กรกฏาคม 2556

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
การดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์ในไตรมาสต่าง ๆ ตอนที่ 2

ไตรมาสที่ 2

ยินดีกับคุณแม่ที่ผ่านพ้นช่วงโปรสามเดือนมาแล้วนะคะ เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 2 (เดือน 4 - 6) ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากทีเดียวนะคะคุณแม่ ตอนนี้ คุณแม่หลายคนเริ่มหายแพ้ ช่วงนี้ ลูกเริ่มรับอาหารโดยตรงจากคุณแม่นะคะ คุณแม่ทานอะไร ลูกก็ได้รับด้วย หมายความว่า คุณแม่ทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ลูกก็จะได้รับไปด้วย เพราะฉะนั้นการรับประทานอาหารของคุณแม่มีความสำคัญมากทีเดียว ประสบการณ์ที่ผ่านมา ดิฉันพบว่า อาการหิวยังคงอยู่ วันหนึ่งทานประมาณ 4-5 มื้อค่ะ คือ อาหารเช้า อาหารว่างตอนสาย ๆ อาการกลางวัน อาหารว่างตอนบ่าย และอาหารเย็น ดิฉันไม่ได้ทานอาหารมื้อดึก แต่ก็ทราบว่าคุณแม่หลายคนคงทานอาหารมื้อดึกกัน



อาหารการกินในช่วงไตรมาส 2


อาหารสำหรับคนท้องที่ดิฉันรับประทานนั้น ก็คืออาหารที่ทานตามปกติค่ะ แต่จะเน้นผัก เนื้อสัตว์ ไข่ นมมากกว่าปกติ และให้ความสำคัญกับส่วนผสม เช่น ไม่รับประทานอาหารรสจัด ประเภท เผ็ดจัด เค็มจัด งดอาหารใส่ผงชูรส ถ้าต้องไปทานอาหารข้างนอกก็คงเลี่ยงยาก แต่ถ้าสั่งได้ก็จะบอกว่า ไม่ใส่ผงชูรสค่ะ อาหารจะเน้นความหลากหลาย โดยส่วนตัว ดิฉันไม่คิดว่าการที่คุณแม่มุ่งทานอาหารอะไรมาก ๆ เป็นพิเศษเกินไปจะเป็นสิ่งที่ดี ดิฉันยึดหลักความหลากหลายและเดินสายกลาง อาหารทุกมื้อจะต้องมีผักเป็นส่วนประกอบ เพื่อเรื่องวิตามิน ผักที่ทานบ่อยมาก คือ ผักกะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผักคะน้า บล็อกโคลี่ (มีโฟลิคสูง) ฟักทอง แครอท เนื้อสัตว์ที่รับประทานคือ เนื้อหมู เนื้อไก่ (เนื้อวัว ไม่ทานอยู่แล้ว) ปลาเป็นอาหารที่ดิฉันไม่ทานมานานแล้ว ไม่ชอบลักษณะเนื้อ พยายามทานเพื่อลูกแต่ก็ทานไม่ได้

คุณหมอที่ทำเด็กหลอดแก้วให้ดิฉัน คือ คุณหมอสุนันทา จารุพูนผล แห่งโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ให้คำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับการรับประทานอาหารไว้หลายข้อ ก็ขอนำมาฝากให้ข้อคิดแก่คุณแม่ทั้งหลายนะคะ
1. การทานปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลากระพง ควรทานสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แต่ถ้าทานไม่ได้จริง ๆ ให้ทานในช่วงไตรมาส 3 (ดิฉันก็ยังไม่ได้ทานอยู่ดี) แต่ควรระวังการทานปลาทะเลน้ำลึก เพราะต้องระวังสารพิษ เช่นสารตะกั่วที่อาจอยู่ในเนื้อปลา เช่น ปลาดาบ ปลาฉลาม ปลาดิบก็ควรงดด้วย
2. การทานอาหารเสริมไม่จำเป็น เพราะสารอาหารที่อยู่ในอาหารต่าง ๆ มีคุณค่า มีปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายคุณแม่อยู่แล้ว
3. การรับประทานยา ต้องดูฉลากให้ดี หากป่วยไม่สบาย ควรพบแพทย์ ไม่ควรรับประทานยาเอง และเมื่อพบแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งต้องแจ้งว่า กำลังตั้งครรภ์
4. อาหารควรเน้นความหลากหลายและมุ่งรับประทานอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งมากเกินไป


