Blogger Reader Writer Runner
เวลาวิ่ง ผมอยู่ในที่สงบ



มูราคามิ บอกผมในเย็นวันหนึ่งว่า เวลาวิ่ง เขาอยู่ในที่สงบ ผมไม่รู้หรอกว่าความสงบที่ว่านั้นเป็นเช่นไร แต่มันเย้ายวนใจผมดีแท้ ผมอยากอยู่ในที่สงบเยี่ยงนั้นบ้าง ชีวิตในทุกวันนี้นอกจากเวลานอนแล้ว ผมก็ไม่รู้จะหาความสงบจากที่ใดได้อีก แม้บางครั้งที่ผมอยู่กับหนังสือในร้านกาแฟฉ่ำแอร์จะทำให้ผมสงบได้บ้าง แต่นั่นก็เป็นเพียงความสงบแบบฉาบฉวยกระมัง ผมจึงตัดสินใจจะลงวิ่งมาราธอนในรายการใหญ่ปลายปี “กรุงเทพมาราธอน” เพียงเพื่อควานหาบางอย่างที่นอนนิ่งสงบอยู่ภายในใจ


ผมโปรดการเดินเท้า เท่าที่เส้นทางพอจะนำไปได้ หากไม่ไกลเกินไปนักผมมักจะใช้การเดินไปยังจุดหมาย ผมซึมซับเอาความโปรดนี้มาจากการอ่านนิยายของมูราคามิ ตัวละครของเขามักจะโปรดการเดินเป็นพิเศษ ผมรู้สึกว่าเวลาผมเดินโดยเฉพาะเดินคนเดียว มันจะมีความรู้สึกราวกับผมได้คุยกับตัวเอง แต่ถึงแม้จะรู้สึกแบบนี้ แต่ก็หาโอกาสเดินแบบนี้ได้น้อยเต็มทีไม่ว่าจะโปรดการเดินสักแค่ไหน


เย็นวันนึงนานมาแล้ว หลังจากเสร็จธุระ ผมจับรถเมล์จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปลงฝั่งตรงข้ามสะพานซังฮี้ ด้วยความรู้สึกกลวงเปล่าในอก ความตั้งใจแรกคือจะนั่งรถเมล์ไปเรื่อย ๆ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจลงรถเมล์เพราะวิวบนสะพานนั้นฉุดให้ผมอยากนั่งลงที่กลางสะพาน ผมนั่งลงบริเวณทางเดินที่กลางสะพาน เหม่อมองวิวแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงย่ำเย็น เรือลำเล็กของโรงแรมริมแม่น้ำเริ่มลอยลำพานักท่องเที่ยวชมบรรยากาศ ผมเรียงภาพในหัวคิดถึงสิ่งที่ผ่านในชีวิตช่วงนั้น ผมถูกคนรักทิ้งไปในวันนั้นนับได้เกือบสามเดือน แต่ผมยังฟุ้งซ่านไม่หยุด โหยหาความรู้สึกเดิมอยู่ จนผมเริ่มคิดได้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นมันไร้สาระเพียงใด อะไรที่มันควรจบมันก็ควรต้องจบไม่ควรเสียเวลาคร่ำครวญอีก ผมนั่งทอดอารมณ์อยู่กลางสะพานซังฮี้ได้ราวหนึ่งชั่วโมง แล้วก็ตัดสินใจลุกขึ้นและออกเดิน จุดหมายในวันนั้นอยู่ที่ถนนพระอาทิตย์และถนนข้าวสารที่ซึ่งผมสามารถปล่อยวางตัวเองได้ทุกครั้งที่ไปเยือน ระหว่างเดินผมคุยกับตัวเองหลายเรื่องคุยกันออกรส เรื่องไหนที่ไม่เคยคุยก็หยิบยกขึ้นมาคุย ผมโดนตัวเองตำหนิหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องความรักที่ผมจมปรักอยู่ในตอนนั้นด้วย ระยะทางจากสะพานซังฮี้ถึงถนนพระอาทิตย์ต่อไปยังถนนข้าวสารนั้นคะเนคร่าว ๆ จากความรู้สึกน่าจะราวห้ากิโลเมตรได้ ผมใช้เวลาเดินเกือบสองชั่วโมงเป็นสองชั่วโมงที่มีค่าสำหรับผมมาก ผมเข้าใจตัวเองมากขึ้นและในที่สุดหลังจากเดินถึงจุดหมาย ผมก็เลิกฟูมฟายฟุ้งซ่านกับเรื่องราวที่ประสบขณะนั้น ผมพบแล้วว่าเมื่อไหร่ที่ผมจะคุยกับตัวเอง ผมจะออกเดิน


