"2012" โลกจะแตก จริงหรือ? สิ้นปีนี้เดี๋ยวรู้
เป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างมากสำหรับปรากฏการณ์ "วันสิ้นโลก" ในปี "ค.ศ.2012" ซึ่งก็คือปีนี้นี่เอง!
ความ เข้มข้นของกระแสข่าวนี้ เพิ่มขึ้นตามตัวเลขในหน้าปฏิทินที่เปลี่ยนไป จากในโลกสังคมออนไลน์ ขยับขยายไปสู่การพูดคุยปากต่อปาก จากห้องสุดหรูบนตึกระฟ้าในเมืองกรุง ไปไกลถึงท้องไร่ท้องนาไกลปืนเที่ยง แน่นอน เหตุที่ทำให้เรื่องนี้เป็นที่พูดถึงกันอย่างมาก เพราะนี่คือ "ความเป็นความตายของเผ่าพันธุ์มนุษย์"
สำหรับ สิ่งที่ทำให้ "ความเชื่อ" นี้กลายเป็นกระแส จนถึงกับมีการกล่าว "ยืนยัน" หลักใหญ่ใจความแล้วน่าจะประจวบเหมาะกับสิ่งที่มีการพูดถึง อย่างเรื่อง ปฏิทิน วันสิ้นโลกของชาวมายา, ดาวนิบิรูที่จะพุ่งชนโลกเชื่อมโยงจากตราประทับของชาวสุเมเรียน, การเรียงตัวกันของดาวเคราะห์ที่จะทำให้เกิดแรงดึงดูดมหาศาลระหว่างกัน, พายุสุริยะที่อาจโหมซัดใส่โลก, การกลับขั้วของแม่เหล็กโลก หรือแม้แต่เรื่องราวของ "หลุมดำ" ที่อยู่ใจกลางแกแล็กซี่ช้างเผือกที่อาจดูดกลืนโลกให้หายวับไปได้
หลากเรื่องหลายราวนี้ เมื่อผนวกเข้ากับสภาพที่มนุษย์เผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม หนาวจัด แห้งแล้งยาวนาน ฯลฯ จึงไม่แปลกที่จะทำให้ใครหลายคน "หวาดกลัว" บางคนถึงขั้น "เชื่อมั่น" ว่าวันสิ้นโลกได้เดินทางมาถึงแล้วจริง ๆ
เพื่อเป็นการไขปริศนานี้ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าในปี 2012 โลกจะแตกจริงหรือไม่ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จึงได้จับมือกับ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ "2012 ฤาโลกจะสูญสิ้น" ณ จัตุรัสวิทยาศาสตร์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จามจุรีสแควร์ สามย่าน ในงานมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมฟังเป็นจำนวนมาก
กรณีต่าง ๆ ที่ถูกอ้างว่าจะทำให้เกิด "วันสิ้นโลก" ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาชำแหละเป็นข้อ ๆ
ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับวันสิ้นโลกนั้นมีสืบเนื่องมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว จนกระทั่งยุคที่วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า ก็มีการใช้วิทยาศาสตร์อ้างให้เข้ากับคำทำนายมากขึ้น
เรื่อง ปฏิทินของชาวมายา เปิดประเด็นโดยหนังสือชื่อ "The Maya" ของ Michael D.Coe ซึ่งในเรื่องเชื่อมโยงวันสิ้นโลกเข้ากับวันสุดท้ายในปฏิทินแบบ "ลองเคาท์" (Long Count Calendar) ระบุว่าจะตรงกับวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ.2012
ปฏิทิน ของชาวมายานั้นมีอยู่ 3 แบบใหญ่ ๆ มีการนับวันและใช้ในวัตถุประสงค์ที่ต่างกันออกไป "ลองเคาท์" เป็นเพียงแบบหนึ่ง คือเมื่อวันในปฏิทินสิ้นสุดแล้วจะเริ่มนับวันใหม่ หากแต่ว่ากลับถูกเชื่อมโยงว่าเป็น "วันสิ้นโลก"