คุณแม่ที่ต้องทานชาหรือกาแฟ หากงดได้ก็งด ถ้างดไม่ได้จริง ๆ ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 1 แก้วค่ะ ส่วนพวกอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ขนมเค้ก ขนมทานเล่น น้ำอัดลม ดิฉันถือคติ ทานได้แต่อย่าบ่อยและมากเกินไป เพราะนอกจากไม่มีคุณประโยชน์แก่ลูกในครรภ์แล้ว ยังมีความหวานที่อาจทำให้คุณแม่อ้วนเกินไป หรือไม่ก็เสี่ยงกับภาวะเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์อีกด้วย คุณแม่ควรให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหาร เน้นอาหารที่มีประโยชน์ แต่ก็ไม่ใช่มุ่งรับประทาน เร่งน้ำหนักคุณแม่ เพราะเมื่อคลอดแล้วจะลดได้ยาก

ขออนุญาตแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคุณแม่ในเรื่องอาหารที่รับประทานบ่อย ๆ นะคะ
อาหารตามมื้อ ที่ดิฉันทานบ่อยในช่วงท้องคือ ผัดผัก แกงจืดเต้าหู้ ไข่เจียว ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ ไข่ลูกเขย แกงส้มผักรวม/ ชะอมชุบไข่แบบไม่เผ็ด บล็อกโคลี่ผัดกุ้ง ถั่วลันเตาผัดใส่ตับ (ตับอย่าทานมากเกินไปนะคะ) มาม่าผัด (ทานไม่บ่อยแต่ชอบ เวลาทำไม่ใส่ผงปรุงรสค่ะ)
อาหารว่าง/ ของหวานหลังอาหาร ส่วนใหญ่จะทานกล้วยน้ำว้า ผลไม้ โดยเฉพาะแอบเปิ้ล สาลี ขนมเค้ก ขนมหวานไทย ๆ ขนมปังไส้กรอก
น้ำเปล่า ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร
น้ำหวานน้ำอัดลม ทานได้แต่ไม่บ่อย
น้ำมะพร้าว ทานทุกวัน ๆ ละ 1 ลูกค่ะ (ทานแบบไม่กลัวเบาหวาน ที่จริง ต้องระวัง เพราะทานมาก ๆ เสี่ยงเป็นเบาหวานค่ะ)
อาหารที่งดเด็ดขาด ชากาแฟ เครื่องดื่มมึนเมา ส้มตำ ซุปหน่อไม้ แกงหน่อไม้ (ของชอบ) ของดองทุกชนิด
สำหรับไข่ และนม มักเกิดคำถามเสมอ ๆ ว่าทานได้ไหม ดิฉันคิดว่าทานได้ แต่ไม่ควรเร่งโด้ปมากเกินไป เช่น คุณแม่บางท่านทานไข่วันละ 4 ลูกดิฉันว่ามากเกินไป ส่วนตัวแล้ว ดิฉันทานสัปดาห์ละ 7-8 ฟองโดยเฉลี่ย ไม่ได้ทานทุกวัน ส่วนนม ดิฉันไม่มีอาการแพ้นม ไม่เคยท้องเสียจากการดื่มนม ดิฉันจึงทานนมสดในช่วงตั้งครรภ์ วันละ 2 กล่องเล็ก ประมาณ 500-700 มิลต่อวัน คุณแม่บางคน โด้ปทานทีเป็นลิตร ๆ อันนี้ก็อาจจะมากเกินไปนิด ทำให้เมื่อคลอดน้องออกมา น้องมีอาการแพ้อาหาร สำหรับนมถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้ ดิฉันแพ้รับประทานไม่ได้ จึงไม่ได้ทานเลยค่ะ