สามปีก่อน ผมอ่านหนังสือเกร็ดความคิดบนก้าววิ่งของมูราคามิ หนังสือเล่มนั้นทำให้ผมอยากวิ่ง โดยเฉพาะมาราธอน แม้ผมจะรู้จักกับการวิ่งมาราธอนมานานตั้งแต่สมัยเรียน แต่ก็ไม่แม้สักครั้งที่ผมอยากจะลอง มนุษย์นี่ก็แปลกบางครั้งการเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือทัศนคติ ต้องให้คนอื่นมาช่วยทำให้รู้สึก ผมก็เช่นกัน ตัวหนังสือของมูราคามิปลุกให้ผมอยากวิ่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ขลุ่ย หลังจากปิดหนังสือหน้าสุดท้าย ผมบังเกิดความรู้สึกนั้นจริง ๆ แต่ก็อีกนั่นแหละ มนุษย์หากไร้ซึ่งความตั้งใจจริงก็ยากที่จะลุกขึ้นมาทำอะไร โดยเฉพาะทำเพื่อตัวเอง สามปีให้หลังความตั้งใจผมถูกจุดติดอีกครั้ง และก็เป็นอีกครั้งที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดจากผู้อื่นหยิบยื่นให้ ผมดูหนังเรื่องนึงที่พูดถึง 42.195 ระยะทางของมาราธอน ระหว่างดูหนังเรื่องนี้ใจผมหวนคิดถึงแต่เรื่องราวในเกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง ไฟในตัวที่เคยมีเชื้ออยู่ถูกเร่งปฏิกิริยาทีละน้อย จนในที่สุดเปลวไฟแห่งความมุ่งมั่นนั้นก็ถูกจุดติดอีกครั้ง “ผมจะลงวิ่งมาราธอน”


ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะบอกใครต่อใครว่าจะลงวิ่งมาราธอน การเตรียมตัวเพื่อจะไปถึงการลงแข่งนั่นต่างหากที่พิสูจน์ความตั้งใจจริง ผมมีเวลาสามเดือนกว่าหลังจากหล่นคำพูดนั้นออกมา ผมเริ่มจากการซื้อรองเท้าสำหรับวิ่งมาราธอน ยี่ห้อ Brooks และลงซ้อมแบบเบา ๆ บนลู่วิ่งอาทิตย์ละไม่กี่วัน จนเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจังเนื่องเพราะมีรายการวิ่งมินิมาราธอนให้ลองทดสอบในเดือนกันยายน ซึ่งถือเป็นการวิ่งจริงจังรายการแรกก็ว่าได้ ผมลงวิ่ง 10.5 กิโลเมตร เข้าเส้นชัยด้วยเวลาหนึ่งชั่วโมงกับสิบนาที หลังจากลงแข่งรายการนั้น ความเย้ายวนของการแข่งขันวิ่งก็เริ่มก่อตัวอย่างช้า ๆ ผมเริ่มแผนการฝึกวิ่งเพื่อลงแข่งกรุงเทพมาราธอนในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ช่วงเวลานี้ผมแสดงให้คนรอบข้างเห็นถึงความตั้งใจที่จะลงแข่งมาราธอน แต่ชีวิตใช่ว่าจะราบรื่นไปเสียทุกเรื่อง หากไม่สะดุดหกล้มบ้าง ความตั้งใจนั้นคงไม่ได้รับการพิสูจน์


