Blogger Reader Writer Runner
'วิกาล' (After Midnight)


ผมชื่อวิกาล ความหมายเดียวกับยามวิกาลนั่นล่ะ เป็นชื่อที่อาตั้งให้หลังจากการกำเนิดของผมมีขึ้นในยามวิกาล ผู้คนต่างหลับใหล เป็นเวลาพักผ่อนของทุกคน ผมมาผิดเวลา มีเพียงหมอกับพยาบาลทำคลอด พ่อแล้วก็แม่ผู้ที่เบ่งผมออกมาอย่างทรมาน

ผมเติบโตมาแบบคนปกติแต่คนปกติทั่วไปคงไม่โดนล้อเลียนชื่ออย่างหนักเช่นผม มันคงเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่ใครสักคนจะครอบครองชื่อมีความหมายถึงยามดึก ฟังแล้วผิดที่ผิดเวลา แล้วความหมายไปในทางไม่ดีอีกต่างหาก ผิดกับชื่ออย่าง ราตรี ที่ฟังยังไงก็สวยงาม แต่เอาเถอะผมใช้ชื่อนี้มาเป็นสิบปีรู้สึกชาชินกับการล้อเลียนแบบนี้เสียแล้ว แต่ที่หน่ายจนต้องเบือนหน้าหนีคือคำถามที่ว่า ทำไมชื่อนี้ เหมือนถูกถามว่า ทำไมต้องกินข้าวแบบนั้นเลย

การล้อเลียนชื่อในช่วงเรียนประถมและมัธยมของผมไม่ได้สิ้นสุดที่ชื่อจริงหรอกเคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่ผมเกิดมาผิวเข้มค่อนไปทางคล้ำ เพื่อนในกลุ่มจึงพากันเรียกว่ามืด สนิทหน่อยก็ไอ้มืด สนิทมากกว่านั้นก็จะให้เกียรติเติมยศตามหลังไอ้ให้ได้ภาคภูมิใจ ฉายาที่ถูกตั้งดูจะสอดคล้องเหมาะเจาะกับชื่อจริง จนชื่อเล่นที่ถูกตั้งจริงๆ ของผมถูกลืมเลือน ทั้งที่ชื่อนั้นออกจะฟังไพเราะมากกว่าชื่อจริงเสียอีก ผมชื่อวิแต่ถ้าคุณสะดวกใจจะเรียกมืดผมก็ไม่ขัดข้องนะเพราะทุกวันนี้พ่อกับแม่ก็เรียกผมว่ามืด

ผมไม่ได้จะมาเล่าปมเรื่องชื่อของผมให้ฟังหรอก แค่อยากเกริ่นให้คุณฟังเพราะหากผมแนะนำตัวว่าชื่ออะไรคุณจะถามผมว่าทำไมชื่อนี้ จะกลายเป็นว่าบทสนทนาระหว่างเราจะหดสั้นลงเหลือเพียงสวัสดีและลาก่อน

คืออย่างนี้ ผมอยากเล่าให้คุณฟังเพิ่มอีกนิด ไม่เกี่ยวกับเรื่องชื่อนะ ผมอยากเป็นนักเขียนมาก เป็นความฝันอันเดียวที่แน่วแน่มากของผม แต่คุณเชื่อไหมว่าหลังจากผมรู้ตัวว่าฝันอยากเป็นอะไรจนถึงตอนนี้ ผมยังไม่เคยเขียนอะไรสักอย่าง สมมติถ้าคุณอยากเป็นหมอ เป็นวิศวกรคุณก็ต้องเรียนสายวิชานั้น อ่านหนังสือมากๆหรือขนาดที่ว่าเข้าโรงเรียนกวดวิชาเพื่อเตรียมตัวเลยทีเดียว แต่ผมยังไม่ได้เริ่มอะไรเลย อ่อ มีอยู่อย่างที่ผมลงมือทำ ผมชอบอ่านหนังสืออ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า อ่านแม้กระทั้งป้ายรณรงค์ไร้สาระตามป้ายรถเมล์คุณเชื่อเรื่องที่ใครมาอ่านเจอป้ายรณรงค์เลิกสูบบุหรี่ตามป้ายรถเมล์แล้วกลับไปเลิกสูบได้ไหมผมคนนึงละที่ไม่เชื่อ ลูกเมียบอกให้เลิกแทบตายไม่เคยเลิก นี่ใครก็ไม่รู้ รู้จักหรือก็เปล่ามาเขียนยุให้เลิกสูบบุหรี่ดันจะไปเชื่อ ขอโทษที ผมพาคุณนอกเรื่องอีกแล้วเอาใหม่ผมเริ่มเล่าใหม่

