Blogger Reader Writer Runner
คนแปลกหน้า - Nowhere Man


1.

คุณรู้สึกแปลกหน้าเมื่อกลับสู่บ้านเกิดตัวเอง ผู้คนต่างลืมเลือนใบหน้าของคุณไปแล้ว คุณจากที่นั่นมานานเกินไป นานเกินกว่าจะหลงเหลือผู้คนที่จดจำคุณได้ รอยยิ้มที่เคยได้รับแต่เยาว์วัยถูกกลืนหาย คุณรู้สึกแปลกแยกเมื่อดุ่มเดินลำพัง หากเมื่อคุณย้อนกลับสู่ที่พำนักปัจจุบัน คุณก็ไม่อาจเป็นส่วนหนึ่งของเมืองนั้น เป็นเพียงติ่งเนื้อแปลกแยก

บางสิ่งบางอย่างดลใจให้คุณหวนคืนกลับอีกครั้ง คุณจับรถไฟเที่ยวเช้าตรูจากหัวลำโพงทันทีที่ความรู้สึกนั้นผุดโผล่ขึ้นมา ปัจจุบันทันด่วน เสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงยีนส์เข่าขาดถูกยัดลงเป้สะพายหลัง คุณเหม่อมองไกลออกไปนอกหน้าต่างจากตู้โดยสารชั้นประหยัด สายลมร้อนปะทะใบหน้ากลิ่นบางกลิ่นโชยผ่านจมูก ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกแน่ชัดให้คุณเดินทางกลับไป ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้ค้นหาอีกแล้วที่นั่น คุณนำมันออกมา ถอนรากโคนจนหมดสิ้น ความหมายของที่นั่นหมดสิ้นต่อคุณไปแล้ว

สิบปีก่อนหน้า คุณจากมาด้วยวัยยี่สิบต้น กระเป๋าเดินทางใบย่อมบรรจุเสื้อผ้าสามสี่ชุดกับหนังสือเล่มนั้นที่คุณพกติดตัวเสมอ ปกบางยับย่นจากการจับที่ไร้การถนุถนอมนัยว่าอ่านซ้ำมิรู้รอบจบ บางคราวคุณอ่านมันย้อนกลับจากจุดจบสู่จุดเริ่ม บางคราวคุณเปิดมันออกอ่านจากกลางเล่มตรงหน้าที่มีรูปถ่ายใบนั้นคั่นอยู่ รูปถ่ายซีดสี เด็กสาวในรูปแย้มยิ้มใสซื่อสวมใส่ชุดกระโปรงบานสีแดงยืนขวยเขินอยู่ข้างม้านั่งหินอ่อน เบื้องหลังรูปถ่ายมีตัวหนังสือเขียนด้วยปากกาลูกลื่นเป็นลายมือของเด็กหญิง “อย่าลืมกันนะ” คงเขียนให้ไว้ก่อนจากกันไปไหนสักแห่งด้วยความหมายโดยนัยแห่งมิตรภาพของเพื่อน หากแต่ในภายหลังความหมายตามอักษรเดิมกลับบิดรูปคดงอกลายเป็นถ้อยคำร้องขอเพื่อมิให้ถูกหลงลืม

ก่อนออกเดินทางในคราวนั้น เจ็ดวันก่อนหน้า กลางดึกคืนร้อนอบอ้าว คุณนอนอยู่ภายในห้องง่วงงุนเพ้อฝันมือไม้ป่ายปะ ด้วยฤทธิ์ยาเม็ดเล็กที่เพื่อนคุณนำมาให้ลอง หูฟังตะโกนเพลงเฮฟวี่เมททัลที่คุณเลือนชื่อไปสิ้น นอนดิ้นบิดเร่าไปมาอยู่ลำพังบนเตียง ตัดขาดความวุ่นวายจากโลกภายนอก เปลวไฟส้มเข้มสลับฟ้าลามเลียห้องพระบนชั้นสอง จากโต๊ะหมู่บูชา จากเทียนเล่มเล็กที่แม่คุณจุดลืมทิ้งไว้ แปรสภาพเป็นเพลิงใหญ่โหมลุกเซาะกินผนังและตู้ไม้ แลบลิ้นโลมเลียพื้นกระดาน ก่อนขยายช่องปากกลืนกินชีวิตของพ่อและแม่คุณ รวดเร็วไร้การขยับร่างเหลือเพียงคุณ ที่หลับใหลดำดิ่งไปพร้อมกับเสียงเพลงเฮฟวี่เมททัลสิ้นสุด และยาเม็ดเล็กนั่นสิ้นฤทธิ์ คุณรู้สึกตัวอีกทีที่บ้านญาติไม่ไกลจากเศษซากตอตะโกของบ้านคุณนักข้างตัวมีกระเป๋าเดินทางใบย่อมยัดเสื้อผ้าของคุณจนเต็มล้น และหนังสือเล่มนั้นเล่มที่มีรูปถ่ายซีดสีคั่นกลางวางแปะอยู่บนกองเสื้อผ้าเหม็นควัน

