ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด
<<
มีนาคม 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
1 มีนาคม 2555

"29 กุมภาพันธ์" ทำไมต้องถึง 4ปี มีครั้งเดียว







9 กุมภาพันธ์ จะมีก็ต่อเมื่อเป็นปีที่หารได้ด้วย 4 ลงตัว กว่าจะมี 29 วัน ก็จะเป็นปี 2012 ซึ่งในประเทศไทยเรียกว่า "ปีอธิกสุรทิน"
"ปีอธิกสุรทิน" คือ ปีที่มีวันหรือเดือนเพิ่มเข้ามา เพื่อทำให้ปีปฏิทินสอดคล้องกับปีดาราศาสตร์หรือปีฤดูกาล


ทั้งนี้เป็นผลจากการที่ฤดูกาลและปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ไม่ได้วนกลับมาเป็นจำนวนวันที่ลงตัว ใน"ปฏิทินเกรโกเรียน" ซึ่งเป็นต้นแบบของปฏิทินสุริยคติไทยในปัจจุบัน จะเพิ่มวันในเดือนกุมภาพันธ์ให้มี 29 วัน


ในปีที่เป็นปีอธิกสุรทิน จึงทำให้ปีอธิกสุรทินมี 366 วัน ใน"ปฏิทินฮิจญ์เราะหฺ" จะ
กำหนดให้เดือนซุลฮิจญะหฺซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายมี 30 วัน
จึงทำให้ปีอธิกสุรทินของปฏิทินฮิจเราะหฺมี 355
วันการตรวจสอบว่าปีใดในระบบคริสต์ศักราชเป็นปีอธิกสุรทินหรือไม่
ทำได้โดยการหารปีนั้นด้วย 4 หากหารลงตัวจะเป็นปีอธิกสุรทิน


อย่างไรก็ตาม ด้วยกฎเหล่านี้จึงทำให้ ค.ศ. 1800, 1900, 2100, 2200 เป็นปีปกติสุรทิน แต่ ค.ศ. 1600, 2000, 2400 เป็นปีอธิกสุรทิน

ทั้งนี้เมื่อเอ่ยถึงคำว่า "อธิกวาร" "อธิกมาส" และ "อธิกสุรทิน" เป็น
ไปได้ว่าคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบันอาจไม่รู้ความหมายของคำเหล่านี้
เพราะเป็นคำที่มีความหมายเข้าใจยาก
และเป็นคำที่ไม่ได้ใช้บ่อยครั้งในชีวิตประจำวัน
คำทั้งสามคำเหล่านี้เกี่ยวข้องกับปฏิทิน หรือการนับวันเดือนปี
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในวัฒนธรรม
ผู้เขียนจึงต้องการอธิบายความหมายของคำเหล่านี้พอเป็นสังเขปเพื่อให้คนที่
ยังไม่รู้จักคำเหล่านี้เข้าใจความหมายเมื่อได้ยินหรืออ่านพบคำดังกล่าวใน
สื่อต่างๆ


คำว่า "อธิกวาร" "อธิกมาส" และ "อธิกสุรทิน" ประกอบ
ด้วย คำที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤตทั้งหมด หน่วยหน้าศัพท์ อธิก- (อ่านว่า
อะ-ทิ-กะ) ในที่นี้หมายถึง "เกิน, เพิ่ม" ส่วนคำว่า วาร แปลว่า "วัน" มาส
แปลว่า "เดือน" คำว่า สุรทิน มาจาก สุร + ทิน ทิน แปลว่า "วัน" สุร
ในที่นี้น่าจะแปลว่า "พระอาทิตย์"


ในจำนวนคำทั้งสามดังกล่าว
คำว่า อธิกสุรทิน น่าจะเป็นคำที่คุ้นเคยมากที่สุดสำหรับคนไทยปัจจุบัน
เพราะเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับปฏิทินแบบสุริยคติ ซึ่งใช้ในสังคมไทยปัจจุบัน
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายของ อธิกสุรทิน ไว้ว่า "วันที่เพิ่มขึ้นในปีสุริยคติ คือในปีนั้นเพิ่มวันเข้าในเดือนกุมภาพันธ์อีกวันหนึ่งเป็น 29 วัน" ตาม
ธรรมดาเดือนกุมภาพันธ์มี 28 วัน ปฏิทินบางฉบับเรียกปีที่เดือนกุมภาพันธ์มี
28 วันว่า "ปีปกติสุรทิน" และเรียกปีที่เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน
ว่า "ปีอธิกสุรทิน"


ปีอธิกสุรทินจะมี 4 ปีครั้ง ปีพ.ศ. 2543
(ค.ศ. 2000) เป็นปีอธิกสุรทิน ปีอธิกสุรทินต่อไปคือปีพ.ศ. 2547
ข้อสังเกตง่ายๆว่าปีใดเป็นปีอธิกสุรทินคือให้เอาปีค.ศ. ตั้งหารด้วยเลข 4
ถ้าหารลงตัวจะเป็นปีอธิกสุรทิน ถ้าหารไม่ลงตัวก็เป็นปีปรกติ เช่นปีค.ศ.
1996 (พ.ศ. 2539) ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) ค.ศ. 2008
(พ.ศ. 2551) หารด้วยเลข 4 ลงตัว และทั้งหมดเป็นปีอธิกสุรทิน


เหตุ
ที่จะต้องมีปีอธิกสุรทินทุก 4 ปี เพราะตามระบบของปฏิทินทางสุริยคติ
จะต้องเพิ่มวันเข้าไป 1 วันเพื่อให้ปีนั้นมี 366 วัน
วันที่เพิ่มเข้าไปนี้เรียกว่า "อธิกสุรทิน"
การที่ต้องเพิ่มวันเนื่องจากในปีหนึ่งๆนั้นตามความเป็นจริงมีจำนวนวัน
365.25 วัน ไม่ใช่ 365 วันถ้วนอย่างที่เราเข้าใจกันทั่วไป