ต่อ มา ดร.บัญชา พาไปรู้จักกับปรากฏการณ์ "การกลับขั้วของแม่เหล็กโลก (Pole Shif)" โดยบอกว่า จากการเก็บข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์ พบว่า โลกมีการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กอยู่เป็นระยะ อันเนื่องมาจากการเคลื่อนไหลของโลหะที่หลอมเหลวอยู่ใต้โลก บางช่วงอาจจะยาวนานเป็นพิเศษ จะสลับไปสลับมา สิ่งที่หลายคนกังวลคือ การกลับขั้วของแม่เหล็กโลก อาจจะทำให้มีบางช่วงสนามแม่เหล็กหายไป ทำให้โลกไม่สามารถป้องพายุสุริยะ หรืออานุภาคต่าง ๆ ที่จะพุ่งมาสู่โลกได้
"ใน ทางวิทยาศาสตร์พบว่า ในระหว่างโลกกลับขั้วแม่เหล็ก ไม่มีเลยที่สนามแม่เหล็กจะหายไปอย่างสิ้นเชิง อาจมีอ่อนกำลังลงบ้าง แต่เนื่องจากช่วงการเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กนั้นไม่ได้เกิดในระยะเวลาสั้น ๆ ต้องใช้เวลาราว 1,000-10,000 ปี ก็จะทำให้ขั้วเดิมค่อย ๆ อ่อนกำลังแล้วก็จะมีขั้วใหม่ผุดขึ้นมาจนครบสมบูรณ์" ดร.บัญชา กล่าว
อีกเรื่องหนึ่งคือ "พายุสุริยะ" ซึ่งนักสื่อสารวิทยาศาตร์จาก สวทช.ยืนยันว่าแม้เกิดขึ้นก็ไม่ถึงขั้นสิ้นโลก
"เรื่อง วันสิ้นโลกได้ถูกพูดถึงในสังคมอินเตอร์เน็ตซึ่งเป็นสังคมแห่งความเห็น มีการแสดงความเห็นโดยไม่มีฐานความรู้ที่แน่น และเมื่อผนวกเข้ากับลัทธิ ความเชื่อ ที่ยึดถือกันก็ยิ่งซ้ำเติมให้เรื่องราวต่าง ๆ ร้ายแรงมากขึ้นอีก โดยเฉพาะในสังคมไทย
"อย่าง กรณี ด.ช.ปลาบู่ เป็นต้น ซึ่งในการแก้ปัญหาก็แก้ปัญหาแบบคนไทย คือ จัดปาร์ตี้พิสูจน์ การจัดปาร์ตี้นั้นไม่ผิด แต่ต้องอธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์ด้วยว่า เขื่อนที่สร้างนี้มีความแข็งแรงอย่างใร ในแง่ของวิศวกรรม ให้ข้อมูลออกไป หรือถ้าเขื่อนมันแตกจริงแล้วน้ำจะไปทางไหน อย่างไร ใช้เวลาเท่าไหร่ในการอพยพโยกย้าย แถมความรู้เป็นข้อมูลไปให้ด้วย จะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนกว่า" ดร.บัญชา กล่าว
ถาม ดร.บัญชาว่า แล้วเป็นไปได้ไหมที่จะโลกจะสูญสิ้น?คำตอบอยู่ในคลิปต่อไปนี้
นักวิทยาศาสตร์อีกผู้หนึ่งที่มาร่วมไขปริศนาเรื่อง "วันสิ้นโลก" ในครั้งนี้ คือ ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.)
ดร.ศรัณย์ กล่าวถึง กรณีดาวนิบิรุพุ่งชนโลกว่า คนที่กล่าวอ้างถึงดาวนี้คือ Zecharia sitchin ปรากฏอยู่ในหนังสือชื่อ The 12th Planet ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1976 โดยอ้างว่า นิบิรุเป็นหนึ่งในสิบสองดวงดาวที่ชาวสุเมเรียนค้นพบเมื่อ 2500 ปีก่อนคริสตกาล เป็นหนึ่งในดวงดาวที่มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ เหตุที่นักวิทยาศาสตร์มองไม่เห็นดาวดวงนี้ในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพราะว่ามีวง โคจรที่รีมาก ๆ ขณะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มาก ๆ จะเคลื่อนที่ช้า จนเหมือนหยุดนิ่งเป็นดาวฤกษ์ธรรมดาดวงหนึ่ง แต่เมื่อใกล้แล้วจะเร็วขึ้น และจะชนโลกในช่วงสิ้นปีนี้
"ถ้าจะชนโลก สิ้นปีนี้จริง วันนี้เราย่อมต้องมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้ว และถ้าดาวนิบิรุมีจริง ในตอนกลางคืนย่อมต้องส่องสว่างมากกว่าพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ เพราะใกล้โลกมาแล้ว สำหรับเหตุการณ์ดาวเคราะห์น้อยชนโลก ในอดีตก็เคยเกิดขึ้น ครั้งสุดท้ายคือที่ ทังกัสก้า ในเขตไซบีเรีย เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1980 แรงระเบิดครั้งนั้นเทียบเท่ากับระเบิดทีเอ็นทีขนาด 30 เมกะตัน จาการศึกษาหลุมที่เกิดเชื่อว่าเป็นผลจากอุกาบาตขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20-30 เมตร พุ่งชนโลก