น้ำหนักตัวนั้นสำคัญไฉน 2

การทานเยอะไม่ได้หมายความว่า ลูกได้รับสารอาหารเหล่านั้นด้วยทั้งหมดนะคะ เน้นของดี มีประโยชน์กับลูก และไม่เพิ่มน้ำหนักคุณแม่มากเกินไปจะดีกว่า ช่วงนี้ คุณแม่อาจถูกสังคมกดดัน หากตัวเล็กและท้องเล็กเกินไป ผู้คนมักจะถามว่า ทำไมน้ำหนักไม่ขึ้น หรือน้ำหนักขึ้นน้อย เช่นดิฉัน น้ำหนักในช่วง 6 เดือนแรกขึ้นเพียง 2-3 กก. เท่านั้น แถมน้ำหนักยังลดลงบางช่วงด้วย ทำให้กังวลมาก แต่พอพบคุณหมอที่ฝากครรภ์คุณหมอก็จะบอกว่า ให้ดูน้ำหนักลูกเป็นเกณฑ์ ถ้าน้ำหนักลูกดี คุณแม่ก็ไม่ต้องห่วงอะไรค่ะ น้ำหนักลูกควรเกิน 2500 กรัมแต่ไม่ควรมากเกินไป เพราะจะคลอดยาก ดิฉันเอง คลอดลูกน้ำหนัก 3874 กรัม ถือเป็นเด็กตัวใหญ่เลยทีเดียว

ในการตั้งครรภ์ทั่วไป ข้อมูลตามเว็บไซต์ส่วนใหญ่จะบอกว่า คุณแม่ควรน้ำหนักขึ้นไม่เกิน 12 กก. ตลอดการตั้งครรภ์ ซึ่งก็เพื่อสุขภาพของคุณแม่เอง เพราะหากน้ำหนักขึ้นมาก ๆ ก็ต้องรีดน้ำหนักกันอีก แล้วจริง ๆ น้ำหนักทารกในครรภ์จะประมาณ 3-4 กก. รก และอื่น ๆ อีกประมาณ 6-7 กก. เท่านั้นเองค่ะ ส่วนเกินจากนี้ ลงที่คุณแม่หมด ดิฉันน้ำหนักขึ้นทั้งสิ้น 13 กก. ค่ะ ลดลงหมดเกลี้ยงเหลือเท่าก่อนท้องภายใน 2 สัปดาห์เพราะการเลี้ยงลุกอ่อนนี่แหละค่ะ ถ้าเกินกว่านี้คงไม่ไหว แต่พุงคุณแม่ต้องออกกำลังเท่านั้นถึงจะลดได้ค่ะ



การพักผ่อนนอนหลับ


ช่วงนี้ คุณแม่ผ่อนคลายมากขึ้น ทานอาหารได้มากขึ้น อาการแพ้เริ่มลดน้อยลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งหายไปในที่สุด แต่สิ่งหนึ่งที่จะเริ่มเข้ามาแทนที่คือ ความหิว และความอ่อนเพลียค่ะ คุณแม่ควรนอนหลับพักผ่อนได้วันละ 8-10 ชม. ตอนกลางคืนควรนอน 6-8 ชม. และงีบพักระหว่างวันอีก 1-2 ชม. ซึ่งคุณแม่ที่ต้องทำงานอาจทำได้ลำบาก ดิฉันเองเลิกงานกลับถึงบ้านค่อนข้างดึก ประมาณ 2-3 ทุ่ม และต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า แต่ก็พยายามนอนให้ได้มากที่สุดเหมือนกัน ตอนกลางวันงีบไม่ได้ เพราะไม่สะดวก การนอนพักมาก ๆ จะเป็นประโยชน์ต่อคุณแม่และคุณลูกนะคะ เพราะทั้งหัวใจ ปอด ตับ ไต อวัยวะภายในของคุณแม่ทำงานหนักเป็นสองเท่าเพื่อสร้างอวัยวะให้แก่ลูกน้อย ร่างกายจึงอ่อนเพลีย อ่อนล้าเป็นพิเศษ ค่ะ อย่าลืมด้วยว่า ควรรีบนอนพักมาก ๆ ที่สุดตั้งแต่ตอนนี้ เพราะช่วงไตรมาส 3 จะนอนได้ยาก แถมเมื่อคลอดลูกแล้ว จะหาเวลานอนเต็มตายากเหลือเกิน ^^