ผมตื่นหกโมงในเช้าวันอาทิตย์ ออกวิ่งรอบสวนรถไฟ การวิ่งบนลู่วิ่งนั้นนอกจากจะขาดไร้ซึ่งรสชาติแล้ว ยังไม่ช่วยให้ความอยากวิ่งปั้นตัวขึ้นมาเลย สองสัปดาห์ผ่านไปดูคล้ายกับร่างกายเริ่มปรับตัวเข้าที่ รับรู้ทัณฑ์ทรมานของการวิ่งระยะไกลที่ใกล้มาถึง ผมสร้างความเย้ายวนให้กับกล้ามเนื้อและร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่แล้วในวันหนึ่งปลายเดือนตุลา ผมประสบอุบัติเหตุที่นิ้วเท้าข้างซ้าย จนเกิดอาการอักเสบและคล้ายกับกระดูกนิ้วจะเคลื่อนเล็กน้อย ผมเดินกระเผลกอยู่นานพอสมควร ดูแลประคบประหงมนิ้วเท้าให้อาการกลับมาดีดังเดิม ไม่ต้องพูดถึงการซ้อม ผมขาดการซ้อมไปถึงสองสัปดาห์เนื่องจากแค่เดินยังลำบาก ก่อนหน้านี้ผมก็บาดเจ็บจากการฝึกซ้อมมาครั้งนึงแล้วที่ฝ่าเท้าขวา เป็นอาการที่ไม่สามารถระบุได้ว่ามันเจ็บหรือปวดแบบใด ราวกับมีการก้าวย่างที่ผิดจังหวะ ทำให้พักซ้อมไปราวหนึ่งสัปดาห์ แต่อาการเจ็บครั้งหลังนี้เริ่มกัดกร่อนความมั่นใจของผมไปพอสมควร ใกล้ถึงวันแข่งเต็มที และด้วยความสัตย์จริง ผมยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะลงเต็มมาราธอน หากใช้การฝึกซ้อมเท่านี้เป็นเกณฑ์ หากผมผ่านฮาล์ฟมาราธอนได้ก็นับว่าอัศจรรย์


สัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาผมจะต้องตัดสินในแล้วว่าจะลงแข่งในประเภทใด ขณะนั้นนิ้วเท้ายังไม่หายดีนัก ยังมีความรู้สึกปวดเล็กน้อย ผมสำรวจเข้าไปในจิตใต้สำนึกของตัวเอง มองหาเปลวไฟที่เคยลุกคราวอ่านเกร็ดความคิดบนก้าววิ่งจบ ผมพบว่าเปลวไฟนั้นยังคงลุกอยู่ หากแต่ใกล้มอดดับเต็มที ผมรีบใช้สองมือป้องลมที่จะพัดให้เปลวไฟนั้นดับ ประคับประคองขึ้นมองอีกครั้ง ก็เปลวไฟนี้มิใช่หรือที่ทำให้ผมอยากออกไปวิ่ง ก็เปลวไฟนี้มิใช่หรือที่เป็นเปลวไฟแห่งมาราธอน ผมตัดสินใจทำตามความต้องการของตัวเองในคราวแรก ผมลงสมัครในประเภท มาราธอน 42.195 กิโลเมตร ทั้งที่ในวันนั้นผมยังไม่สามารถกลับมาซ้อมเต็มรูปแบบได้