คุณถูกมองด้วยสายตาแปลกแยกจากผู้คนรอบข้างตั้งแต่คืนแรกของงานศพ คุณยังไม่รู้ในตอนนั้นว่าเหตุใดสายตาทิ่มแทงมากหลายเล็งศูนย์มาที่คุณ หากแต่คุณเริ่มกระถดตัวถอยเข้าสู่โลกของตัวเอง ตัวเล็กลีบจนที่สุดสลายร่างกลายเป็นเช่นเงามืดลอยล่อง และคืนสุดท้าย คุณก็สาบสูญจากที่นั่นโดยสิ้นเชิง ทิ้งคำสบประมาทด่าทอไว้เบื้องหลังเมื่อสุดท้ายผู้คนที่ก่นด่าก็จะพากันลืมเลือนชื่อคุณ เรียกคืนรอยยิ้มเอ็นดูที่เคยมอบให้คุณจนสิ้น

คุณไม่ได้จากมาด้วยความพ่ายแพ้สิ้นท่า คุณปลอบตัวเองเยี่ยงนั้น มันเป็นเช่นอุบัติเหตุสามัญดาษดื่นที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน เพียงแต่คุณดำดิ่งอยู่ในรสแห่งการเสพยา คำประนามหยามเหยียดหลายแหล่จึงท่วมทับกดหัว ผ่านสายตาแปลกแปร่งที่เพ่งมอง ไม่มีสิ่งใดต้องพิสูจน์ที่นั่น ไม่มีผู้ใดที่คุณต้องยอมค้อมก้มหัว คุณจึงเลือกจากมา สลัดคราบไคลที่เคยก่อตัวเป็นรูปร่างคุณ ลอกผิวหนังห่มคลุมและส่วนที่เป็นใบหน้าคุณ โยนทิ้งไว้ที่ซากปรักไม่ไหม้ไฟบนพื้นที่ซึ่งเคยเป็นของคุณ ไปสู่สถานที่แห่งใหม่ที่ใครๆ พากันรู้จักคุณในร่างใหม่ ใบหน้าใหม่หากแต่คุณก็มิอาจเป็นส่วนหนึ่งในสถานที่แห่งใหม่ คุณเป็นเพียงผู้มาเยือน อยู่ได้เพียงฐานะนั้น

2.

โรงแรมเก่าแห่งนั้นยังอยู่ คุณเข้าพักที่นั่น แต่ก่อนหน้านั้นคุณไม่เคยแม้แต่จะเฉียดใกล้ คุณแจ้งพนักงานสาวที่เคาน์เตอร์ว่าจะพักที่นี่สองคืน พนักงานชายอีกคนเดินนำคุณไปที่ห้องกระชับกระเป๋าเดินทางของคุณในมือ กระเป๋าเดินทางใบเดิมกับเมื่อสิบปีก่อนที่พาคุณละทิ้งจากเมืองนี้ ห้องพักของคุณอยู่ชั้นสาม หน้าต่างห้องพักเปิดออกสู่ถนนใหญ่หน้าโรงแรม คุณนั่งลงที่เก้าอี้ข้างหน้าต่างพ่นควันบุหรี่เนิ่นนานมองลงไปยังพื้นถนนเกรียมแดดด้านล่าง ผู้คนบางตาต่างสลับเดิน คุณนั่งเหม่อจ้องอยู่อย่างนั้นเฝ้ารอบางสิ่งที่ดลใจให้คุณเดินทางย้อนกลับผุดโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง คุณหยิบหนังสือเล่มนั้นออกจากกระเป๋า เปิดกลางเล่มหยิบรูปถ่ายซีดสีถือไว้ในมือ คุณลืมเลือนชื่อกำกับของเธอไปแล้ว ที่จริงคุณจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเด็กสาวในรูปถ่ายเป็นใคร สิบปีล่วงความสาวสะพรั่งคงเข้าครอบครองแทนร่างเด็ก คุณไม่อาจจะจดจำใบหน้านั้นหากว่าบังเอิญพบเจอบนถนนด้านล่าง แต่คุณก็ยังเก็บรูปถ่ายนี้เอาไว้ ไร้เหตุผลรองรับ คุณสอดเก็บรูปถ่ายกลับที่เดิมทิ้งตัวลงนอนบนเตียง พัดลมบนเพดานหมุนวนเอื่อยเฉื่อย ที่ผนังปลายเตียงมีรูปถ่ายใส่กรอบแปะติด รูปถ่ายขาวดำของเมืองแห่งนี้ในสมัยก่อน น่าจะร่วมสิบปีช่วงเวลาเดียวกับที่คุณจากมา ถนนเส้นหลักบ้านเรือนผู้คนยังบางตาทอดยาวสุดกรอบรูป สีขาวดำของภาพทำให้มองแล้วรู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยวอย่างประหลาด คุณเดินผ่านถนนเส้นนี้นับไม่ถ้วนครั้งในวัยเด็ก หากแต่ตอนนี้ความคุ้นชินถูกกลืนหายไปสิ้น แล้วคุณก็หลับไป ท่ามกลางอากาศอบอ้าว