ลูกเริ่มดิ้นแล้ว สัญญาณแห่งชีวิตน้อย ๆ ในครรภ์ของเราเอง


ประสบการณ์ที่สำคัญในไตรมาส 2 นี้คือ ลูกในท้องของเราจะเริ่มดิ้นค่ะ บางคนเริ่มเร็ว บางคนเริ่มรู้สึกช้า อันนี้ แล้วแต่สภาพร่างกายของคุณแม่นะคะ ดิฉันเองเป็นคนมีผนังท้องหนามาก แถมรกยังเกาะด้านหน้าค่อนไปทางด้านบน ทำให้รู้สึกถึงการดิ้นของลูกช้ากว่าคนอื่น ๆ ตอนเจาะน้ำคร่ำก็จะเจ็บกว่าคนอื่น ๆ อีกต่างหาก

อาการลูกดิ้น สำหรับคุณแม่มือใหม่ ที่ไม่เคยตั้งครรภ์มาก่อนจะรู้สึกได้ช้ามาก ความรู้สึกเหมือนมีน้ำอยู่ในท้อง ปลาตอดดุ๊บ ๆ จะเริ่มเบา ๆ ทีละน้อย ๆ และมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุครรภ์และขนาดของลูกน้อยที่โตขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ ดิฉันรู้สึกว่าลูกดิ้นจริง ๆ ตอนสัปดาห์ที่ 20 แต่มีคุณแม่บางท่านรู้สึกว่าลูกดิ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่ 16 คุณแม่บางคนรู้สึกว่าลูกดิ้นตอนสัปดาห์ที่ 28-30 ก็มี โดยส่วนตัวคิดว่า ไตรมาสนี้มีความน่าห่วงกังวลเรื่องการดิ้นของลูกนี่แหละค่ะ เพราะลูกยังเล็ก ทำให้ดิ้นได้น้อย บางทีเราก็ไม่รู้สึก จะนับการดิ้นก็ไม่ได้ ส่วนใหญ่คุณหมอจะให้นับการดิ้นของลูกในช่วงสัปดาห์ที่ 28 เป็นต้นไป ดิฉันไม่ได้นับ เพราะท้องหนา ลูกดิ้นไม่ค่อยรู้สึก จนถึงขั้นมาพบหมอเพราะนึกว่าลูกไม่ดิ้นแล้ว เมื่อตรวจอัลตราซาวน์เห็นว่าลูกดิ้นดี แต่แม่ไม่รู้สึกเอง!

การดิ้นของลูกสำคัญมากนะคะ เพราะลูกน้อยดิ้นในท้องคุณแม่ตลอดเวลา บางทีอาจไปพันกับรก แบบกรณีรกพันคอ เพราะฉะนั้นถ้าคุณแม่รู้สึกว่าลูกไม่ดิ้น มากกว่า 7 ชม. ควรเตรียมไปพบแพทย์ อย่างไรก็ดี ถ้าอายุครรภ์ประมาณ 20-22 สัปดาห์คุณพยาบาลมักจะบอกว่า การที่ไม่รู้สึกว่าลูกดิ้นเป็นเรื่องปกติ เพราะอายุครรภ์ยังน้อยอยู่ ดิฉันว่า อย่านิ่งนอนใจดีกว่า ใครจะหาว่าเราตื่นตูมไปก็ช่างเขา เอาปลอดภัยดีกว่า อย่างคุณแม่บางคนรู้สึกว่าลูกดิ้นน้อย ปล่อยไว้เกือบ 3 วัน พอไปหาหมออีกที น้องเสียแล้วเพราะรกพันคอ


การฝากครรภ์


ไตรมาสที่ 2 นีิ้ คุณหมอที่ทำเด็กหลอดแก้วให้คุณแม่ คงจะแนะนำให้ไปฝากครรภ์ตามปกติได้แล้ว เพราะยาสอด และยาฮอร์โมนต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะให้หยุดใช้ในช่วงนี้ เหลือเพียงยาบำรุง คือ Obimin AZ และแคลเซี่ยมเม็ดฟู่ ยาธาตุเหล็ก สำหรับคุณแม่ที่มีปัญหาเรื่องเลือดต่าง ๆ

