงหน้าเคยค้างคืนที่นี่กับคนอื่นด้วยรึเปล่า? โดยเฉพาะกับผู้หญิงคนนั้น...อินทิพร

เมื่อเห็นอีกคนนิ่งเงียบทำหน้าเหมือนไม่พอใจ นัทชาจึงรีบอธิบายอย่างเร็วก่อนจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่

“คือมีพายุเข้าน่ะ คงไม่ใช่เรื่องดีนัก หากเราต้องขับรถฝ่าสายฝนออกไปตอนนี้”

ความหงุดหงิดข้องใจเมื่อกี้หายวับไปกับสายลม แต่ไม่ทันที่หล่อนจะตอบ หยดน้ำจากฟากฟ้าก็ตกโปรยปรายลงมายืนยันคำพูดของสาวแว่น

ทั้งคู่เงยหน้ามองกลุ่มเมฆดำใหญ่ เห็นประกายสายฟ้าเป็นแฉกวิบวับวูบวาบหลายต่อหลายเส้น ชวนชื่นชมและน่าสะพรึงกลัวไปพร้อมๆ กัน

หล่อนหันกลับมามองรุ่นน้อง

“ดูเหมือนตอนนี้ เราจะไม่มีทางเลือกแล้วนะคะ”

“รีบออกจากที่นี่ ไปหาที่พักกันดีกว่า” สาวแว่นสรุป

“ค่ะ”

สถาปนิกสาวประคองร่างบางลุกยืน ล้วงกระเป๋ากางเกงส่งกุญแจรีโมทให้อีกคน ก่อนย่อตัวลงอุ้มชนากานต์ไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก


นัทชาขับรถแล่นฝ่าฝนเข้ามาในตัวเมืองชลบุรี เพราะเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวใกล้วันหยุดยาว จึงหาที่พักได้ไม่ง่ายนัก ทั้งคู่ตะเวนหาห้องพักเกือบทุกแห่ง แล้วต้องไปหยุดอยู่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงแรมแบบพิเศษที่เมืองไทยยังมีไม่มากนัก อยู่ในกลุ่ม ‘Love Hotel’

เธอก้าวเท้าพร้อมประคองรุ่นพี่ ไปสอบถามพนักงานต้อนรับ

“มีห้องพักสองห้องไหมคะ?”

“เหลือแค่ห้องเดียวค่ะ” พนักงานสาววัยยี่สิบปลายในชุดแฟนตาซีแปลกตาตอบ หลังเช็คข้อมูลจากจอมอนิเตอร์ตรงหน้าอย่างละเอียด

“ห้องเดียว?” คนถามทำตาโตแทบจะทะลุออกนอกแว่นที่สวมอยู่

“ใช่ค่ะ ช่วงนี้ลูกค้าเยอะมาก จองเกือบเต็มจนถึงหลังปีใหม่เลยค่ะ” เธออธิบาย พลางสำรวจใบหน้าคมของลูกค้าตรงหน้าอย่างละเอียด

นัทชาอึ้ง ลืมไปเสียสนิทว่า ช่วงนี้เป็นช่วงท่องเที่ยวที่จะมีนักท่อง เที่ยวจากไหนไม่รู้ แห่มาพักตากอากาศที่เมืองนี้…เหมือนฝูงนกนางนวลอพยพแวะมาทักทายปีละครั้ง

“ตกลงเอาห้องนั้นค่ะ” ชนากานต์ตอบขึ้นแบบไม่ลังเล พลางขยับตัวหยิบกระเป๋าสตางค์เพื่อจัดการกับค่าห้องพัก

สาวแว่นเอียงตัวไปกระซิบเบาๆ

“ขับกลับกรุงเทพฯ เลยก็ได้นะ ถ้าคุณไม่สะดวกจะค้าง” เธอไม่ได้มีปัญหากับการพักค้างคืนที่นี่ แต่เกรงว่าจะทำให้สาวสวยอึดอัดกับการที่ต้องนอนห้องเดียวกัน แอบหวั่นใจนิดๆ สองจิตสองใจจะเอาอย่างไรดี?

“พี่พักได้ค่ะ” ชนากานต์ตอบยิ้มๆ เอื้อมมือทำท่าจะกรอกเอกสาร แต่นัทชากลับคว้าปากกาและกระดาษนั้นไปเสียก่อน

“ไม่ต้องค่ะนัทดีกว่า” เธอพูด แล้วก้มหน้าเขียนแบบฟอร์มนั้นแทน

สาวสวยได้แต่ถอนหายใจทิ้งเบาๆ ไม่กล้าแย่งกระดาษกลับ วันนี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระให้คนข้างๆ หลายต่อหลายเรื่อง ต่างจากปกติที่เคยเป็นลิบลับ...เหมือนโดนอีกคนแย่งบทผู้นำไปทั้งหมด แล้วทิ้งให้หล่อนต้องมารับบทเป็นผู้ตามที่ดี

'ใช้การไม่ได้เลยจริงๆ คุณชนากานต์คนเก่ง'

ร่างบางยืนพิงเคาน์เตอร์พลางนึกประชดตัวเองในใจ

พอกรอกข้อมูลเสร็จก็ส่งเอกสารคืนเจ้าหน้าที่ พร้อมควักกระเป๋าจ่ายค่าห้อง ซึ่งนับเป็นค่าโรงแรมที่แพงมากในความคิดของสถาปนิกสาว...แบงค์สีเทาตั้งสามใบ

'แพงอะไรนักหนา'

แอบบ่นในใจ ขณะยื่นแบงค์ให้หญิงสาว

“ชั้นสามค่ะ ห้อง ๓๓๓” พนักงานสาวพูด หลังตรวจเช็คทุกอย่างถูกต้องเรียบร้อย ยื่นกุญแจห้องอันใหญ่ใส่ในมือนัทชา