"ดัง
นั้นเพื่อรวมเศษที่ตกค้างในแต่ละปีให้เป็น 1 วันได้ก็จะทำได้ทุก 4 ปี
ทำให้สะดวกในการนับจำนวนวันในแต่ละปี คือนับจำนวนถ้วนๆ โดยให้ปีที่ 1, 2,
และ3 มี 365 วัน และปีที่ 4 มี 366 วัน เป็นดังนี้เรื่อยไป"


"อธิกมาส" และ"อธิกวาร"
เป็นคำที่คนไทยสมัยใหม่อาจไม่คุ้นเคยเพราะเกี่ยวข้องกับปฏิทินแบบจันทรคติ
ซึ่งปัจจุบันเลิกใช้อย่างเป็นทางการแล้วในสังคมไทย
อย่างไรก็ตามหากเราเข้าใจที่มาหรือเหตุผลของการเพิ่มวันเป็นอธิกสุรทิน
ก็คงไม่ยากนักที่จะเข้าใจเหตุผลของการเพิ่มเดือนหรือเพิ่มวันเข้าไปในปฏิทิน
ทางจันทรคติเช่นกัน


"อธิกมาส" หมาย
ถึง เดือนที่เพิ่มขึ้นในปีจันทรคติ คือในปีนั้นมี 13 เดือน มีเดือน 8 สองหน
สาเหตุที่ต้องเพิ่มเดือน 8 เข้าไปอีก 1 เดือน เช่นในปีนี้ (พ.ศ. 2545)
ก็เพื่อให้ปฏิทินทางจันทรคติเทียบได้กับปฏิทินทางสุริยคติได้
โดยจำนวนวันไม่ต่างกันมากเกินไป
ดังรายละเอียดที่ผเคยอธิบายไว้แล้วในเรื่อง "ปฏิทินไทยดั้งเดิม"
ปฏิทินบางฉบับเรียกปีที่มีอธิกมาสหรือปีที่มีเดือน 8 สองหนว่า "ปีอธิกมาส"
และเรียกปีที่มีเดือน 8 หนเดียวว่า "ปีปกติมาส"


"อธิกวาร" หมาย
ถึงวันที่เพิ่มขึ้นในปีจันทรคติ คือในปีนั้นเดือน 7 เป็นเดือนเต็มมี 30 วัน
ตามปรกติเดือนที่เป็นเลขคี่ ในปฏิทินทางจันทรคติจะเป็นเดือนขาด มี 29 วัน
และเดือนเลขคู่เป็นเดือนเต็มมี 30 วัน
แต่ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกันกับการเพิ่มเดือนเป็นอธิกมาส ในรอบประมาณ 5 ปี
ปฏิทินทางจันทรคติซึ่งแม้จะมีอธิกมาสแล้ว แต่ก็จะมีจำนวนวัน
ต่างจากปฏิทินทางสุริยคติอยู่อีกหนึ่งวัน จึงต้องเพิ่มเสีย เพื่อให้เท่ากัน


โดย
เพิ่มวันเข้าไป ในเดือน 7 ทำให้เดือน 7 ในปีนั้นมี 30 วัน
วันสุดท้ายของเดือน 7 ดังกล่าวจะเป็นวันแรม 15 ค่ำแทนที่จะเป็นวันแรม 14
ค่ำเหมือนเดือนขาดทั่วไป วันที่เพิ่มเข้าไปนี้เรียกว่า "อธิกวาร"
ปีที่มีอธิกวารเรียกว่า "ปีอธิกวาร" ที่ไม่มีเรียกว่า "ปีปกติวาร"
คำทั้งสามคำที่ได้อธิบายไปนั้นแสดงให้เห็นว่าคนไทยมีระบบในการนับและการ
คำนวณวันเดือนปี ที่น่าสนใจ
จึงทำให้คนไทยสามารถเข้าใจความคล้ายคลึงและความมีส่วนร่วมกันของมโนทัศน์
ทั้งสามประการได้เป็นอย่างดี


ส่วนทางฝั่งตะวันตกจะเรียกปีที่มีวันที่ 29 กุมภาพันธ์ว่า "Leap year" และ
คนโชคดีที่เกิดวันนี้จะถูกเรียกว่า "Leaper"
ซึ่งด้วยความแปลกอันนี้ในบางประเทศ เช่น ไอร์แลนด์
รัฐบาลจะให้เงินรางวัลเป็นการเฉลิมฉลองกับครอบครัวที่มีเด็กเกิดในวันนี้เลย
ทีเดียว


แม้ว่าความพิเศษของ 29
กุมภาพันธ์จะไม่ได้เป็นวันหยุดทำงานสากล
แต่กิจกรรมพิเศษของวันนี้ตามธรรมเนียมของทางตะวันตก
ซึ่งริเริ่มในประเทศสกอตแลนด์คือ
ผู้หญิงจะได้รับการยินยอมให้เป็นฝ่ายขอผู้ชายไปเดท ขอความรัก
หรือแม้กระทั่งขอแต่งงานกับฝ่ายชายได้โดยไม่ขัดกับจารีตธรรมเนียมประเพณีแต่
อย่างใด และ "ถ้าฝ่ายชายปฏิเสธก็ต้องหาผ้าพันคอ หรือถุงมือให้เป็นการปลอบใจ"


ที่มา //news.voicetv.co.th/


Create Date : 01 มีนาคม 2555
Last Update : 1 มีนาคม 2555 22:10:54 น. 0 comments
Counter : 1448 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ข่าวดี
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add ข่าวดี's blog to your web]