ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด
<<
กุมภาพันธ์ 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
26272829 
11 กุมภาพันธ์ 2555

"2012" โลกจะแตก จริงหรือ? สิ้นปีนี้เดี๋ยวรู้






เป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างมากสำหรับปรากฏการณ์ "วันสิ้นโลก" ในปี "ค.ศ.2012" ซึ่งก็คือปีนี้นี่เอง!


 

ความ
เข้มข้นของกระแสข่าวนี้ เพิ่มขึ้นตามตัวเลขในหน้าปฏิทินที่เปลี่ยนไป
จากในโลกสังคมออนไลน์ ขยับขยายไปสู่การพูดคุยปากต่อปาก
จากห้องสุดหรูบนตึกระฟ้าในเมืองกรุง ไปไกลถึงท้องไร่ท้องนาไกลปืนเที่ยง
แน่นอน เหตุที่ทำให้เรื่องนี้เป็นที่พูดถึงกันอย่างมาก เพราะนี่คือ
"ความเป็นความตายของเผ่าพันธุ์มนุษย์" 


สำหรับ
สิ่งที่ทำให้ "ความเชื่อ" นี้กลายเป็นกระแส จนถึงกับมีการกล่าว "ยืนยัน"
หลักใหญ่ใจความแล้วน่าจะประจวบเหมาะกับสิ่งที่มีการพูดถึง อย่างเรื่อง
ปฏิทิน
วันสิ้นโลกของชาวมายา,
ดาวนิบิรูที่จะพุ่งชนโลกเชื่อมโยงจากตราประทับของชาวสุเมเรียน,
การเรียงตัวกันของดาวเคราะห์ที่จะทำให้เกิดแรงดึงดูดมหาศาลระหว่างกัน,
พายุสุริยะที่อาจโหมซัดใส่โลก, การกลับขั้วของแม่เหล็กโลก
หรือแม้แต่เรื่องราวของ "หลุมดำ"
ที่อยู่ใจกลางแกแล็กซี่ช้างเผือกที่อาจดูดกลืนโลกให้หายวับไปได้
 


หลากเรื่องหลายราวนี้ เมื่อผนวกเข้ากับสภาพที่มนุษย์เผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม หนาวจัด แห้งแล้งยาวนาน ฯลฯ จึงไม่แปลกที่จะทำให้ใครหลายคน "หวาดกลัว" บางคนถึงขั้น "เชื่อมั่น" ว่าวันสิ้นโลกได้เดินทางมาถึงแล้วจริง ๆ

เพื่อเป็นการไขปริศนานี้ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าในปี 2012 โลกจะแตกจริงหรือไม่ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จึงได้จับมือกับ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ "2012 ฤาโลกจะสูญสิ้น" ณ จัตุรัสวิทยาศาสตร์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จามจุรีสแควร์ สามย่าน ในงานมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมฟังเป็นจำนวนมาก


กรณีต่าง ๆ ที่ถูกอ้างว่าจะทำให้เกิด "วันสิ้นโลก" ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาชำแหละเป็นข้อ ๆ


 


ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ
นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
กล่าวว่า
เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับวันสิ้นโลกนั้นมีสืบเนื่องมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว
จนกระทั่งยุคที่วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า
ก็มีการใช้วิทยาศาสตร์อ้างให้เข้ากับคำทำนายมากขึ้น


เรื่อง
ปฏิทินของชาวมายา เปิดประเด็นโดยหนังสือชื่อ "The Maya" ของ  Michael D.Coe
ซึ่งในเรื่องเชื่อมโยงวันสิ้นโลกเข้ากับวันสุดท้ายในปฏิทินแบบ "ลองเคาท์"
(Long Count Calendar) ระบุว่าจะตรงกับวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ.2012
  


ปฏิทิน
ของชาวมายานั้นมีอยู่ 3 แบบใหญ่ ๆ
มีการนับวันและใช้ในวัตถุประสงค์ที่ต่างกันออกไป "ลองเคาท์"
เป็นเพียงแบบหนึ่ง คือเมื่อวันในปฏิทินสิ้นสุดแล้วจะเริ่มนับวันใหม่
หากแต่ว่ากลับถูกเชื่อมโยงว่าเป็น "วันสิ้นโลก"



 