"สำหรับ ในปี 2012 มีดาวเคราะห์น้อยที่จะผ่านมาเหมือนกัน แต่ข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์มี พบว่าอยู่ไกลมาก ๆ ไม่มีการชนอย่างแน่นอน นักวิทยาศาสตร์นั้นมีโครงการติดตามวัตถุที่จากนอกโลกที่มีขนาดใหญ่กว่า 200 เมตร วงโคจรเข้าใกล้และจะเป็นภัยกับโลกอยู่แล้ว พบว่า มีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่คาดว่าจะชนกับโลก นั่นคือ ดาวเคราะห์น้อย 1950 DA จะชนโลกในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ.2880 คืออีก 800 กว่าปีข้างหน้า ถึงวันนั้นมนุษย์คงมีวิทยาการในการป้องกันได้แล้ว แต่ที่สำคัญ ความเป็นไปได้ที่ดาวดวงนี้จะชนโลก มีเพียงแค่ 0.33 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น" ดร.สรัณย์ กล่าว
เหตุการณ์ที่ลือกันว่าจะทำให้ถึงวันสิ้นโลกอีกอย่างคือ "การเรียงตัวกันของดาวเคราะห์"
รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ บอกว่า เรื่อง นี้ก็มีผู้กล่าวอ้างเยอะ มีการทำนายวันที่จะเกิดไว้ว่าตรงกับวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 แต่ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว การเรียงตัวกันของดาวเคราะห์นั้นมีผลกับโลกน้อยมาก เทียบไม่ได้เลยกับแรงที่ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงผลจากดวงจันทร์ และที่สำคัญก็คือ จากการตรวจสอบพบว่าในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 ดาวเคราะห์ต่าง ๆ ก็ไม่ได้เรียงตัวกันดังคำทำนาย
และเรื่องสุดท้ายที่ได้รับการพูดถึงมากเกี่ยวกับวันสิ้นโลก คือการที่โลกจะถูก "หลุมดำ" ดูดกลืนเข้าไป
ความ เชื่อนี้ อ้างจากการที่แกแล็กซี่ทางช้างเผือกที่เราอาศัยอยู่ มีดาวฤกษ์ถึง 100,000 ล้านดวง ดวงอาทิตย์คือ 1 ในนี้ ที่ใจกลางแกแล็กซี่นั้นพบหลักฐาน "หลุมดำ" ที่มีชื่อว่า "ซาจิทาเรียส" อยู่ในกลุ่มดาวคนยิงธนู ซึ่งมีขนาดใหญ่ถึง 4.1 ล้านเท่าของดวงอาทิตย์ โดยอยู่ห่างออกไป 26,000 ปีแสง กล้องดูดาวสามารถศึกษาการโคจรดาวฤกษ์ที่อยู่ ใกล้ ๆ หลุมดำซาจิทาเรียสนี้ได้
"ถาม ว่าเราจะถูกดูดง่าย ๆ มั้ย ผมว่าไม่อย่างแน่นอน เพราะทุกปีดวงอาทิตย์ก็เปลี่ยนทางเดินและเข้าใกล้กลุ่มดาวคนยิงธนูในเดือน ธันวาคมอยู่แล้ว แต่ต่อให้โดนดูดเข้าไปจริง โลกก็จะต้องใช้เวลาถึง 26,000 ปีในการพุ่งเข้าหาหลุุมดำ ขอยืนยันว่าโลกจะไม่ถูกดูดเข้าไปอย่างแน่นอน และที่สำคัญแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ที่กระทำต่อโลก มากกว่าแรงโน้มถ่วงของหลุมดำที่กระทำต่อโลก" ดร.สรัณย์ ย้ำหนักแน่น
เน้นกันชัด ๆ ปี 2012 นี้โลกจะถึงกาลอวสานหรือไม่?
คลิกฟังคำตอบจากรองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน
Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2555 |
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2555 18:04:16 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1330 Pageviews. |
|
|
|
|
| |