การเลือกโรงพยาบาล และคุณหมอฝากครรภ์สำหรับคุณแม่ผู้มีบุตรยากอาจเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าคุณแม่ที่มีบุตรด้วยวิธีธรรมชาติ เพราะการมีบุตรครั้งนี้ อาจเป็นครั้งเดียวของคุณแม่ก็เป็นได้ ดิฉันยังจำได้ว่า ถูกพี่พยาบาลดุ เมื่อพี่ถามว่า จะฝากพิเศษไหม? แล้วดิฉันตอบว่า ไม่ฝากพิเศษ พี่พยาบาลบอกว่า กว่าจะได้ลูกคนนี้มา ก็ยากลำบาก ผ่านกระบวนการต่าง ๆ มาก็หลายปี การเลือกหมอสำคัญนัก เพราะฉะนั้น ควรฝากพิเศษ พอถูกทักขึ้นมาแบบนี้ ดิฉันจึงฝากพิเศษ ด้วยความที่ดิฉันฝากครรภ์กับคุณหมอของโรงพยาบาลที่ดิฉันทำเด็กหลอดแก้วอยู่แล้ว จึงไม่ต้องผ่านกระบวนการเจาะเลือด ตรวจโรคต่าง ๆ ของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์อีก คุณแม่คงต้องได้รับการเจาะเลือดเพื่อตรวจโรคที่สำคัญ ๆ รวมทั้งโรคเอดส์ด้วย

การฝากครรภ์ที่ใด กับคุณหมอท่านใด คุณแม่คุณพ่อหลายท่านคงมิวิธีเลือกที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เงินค่าแพ็คเกจคลอด ซึ่งบางแห่งอาจสูงถึงเกือบแสนบาท โรงพยาบาลและคุณหมอเน้นการคลอดธรรมชาติหรือไม่ เน้นการให้นมแม่หรือไม่ อย่างในกรณีของดิฉัน ให้ความสำคัญเรื่องสถานที่ตั้ง อยู่ใกล้ที่ทำงาน เกิดเหตุด่วนขึ้นมา สามารถไปหาหมอ และไปโรงพยาบาลได้ตลอดเวลา อีกทั้งเป็นโรงพยาบาลรัฐซึ่งมีอุปกรณ์การแพทย์ที่พร้อม จึงได้เลือกโรงพยาบาลรามาธิบดี นอกจากนี้ ยังได้มีโอกาสฝากครรภ์กับคุณหมอที่ได้รับการแนะนำมาเป็นคุณหมอคิวทอง (คุณหมออดิเทพฯ) ที่คุณแม่หลายท่านนิยมอีกด้วย

โรงพยาบาลรามาธิบดีมีการจัดอบรมคุณแม่คุณภาพให้แก่คุณแม่คุณพ่อมือใหม่ได้เตรียมตัวสำหรับการคลอดบุตรด้วยค่ะ โดยจะจัด 2 ครั้ง ในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 เนื้อหาที่อบรมจะให้ความสำคัญต่อการให้นมแม่ การเตรียมตัวก่อนคลอด การทำความรู้จักกับห้องคลอด การเตรียมเอกสารสำหรับการคลอดบุตรเพื่อทำสูติบัตร การหัดห่อตัวลูก

ในการตรวจครรภ์แต่ละครั้ง คุณแม่จะต้องตรวจปัสสาวะ เพื่อหาค่าโปรตีนในปัสสาวะ หากพบว่ามี อาจเสี่ยงครรภ์เป็นพิษได้ สำหรับคุณแม่ที่คุณหมอเห็นว่ามีแนวโน้มจะเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (ซึ่งจะหายไปเมื่อคลอดบุตร) ก็จะให้ตรวจคัดกรองว่าเป็นเบาหวานหรือไม่ด้วยค่ะ ดิฉันน้ำหนักขึ้นไม่มาก จึงไม่ได้ตรวจเบาหวานตลอดการตั้งครรภ์

สำหรับการคลอดว่าจะคลอดด้วยวิธีใดดีนั้น ขอให้คุณแม่ปรึกษาคุณหมอเป็นหลักเลยค่ะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสุขภาพของคุณแม่ ท่าของลูกในครรภ์ และความเสี่ยงในการคลอด การคลอดบุตรมีความเสี่ยง เพราะฉะนั้นขอให้เชื่อคุณหมอและปรึกษากับคุณหมออย่างใกล้ชิดนะคะ อย่างกรณีของดิฉัน คลอดแล้วมีอาการครรภ์เป็นพิษหลังคลอดด้วย หากไม่ได้รับการรักษากับคุณหมอที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญ อาจเป็นอันตรายได้