ต่อ
มา ดร.บัญชา พาไปรู้จักกับปรากฏการณ์ "การกลับขั้วของแม่เหล็กโลก (Pole
Shif)" โดยบอกว่า จากการเก็บข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์ พบว่า
โลกมีการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กอยู่เป็นระยะ
อันเนื่องมาจากการเคลื่อนไหลของโลหะที่หลอมเหลวอยู่ใต้โลก
บางช่วงอาจจะยาวนานเป็นพิเศษ  จะสลับไปสลับมา สิ่งที่หลายคนกังวลคือ
การกลับขั้วของแม่เหล็กโลก อาจจะทำให้มีบางช่วงสนามแม่เหล็กหายไป
ทำให้โลกไม่สามารถป้องพายุสุริยะ หรืออานุภาคต่าง ๆ ที่จะพุ่งมาสู่โลกได้


"ใน
ทางวิทยาศาสตร์พบว่า ในระหว่างโลกกลับขั้วแม่เหล็ก
ไม่มีเลยที่สนามแม่เหล็กจะหายไปอย่างสิ้นเชิง อาจมีอ่อนกำลังลงบ้าง
แต่เนื่องจากช่วงการเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กนั้นไม่ได้เกิดในระยะเวลาสั้น ๆ
ต้องใช้เวลาราว 1,000-10,000 ปี ก็จะทำให้ขั้วเดิมค่อย ๆ
อ่อนกำลังแล้วก็จะมีขั้วใหม่ผุดขึ้นมาจนครบสมบูรณ์" ดร.บัญชา กล่าว



อีกเรื่องหนึ่งคือ "พายุสุริยะ" ซึ่งนักสื่อสารวิทยาศาตร์จาก สวทช.ยืนยันว่าแม้เกิดขึ้นก็ไม่ถึงขั้นสิ้นโลก

"เรื่อง
วันสิ้นโลกได้ถูกพูดถึงในสังคมอินเตอร์เน็ตซึ่งเป็นสังคมแห่งความเห็น
มีการแสดงความเห็นโดยไม่มีฐานความรู้ที่แน่น และเมื่อผนวกเข้ากับลัทธิ
ความเชื่อ ที่ยึดถือกันก็ยิ่งซ้ำเติมให้เรื่องราวต่าง ๆ ร้ายแรงมากขึ้นอีก
โดยเฉพาะในสังคมไทย 


"อย่าง
กรณี ด.ช.ปลาบู่ เป็นต้น ซึ่งในการแก้ปัญหาก็แก้ปัญหาแบบคนไทย คือ
จัดปาร์ตี้พิสูจน์ การจัดปาร์ตี้นั้นไม่ผิด
แต่ต้องอธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์ด้วยว่า
เขื่อนที่สร้างนี้มีความแข็งแรงอย่างใร ในแง่ของวิศวกรรม ให้ข้อมูลออกไป
หรือถ้าเขื่อนมันแตกจริงแล้วน้ำจะไปทางไหน อย่างไร
ใช้เวลาเท่าไหร่ในการอพยพโยกย้าย แถมความรู้เป็นข้อมูลไปให้ด้วย
จะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนกว่า" ดร.บัญชา กล่าว



 

ถาม ดร.บัญชาว่า แล้วเป็นไปได้ไหมที่จะโลกจะสูญสิ้น?คำตอบอยู่ในคลิปต่อไปนี้



นักวิทยาศาสตร์อีกผู้หนึ่งที่มาร่วมไขปริศนาเรื่อง "วันสิ้นโลก" ในครั้งนี้ คือ ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) 

ดร.ศรัณย์
กล่าวถึง กรณีดาวนิบิรุพุ่งชนโลกว่า  คนที่กล่าวอ้างถึงดาวนี้คือ Zecharia
sitchin ปรากฏอยู่ในหนังสือชื่อ The 12th Planet ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1976
โดยอ้างว่า นิบิรุเป็นหนึ่งในสิบสองดวงดาวที่ชาวสุเมเรียนค้นพบเมื่อ 2500
ปีก่อนคริสตกาล เป็นหนึ่งในดวงดาวที่มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์
เหตุที่นักวิทยาศาสตร์มองไม่เห็นดาวดวงนี้ในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพราะว่ามีวง
โคจรที่รีมาก ๆ ขณะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มาก ๆ จะเคลื่อนที่ช้า
จนเหมือนหยุดนิ่งเป็นดาวฤกษ์ธรรมดาดวงหนึ่ง แต่เมื่อใกล้แล้วจะเร็วขึ้น
และจะชนโลกในช่วงสิ้นปีนี้



