ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
 
พฤษภาคม 2558
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
5 พฤษภาคม 2558
 
 

อีกสักครั้ง? Again? ฉบับรีไรท์ ตอนที่ ๕

https://www.youtube.com/watch?v=5FoHA0mYkgY



“มนรดาค่ะ” สถาปนิกใหญ่รีบกดรับสาย หลังอ่านชื่อคนโทรเข้ากระพริบบนจอมือถือ และเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เพราะเชื่อว่าต้องได้รับทราบข่าวสำคัญ ส่วนจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายนั้นก็ต้องรอลุ้นกันต่อไป

“ค่ะ ได้ค่ะ” เธอรับคำพร้อมฉีกยิ้มกว้าง “ขอบคุณนะคะคุณปกรณ์ สวัสดีค่ะ” แล้วกดเลิกสนทนา

“เยส! ต้องแบบนี้สิ” เธอไม่อาจเก็บความรู้สึกดีใจเอาไว้ได้ ถึงกับเปล่งเสียงดังออกมาอย่างดีใจซ้ำกันหลายครั้ง จนได้ยินออกไปนอกห้อง

ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เชิญค่ะ” เจ้าของห้องขานเสียงหวานและดังกว่าปกติ

“มีอะไรน่ายินดีเหรอคะ? นัทได้ยินเสียงน้ามน ‘เยส!’ ตั้งหลายหน” นัทชาถามอย่างสงสัยหลังปิดประตูและหยุดที่ข้างโต๊ะทำงานของอีกฝ่าย

“ก็มันเป็นเรื่องน่ายินดีนี่”

“หืม?” มีเครื่องหมายคำถามตัวโตปรากฏชัดเจนบนหน้า

“เมื่อกี้คุณปกรณ์โทรมาบอกว่า Finest Corp. ชนะประมูลได้งานของเลิฟ ริเวอร์ไซด์ชลบุรี ให้น้าเข้าไปเซ็นสัญญาวันมะรืน”

นัทชาถึงกับตาโตกว้างอย่างยินดี

“จริงเหรอคะ? ข่าวดีสุดๆ เลยนะคะ”

“ใช่” มนรดายังคงยิ้มกว้าง “ได้โครงการนี้ น้ายกให้เป็นความดีความชอบของนัทเลยนะ เก่งมากหลานรัก”

เธอลุกขึ้นสวมกอดอีกฝ่ายแน่นอย่างรักใคร่

สาวร่างโปร่งอมยิ้ม ยกสองแขนกอดตอบ รู้สึกดีใจและภูมิใจในตัวเองขึ้นมาก หัวใจพองโตเหมือนตัวเบาจะลอยเสียให้ได้

“ขอบคุณค่ะน้ามน ที่ให้โอกาสนัท”

มนรดาคลายวงแขนแล้วตีไหล่หลานสาวเบาๆ

“ไปค่ะไปบอกทีมงาน เย็นนี้น้าจะขอเลี้ยงข้าวหรูๆ สักมื้อ ฉลองความสำเร็จล่วงหน้า”

“ได้ค่ะ” เธอรับคำอย่างร่าเริง แล้วรีบออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

สถาปนิกใหญ่ทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ตามเดิม ใบหน้าที่ยิ้มแย้มเมื่อกี้หายไปกลายเป็นนิ่งขรึมจริงจัง เธอรู้ว่านี่เป็นแค่ก้าวแรกของหลานสาวในโลกธุรกิจ แต่นับเป็นก้าวที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ที่จะให้นัทชาได้แสดงฝีมือ เพื่อเติบโตมีอนาคตในฐานะสถาปนิกที่มีชื่อเสียงต่อไป และเป็นเดิมพันที่สูงมากทีเดียวของ Finest Corp.

โครงการนี้นับเป็นงานที่มีมูลค่ามากที่สุดที่ Finest Corp. เคยทำ ซึ่งต้องเป็นผู้ดูแลและควบคุมการก่อสร้างเองทั้งหมด ตามที่ระบุในสัญญาประมูล สร้างความตื่นเต้นยินดีให้กับพนักงานในบริษัทเป็นอันมาก แม้ว่าจะมีหลายคนอิจฉาแต่ก็อดชื่นชมฝีมือของนัทชาไม่ได้

หลังข่าวบริษัทที่ได้รับงานประมูลถูกแจ้งออกไปอย่างเป็นทางการ บริษัทม้ามืดอย่าง Finest Corp. โด่งดังอยู่ในหนังสือพิมพ์ธุรกิจเกือบทุกฉบับในวันรุ่งขึ้น ทำให้ประชาสัมพันธ์ของบริษัทต้องเจอกับกองทัพเหยี่ยวข่าวที่กระหายจะทราบรายละเอียดของโปรเจคยักษ์นี้

นักข่าวหลายคนโทรมาเพื่อขอสัมภาษณ์ ซึ่งมนรดาปฏิเสธอย่างสุภาพ เหยี่ยวข่าวยังคงตื้อไม่ยอมเลิก แห่มาดักรอที่บริษัท แต่ถูกฝ่ายประชาสัมพันธ์สกัดเอาไว้

“คุณมนรดาแจ้งไว้ว่า พร้อมเมื่อไหร่จะให้สัมภาษณ์เองค่ะ”

“ถ้าคุณมนรดาพร้อม อย่าลืมโทรไปแจ้งผมด้วยนะครับ ผมอยากทำข่าวนี้จริงๆ” นักข่าวคนหนึ่งในกลุ่มพูดทิ้งท้ายเสียงเศร้า ก่อนพากันกลับออกไปอย่างเสียดาย