ผมอยากเป็นนักเขียนมากมันเป็นความแน่วแน่อย่างเดียวในชีวิตที่ผมรู้สึกได้ แต่ผมก็ไม่เคยลงมือสักที เอาแต่หมกมุ่นอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลัง จนบางทีก็รู้สึกไม่อยากเขียนขึ้นมาเสียอย่างนั้น อยากอ่านมากกว่า อ่านไปเรื่อยๆ แต่ผมก็ไม่ได้นิ่งเฉยเสียทีเดียวผมทำตัวเลียนแบบนักเขียนนะ หลายอย่างเลย ผมชอบนั่งตามร้านกาแฟ มองผู้คนในมุมมองที่แปลกประหลาด ชอบดื่มเบียร์เวลาอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอนคนเดียว บางทีก็ซื้อไวน์มาดื่ม แต่ก็เป็นไวน์ราคาถูกน่ะนะ ผมทำเพราะเคยได้อ่านประวัตินักเขียนหลายคนเขาทำกันแบบนี้ อีกอย่าง ผมหัดสูบบุหรี่ด้วย นักเขียนที่ผมชอบส่วนใหญ่สูบบุหรี่ผมเลยสูบตาม แต่ก็ไม่ได้เก่งหรอกแค่สูดเข้าปล่อยออกเท่านั้นเอง คุณรู้ไหมว่าที่ผมทำมาทั้งหมดไม่ได้ช่วยให้ผมเขียนอะไรได้เลย ไม่มีอะไรปลดปล่อยออกมาจากภายในเหมือนที่นักเขียนชอบพูด พรั่งพรู คำนี้เลย แต่แปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลว่าเวลาผ่านมานานหลายปีผมยังเขียนอะไรไม่ได้ทั้งที่อยากเป็นนักเขียนก็ผมมัวแต่อ่านหนังสือไงละ คุณเข้าใจผมนะ อ่านจนไม่มีเวลาคิดอะไร

บางครั้งผมคิดว่าผมรู้นะว่าทำไมเขียนอะไรไม่ได้เพราะผมไม่รู้จะเขียนอะไรน่ะสิ มันต้องมีพลอตเรื่อง มีเส้นเรื่องอะไรแบบนั้น ซึ่งผมไม่เคยมีอยู่ในหัวเลย ทั้งที่ผมอ่านหนังสือมาไม่รู้กี่ร้อยเล่ม บางทีผมก็กลัวว่าเขียนไปแล้วจะไปซ้ำกับที่นักเขียนเคยเขียนไว้แล้ว ผมรู้ ผมรู้ คุณจะบอกว่ามันเป็นข้ออ้างใช่ไหมละ ใช่ๆ ผมยอมรับกับคุณก็ได้ มันเป็นข้ออ้างแต่ผมให้คำยืนยันกับคุณได้เลยนะว่าผมอยากเป็นนักเขียนจริงๆ

คุณรู้ไหม ด้วยชื่อประหลาดของผมนั้นมันนำพาความแปลกประหลาดมาสู่ผมด้วย ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นเพราะชื่อหรอกเพียงแต่เรื่องประหลาดมันจะเกิดขึ้นยามวิกาลที่ผู้คนทั่วไปเขาหลับสนิท ผมมาสังเกตจริงจังก็เมื่อเรื่องราวเกิดเวลาเดิมซ้ำๆ นี่ก็ครบเดือนแล้วที่เรื่องประหลาดเกิดขึ้นยามวิกาล ต้องบอกก่อนว่าผมเกิดวันอาทิตย์ตีสาม เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นมักจะเกิดขึ้นเวลานั้นของวันอาทิตย์เอาละถึงเรื่องที่ผมอยากจะเล่าจริงๆ แล้ว