“ขอบคุณ”

“ถ้าต้องการอะไรเพิ่ม ก็โทรตามเบอร์ที่วางไว้ในห้องนะคะ” สาวเจ้าพูดพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ สายตาวิบวับมีพิรุธ

แต่คนฟังก็ยังคงไม่รู้ความนัยที่ซ่อนอยู่ ได้แต่ตอบรับคำ

“อา...ค่ะ”

“ขอให้มีความสุขมากๆ นะคะคืนนี้”

“หืม?” เธอทำท่าเหมือนจะถาม แต่แล้วเปลี่ยนใจแล้วยิ้มแทน

พนักงานสาวคนนั้นนอกจากจะอวยพรแปลกๆ ยังหลิ่วตาข้างหนึ่งให้สาวแว่นอีกด้วย แต่หารอดพ้นจากสายตาหวานคมกริบของอีกคนที่จ้องเขม็งอยู่ตั้งแต่ต้นไม่

'จะมากไปแล้ว'

สาวสวยหงุดหงิดที่มีคนทำท่าเหมือน ‘ทอดสะพาน’ ให้นัทชาตำตา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะตนก็ไม่มีสิทธิ์จะหวงในฐานะแบบนั้น...ยิ่งคิดยิ่งโมโห ได้แต่ข่มอารมณ์ขุ่นเคืองไว้ในใจ

“ที่นี่ตกแต่งแปลกดี” สาวแว่นพูดขึ้นลอยๆ ขณะอยู่ในลิฟต์เพียงลำพังกับหล่อน ส่วนกระเป๋าสองใบถูกบอยเบลล์ขนขึ้นไปที่ห้องก่อนแล้ว

“ชอบเหรอคะ?” สาวหวานเอียงคอถามอย่างสงสัย

“บอกไม่ถูก แค่แปลกๆ รู้สึกว่า ที่นี่ไม่เหมือนโรงแรมทั่วไป” สาวร่างโปร่งตอบไม่เต็มเสียงนัก

ใจหนึ่งก็ไม่อยากค้างคืนที่นี่ ยิ่งนอนห้องเดียวกับชนากานต์ด้วยยิ่งอันตรายสุดๆ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะปล้ำหรือฉวยโอกาส แต่กลัวจะหักห้ามใจไม่ไหว ตัวเองจะไปทำอะไรมิดีมิร้ายคนข้างๆ แทนมากกว่า

“ถือว่าคืนนี้เรามาทัศนศึกษา เหมือนตอนเรียนก็แล้วกัน” ร่างบางพูดแบบเตือนล่วงหน้ากลายๆ ไม่ให้อีกคนกังวลเกินเหตุ

“ทัศนศึกษา? ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

นัทชาส่ายหัว ทำเสียงสูงเหมือนไม่เชื่อนักว่า ที่นี่จะมีอะไรชวนตื่นตาแปลกใจกว่านี้ โรงแรมที่ไหนๆ ก็น่าจะเหมือนกันไม่ใช่เหรอ...เว้นแต่จะมีสัตว์ประหลาดซ่อนอยู่ในห้อง

'นี่คงไม่รู้จริงๆ สินะ'

สาวหวานไม่ตอบแค่อมยิ้มน้อยๆ ในหน้า มั่นใจมากว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้จัก ‘Love Hotel’ จริงๆ

แม้หล่อนไม่เคยเข้าในสถานที่แบบนี้มาก่อน แต่เคยศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโรงแรมประเภทนี้มาบ้าง จึงไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร ตั้งแต่จำความได้ก็อยู่กับธุรกิจโรงแรมแล้ว...ธุรกิจของครอบครัว

พอประตูลิฟต์เปิด ทั้งสองเดินตรงไปยังห้องที่มีบอยเบลล์ยืนรออยู่ก่อน หลังส่งแขกเข้าห้องชายหนุ่มก็ค้อมหัวต่ำ ปิดประตูห้องสนิทลง โดยได้รับทิปสองใบแดงจากชนากานต์เป็นรางวัล

นัทชายืนตัวแข็งทื่อแทบไม่ต่างจากรูปปั้น หลังกวาดตาสำรวจการตกแต่งภายในห้องนั้นทั้งหมด ลำคอแห้งผากทั้งที่เพิ่งดื่มน้ำเย็นไปหยกๆ ใบหน้าคมร้อนผ่าวแดงเรื่อ นึกเปลี่ยนใจอยากออกไปให้พ้นจากโรงแรมเดี๋ยวนี้เลยถ้าทำได้

'นี่มันห้องอะไรกัน?'

OoXoO

ขอบคุณที่กรุณาติดตามนะคะ 

สำหรับที่่สอบถามใน หนังสือ และ E-book ฉบับรีไรท์นี้ จะเหมือนกันคือ มีตอนพิเศษเพิ่ม 2 ตอนนะคะ
ตอนที่ ๑ เป็นตอนเด็กๆ ที่เคยลงให้อ่านแล้วคราวก่อน
และตอนที่ ๒ เป็นตอนผู้ใหญ่ เอ่อ...แบบหวานๆ ของชนากานต์กับนัทชาค่ะ

ถ้าสนใจก็โหลดจาก MEB ที่อยู่ด้านขวามือ หรือสั่งจองหนังสือได้นะคะ หมดเขตวันที่ 6 มิ.ย.58 ค่ะ 

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

นาง

OoXoO



Create Date : 15 พฤษภาคม 2558
Last Update : 15 พฤษภาคม 2558 10:15:33 น. 0 comments
Counter : 699 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com