“บ้าเอ๊ย!” ปริวัตรหลุดสบถออกมาดังๆ อย่างหัวเสีย เขวี้ยงหนังสือพิมพ์ในมือด้วยความเดือดดาล ไม่อยากเชื่อว่า บริษัทของเขาจะพลาดงานชิ้นนี้ ทั้งที่ธนพัฒน์กรุ๊ปนั้นมองอย่างไรก็ได้เปรียบ Finest Corp. ทุกอย่าง...เหนือกว่าหลายขุม

คนอย่างปริวัตรไม่เคยพลาดในสิ่งที่หมายมั่นปั้นมือ แต่การอกหักจากงานนี้กระทบต่อหน้าตา ชื่อเสียง รวมถึงความเชื่อถือของเขาเป็นอันมาก เพราะโรงแรมในเครือเลิฟ ริเวอร์ไซด์มีแม่ของชนากานต์ หรืออีกนัยคือว่าที่แม่ยายในอนาคตเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทำให้เขาอับอายและคลั่งแค้นใจอย่างที่สุด

'ทำไมบริษัทกระจอกแบบนั้นถึงได้กล้ามากระตุกหนวดเสือ มันจะมากไปแล้ว'

ชายหนุ่มพยายามข่มอารมณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ไม่อยากให้ใครเห็นภาพพจน์ที่ไม่ดี กลอกตานั่งคิดว่าควรจะแก้ไขอย่างไรดี ก่อนยกมือถือขึ้นและกดไปยังเบอร์ๆ หนึ่งที่คุ้นเคย

“ผมต้องการทราบว่า ทำไมบริษัทผมถึงไม่ได้งาน ว่างคุยกับผมวันนี้หรือเปล่า?” เขาพูดด้วยเสียงเย็นเยือกน่ากลัว แล้วเงียบอึดใจหนึ่งรอคำตอบ “พบกันร้านเดิม หนึ่งทุ่ม”

เขากดเลิกสนทนา ปรายหางตามองไปยังอักษรตัวโตที่พาดหัวบนหนังสือพิมพ์ที่กระจายเกลื่อนพื้น

'เชอะ กะอีแค่บริษัทเล็กๆ คิดจะมาสู้กับมังกร...ไม่เจียมตัวเสียเลย'


แล้วเช้าวันสำคัญที่รอคอยก็มาถึง การเซ็นสัญญาจัดขึ้นที่โรงแรมเลิฟ ริเวอร์ไซด์ สำนักงานใหญ่ โดยมีผู้สื่อข่าวมาร่วมงานหนาตาพอสม ควร ส่วนตัวแทนของ Finest Corp. ที่มางานนี้ มีเพียงมนรดากับนัทชา เพราะทีมงานคนอื่นติดภารกิจกันหมด

แสงไฟแฟลชจากกล้องแข่งกันวูบวาบ ตั้งแต่ตัวแทนของสองฝ่ายเข้ามาในห้องที่จัดขึ้นเพื่อการนี้ และเมื่อนั่งเก้าอี้ที่ถูกจัดไว้ให้ แสงสว่างยิ่งละลานตาเมื่อปกรณ์และมนรดาแลกสัญญากัน โดยจับมือค้างเพื่อถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกนานนับนาที

“ขอบคุณครับ” / “ขอบคุณค่ะ” คนทั้งสองกล่าวขึ้นพร้อมกัน และต่างยิ้มกว้างไม่แพ้กัน

หลังการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการเสร็จสิ้น ปกรณ์ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวทิ้งท้าย

“สำหรับรายละเอียดของโครงการ เชิญถามที่ผู้ช่วยของผมนะครับ ขอบคุณครับ”

แล้วเขาหันไปเชิญน้าหลานไปยังห้องทำงานของตน เพื่อสนทนาปราศรัยแบบเป็นกันเอง ทั้งสามนั่งที่โซฟานวมชุดใหญ่สีดำ ในห้องทำงานรองประธานกรรมการใหญ่ชั้นสูงสุดของโรงแรม

“ยินดีที่ได้ร่วมมือกันนะครับ” เขากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

“ยินดีเช่นกันค่ะ” มนรดาตอบด้วยเสียงนุ่มนวล

“ไม่ทราบว่าทาง Finest Corp. จะให้ใครรับผิดชอบดูแลโครงการนี้ครับ?”

“คงให้นัทเป็นคนดูแลค่ะ ในฐานะที่คิดแบบเองตั้งแต่ต้น” น้าสาวพูดอย่างชื่นชม ยังคงปลาบปลื้มใจในฝีมือของหลานสาวมากมาย

เขาหันไปมองนัทชา หลิ่วตาให้หญิงสาวหนึ่งครั้งอย่างอารมณ์ดี

“แบบนี้เราก็มีโอกาสเจอกันบ่อยๆ สิครับ”

หญิงสาวยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร ปล่อยให้มนรดาเป็นคนคุยกับปกรณ์

“คุณปกรณ์เป็นคนไปดูงานนี้เองเหรอคะ?” สถาปนิกใหญ่ถาม

“เปล่าครับ โปรเจคนี้เป็นหน้าที่ของคุณกานต์ ถ้าผมไปคงแวะไปเที่ยวมากกว่า” เขาตอบอย่างสบายๆ เป็นกันเอง

'หืม?'