คืนแรกที่ผมได้ประสบกับเรื่องแปลกประหลาดเป็นคืนวันอาทิตย์ต้นเดือน ผมเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำเพราะดื่มเบียร์ไปมากเอาการผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนตีสาม ที่รู้เวลาเพราะผมไม่เคยสะดุ้งตื่นกลางดึกมาก่อน เลยคว้านาฬิกาดิจิตอลที่หัวเตียงมาดู พอผมตื่นแล้วก็ไม่สามารถหลับได้อีก นอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียง ประตูกระจกเลื่อนที่ระเบียงแง้มเปิดอยู่ ลมด้านนอกพัดผ้าม่านในห้องปลิวสะบัด ผมแปลกใจมากเพราะไม่ชอบเปิดประตูที่ระเบียงทิ้งไว้เวลานอน ผมนอนมองผ้าม่านสะบัดไหวในความมืด น่ากลัว ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ มันเหมือนฉากหนึ่งในหนังผี ราวกับมีใครพึ่งเปิดประตูแล้วก้าวออกไปนอกระเบียง ระหว่างที่ผมนอนมองไปที่ประตูกระจก มีอะไรบางอย่างคล้ายร่างหญิงสาวตกลงมาจากด้านบน มันรวดเร็วมากผมทันเห็นผมยาวสยายของเธอปลิวลู่ลม ด้วยความตกใจ ความกลัวของผมหายไปสิ้นผมเลิกผ้าห่มและถลันตัวไปที่ระเบียงมองลงไปด้านล่าง ว่างเปล่า ลานปูนด้านล่างมีเพียงรถเก๋งจอดอยู่สองสามคันผมขยี้ตาตัวเองคิดว่าตัวเองตาฝาดไปที่เห็นอะไรลอยหล่นลงมา ความกลัวกลับมากุมหัวใจผมอีกครั้ง ผมถลันตัวเร็วกว่าตอนลุกขึ้นมา มุดหายจมไปใต้ผ้าห่มนวมหนาหนัก คุณเชื่อที่ผมเล่าไหม ผมจะโกหกคุณไปเพื่ออะไรใช่ไหมละ นี่เป็นคืนแรกที่ผมเจอนะ หลังจากคืนนั้นเรื่องหญิงสาวหล่นมาจากชั้นบนก็วนเวียนอยู่หัวผมตลอดเวลาแต่ก็ไม่ได้เจอเหตุการณ์อะไรอีก หลับลึกสนิททุกคืน

คืนวันอาทิตย์ที่สองของเดือน ผมนอนดึกมากเพราะมีหนังสือที่อ่านค้างไว้อยากอ่านให้จบแล้วก็หลับไปไม่รู้ตัว เหมือนเดิม ผมสะดุ้งตื่นตอนตีสาม ผมหยิบนาฬิกามาดูราวกับอาการเดจาวู ผมมองไปที่ประตูกระจกเลื่อน มันเปิดอยู่ ผ้าม่านในห้องปลิวล้อลมผมดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงคอ หนังสือหล่นลงพื้น ผมจ้องมองไปที่ด้านนอกของระเบียง จดจ่อรอว่าจะมีสิ่งใดหล่นลงมาอีกหรือเปล่า ห้องเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบาของตัวเอง พรึ่บ !! เสียงคล้ายวัตถุบางอย่างลู่ลมมันผ่านระเบียงห้องผมไปแบบเดิม คุณคิดว่าผมจะกล้าวิ่งไปดูอีกไหม ไปสิ ผมถลันตัวไปที่ระเบียง คิดเพียงว่าถ้ามีใครตกลงไปจริงๆ อาจจะพอช่วยอะไรได้บ้างเพราะตึกสูงแค่สี่ชั้นถ้าโชคดีอาจไม่ถึงกับเสียชีวิต ผมชะโงกหน้าจากระเบียงมองลงไปที่ลานปูน หัวใจผมแทบจะหยุดเต้น หญิงสาวผมยาวนอนจมกองเลือดที่ค่อยๆ ซึมออกจากแผลเธอสวมชุดนอนคล้ายชุดเดรสยาวสีขาวเปรอะเลือดแดงสดเต็มไปหมด ผมไม่คิดอะไรเลยตั้งสติแล้ววิ่งออกจากห้องเพื่อลงไปด้านล่าง ผมไม่ยืนรอลิฟท์ วิ่งลงบันไดทันที ผมเหนื่อยหอบเหงื่อออกเต็มตัวไปหมด เมื่อมาถึงชั้นล่างผมวิ่งไปที่ประตูกระจกลุงยามนั่งอยู่หน้าตึกตกใจที่ผมวิ่งกระหืดกระหอบออกมาแต่ผมกลับตกใจมากกว่าจนเกือบจะสิ้นสติ ลานปูนด้านหน้าตึกว่างเปล่า ไม่มีหญิงสาว ไม่มีกองเลือด ไม่มีวัตถุใดๆ เลย ผมเป็นลมล้มลงที่ลานปูน รู้สึกตัวอีกทีตอนเช้า นอนอยู่บนเตียงในห้องเหมือนเดิมลุงยามคงช่วยอุ้มผมขึ้นมา