การเจาะน้ำคร่ำ


การเจาะน้ำคร่ำจะทำในช่วงไตรมาสที่ 2 สำหรับคุณแม่ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ่น่าจะตรวจคัดกรองวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ทราบถึงความปกติของลูกในครรภ์ ในกรณีของดิฉันนั้น ตั้งครรภ์เมื่ออายุมากแล้วคือ 40 ปี จึงตัดสินใจเจาะน้ำคร่ำไปเลย จะได้เจ็บตัวหนเดียว การเจาะน้ำคร่ำจะเจาะตั้งแต่ 16-20 สัปดาห์ ดิฉันเจาะตอน 19 สัปดาห์ค่ะ เพราะติดวันหยุดยาว ตอนเจาะไม่เจ็บเท่าไหร่ เพราะห่วงลูก แม้ว่าคุณหมอจะบอกว่า รกเกาะด้านหน้า แถมผนังมดลูกหนา ดิฉันจะเจ็บตัวมากกว่าคนอื่น ๆ แต่พอเจาะจริงไม่ค่อยเจ็บอย่างที่นึกกลัวเลยค่ หลังเจาะคุณแม่ควรกลับบ้านทันทีและพักผ่อนระวังอาการ 2 วัน หากมีน้ำไหลออกมา มีเลือด หรือมีอาการปวดท้องควรพบแพทย์ทันที ระยะเฝ้าระวังประมาณ 2 สัปดาห์ค่ะ ความเสี่ยงในการเจาะน้ำคร่ำก็คือการแท้ง การติดเชื้อ น้ำคร่ำรั่ว ดิฉันโชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไร

ผลการเจาะน้ำคร่ำจะรอประมาณ 2-3 สัปดาห์ค่ะ ผลที่ทราบจะเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าทารกในครรภ์คุณแม่มีความผิดปกติทางโครโมโซมอะไรหรือไม่ รวมทั้งทราบเพศด้วย ดิฉันว่ามันดีมากเลยที่เรามีโอกาสเตรียมตัวเตรียมใจรับทราบว่าลูกเราปกติหรือไม่อย่างไร ก่อนที่จะไปคิดว่าจะทำแท้งหรือไม่ เราควรทราบก่อนว่า ลูกเราผิดปกติอะไร รักษาได้ไหม คุณพ่อคุณแม่หลายคนมักจะบอกว่าถ้าคิดว่าไม่ทำแท้งก็ไม่ควรตรวจ แต่ดิฉันมองต่างมุมค่ะ ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะทำแท้งหรือไม่ทำแท้ง ก็ควรทราบเพื่อการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์


ขอให้มีความสุขมาก ๆ กับทุกไตรมาสของการก้าวเข้าไปสู่การเป็นคุณแม่เต็มตัวค่ะ





เควินไม่สบายหลังจากไปฉีดวัตซีน




เควินลองหัดนั่ง




สามเดือนแล้วเริ่มหัดดูด





สี่เดือนแล้วเริ่มยิ้มมากขึ้นกะหัวเราะเสียงดัง





Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 25 กรกฎาคม 2556 14:14:18 น.
Counter : 46964 Pageviews.

16 comments
  
น้องน่ารักมากๆเลยค่ะ
ขอให้สุขภาพแข็งแรง เลี้ยงง่ายๆโตไวๆนะคะ
โดย: baby in my heart. วันที่: 26 กรกฎาคม 2556 เวลา:11:49:57 น.
  
ยินดีกับความสำเร็จด้วยจร้า..น้องน่ารักมาก บล็อกของคุณให้ความรู้มากๆเลย..ขอบคุณค่ะ
โดย: Little Bean IP: 199.188.237.167 วันที่: 4 กันยายน 2556 เวลา:10:07:07 น.
  
ยินดีกับความสำเร็จด้วยจร้า..น้องน่ารักมาก บล็อกของคุณให้ความรู้มากๆเลย..ขอบคุณค่ะ
โดย: Little Bean IP: 199.188.237.167 วันที่: 4 กันยายน 2556 เวลา:10:08:03 น.
  
ยินดีด้วยนะคะ ในที่สุดความพยายามก็บรรลุผลแล้ว น้องน่ารักมากๆ ค่ะ
โดย: Blue moon IP: 183.88.43.195 วันที่: 10 กันยายน 2556 เวลา:21:33:23 น.
  