นัทชาขมวดคิ้วเข้าหากันแทบเป็นปม หูผึ่งหลังได้ยินคำว่า ‘คุณกานต์’

ปกรณ์เห็นสองน้าหลานทำหน้าสงสัยเลยเล่าต่อ

“คืออย่างนี้ครับ ถ้าโรงแรมสาขาชลบุรีเสร็จ คุณกานต์เธออาจจะต้องอยู่ที่นั่นครับ เลยได้รับมอบหมายให้จัดการเองทั้งหมดตั้งแต่ต้น”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” มนรดาพึมพำ

คำบอกเล่าของปกรณ์ทำให้นัทชาตัวแข็ง ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องทำงานร่วมกับหล่อน แถมงานนี้ยังเป็นงานที่สัญญายาวเป็นปีอีกต่างหาก

ปัญหาใหญ่คือ จะใจแข็งกับหล่อนได้นานแค่ไหน? จะเจ็บใจไหม ถ้าเห็นหล่อนสวีทกับนายหน้าหล่อนั่นต่อหน้าต่อตา? และอีกสารพัด ‘ถ้า’ ที่ผุดขึ้นเต็มสมอง

'เปลี่ยนให้คนอื่นมาทำแทนนัท ได้หรือเปล่าคะน้ามน?'

เธอคันปากอยากถามมนรดาแบบนี้ แต่ก็เกรงใจไม่อยากทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี เหมือนตัวเองเป็นคนจู้จี้เรื่องมาก

ทั้งสามนั่งคุยกันเกือบชั่วโมง ก่อนที่นัทชากับมนรดาจะขอลากลับ ปกรณ์ได้เดินลงมาส่งด้วยตนเอง เขาทำตัวแบบเป็นกันเอง ไม่ถือตัวว่าเป็นถึงรองประธานโรงแรมใหญ่เลยสักนิด

“ขอประทานโทษค่ะ” หญิงสาวในชุดพนักงานต้อนรับรีบก้าวเท้าเร็วๆ มาหาทั้งสาม ทำให้ทั้งหมดหยุดเดิน แล้วหันกลับมามองอย่างสงสัย เธอคนนั้นยื่นบัตรบางอย่างออกมาตรงหน้านัทชาด้วยกิริยาอ่อนน้อม

“บัตรประชาชนของคุณนัทชาค่ะ”

“คะ?” สถาปนิกสาวทำหน้าสับสน

“มีคนเก็บได้ และฝากเอาไว้ที่ประชาสัมพันธ์ค่ะ” พนักงานสาวว่า

“ขอบคุณค่ะ” นัทชารับบัตรของตนมาเก็บในกระเป๋าสตางค์ รู้อยู่แก่ใจว่าใครเป็นผู้ส่งคืนของสิ่งนี้ให้เธอ แต่สาวร่างโปร่งพยายามฝืนใจไม่คิดถึงหล่อน แล้วก้าวตามมนรดากับปกรณ์ออกไป โดยหารู้ไม่ว่ามีใครคนหนึ่งแอบมองตามหลังด้วยสายตาปวดรวดร้าว


คืนนั้นบงกชกดมือถือถามเพื่อนด้วยความสงสัย เพราะบังเอิญว่าวันนี้เธอติดงานที่อื่น จึงไม่ได้ไปร่วมสัมภาษณ์ด้วยตนเอง

“ฉันได้ข่าวว่านัทต้องไปดูงานให้เลิฟ ริเวอร์ไซด์ จริงหรือเปล่า?”

“เออ โดนคุณน้าสั่งน่ะ แต่ฉันว่าใจจริง ยายนั่นคงไม่อยากไปนักหรอก” กนกฉัตรหยุดนิดหนึ่ง ก่อนพูดต่อเสียงเข้ม “ถ้าต้องเจอกับรุ่นพี่ชนากานต์บ่อยๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ยายนั่นจะทนได้หรือเปล่า?”

“ตั้งเกือบแปดปีแล้วนะ”

“ใช่ เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว”

ทั้งสองรวมถึงมนัสนันท์ นับเป็นคนที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ในอดีตของนัทชาและชนากานต์มากที่สุด แต่ก็ไม่ได้รู้รายละเอียดทั้งหมด แอบคาดเดาว่าอดีตคู่รักคงมีสัมพันธ์ลึกซึ้งเลยเถิดไปแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าถามเพื่อนสนิทตรงๆ ว่าไปถึงขั้นไหน A B หรือ C...กลัวหัวร้างข้างแตก

“แกก็ไปเป็นเพื่อนนัทหน่อยสิ แค่ชลบุรีเองใกล้จะตายไป” นักข่าวสาวเสนอความเห็น

“เฮ้อ...อย่างกับฉันว่างนักนี่ งานสุมจะท่วมโต๊ะอยู่แล้ว” สาวเปรี้ยวบ่นอย่างหงุดหงิด

“เอาน่า อย่าบ่นนักเลย...ฉันรู้นะว่าแกเองก็ห่วงนัทไม่น้อย”

กนกฉัตรหัวเราะเบาๆ ออกมา ก่อนพูดติดตลกออกไป

“แกอย่าเผลอไปพูดให้คุณมนัสนันท์ได้ยินเข้าล่ะ เดี๋ยวเธอได้เผ่นมาแหกอกฉันถึงบ้าน”

บงกชหลุดหัวเราะคำพูดติดประชดประชันของอีกฝ่าย

“ฮ่าฮ่าฮ่า นึกว่าจะมองไม่ออกเสียอีก”

“ฉันไม่ได้ตาบอดนะย่ะ จะได้มองไม่เห็นประกายตาหวานซึ้งชวนละลายของยายคุณนันท์ อาการคน Fall in love ชัดๆ” กนกฉัตรจีบปากจีบคอพูดผ่านมือถือ ราวกำลังคุยกับเพื่อนต่อหน้าต่อตา

“เออๆ ยังไงก็ดูๆ นัทหน่อย...ฉันสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเลย” น้อยครั้งที่นักข่าวสาวจะพูดแบบนี้

คนฟังขมวดคิ้ว รับรู้ได้ถึงความวิตกที่แฝงมา จึงถามเสียงเครียด อารมณ์ต่างกับเมื่อกี้ลิบลับ

“เรื่องอะไร?”