นี่แค่สองคืนแรกเองนะคุณคิดดูว่าอีกสองครั้งที่เหลือมันจะสาหัสสำหรับผมขนาดไหน เหตุการณ์ครั้งที่สองมันหลอนผมมาก ผมไม่กล้าไปยืนที่ระเบียงอีก ปกติผมจะชอบไปยืนสูบบุหรี่ตรงนั้น หรือไม่บางครั้งผมก็ออกไปนั่งอ่านหนังสือจิบเบียร์ที่ระเบียง ตั้งแต่คืนนั้นประตูระเบียงถูกปิดตาย ผมไม่กล้าเปิดประตูกระจกเลื่อนอีก ชีวิตผมเคลื่อนไปตามวงจรแห่งความหวาดกลัว ผมนอนหลับไม่เต็มตาหวาดระแวงว่าตัวเองจะตื่นขึ้นมากลางดึกอีก คืนแล้วคืนเล่าผ่านไปเหตุการณ์ยังปกติใช่ว่าผมจะเบาใจนะ ไม่เลย ผมเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เข้ามารบกวนชีวิต ผมคิดว่าผมเห็นหญิงสาวในชุดเดรสยาวสีขาวเดินตาม คุณคงคิดว่าผมกลัวมากจนระแวงใช่ไหม ไม่เลย ผมรู้สึกแบบนั้นจริง ระหว่างที่ผมเดินออกจากลิฟท์เข้าห้อง ผมได้ยินเหมือนคนเดินตาม ทั้งที่ผมเดินอยู่คนเดียว เมื่อผมหันหลังไปมองก็เห็นชายกระโปรงสีขาวพลิ้วหายลับสุดทางเดินอีกฝั่ง ผมเจอแบบนี้สองสามครั้งช่วงหัวค่ำหลังเลิกงาน มันเลยยิ่งทวีความกลัวของผมให้มากขึ้นไปอีก แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นกลางดึก จนกระทั่งอาทิตย์ก่อน

ผมฝันว่าผมสะดุ้งตื่นตอนตีสาม ผมมองไปที่ประตูกระจกเลื่อนเป็นที่แรกมันยังคงปิดอยู่ ผมมองผ่านกระจกออกไปที่ระเบียงด้านนอก ระเบียงว่างเปล่า แต่เมื่อสายตาปรับคุ้นกับความมืดแล้ว ผมก็มองเห็นเธอ ความหวาดกลัวที่สงบนิ่งอยู่ภายในพร้อมใจกันลุกหือขึ้นหญิงสาวยืนหันหลังให้ มือขวาจับที่ราวกั้นระเบียง พริบตาเดียว เธอกระโดดลงจากระเบียงห้องของผมลงไปยังพื้นด้านล่าง ผมร้องเสียงหลง แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้น ผมไม่กล้าหยิบนาฬิกาหัวเตียงมาดูเวลา ไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่ประตูกระจกเลื่อน ความฝันเมื่อสักครู่มันสมจริงเกินไป ผมดึงผ้าห่มขึ้นคลุมทั้งตัวจมหายไปในที่นอนใต้ผ้านวมข่มตาหลับจนถึงเช้า