คุณเดินอยู่บนถนนเส้นนั้นลำพัง ถนนเส้นเดียวกับในรูปถ่ายติดผนัง สองข้างทางเป็นบ้านไม้สองชั้น บ้านแบบเดิมก่อนที่คุณจะจากมา คุณเดินเรื่อยไปตามถนนจนมาถึงสนามเด็กเล่น ชิงช้าตัวเก่าขึ้นสนิม ไม้กระดกถลอกสี กลุ่มเด็กวิ่งเล่นไปมาอยู่ในสนามหญ้า แล้วคุณก็เห็นเด็กชายคนนั้น เด็กชายที่ใช้ใบหน้าในวัยเด็กของคุณ เด็กชายยืนคุยกับเด็กสาวอีกคน ความเศร้าปกคลุมเด็กทั้งสอง คล้ายการกล่าวอำลากันและกัน เด็กสาวยื่นบางสิ่งให้กับเด็กชายน้ำตาใสบริสุทธิ์จากเด็กน้อยหลั่งไหลอาบแก้มชมพูเรื่อ แล้วเด็กสาวก็วิ่งจากไป คุณเร่งฝีก้าวเดินเข้าไปเพื่อจะพบว่าเด็กสาวจากไปแล้ว เหลือเพียงวัยเด็กของคุณยืนร่ำไห้ลำพังอย่างไม่อายเด็กอื่นรอบข้าง แล้วคุณก็สะดุ้งตื่นจากเสียงเคาะประตูและพบว่าปลอกหมอนชื้นด้วยน้ำตา

3.

เธอเป็นคนสติไม่ดี มักเดินไปมาอยู่แถวสนามเด็กเล่น บางครั้งหยุดยืนเหม่อจ้องไปที่กลางสนามหญ้ามองภาพบางภาพที่ปรากฎเฉพาะในมโนภาพของเธอ มันเป็นภาพของห้วงเวลาหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงนานมาแล้ว ยาวนานราวกับเกิดขึ้นเมื่อชาติก่อนของเธอ มีเพียงเธอที่ระลึกถึง เฝ้าระลึกถึง บางชิ้นส่วนจากห้วงเวลานั้นอยู่กับชายอีกคนที่เมื่อเวลาล่วงมาเขากลายเป็นชายแปลกหน้าสำหรับเธอ อันที่จริงต่างกลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน ทุกวันเมื่อพระอาทิตย์คล้อยผ่านกลางศรีษะ จะพบเธออยู่ที่นั่นไปจนย่ำเย็น เธออาศัยอยู่กับป้าซึ่งก็ยุ่งอยู่กับครอบครัวของตัวเองเกินกว่าจะสนใจเธอ ความใส่ใจที่มอบให้จึงมีเพียงข้าวสามมื้อและที่ซุกหัวนอน พ่อและแม่ของเธอจากไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนในอุบัติเหตุไฟไหม้ ที่จริงแล้วเธอควรจากไปพร้อมพ่อและแม่ หากเธอรอดมาได้เนื่องจากระหว่างทางกลับบ้านมีอุบัติเหตุเลวร้ายเกิดขึ้นกับเธอเช่นกัน เธอไม่ตาย แต่ต้องรับเอาแผลฉกรรจ์ที่ทิ้งรอยแผลเป็นน่าขยะแขยงไว้กับตัวเธอ แบกรับมันไปตราบชีวิตหาไม่ และนั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป ผู้คนรอบข้างกำกับชื่อเรียกเธอว่าคนสติไม่ดี หากแต่ใครจะรู้ว่าในคืนที่เปลวไฟเผาผลาญครอบครัว เปลวไฟอีกชนิดโลมเลียแผดเผาผิวกายเธอเช่นกัน