“เจ้าของบริษัทคู่แข่งที่แพ้ประมูลคราวนี้น่ะสิ” บงกชพูดเสียงเรียบ

“นายปริวัตร...ทำไมเหรอ?”

“เพื่อนที่ทำด้านเศรษฐกิจกระซิบว่า เริ่มได้กลิ่นไม่ดีของนายคนนี้กับพ่อ เหมือนจะเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลด้วยนะ” เป็นที่รู้กันถึงคำว่า ‘ผู้มีอิทธิพล’ ในความหมายของนักข่าวสาวมักจะเป็นในด้านเลวร้ายมากกว่าดี

“แย่งั้นเชียว” กนกฉัตรพึมพำเบาๆ เหมือนพูดกับตัวเอง เผลอหรี่นัยน์ตาลงอย่างครุ่นคิด เธอเคยได้ยินพฤติกรรมร้ายกาจของนายปริวัตรมาบ้างในเรื่องเจ้าชู้ยักษ์ ก่อนหน้าจะคบกับชนากานต์มีข่าวว่าเขาฟันแล้วทิ้งมาเยอะ แต่เรื่องอื่นๆ ไม่ค่อยรู้มากนัก

“ฉันไม่แน่ใจว่า นายนั่นจะแค้นขนาดไหน ที่ไม่ได้งานโรงแรมของแฟนตัวเอง เดี๋ยวคุณนัทชาของพวกเราจะซวยไปด้วย” บงกชว่าออกมา แหล่งข่าววงในของเธอเชื่อถือได้เสมอ

“เข้าใจแล้ว จะลองหาทางดู” สาวเปรี้ยวรับคำ ไม่ใจดำพอที่จะปล่อยเพื่อนซี้ไปตกระกำลำบาก

“ดึกแล้ว งั้นแค่นี้นะ บาย”

“บาย”

หลังยุติการสนทนา กนกฉัตรนั่งนิ่ง ยังคงคิดไม่ออกว่าจะหาทางช่วยเหลือเพื่อนสนิทอย่างไร? ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ ทิ้งออกมา เดินไปปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง ในใจยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยิน กว่าจะหลับสนิทก็ค่อนคืนได้


วันรุ่งขึ้น มนรดาและนัทชาเดินทางไปเจรจากับบริษัทรับถมดินที่มีอยู่สองเจ้าในจังหวัด ต่อรองราคาจนเป็นที่พอใจและทำสัญญาเรียบร้อย ซึ่งทางคู่ค้าพร้อมจะดำเนินการได้ในสามวัน ต่อมาสถาปนิกใหญ่ได้ว่าจ้างให้สองบริษัทรับเหมา ซึ่งเป็นของเพื่อนที่เคยร่วมมือกันก่อสร้าง โดยแบ่งโครงงานออกเป็นส่วนๆ เพื่อให้ได้งานอย่างรวดเร็ว

หลังการถมดินและปรับพื้นที่ จะกินเวลาเกือบ ๓ อาทิตย์ แล้วการก่อสร้างถึงจะเริ่มต้นขึ้น

นัทชาตั้งใจจะไปยังไซด์งานทุกอาทิตย์ๆ ละ ๑-๒ ครั้ง ขึ้นอยู่กับความสำคัญของงานแต่ละช่วง เธอไม่อยากให้ผู้รับเหมาทำงานแบบขอไปที ไม่อยากต้องมาแก้ไขปัญหาภายหลัง ซึ่งจะยุ่งยากและเสียเวลามาก

สาวแว่นขับรถบริษัทที่มนรดาอนุญาตให้ใช้ เป็นรถญี่ปุ่นซีดานสีควันบุหรี่ที่มีสภาพค่อนข้างใหม่ เธอแวะไปรับอินทิพรที่บ้านประมาณหกโมงครึ่ง โดยทั้งสองนำกระเป๋าเสื้อผ้าติดรถมาด้วยเผื่อจำเป็นต้องค้างคืน

หลังออกเดินทางไม่นานสาวร่างเล็กก็เริ่มชวนคุย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย แม้จะทำงานร่วมกันมาเกือบสามเดือน แต่เธอไม่ค่อยรู้เรื่องของนัทชามากนัก จึงถือโอกาสนี้สัมภาษณ์ไปในตัว

เธอเอียงคอมองสาวแว่นด้วยสายตาชื่นชม นึกยินดีที่มีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แม้นี่จะเป็นการมาทำงานไม่ใช่การเดทแบบคู่รักก็ตาม

“ป้ามนเล่าว่า พี่นัททำงานที่อเมริกาหลายปีก่อนกลับมาไทย?”