คุณว่าเรื่องประหลาดของผมเป็นไงบ้างจะว่าประหลาดมันก็จริงอยู่นะ เพราะมันเกิดทุกตีสามของวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันเกิดยามวิกาลของผม แต่ถ้าเรียกว่าเรื่องสยองขวัญสั่นประสาทน่าจะเหมาะกว่า คุณอยากรู้ใช่ไหมละว่าผมยังนอนที่ห้องนั้นต่อหรือเปล่า ไม่ ผมบอกคุณได้เลย แต่ผมยังไม่ได้ย้ายออกหรอก เช้าวันรุ่งขึ้นลุงโทรศัพท์หาผมให้ไปนอนเฝ้าที่บ้านลุงแกจะไปต่างจังหวัดหลายวัน ผมเลยถือโอกาสเปลี่ยนบรรยากาศเผื่อจะได้ลืมเรื่องสยองขวัญเหล่านั้นได้บ้าง หลังจากนอนไปได้สองสามคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างปกติดีรวมไปถึงอาการหวาดระแวงว่ามีใครตามด้วย คืนสุดท้ายก่อนลุงจะกลับเป็นคืนวันเสาร์ ผมลืมไปว่าเหตุการณ์ทั้งสามครั้งก่อนหน้ามันจะเกิดหลังจากเที่ยงคืนวันเสาร์ผ่านไป ซึ่งก็คือเวลาตีสามของเช้าวันอาทิตย์ ผมจึงเข้านอนด้วยความผ่อนคลายอ่านหนังสือเล่มรวมเรื่องสั้นเล่มบางจบไปหนึ่งเล่มเข้านอนประมาณสี่ทุ่มและหลับไปอย่างรวดเร็ว

ผมตื่นขึ้นกลางดึกแต่คราวนี้ผมไม่ได้สะดุ้งตื่นเหมือนครั้งก่อน ผมตื่นเพราะรู้สึกหนาวมันหนาวขึ้นเรื่อยๆ ผมตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศเอาไว้ 25 องศาก่อนนอน ซึ่งไม่ก็ไม่ควรจะหนาวขนาดนี้ เมื่อผมตื่นขึ้นมาจึงได้รู้ว่าที่หนาวเป็นเพราะผ้าห่มไปกองอยู่ที่ปลายเท้า ราวกับมีใครมาเลิกผ้าห่มผมออก ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียง รู้สึกกระหายน้ำ จู่ๆ ผมก็ได้กลิ่นบางอย่างจางๆมันไม่ใช่กลิ่นเหม็นแต่ก็ไม่ได้หอม กลิ่นเริ่มแรงขึ้นฉุนขึ้นจนผมรู้สึกได้ว่ามันคือกลิ่นคาวบางอย่าง คล้ายกลิ่นคาวของเลือดกลิ่นเริ่มฉุนมากขึ้นจนผมต้องเอามือปิดจมูก ผมลงจากเตียงเพื่อจะไปเปิดไฟและหยิบน้ำมาดื่ม ทันใดนั้นเอง เมื่อเท้าผมแตะพื้นห้อง ฝ่าเท้าของผมเหยียบลงบนของเหลวบางอย่างคล้ายน้ำเจิ่งนองเต็มพื้น ผมเขย่งเท้าเดินจากเตียงไปที่ประตูเพื่อเปิดไฟในห้อง น้ำเจิ่งนองไปทั่วพื้นห้อง ผมรู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่น้ำเปล่า มันมีความหนาแน่นของผิวสัมผัส มันคล้ายเลือด ความกลัวที่แฝงเร้นอยู่ทั่วพื้นที่ภายในผมถูกปลุกขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้มันแจ่มชัดมาก ผมพยายามไปให้ถึงประตู หลอดไฟกลางห้องกระพริบ ติดดับติดดับ จังหวะที่ไฟสว่างอาบความมืดในห้อง ผมแทบจะล้มลงตรงนั้นหญิงสาวคนเดิมในชุดเดรสยาวสีขาวนั่งอยู่ที่ปลายเตียง ผมสยายยาวของเธอตกลงมาปรกหน้า เดรสสีขาวของเธอชุ่มเลือดแดงสด ธารน้ำสีแดงไหลเอื่อยลงมาตาขาเรียวขาวของเธอไหลลงสู่พื้นห้องนอน และผมก็ได้เห็นกับตาว่าที่เจิ่งนองที่พื้นนั้นก็คือหย่อมเลือดขนาดใหญ่ที่หลั่งไหลออกมาจากตัวเธอ ผมก้าวขาขยับไปไหนไม่ได้ ยืนนิ่งอยู่แบบนั้น กรีดร้องสุดเสียง กรีดร้องด้วยเสียงที่อ่อนแอที่สุดในชีวิต ก่อนที่ผมจะสิ้นสติล้มลงผมได้ยินเสียงลุงตะโกนเรียกชื่อและวิ่งมาตามทางเดินหน้าห้องและวงจรในร่างกายผมก็ถูกสับคัตเอาท์

ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดว่าผมเล่าให้คุณฟังได้ขนาดนี้ก็น่าจะเขียนเป็นเรื่องสั้นสักเรื่องได้ใช่ไหมละ ผมพยายามแล้ว พอจับปากกาจรดบนกระดาษขาว ไม่มีสิ่งใดหลุดเล็ดลอดออกมาค้างนิ่งอยู่แบบนั้น เรื่องราวในหัวชะงักงัน ไม่มีความหวาดกลัวใดปรากฏขึ้น ไม่มีเลย แต่เมื่อปล่อยปากกา เรื่องราวพรั่งพรูเหมือนน้ำเอ่อล้นภาชนะ ความสยองขวัญจากเหตุการณ์ผุดขึ้นชัดเจน เหมือนนั่งดูภาพยนต์ที่เป็นเรื่องราวของตัวเอง ผมยังจำภาพหญิงสาวคนนั้นได้ชัดเจน ไม่รู้ว่าเธอต้องการสิ่งใดกันแน่ เธอไม่เคยบอกไม่เคยพูด ผมลองจับปากกาขยับแผ่นกระดาษขาวอีกครั้ง เผื่อจะมีสิ่งใดหลั่งไหลออกมา เหมือนเดิม ว่างเปล่า ผมจึงบอกกับตัวเองว่าเพราะมันเป็นเรื่องจริงไงล่ะ มันถึงไม่สามารถเขียนออกมาให้เป็นเรื่องสั้นหรือนิยายได้ มันคือเรื่องจริงผมสัมผัสกับมันจริง เหตุยามวิกาลที่น่าสะพรึงกลัวของชีวิตผม

ออด ออด ออดเสียงกริ่งสัญญาณดังขึ้น

เสียงนั่นอีกแล้ว ถ้ามีใครมาเคาะประตูอย่าเปิดให้มันนะ ผมเกลียดมัน ไอ้พวกเจ้าหน้าที่สอพลอ หน้าไหว้หลังหลอก ทำเป็นห่วงใย ที่แท้ก็เอายาพิษมาให้ผมกิน นั่นไง คุณได้ยินไหมมันเดินกันมาแล้ว ผมจำเสียงฝีเท้ามันได้ คุณอย่าเปิดประตูเชียวนะไม่ว่าจะเป็นตายยังไงก็ห้ามเปิดเข้าใจผมนะ ผมเล่าเรื่องให้คุณฟังจบแล้ว คุณเป็นนักเขียนใช่ไหม เขียนเรื่องนี้ให้ผมหน่อยสิ นะนะ ถือว่าผมขอร้องแล้วกัน คุณจะเสริมจะแต่งจะบรรยายอะไรเพิ่มก็ได้ ผมไม่ขัดข้อง แต่เมื่อเขียนเสร็จแล้วคุณต้องเขียนชื่อเรื่องให้มันว่า “ราตรี”นะ ได้โปรด ก๊อกๆก๊อกๆ มันมากันแล้ว คุณอย่าเปิดประตูให้พวกมันนะถ้ามันร้องถามคุณก็บอกมันไปว่าผมหลับหรือออกไปข้างนอกก็ได้