เธอมักสวมใส่ชุดกระโปรงสีสด ยืนเหม่อจ้องสนามเด็กเล่น สลับนั่งบนชิงช้าเก่าขึ้นสนิม แกว่งตัวเองไปมาช้าๆ ขึ้นและลง โบยบินสู่ท้องฟ้าและเหวี่ยงตัวลงมาสู่พื้นดิน รอบกายเธอฟุ้งด้วยกลิ่นเศร้า เจือด้วยความขมปร่าแห่งความโหยหาอดีต ชั่วยามแรกที่เธอเสียสติผู้คนรายล้อมแวะเวียนห่วงใยด้วยเอ็นดูของคนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ในที่สุด ความห่วงใยมากหลายถูกเรียกคืนราวกับสินค้าสิ้นอายุ แววตาของเธอเหม่อลอยคล้ายบ่อน้ำลึกไร้ก้น ยามคู่สนทนามอบถ้อยคำห่วงใย สิ่งเหล่านั้นคล้ายถูกกลืนหายไปในหลุมดำผ่านแววตาเหม่อลอยของเธอ และในที่สุดมีเธอเพียงลำพังเหม่อลอยอยู่ในโลกแห่งการรอคอย

4.

คุณถามเส้นทางภายในเมืองจากพนักงานสาวที่เคาน์เตอร์ราวกับนักท่องเที่ยว หญิงสาวบอกคุณถึงเส้นทาง เมืองนี้มีเพียงถนนหลักสายเดียว แหล่งชุมชน ตลาด ร้านขายของจิปะถะล้วนใช้ถนนสายนี้ร่วมกัน หญิงสาวบอกถึงบริเวณที่ตั้งตลาดและร้านอาหารโต้รุ่ง คุณถามทางไปสนามเด็กเล่น คล้ายๆ เป็นสนามหญ้าและมีเครื่องเล่นของเด็ก หญิงสาวส่ายหน้าไม่รู้จักสนามเด็กเล่นแบบนั้น หรืออาจจะเคยมีแต่ถูกพัฒนาเป็นที่พักอาศัยอื่นไปแล้ว คุณกล่าวขอบคุณแล้วเดินจากมา

สองฝากฝั่งถนนเปลี่ยนไปมาก ที่พักอาศัยถูกรื้อและสร้างใหม่ บ้านไม้สองชั้นถูกแทนด้วยอาคารคอนกรีตขาวซีด ร้านขายของโชว์ห่วยถูกแทนที่ด้วยร้านสะดวกซื้อติดเครื่องเปลี่ยนแปลงอากาศ หากแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ยังคงอยู่ไม่ได้ถูกแทนที่ด้วยคนรุ่นใหม่ คนรุ่นนั้นหากไม่ย้ายไปทำมาหากินที่อื่นก็ละทิ้งไปสู่เมืองที่เจริญกว่า คุณเดินผ่านตลาดและร้านขายของไล่สายตาไปตามผู้คนที่สวนทาง คุณรู้สึกแปลกแยกจากสายตาเหล่านั้น ไม่มีสายตาที่เป็นมิตรหลงเหลือ เป็นเพียงสายตาที่มองแล้วผ่านเลย คุณยังคงเดินเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมายตามเส้นทางบนถนนสายหลัก จู่ๆ คุณนึกถึงความฝันเมื่อช่วงเที่ยง คุณเริ่มมองหาทางแยกจากถนนหลัก ดุ่มเดินไปเรื่อยสับเปลี่ยนเลี้ยวเข้าซอยแยกจากถนนหลัก สำรวจหาบ้านเรือนสองฟากที่คลับคล้ายกับในฝันคุณเดินจนเกือบครบทุกซอกซอยแต่ไม่มีทางเส้นนั้นที่มันจะนำไปสู่สนามเด็กเล่น คุณเดินกลับสู่ถนนเส้นหลัก