“ใช่ พี่เคยทำพาร์ทไทม์ ก่อนเริ่มทำเต็มตัวหลังเรียนจบตรี” คนขับตอบเสียงเรียบ สายตามองตรงไปยังถนนด้านหน้าแต่เพียงอย่างเดียว

“แล้วงานที่พี่นัทออกแบบเป็นแนวไหนคะ บ้าน อาคาร หรืออย่างอื่น?” เธออยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนที่อยู่ข้างๆ

“ส่วนใหญ่พี่จะออกแบบพวกอาคารกึ่งรีสอร์ต ไม่ก็พวกจัดสวนน่ะ”

“กึ่งรีสอร์ต คล้ายๆ โปรเจคนี้เหรอคะ?” อินทิพรทำหน้าแปลกใจปนตื่นเต้น

“ใช่”

“มิน่า ป้ามนถึงยกงานนี้ให้พี่นัท แสดงว่ามั่นใจฝีมือพี่นัทมากเลยนะคะเนี่ย” หญิงร่างเล็กรู้สึกปลื้มร่างโปร่งมากขึ้นไปอีก

สาวร่างโปร่งเหลือบมองคนถามแวบหนึ่ง ยิ้มในหน้า แต่ไม่ตอบคำถามนี้ แล้วหันไปสนใจถนนต่อ

แม้อินทิพรจะอยากรู้ลึกในเรื่องบางอย่าง แต่ก็ไม่กล้าก้าวก่ายล้ำเส้นมากนัก เพราะกลัว ‘ไก่’ จะตื่นแล้วบินหนีไปเสียก่อน เลยชวนคุยเรื่องทั่วไปเสียมากกว่า

สาวร่างโปร่งขับรถไปเรื่อยๆ แบบไม่เร่งรีบจนปราดหน้ารถคันอื่น แต่ก็ไม่ชักช้าจนน่ารำคาญ ชวนเพื่อนร่วมทางแวะทานโจ๊กเจ้าอร่อยคนละชามและปาท่องโก๋อีกคนละสองคู่ หลังอิ่มหนำสำราญจึงเดินทางต่อ นัทชาตั้งใจไปถึงที่ไซด์งานประมาณเก้าโมงเช้า จะได้เห็นการทำงานของคนงาน และคุยกับผู้รับเหมาเพื่อดูความก้าวหน้าและวางแผนงานขั้นต่อไป

ทันทีที่ไปถึงไซด์งาน สถาปนิกสาวจอดรถ แล้วลงไปเดินสำรวจพื้นที่แปลงใหญ่ ซึ่งถูกถมเรียบร้อยหมดแล้ว มีกองไม้และกองวัสดุวางเกลื่อนอยู่ด้านหนึ่ง กวาดตามองหลุมที่ถูกขุดจำนวนหลายสิบหลุม ซึ่งเตรียมไว้สำหรับตอกเสาเข็มบังกะโล และตัวอาคารที่จะใช้เป็นสำนักงาน แวะสนทนากับหัวหน้าคนงานที่ออฟฟิศชั่วคราวนานเกือบยี่สิบนาที โดยมีอินทิพรฟังอยู่เงียบๆ

“เช็ดหน้าหน่อยนะคะเหงื่อออกเยอะเชียว” อินทิพรยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นัทชา หลังหัวหน้าคนงานออกไปจากห้องนั้นแล้ว

“ขอบคุณค่ะ” เธอรับผ้าบางสีชมพูอ่อนมาถือไว้ อีกมือถอดแว่นออกวางบนโต๊ะแล้วซับเหงื่อที่ออกชุ่มเต็มหน้า เพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว

สาวร่างเล็กเผลอชื่นชมใบหน้าคม ที่ปราศจากเครื่องกีดขวางบนหน้าอย่างหลงใหล ยิ่งใกล้ชิดความรู้สึกอยากเป็นเจ้าของอีกคน ก็เพิ่มมากขึ้น และมากขึ้นตามลำดับ

อินทิพรไม่กล้าที่จะแสดงอะไรออกมามากนัก แอบกังวลใจ เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไรกับเธอ? ไม่แน่ใจว่า นัทชามีรสนิยมแบบไหนชอบผู้ชายหรือผู้หญิง? และที่สำคัญที่สุดคือ อีกคนมีคนพิเศษแล้วหรือยัง?

“พี่นัทสายตาสั้นเยอะไหมคะ?”

“ประมาณสามร้อยนิดๆ”

“ไม่คิดจะเปลี่ยนใส่คอนแทคเลนส์บ้างหรือคะ?”

“เปลี่ยนทำไมเหรอ?” นัทชาย้อนถามอย่างงงๆ หยุดมือที่กำลังซับหน้า เงยหน้ามองคนถามอย่างสงสัย

“เผื่อพี่นัทคิดจะเปลี่ยนลุคค่ะ” สาวร่างเล็กพูดยิ้มๆ

“เปลี่ยนลุค?” ขณะที่คนฟังทำหน้างงกว่าเดิม

“คืออินคิดว่า เวลาพี่นัทถอดแว่นดูเท่มากเลยนะคะ” นัยน์ตาของคนพูดเป็นประกายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“พูดเกินไปหรือเปล่า” เจ้าของใบหน้าคมยิ้มแบบเขินอายออกมา

“อินพูดจริงๆ นะคะ” ยืนยันหนักแน่นจริงจัง

สาวแว่นส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างไม่เชื่อนัก

“ผ้าผืนนี้ไว้พี่ซัก แล้วจะคืนให้วันหลังนะ”

“แล้วแต่พี่นัทเถอะค่ะ”

นัทชาพับผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชื้นเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ เอื้อมมือคว้าแว่นสายตาที่วางอยู่มาสวมตามเดิม

“ว้า ทำไมรีบใส่แว่นละคะ อินยังมองหน้าพี่นัทไม่เต็มตาเลย” สาวร่างเล็กทำหน้าเศร้า พร้อมน้ำเสียงอ้อนเสียดายอย่างชัดเจน

แต่นัทชารีบเปลี่ยนเรื่องคุย

“พี่หิวแล้วออกไปหาอะไรทานกันดีกว่า เดี๋ยวต้องรีบกลับมาอีก พี่นัดคุยกับผู้รับเหมาอีกทีตอนบ่าย”