คุณวิกาลได้เวลาทานยาแล้วครับ ไหนดูสิวันนี้เขียนอะไรบ้าง เขียนได้เยอะหรือเปล่า ไหนๆ ขอผมดูหน่อยแล้วเมื่อกี้นั่งคุยกับใครเหรอครับ ท่าทางคุยกันออกรสเชียว วันนี้เล่าเรื่องอะไรให้เพื่อนฟัง อย่าบอกนะว่าเล่าเรื่องผีผู้หญิงนั่นอีกแล้ว ทานยาดีกว่าครับ ถึงเวลาแล้ว นี่น้ำครับ อย่าดื้อแบบนี้สิครับ ถ้าไม่ทานยาแล้วเมื่อไหร่คุณจะหายกันละครับ ได้ๆ ได้เลยครับ ไม่อยากทานยาใช่ไหม งั้นเดี๋ยวผมออกไปแจ้งคุณหมอให้เตรียมแผ่นโลหะไว้แปะหน้าอกคุณแล้วก็เตรียมไฟฟ้าไว้รอคุณด้านนอก ท่าทางคุณจะติดใจอุปกรณ์ของเรา แต่ก็น่าอยู่หรอกเวลาคุณเด้งขึ้นตอนถูกช็อตคุณมีท่วงท่าสวยงามเชียวละ เอ้า ว่ายังไง จะกินหรือไม่กิน ถ้าไม่ จะได้ออกไปเตรียมอุปกรณ์ สงสัยจะมีท่าเด้งใหม่ๆ มาโชว์ อ่า ดีมากครับ ยอมทานยาแล้วนะ เอานี่อีกเม็ดครับ เป็นเด็กดีนะครับจะได้หายเร็วๆแล้วก็ได้กลับบ้าน

วิกาลหลับไปอีกครั้ง เหมือนเช่นทุกครั้งที่กินยา ไม่มีการรักษาใดๆ ในสถานที่แห่งนี้ เป็นเพียงที่คุมขังที่แสนทรมาน จิตวิญญาณของผู้ป่วยหลุดลอยนับแต่วันที่จะก้าวเท้าเข้าสู่สถานที่นี้ และไม่มีวันได้ก้าวเท้ากลับออกไปอีก ไม่แม้กระทั่งร่างไร้วิญญาณ บุรุษพยาบาลหยิบกระดาษที่วิกาลเขียนขึ้นอ่านเขาเขียนถึงหญิงสาวชื่อราตรีอีกแล้วนับตั้งแต่เข้ามาในนี้วิกาลร้องขอแต่กระดาษเปล่าและปากกา ทุกครั้งเขาจะเขียนเรื่องราวของหญิงสาวชื่อราตรี แต่เขียนถึงในแบบที่น่าสะพรึงกลัว ความทรงจำของวิกาลถูกเรียกคืนกลับหายไปในอดีตอันไกลโพ้นอดีตที่เขากระทำต่อราตรีเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน บุรุษพยาบาลขยำกระดาษทิ้งไว้ในห้องและเดินออกจากห้องปิดประตูใส่กุญแจ เสียงกริ่งสัญญาณชั้นสองดังขึ้นอีกสามครั้ง ได้เวลาให้ยาของชั้นที่สองแล้ว.





Create Date : 16 กรกฎาคม 2556
Last Update : 8 ตุลาคม 2556 15:10:39 น. 2 comments
Counter : 1028 Pageviews.

 
ความทรงจำของวิกาลถูกเรียกคืนกลับหายไปในอดีตอันไกลโพ้นอดีตที่เขากระทำต่อราตรีเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน

เหมือนมีบางเรื่องยังไม่ได้เล่าหรือเปล่า?



แต่ชอบเรื่องนี้นะ สยองดี เหอๆ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 17 กรกฎาคม 2556 เวลา:8:39:51 น.  

 
ใช่ครับพี่สาวไกด์ / อาจจะเป็นภาคต่อที่เล่าโดยราตรี


โดย: i.am.Victor วันที่: 17 กรกฎาคม 2556 เวลา:12:13:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

i.am.Victor
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]





รักเร้นเร้นลับโลกคู่ขนาน
บันทึกแห่งนกไขลานหวามหวั่นไหว
แกะรอยหาแกะดาวคืนฝนปราย
ด้วยรักใจสลายแดนสนธยา




#สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามมิให้นำไปเผยแพร่และอ้างอิง ไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของบทความภายในบล็อคนี้
โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้เขียน#




"Pain is inevitable, Suffering is optional"
Haruki Murakami
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
16 กรกฏาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add i.am.Victor's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.