เสาร์อาทิตย์สุดท้ายก่อนถึงวันแข่ง ผมออกวิ่งทั้งเช้าวันเสาร์และอาทิตย์ ระยะทางรวมทั้งสองวันได้ราวยี่สิบกิโลเมตร ยังห่างไกลจากระยะทาง 42.195 มากนัก แต่ผมก็ยังบอกกับตัวเองว่าในวันแข่งจริงต้องทำได้ดีกว่านี้แน่ สัปดาห์สุดท้ายผมไม่ลงซ้อมเลยแม้แต่วิ่งบนลู่ ผมเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ทำให้บาดเจ็บ มันเสี่ยงเกินไปที่จะซ้อมในช่วงนี้และบาดเจ็บจนลงแข่งไม่ได้ สิ่งที่ผมทำในช่วงนี้คืออ่าน อ่านประสบการณ์ของคนที่เคยผ่านมาราธอนมาแล้ว เรื่องเล่าต่าง ๆ ระหว่างการแข่งขัน ผมวางแผนการเดินทาง การนอนพักผ่อนในคืนก่อนแข่ง อาหารที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มการสะสมพลังงาน

เย็นย่ำแล้ว ...
เหลือเวลาอีกวันเดียว ผมก็จะได้สัมผัสบรรยากาศของ กรุงเทพมาราธอน เสียที เวลาถูกปล่อยล่วงมาเกือบสามปี กว่าจะเร่งไฟที่จุดติดในอกเมื่อนานมาแล้วให้ลุกโชติ ย้อนนึกถึงวันที่ปิดหนังสือเกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง ผมอยากสัมผัสสิ่งที่มูราคามิเคยได้สัมผัส อยากรับรู้สิ่งที่เขาบอกผ่านตัวหนังสือ


รองเท้าวิ่งคู่ใจถูกจับมาเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำมาด เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซื้อที่ผมบรรจงลูบไล้ผ้าไปตามผิวของมัน นอกนั้นแล้วผมมักจะใช้งานมันอย่างสมบุกสมบันแต่ก็เป็นหน้าที่ของมันที่ได้รับมอบหมายมามิใช่หรือ ผมใช้งานเพื่อให้มันได้รับความภาคภูมิใจในการทำหน้าที่ และเช้ามืดวันพรุ่ง หน้าที่สูงสุดของมันจะได้รับการชื่นชม ผมเลือกเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้นเข้าชุดกัน กลัดติดหมายเลขประจำตัวที่หน้าอกเสื้อ วางเรียงไว้ใกล้กับรองเท้าและถุงเท้าสีขาวอีกคู่ เข้านอนตั้งแต่ช่วงเย็น เพื่อที่จะตื่นตอนเที่ยงคืนและเตรียมตัวเข้าสู่การแข่งขัน ที่จะถูกปล่อยตัวในเวลาสามนาฬิกาของเช้าวันอาทิตย์ คงเป็นเพราะนอนผิดเวลาผมจึงไม่สามารถหลับตาลงได้ทันทีนอนพลิกตัวอยู่บนเตียง นึกถึงภาพที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ผมอยากได้ยินเสียงกู่ร้องให้กำลังใจจากใครก็ได้ ผมไม่ต้องการเสียงตะโกนเรียกชื่อ อยากได้ยินเพียงประโยคสั้น ๆ ว่า "สู้ๆนะ จะถึงแล้ว" เสียงเพลงจากเครื่องเล่นค่อย ๆ แผ่วเบา แล้วผมก็หลับไปในที่สุด



การแข่งขันมาราธอนแรกในชีวิตจบลง ผมกลับมาวุ่นวายกับการทำงานประจำอีกครั้ง
ในเมื่อชีวิตยังต้องเดินต่อและยังคงพึ่งพารายได้จากงานประจำ ก็คงต้องก้มหน้าทำต่อไป


มีสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเส้นทางวิ่งเต็มไปหมด ก่อนแข่ง ผมไม่รู้หรอกว่าร่างกายของผมทนทานกับมาราธอนได้ไหม เพราะเราไม่เคยเราจึงไม่รู้ เพราะเราไม่รู้จึงไม่อาจตัดสินได้ว่าทำได้หรือไม่ได้ ผมจึงลองมัน และได้เรียนรู้ว่า ใจ เท่านั้นที่พาผมเข้าเส้นชัยมาได้ เนื่องเพราะร่างกายผมประท้วงตั้งแต่ครึ่งทาง ระยะที่ 22 กิโลเมตร ผมไม่สามารถเคลื่อนที่ตามต้องการได้ มีอาการเจ็บปลายเท้าซ้าย ที่นิ้วเท้า และกล้ามเนื้อข้อพับหลังหัวเข่า จากความปวดเจ็บเพียงเล็กน้อย กลับกลายเป็นหอกแหลมทิ่มแทงร่างกายไปจนตลอดการแข่งขัน ทวีความสาหัสยิ่งขึ้นเมื่อระยะใกล้ปลายทาง เหลือเพียงใจของผมเท่านั้นที่ไม่ได้ถูกทำร้ายจากสิ่งใดเลย มันกลับทำหน้าที่แทนร่างกายทุกส่วน ปลุกปลอบ ให้กำลังใจ และนำพาผมและร่างให้ยังขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้


ระหว่างทาง มีมิตรภาพและรอยยิ้มจากคนแปลกหน้ามากมาย ด้วยคำพูดซ้ำกันเพียงไม่กี่ประโยค "สู้ ๆ ครับ/ค่ะ" "ไปด้วยกันนะครับ/ค่ำ" "เอาเกลือแร่ไหม" "ไหวนะ" ทุกครั้งที่ได้รับ หัวใจผมพองโตสูบฉีดเลือด ฮึดขึ้นมาได้ทุกครั้ง นักวิ่งมาราธอนส่วนใหญ่ที่ผมสังเกตเห็น จะมีอายุระหว่าง 40-60 ปี ซึ่งผมอายุ 30 ปีนั้น ถือว่าเด็กมากในมาราธอน


ผมเกือบถอดใจที่ระยะ 22 กิโลเมตร เกือบตัดใจรอขึ้นรถพยาบาล แต่เมื่อฝืนวิ่งและสลับวิ่งช้า ๆ ก็มาได้ไกลพอสมควร จนระยะที่ 38 กิโลเมตร บริเวณถนนพระอาทิตย์ ผมไม่เหลืออะไรในตัวอีกแล้ว ไม่มีส่วนใดเชื่อฟังใครอีกต่อไปแล้ว ผมคิดถึงสิ่งต่าง ๆ มากมาย คิดถึงคนรักและเพื่อนที่รออยู่ปลายทาง แต่ในเมื่อเหลืออีกเพียงไม่กี่กิโลเมตร ผมก็ต้องพยายามไปให้ได้ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 9โมงเช้า มีกลุ่มนักวิ่งลุงและป้าวิ่งผ่านหน้าผมไป หันมายิ้มให้ผมแล้วกล่าวกับผมว่า "ไปด้วยกันหนู ไปเร็ว ใกล้ถึงแล้ว" ผมพยักหน้ายิ้มรับ ออกวิ่งช้า ๆ ไปตามเส้นทางที่เหลืออยู่ แดดร้อนเริ่มทำร้ายตัวผม ระบบหายใจเริ่มมีปัญหา ไม่สามารถออกแรงมากได้ แค่เพียงเดินยังหายใจติดขัด ผมรู้สึกเหมือนคนใกล้จะเป็นลม ใกล้จะล้มลงที่ไหนสักแห่ง ที่ป้ายระยะ 41 กิโลเมตร ผมเริ่มมีความหวัง เริ่มควานหาพลังที่แฝงเร้นในร่าง เพื่อจะนำออกมาใช้ จนเมื่อผมพบป้าย 500 เมตร ใจผมปลุกระดมทุกส่วนของร่างกาย ระยะทางวิ่งเส้นตรงสุดท้ายอยู่ข้างหน้า อ้อนวอนให้ทุกส่วนทำหน้าที่อีกครั้ง ผมก้าวเท้าออกวิ่งด้วยทุกสิ่งที่เหลืออยู่ วิ่ง วิ่ง และวิ่ง จนในที่สุด ผมเข้าสู่เส้นชัย เจ้าหน้าที่เข้ามาตัดชิพที่รองเท้า ผมล้มตัวลงกึงนั่งกึ่งนอนอยู่ที่พื้น สำหรับมาราธอนแรก ไม่อาจเรียกได้ว่าสวยหรู