“ก็ได้ค่ะ” อินทิพรรับคำไม่กล้าอิดออด เดินตามอีกคนไปที่รถทันที


ปกติคุณหญิงชฎาพร โพธิอนันต์ ไฮโซสาวใหญ่วัยห้าสิบต้นๆ จะไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน มีกิจวัตรต้องออกงานสังคมแทบจะเป็นปกติ อย่างเช่นค่ำนี้ก็มีนัดสังสรรค์เลี้ยงรุ่นศิษย์เก่า

ชฎาพรเป็นทายาทของครอบครัวมหาเศรษฐี ที่มีมรดกตกทอดไว้ให้มากมาย ด้วยความเป็นคนอารมณ์ร้อนและเอาแต่ใจ จึงหย่ากับสามีตั้งแต่ชนากานต์อายุไม่กี่ขวบ และเปลี่ยนให้ลูกสาวใช้นามสกุลของเธอ

นับแต่นั้นมา เธอก็ไม่สนใจอะไรอีกเลยนอกจากการทำธุรกิจ และงานสังคม ด้วยความที่เป็นนักบริหารมีสายตากว้างไกล จึงขยายสาขาโรงแรมเลิฟ ริเวอร์ไซด์ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่รุ่นพ่อ เติบโตจนกลายเป็นโรงแรมห้าดาวชื่อดังของประเทศ แล้วเอาเข้าตลาดหุ้น

ปัจจุบัน เธอดำรงตำแหน่งประธานกรรมการใหญ่และผู้ถือหุ้นใหญ่ของกิจการ แต่สองปีหลังนี้ปล่อยให้ปกรณ์ลูกพี่ลูกน้องที่ไว้ใจได้ และลูกสาวชนากานต์ทำงานแทนมากขึ้น

ขณะคุณหญิงพักผ่อนเอกเขนกบนโซฟายาวอ่านหนังสือพิมพ์ ในห้องรับแขกของคฤหาสน์หรูกลางเมืองหลวง พลิกเปิดข้ามไปยังหน้าข่าวซุบซิบ ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นบทความเขียนถึง ‘ปริวัตร’ แฟนคนปัจจุบันของลูกสาว...ผู้ชายที่เธอหมายมั่นจะให้เป็นสามีในอนาคตของชนากานต์

คุณหญิงขยับแว่นอ่านทุกตัวอักษรอย่างละเอียดตั้งแต่ต้น มีการเขียนกระเซ้าเย้าแหย่ที่บ่งชัดว่า เขากำลังคั่วกับสาวอื่นในสถานบันเทิงชื่อดัง และตบท้ายด้วยประโยคสรุปว่า

“ฤาคุณวัตร จะเปลี่ยนใจจากคุณกานต์ไปเสียแล้ว?”

'มันจะมากไปแล้ว นายปริวัตร'

ชฎาพรคิดอย่างหงุดหงิด เธอขย้ำหนังสือพิมพ์ในมือจนยับยู่ยี่ ลุกพรวดขึ้นนั่งด้วยความร้อนใจ แทบอยากจะโทรไปถามชายหนุ่มเดี๋ยวนั้นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? แต่แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า การทำแบบนั้นจะเป็นการเสียฟอร์มเสียหน้ามากเกินไป

สิ่งที่เธอต้องการคือ ทำให้ชายหน้าโง่นั่นรู้สึกเสียดาย และสำนึกเสียใจจนต้องซมซานกลับมา เพราะลูกสาวของคุณหญิงชฎาพรต่างหากที่เป็นเพชรแท้ หากกระดิกนิ้วจะมีผู้ชายดาหน้าเรียงแถวมาให้เลือกเป็นร้อย ที่สำคัญคือ ชนากานต์ไม่ได้เป็นลูกไก่ตัวน้อยในกำมือของใคร

ชฎาพรครุ่นคิดจนนั่งไม่ติดลุกเดินวนไปวนมา สาวใช้รู้สึกแปลกใจกับท่าทางผิดปกติของเจ้านาย แต่ไม่กล้าเสนอหน้าปากมาก เพราะกลัวจะถูกหักเงินเดือนหรือไม่ก็ได้ซองขาว

ผ่านไปเป็นชั่วโมง เธอคิดแผนแยบยลออกมาได้หนึ่งแผน จึงตัดสินใจยกเลิกไปงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ เพื่อรอลูกสาวที่ปกติจะกลับมาบ้านช่วงเย็นๆ อย่างใจจดใจจ่อ


กว่าจะออกจากที่ทำงานกลับมาถึงบ้านก็ปาไปเกือบทุ่ม ร่างบางรู้สึกแปลกใจที่เห็นรถคันหรูของมารดาจอดนิ่งอยู่ในโรงรถ ไม่ได้ออกไปข้างนอกเหมือนทุกวัน หล่อนเผลอถอนหายใจยาวออกมาอย่างเบื่อๆ ก่อนหยิบกระเป๋าสะพายและเอกสารหลายแฟ้ม แล้วเข้าบ้านหลังใหญ่

“กลับมาแล้วเหรอ” เสียงมารดาทัก แทบจะทันทีที่เห็นลูกสาวเข้าไปในห้องรับแขก

ชนากานต์วางของในมือ แล้วยกมือขึ้นไหว้อย่างอ่อนน้อม

“สวัสดีค่ะแม่”

แม้จะอยู่ร่วมบ้านหลังเดียวกัน แต่น้อยครั้งที่แม่ลูกจะมีโอกาสได้เจอหน้ากัน แค่พบกันสองหรือสามครั้งต่ออาทิตย์ก็นับว่าบ่อยผิดปกติมากแล้ว แถมส่วนใหญ่จะเป็นการพบปะคุยกันแค่ไม่กี่นาที แล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ต้องรีบออกไปทำธุระของตน ช่างเป็นครอบครัวหรรษาที่อบอุ่นมากเสียจริงๆ

“งานยุ่งหรือไง? กลับเสียมืดเชียว แม่รอทานข้าวด้วย หิวจะแย่อยู่แล้ว” พูดกึ่งบ่นกลายๆ ออกมา

“บังเอิญเคลียร์งานไม่เสร็จค่ะ” ชนากานต์ตอบเสียงเรียบ “ถ้าหิวแม่ก็ทานก่อนนะคะ ไม่ต้องรอหนู”

ชฎาพรเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ

“ทำไมแค่แม่อยากทานข้าวกับลูกบ้าง ก็ไม่ได้เหรอ?”

“หนูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะคะ” สาวสวยพยายามอธิบาย

“ช่างเถอะ ไปทานข้าวกันดีกว่า” ผู้เป็นแม่ตัดบท ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วย หันไปมองสาวใช้ที่ยืนรออยู่ไม่ไกลนัก “ตั้งโต๊ะ และตักข้าวสองที่ด้วย”

“ค่ะ” สาวใช้พยักหน้ารับคำ แล้วรีบไปจัดการทุกอย่างตามสั่งทันที

“ทานข้าวก่อน เสร็จแล้วแม่มีเรื่องจะคุยด้วย”

“ค่ะ” รับปากอย่างงงๆ ชนากานต์มั่นใจว่าเรื่องที่มารดาต้องการจะคุยด้วย ต้องเป็นธุระสำคัญเร่งด่วน เพราะรู้ว่าคืนนี้อีกฝ่ายไม่ว่างต้องไปออกงานที่ไหนสักแห่ง แต่ถึงขั้นยกเลิกเพื่อรอเจอหน้าหล่อนแบบนี้ ร่างบางจึงได้แต่รอฟังด้วยใจระทึก แต่สุดจะเดาว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่?

'หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกนะ'

หญิงสาวเกรงว่าจะเป็นการคุยเรื่องเดิมๆ ที่เคยทำให้เข้าหน้ากันไม่ติดนานนับเดือน เรื่องที่หล่อนบ่ายเบี่ยงผัดผ่อนมาตลอดหลายปี...เรื่องการแต่งงาน

อาหารค่ำมื้อนั้นช่างไร้รสชาติสิ้นดี ทั้งที่ปกติหล่อนจะเอร็ดอร่อยถูกปากอยู่เสมอ เพราะแม่ครัวที่บ้านทำอาหารสูตรเดียวกับเชฟใหญ่ของโรงแรม ระหว่างทานชนากานต์รู้สึกเงอะงะประหม่า หยิบจับอะไรไม่ค่อยถูก เกือบสำลักหลายหน ประหนึ่งเหมือนเกิดมาไม่เคยรับประทานร่วมโต๊ะกับคุณหญิงคุณนายมาก่อน

จนกระทั่งถึงเวลาลุ้นระทึก ‘เวลา’ ที่รอคอยมาถึง ชนากานต์นั่งนิ่งฟังคำมารดา แต่แล้วก็ต้องลอบหายใจยาวอย่างโล่งอก เมื่อได้ยินเรื่องที่แม่ต้องการให้ทำ ไม่ได้ใกล้เคียงกับเรื่องที่หล่อนกังวลอยู่เลยสักนิด

'ค่อยยังชั่วหน่อย'


ชนากานต์ในชุดราตรีเปิดไหล่สีดำ สวมเครื่องเพชรครบชุดทั้งสร้อยคอ ต่างหู และสร้อยข้อมือ ข้อศอกข้างหนึ่งหนีบกระเป๋าถือราคาแพงสีขาวใบเล็ก เดินเคียงคู่กับชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกัน หน้าตาหล่อเหลา ไว้ผมรองทรงสั้นเรียบกริบ อกผายไหล่ผึ่งในชุดสูทสีดำ ผูกหูกระต่าย ที่มีเสื้อเชิ้ตสีขาวอยู่ข้างใน แสงไฟจากแฟลชรัวเป็นชุดยาวนาน ทำให้หล่อนกลายเป็นเป้าสายตาของแขกหลายคน ที่มาร่วมงานประมูลเพชรในค่ำคืนนี้ คาดได้ว่าคงถูกลงข่าวสังคมในวันพรุ่งนี้อีกแน่

นี่เป็นคืนที่สามติดต่อกัน ที่หล่อนต้องออกงานร่วมกันเขา ตามคำสั่งของมารดาคืนนั้น

“ช่วงนี้แม่ไม่ค่อยสบายเหมือนจะเป็นไข้หวัด ลูกช่วยเป็นตัวแทนแม่ไปงานช่วงหัวค่ำ สักอาทิตย์หนึ่งก็แล้วกันนะ ไว้แม่จะส่งตารางนัดให้ลูกพรุ่งนี้”

จนถึงตอนนี้ชนากานต์ยังไม่เข้าใจเลยว่า แม่ต้องการให้หล่อนทำแบบนี้เพื่ออะไร?