"ถ้าจะชนโลก
สิ้นปีนี้จริง วันนี้เราย่อมต้องมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้ว
และถ้าดาวนิบิรุมีจริง
ในตอนกลางคืนย่อมต้องส่องสว่างมากกว่าพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
เพราะใกล้โลกมาแล้ว สำหรับเหตุการณ์ดาวเคราะห์น้อยชนโลก
ในอดีตก็เคยเกิดขึ้น ครั้งสุดท้ายคือที่ ทังกัสก้า ในเขตไซบีเรีย
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1980
แรงระเบิดครั้งนั้นเทียบเท่ากับระเบิดทีเอ็นทีขนาด 30 เมกะตัน
จาการศึกษาหลุมที่เกิดเชื่อว่าเป็นผลจากอุกาบาตขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20-30
เมตร พุ่งชนโลก



 

"สำหรับ
ในปี 2012 มีดาวเคราะห์น้อยที่จะผ่านมาเหมือนกัน 
แต่ข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์มี พบว่าอยู่ไกลมาก ๆ ไม่มีการชนอย่างแน่นอน
นักวิทยาศาสตร์นั้นมีโครงการติดตามวัตถุที่จากนอกโลกที่มีขนาดใหญ่กว่า 200
เมตร วงโคจรเข้าใกล้และจะเป็นภัยกับโลกอยู่แล้ว พบว่า มีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่คาดว่าจะชนกับโลก นั่นคือ ดาวเคราะห์น้อย 1950 DA จะชนโลกในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ.2880
คืออีก 800 กว่าปีข้างหน้า
ถึงวันนั้นมนุษย์คงมีวิทยาการในการป้องกันได้แล้ว แต่ที่สำคัญ
ความเป็นไปได้ที่ดาวดวงนี้จะชนโลก มีเพียงแค่ 0.33 เปอร์เซ็นต์
เท่านั้น" ดร.สรัณย์ กล่าว



เหตุการณ์ที่ลือกันว่าจะทำให้ถึงวันสิ้นโลกอีกอย่างคือ "การเรียงตัวกันของดาวเคราะห์"

รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ บอกว่า เรื่อง
นี้ก็มีผู้กล่าวอ้างเยอะ มีการทำนายวันที่จะเกิดไว้ว่าตรงกับวันที่ 21
ธันวาคม ค.ศ.2012 แต่ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว
การเรียงตัวกันของดาวเคราะห์นั้นมีผลกับโลกน้อยมาก
เทียบไม่ได้เลยกับแรงที่ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงผลจากดวงจันทร์
และที่สำคัญก็คือ จากการตรวจสอบพบว่าในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012
ดาวเคราะห์ต่าง ๆ ก็ไม่ได้เรียงตัวกันดังคำทำนาย


และเรื่องสุดท้ายที่ได้รับการพูดถึงมากเกี่ยวกับวันสิ้นโลก คือการที่โลกจะถูก "หลุมดำ" ดูดกลืนเข้าไป


ความ
เชื่อนี้ อ้างจากการที่แกแล็กซี่ทางช้างเผือกที่เราอาศัยอยู่ มีดาวฤกษ์ถึง
100,000 ล้านดวง ดวงอาทิตย์คือ 1 ในนี้ ที่ใจกลางแกแล็กซี่นั้นพบหลักฐาน
"หลุมดำ" ที่มีชื่อว่า "ซาจิทาเรียส" อยู่ในกลุ่มดาวคนยิงธนู
ซึ่งมีขนาดใหญ่ถึง 4.1 ล้านเท่าของดวงอาทิตย์ โดยอยู่ห่างออกไป 26,000
ปีแสง กล้องดูดาวสามารถศึกษาการโคจรดาวฤกษ์ที่อยู่ ใกล้ ๆ
หลุมดำซาจิทาเรียสนี้ได้
 


"ถาม
ว่าเราจะถูกดูดง่าย ๆ มั้ย ผมว่าไม่อย่างแน่นอน
เพราะทุกปีดวงอาทิตย์ก็เปลี่ยนทางเดินและเข้าใกล้กลุ่มดาวคนยิงธนูในเดือน
ธันวาคมอยู่แล้ว แต่ต่อให้โดนดูดเข้าไปจริง  โลกก็จะต้องใช้เวลาถึง 26,000
ปีในการพุ่งเข้าหาหลุุมดำ ขอยืนยันว่าโลกจะไม่ถูกดูดเข้าไปอย่างแน่นอน
และที่สำคัญแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ที่กระทำต่อโลก
มากกว่าแรงโน้มถ่วงของหลุมดำที่กระทำต่อโลก"
ดร.สรัณย์ ย้ำหนักแน่น
 


เน้นกันชัด ๆ ปี 2012 นี้โลกจะถึงกาลอวสานหรือไม่?

คลิกฟังคำตอบจากรองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน



Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2555 18:04:16 น. 0 comments
Counter : 1330 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ข่าวดี
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add ข่าวดี's blog to your web]