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีดี มากเลยค่ะ
โดย: manutchaok IP: 203.113.96.237 วันที่: 17 กันยายน 2556 เวลา:16:07:17 น.
  
น้องน่ารักมากๆเลยค่ะ ที่ว่านักการทูตมีแต่สาวโสดนี่ไม่จริงละม้างงงง ขอให้มีชีวิตครอบครัวที่มีความสุขนะคะ ^^
โดย: นิรชา IP: 125.24.81.49 วันที่: 23 กันยายน 2556 เวลา:0:24:31 น.
  
น้องน่ารักมากๆ เลยค่ะ
โดย: Tungmay-Sensitive วันที่: 5 เมษายน 2557 เวลา:12:04:00 น.
  
ขอบคุณสำหรับการแชร์ประสบการณ์ดีๆนะคะ อ่านแล้วได้ความรู้ แล้วก็อมยิ้มไปด้วยค่ะ น้องน่ารักจัง
โดย: กระแต IP: 58.10.200.154 วันที่: 20 เมษายน 2557 เวลา:13:01:40 น.
  
ยินดีด้วยค่ะ
โดย: ople IP: 110.49.207.42 วันที่: 24 กันยายน 2557 เวลา:11:38:44 น.
  
อยากสอบถามราคาการรักษา IVF ที่รามาหน่อยค่ะ รบกวนขอ E-mail เพื่อขอคำปรึกษาหน่อยได้มั๊ยคะ หรือรบกวนทักมาที่ psittikaew@gmail.com ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
โดย: aommie IP: 180.180.55.87 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา:9:35:22 น.
  
ยินดีด้วยนะคะ น้องน่ารักจริงๆ
.
เดรสให้นม
โดย: mami (num_sweety ) วันที่: 5 มิถุนายน 2558 เวลา:23:09:20 น.
  
ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆค่ะ น้องน่าร๊ากกกกกหล่อฝุดๆเลย ยินดีด้วยนะคะ^^👼🏼
โดย: vivi IP: 49.230.92.29 วันที่: 27 กรกฎาคม 2558 เวลา:17:28:53 น.
  
ได้ความรู้ดี ค่ะ
ฝากเพจ เคล็ดลับ...ลดหุ่นหลังคลอด
CLICK HERE
โดย: มะนาว (สมาชิกหมายเลข 2716342 ) วันที่: 21 ตุลาคม 2558 เวลา:9:57:10 น.
  
รบกวนขอข้อมูลทำ ivf รพ รามาค่ะ ค่าใช้จ่ายแพงมั้ยคะ แนะนำคุณหมอด้วยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
โดย: วนิดา IP: 171.7.177.239 วันที่: 17 มกราคม 2559 เวลา:12:45:23 น.
  
น้องน่ารักน่าชังมากเลยค่ะและขอขอบคุณคุณแม่มากนะค่ะให้ข้อมูลที่มีประโยชน์มากเลยค่ะ ดิฉันก็ฝากครรภ์ที่รามาเช่นกันค่ะ
โดย: nunni IP: 117.121.209.249 วันที่: 10 สิงหาคม 2559 เวลา:16:13:25 น.
  
https://chakal1337.github.io/ https://chakal1337.github.io/ https://chakal1337.github.io/ https://chakal1337.github.io/ https://chakal1337.github.io/
โดย: BlackHat IP: 185.220.101.152 วันที่: 25 มกราคม 2565 เวลา:23:02:33 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Ninie
Location :
กรุงเทพ  Netherlands

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 127 คน [?]




ได้ออกประจำการเสียที....แต่ต้องหนีร้อนไปถึงรัสเซียเชียวหรือ จะไหวรื้อ?
เมื่อเขาฉันถามว่า "เธอจะบ้ารองเท้าไปถึงไหน?"
ใครอยากได้วารสารสราญรมย์ หนังสือดี ๆ ของกระทรวงการต่างประเทศ โปรดเข้ามาอ่านด้วยจ้า
Cast away ที่ La a Natu@Pranburi
เมืองไทยในสายตาของพี่แจส ผ่านเลนส์
10 ยอดการ์ตูนผู้หญิงในดวงใจ ภาค 1
เมื่อคิดจะแต่งงานกับฝรั่ง และย้ายฐานทัพมาอยู่เมืองไทย ต้องทำอย่างไร

บ ล็ อ ก ข อ ง เ พื่ อ น