“น้องกานต์จะรับอะไรดีครับ? เดี๋ยวพี่ไปเอามาให้” เจษฎาก้มหน้าลงกระซิบถามหล่อนอย่างสุภาพ แต่ในสายตาของคนทั่วไป กลับมองว่าหญิงชายคู่นี้แสดงออกเหมือนเป็นคู่รักมากกว่า

“น้ำส้มก็ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะพี่หนุ่ม”

“สักครู่ครับ” เขายิ้มมุมปาก ก่อนเดินไปทางบริกรที่กำลังถือถาดเครื่องดื่มเสิร์ฟหลากหลาย

“ไม่นึกว่าคืนนี้คุณกานต์จะว่างมาได้?” เสียงคุ้นเคยเอ่ยดังขึ้นจากด้านหลังของร่างบาง

ชนากานต์หมุนตัวกลับไปมองต้นเสียง แล้วส่งยิ้มให้กับเพื่อนสนิทสองคน ที่แต่งชุดราตรีที่ดูสวยคนละสี โดยเหมวดีแต่งสีขาว ส่วนสินีสวมชุดสีชมพูดูสวยหวานกว่า

“ก็ไม่ได้ว่างนักหรอก” คนสวยตอบเสียงอ่อยๆ ใจจริงแล้วอยากกลับไปพักผ่อนที่บ้านอย่างที่สุด แต่ก็ทำไม่ได้

“คำสั่งเหรอ” สินีเดาเสียงค่อย ราวกับกำลังคุยความลับกันอยู่

“ใช่” ร่างบางพยักหน้าเล็กน้อยเป็นคำตอบ

เหมวดีกวาดตามองไปรอบๆ

“แล้วนี่มากับใคร? อย่าบอกนะว่านายปริวัตร”

บรรณาธิการสาวโบ้ยหน้าไปทางเจษฎา ที่กำลังเดินตรงมาพร้อมแก้วเครื่องดื่มในสองมือ

“ไม่ใช่หรอก กานต์มากับคนโน่นต่างหาก”

ทายาทเจ้าของหนังสือพิมพ์หัวสีทำหน้างงกับคำตอบของคนรัก

“คุณรู้ได้ไง?”

“สองสามวันนี้ คุณไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์เลยเหรอคะ?” สินีค้อนคนรักที่ไม่รู้เรื่องข่าวซุบซิบ ที่สังคมสนใจติดตามมากในขณะนี้

“หืม?” เหมวดีขมวดคิ้วนิ่วหน้า มองสลับระหว่างชนากานต์กับสินีสองหน ก่อนเอ่ยปากถามเพื่อนอย่างตรงไปตรงมา “ตกลงเธอเลิกกับนายปริวัตรแล้ว?”

ชนากานต์ชะงักกับคำถามที่เหนือความคาดหมาย แต่ไม่ทันจะพูดอะไรออกมา รู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่จับจ้องมาทางหล่อน พร้อมเงี่ยหูฟังคำตอบด้วยอาการอยากรู้อยากเห็นเต็มเปี่ยม

“คุณเหมวดี!” สินีเรียกชื่อคนรักเสียงดุผ่านไรฟัน พร้อมส่งสายตาพิฆาต เพื่อให้อีกฝ่ายหยุดพูด

สาวห้าวยักไหล่ยอมแพ้

“ไม่ถามก็ได้ ไว้วันอื่นค่อยซักฟอก อย่าคิดเลี่ยงซะให้ยาก”

เจ้าของเสียงหวานได้แต่อมยิ้มในหน้า เพราะรู้จักนิสัยดื้อรั้นของเพื่อนคนนี้เป็นอย่างดี ถ้าอยากได้อะไรขึ้นมา ไม่มีอะไรมาขัดขวางเหมวดีได้หรอก

ขณะที่สินีได้แต่ส่ายหน้ากับความเอาแต่ใจของคนรัก จึงรีบกล่าวขอโทษขอโพยกับชนากานต์

“ขอโทษแทนวดีด้วยนะกานต์”

“ไม่เป็นไรหรอกสินี ฉันชินแล้วล่ะ” สาวหวานตอบ ก่อนหัวเราะเบาๆ ในลำคอ

เหมวดีอ้าปากกะจะโวยวายต่อว่าเพื่อน แต่โดนสายตาของคนรักส่งเตือนมาอีกรอบ จึงหุบปากสนิทลงทันที

“น้ำส้มครับ” เจษฎาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำชวนฟัง แล้วยื่นแก้วทรงสูงให้ชนากานต์

“ขอบคุณค่ะ” หล่อนพูดเบาๆ รับแก้วมาถือไว้ เขาหันมองสองสาวแปลกหน้าที่ยืนอยู่กับร่างบาง ทำให้หล่อนรีบแนะนำคนทั้งสามให้รู้จักกันทันที

“ยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนสนิทของน้องกานต์ครับ” เจษฎาพูดยิ้มๆ

สินียิ้มน้อยๆ แล้วพูดขึ้น

“ยินดีเช่นกันค่ะคุณหนุ่ม”

ส่วนเหมวดีลอบสำรวจชายหนุ่มอย่างละเอียดจากด้านข้าง รู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ปกติ แต่ไม่อาจระบุได้ว่าอะไรกันแน่ จึงสงบปากไม่เสวนามากความ

“การประมูลจะเริ่มในอีกสิบห้านาที ขอเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านด้านในครับ” เสียงประกาศดังขึ้นรอบบริเวณห้องโถงใหญ่

“เข้าไปด้านในกันเถอะครับ จะได้นั่งแถวหน้าๆ” เจษฎาชวนขึ้น

“ค่ะ” ชนากานต์รับคำ แล้วพยักหน้าให้เพื่อนสองคน

ทั้งสี่จึงเข้าไปนั่งในงานประมูลเพชร โดยไม่ทันสังเกตเห็นสายตาของใครบางคน ที่จ้องเขม็งตามหลังอย่างไม่พอใจนัก

OoXoO

ขอบคุณที่กรุณาติดตามค่ะ และขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์นะคะ

นาง




 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2558
0 comments
Last Update : 5 พฤษภาคม 2558 16:35:20 น.
Counter : 695 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com