ที่ปลายทาง คนรักและเพื่อน ๆ เข้ามาร่วมแสดงความยินดี ประหลาดใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งทำสำเร็จ ผมตัดสินมาราธอนในตอนนั้นว่า นี่มันคือการฆ่าตัวตายชัดชัด ผมเพิ่งรอดพ้นจากความตาย ไม่เอาอีกแล้วมาราธอน พอกันที นั่นคือความคิดของคนที่เพิ่งรอดพ้นจากความตายมาหวุดหวิด หลังจากพักฟื้น ผมไล่เรียงภาพที่ผ่านมาทุกระยะวิ่ง ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เส้นทางที่ไม่เคยพบเจอ ระยะทางที่สาหัสเกินกว่าที่คาดคิด อากาศร้อนหลังจากพ้นเช้ามืด ไล่เรียงจนครบทุกภาพ ผมตัดสินมาราธอนใหม่อีกครั้งด้วยสติสัมปชัญญะที่ครบถ้วน คำพูดของผมที่หล่นออกมา "เจอกันปีหน้า กรุงเทพมาราธอน"



Create Date : 21 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2555 17:51:21 น. 9 comments
Counter : 1594 Pageviews.

 
"ผมเดินเพราะผมอยากจะเดิน ถ้าผมวิ่งก็เพราะผมอยากจะวิ่ง ก็เท่านั้นเอง" ขอชื่นชมในความพยายามครับในความรู้สึกผมกับระยะทางกว่า 40 กม.ในการวิ่งมันช่างไกลเหลือเกิน อ่านไปก็แอบลุ้นเอาใจช่วยอยู่ในที บรรยายความรู้สึกออกมาทำให้มองเห็นภาพของคนคนหนึ่งที่พยายามจะก้าวข้ามผ่านความรู้สึกในจิตใจตัวเองเพื่อไปสู่อีกความรู้สึกหนึ่ง...ความรู้สึกที่ปลดปล่อยเราจากพันธนาการในก้นบึ้งของจิตใจเรา"วิ่ง"ต่อไปเพื่อที่เราอาจจะได้ค้นพบกับอีกความรู้สึกหนึ่ง........จากความรู้สึกของคนหนึ่งอ่านความรู้สึกของคนหนึ่ง


โดย: S_nirmodx IP: 115.87.247.79 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2555 เวลา:2:30:38 น.  

 
"เหลือเพียงใจของผมเท่านั้นที่ไม่ได้ถูกทำร้ายจากสิ่งใดเลย" วิ่งต่อไปนะคุณอาจจะได้ค้นพบความพิลึกพิลั่นของตัวเอง ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งคุณอาจวิ่งไปทำงานโดยไม่แคร์สิ่งรอบข้างก็ได้!!! 555 อินๆ อ่านไปในหัวก็นึกถึงแต่หน้าของ นิชคุน!!


โดย: Candycan IP: 27.55.132.125 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2555 เวลา:7:29:23 น.  

 
@ คุณเอสครับ เป็นการจับความที่ตรงใจมากครับ ผมรู้สึกแบบนั้นเลย ขณะวิ่งเราต้องต่อสู้กับตัวเองมากครับ ลองสักครั้งแล้วจะรู้ว่ามันเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงแค่ไหน ,แต่ผมอยู่ในที่สงบ จริงๆครับเวลาวิ่ง

@คุณCandycan มันติดใจไปแล้วครับสำหรับการวิ่ง โดยเฉพาะมาราธอน แต่จะให้วิ่งไปทำงานนี่คงจะไม่ไหวครับ 555
ดีแล้วครับที่นึกถึงหน้า นิชคุณ ตอนอ่าน ไม่งั้นอาจอ่านไม่สนุก


โดย: i.am.Victor วันที่: 22 พฤศจิกายน 2555 เวลา:10:06:47 น.  

 
ปีหน้าเอาใหม่ด้วย ขอทำเวลาดีกว่าเดิม


โดย: PWP IP: 58.8.147.180 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2555 เวลา:4:49:02 น.  

 
ปีหน้าเจอกันอีกครั้งครับ แน่นอน


โดย: i.am.Victor วันที่: 23 พฤศจิกายน 2555 เวลา:11:05:49 น.  

 
"...แต่เมื่อฝืนวิ่งและสลับวิ่งช้า ๆ ก็มาได้ไกลพอสมควร จนระยะที่ 38 บริเวณถนนพระอาทิตย์ ผมไม่เหลืออะไรในตัวอีกแล้ว ไม่มีส่วนใดเชื่อฟังใครอีกต่อไปแล้ว ผมคิดถึงสิ่งต่าง ๆ มากมาย คิดถึงคนรักและเพื่อนที่รออยู่ปลายทาง แต่ในเมื่อเหลืออีกเพียงไม่กี่กิโลเมตรผมก็ต้องพยายามไปให้ได้....." ชีวิตเราจริง ๆ แล้วคงเหมือนวิ่งมาราธอนล่ะมั้ง คือรู้ว่าต้องไปให้ถึง ต้องมีการเตรียมพร้อม ระยะทางที่ยาวไกล แต่สิ่งที่ต่างออกไป ในชีวิตจริงดันไม่มีหลักกิโลเมตรบอกว่าเรามาไกลเท่าไหร่แล้ว ไม่รู้ว่าอีกไกลแค่ไหนจะถึงจุดหมาย หลายคนถอดใจก่อนถึงที่หมาย ทั้ง ๆ ที่เหลือเพียงอีกไม่กี่ก้าว เพียงสิ่งเดียวที่คอยช่วยพยุงให้เราไปถึงเส้นชัยก็คงจะเป็น "กำลังใจ"


โดย: nunnY IP: 118.174.128.234 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2555 เวลา:17:34:17 น.  

 
คุณ nunnY ครับ เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ มาราธอนที่ผ่านมาของผมไม่ได้เตรียมตัวมาดีมาก แต่ที่ผ่านมาได้ด้วยใจล้วนๆครับ
สิ่งที่ผมได้รู้คือ อย่าดูถูกหัวใจของตัวเองครับ


โดย: i.am.Victor วันที่: 23 พฤศจิกายน 2555 เวลา:17:49:13 น.  

 
ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าใจอีกแล้ว อ่านเอ็นทรี่นี้แล้วให้ความรู้สึกฮึกเหิมยังไงไม่รู้ เป็นกำลังใจสำหรับเรานะ ตอนนี้ร่างกายมีปัญหามากๆ แต่คิดถึงสวนลุม อยากกลับไปวิ่งอีกจัง (:


โดย: le temps วันที่: 15 ธันวาคม 2555 เวลา:14:20:04 น.  

 
ขออวยพรให้ร่างกายกลับมาใช้งานและแข็งแรงในเร็ววันนะครับ
อย่าปล่อยให้สวนลุมรอนาน
สู้ๆ แข็งแรง ครับ


โดย: i.am.Victor วันที่: 17 ธันวาคม 2555 เวลา:0:34:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

i.am.Victor
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]





รักเร้นเร้นลับโลกคู่ขนาน
บันทึกแห่งนกไขลานหวามหวั่นไหว
แกะรอยหาแกะดาวคืนฝนปราย
ด้วยรักใจสลายแดนสนธยา




#สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามมิให้นำไปเผยแพร่และอ้างอิง ไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของบทความภายในบล็อคนี้
โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้เขียน#




"Pain is inevitable, Suffering is optional"
Haruki Murakami
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
21 พฤศจิกายน 2555
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add i.am.Victor's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.