แว่วเสียงเด็กร้องเพลงไม่เป็นทำนอง ไร้จังหวะ จับใจความได้เพียงเสียง “ล้า ลา ลา ล้า ลา ลา” วนซ้ำไปมา เป็นเสียงคล้ายเด็กผู้หญิง คุณส่ายสายตามองหาต้นเสียง เพ่งจ้องไปในผู้คนขวักไขว่ ไม่มีเด็กอยู่แถวนั้น คุณยังได้ยินเสียงร้องไร้ทำนองนั่นอยู่ ราวกับเด็กหญิงวิ่งวนร้องเพลงรอบตัวคุณ ไม่นานนักคุณพบว่าเสียงนั้นเริ่มลอยห่างไปข้างหน้า คุณออกวิ่ง เสียง “ล้า ลา ลา ล้า ลา ลา” อื้ออึงอยู่ในหู คุณเอื้อมมือคว้าจับเส้นเชือกในจินตนาการ สาวมือเพื่อไปให้ถึงต้นเสียงเสียงเพลงไร้ทำนองเริ่มชัดขึ้นใกล้ตัวคุณ และคุณพบว่าคุณเดินอยู่ในซอยที่ไม่คุ้นตา ที่ต้นซอยมีบ้านเรือนสองฟากฝั่งดุจเดียวกับรูปภาพติดผนังในห้องพักโรงแรม คุณนึกถึงสนามเด็กเล่นอีกครั้ง เมื่อถึงกลางซอยคุณพบว่ามันคือละแวกบ้านของคุณเมื่อสิบปีก่อน ที่ตั้งที่เคยเป็นบ้านคุณถูกล้อมด้วยสังกะสี เศษซากจากไฟไหม้ครั้งนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดขึ้นมาแทนที่ คุณลอดผ่านช่องสังกะสีที่เปิดอ้าเข้าไปยืนท่ามกลางเศษซากที่เคยเป็นบ้านของคุณ หากแต่คุณไม่รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของที่แห่งนี้อีกแล้ว คุณรู้สึกแปลกแยกจากที่นี่โดยสิ้นเชิง มีเพียงคราบไคลและผิวหนังที่ครั้งหนึ่งเคยห่อหุ้มตัวคุณ รวมถึงใบหน้าเดิมของคุณ กระจายเรี่ยราดอยู่ในซากปรักนั่น แล้วคุณก็ออกมาจากที่แห่งนั้นโดยไม่หยิบจับสิ่งใดติดมือ ปล่อยให้วันวานของคุณจมอยู่กับเถ้าถ่านแห่งอดีต

5.

เธออยู่ที่สนามเด็กเล่นเช่นเคย หากนี่จะเป็นวันสุดท้ายที่เธอจะเดินมาทักทายอดีตอันไกลโพ้น เสียงกระซิบแผ่วเบาบอกกับตัวเองแบบนั้น นี่จะเป็นวันสุดท้าย เธอเดินไปที่กลางสนามหญ้า หยุดยืนอยู่ที่นั่นเนิ่นนาน ยืนนิ่งราวกับไม่หายใจ ชิงช้าเก่าขึ้นสนิมไหวตามลมที่พัดกรรโชก ฝนใกล้ตกเต็มที ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ภาพเดิมปรากฎขึ้นในจิตใต้สำนึกของเธอ เด็กสาวยื่นรูปถ่ายใบเล็กให้กับเด็กชาย ในวันสุดท้ายก่อนที่เด็กสาวจะย้ายโรงเรียน เธอไม่รู้จะทำเช่นไรให้เด็กชายยังคงจดจำเธอได้ ทำได้เพียงเขียนตัวหนังสือโย้เย้ไว้หลังรูปถ่ายว่า อย่าลืมกันนะ เมื่อทั้งคู่เริ่มต้นร้องไห้ เด็กสาวก็วิ่งจากมา แล้วเธอก็วิ่งออกจากสนามเด็กเล่น เมฆที่ก่อนหน้านี้พึ่งตั้งเค้าเริ่มปลดปล่อยหยดน้ำเล็กๆ นับพันลงมาปะปนกับหยดน้ำที่ไหลจากดวงตา เธอออกวิ่งด้วยใจเหม่อลอย วิ่งตามเส้นทางเดิมที่เมื่อสิบปีก่อนเธอใช้กลับบ้าน รถกระบะขับมาด้วยความเร็วออกจากซอยเล็กโดยไม่ทันระวัง พุ่งเข้าชนเธออย่างแรง ล้มลง เลือดแดงสดหลั่งไหลละลายไปกับน้ำฝนที่นองพื้น ลมหายใจรวยรินปริ่มจะขาดใจ เธอล้มลงตรงที่เมื่อสิบปีก่อนเป็นบริเวณรกร้าง เป็นที่ที่เธอถูกชายฉกรรจ์ฉุดกระชาก เป็นที่ที่เธอถูกข่มขืนซ้ำแล้วซ้ำอีก  ชายคนนั้นช่วยเธอให้รอดจากไฟไหม้ หากแต่เกิดบาดแผลใหญ่ฝากแผลเป็นขยะแขยงบนตัวเธอ ลมหายใจเริ่มขาดช่วง ร่างเกร็งกระตุกไม่เป็นจังหวะ น้ำตาอาบสองแก้มของเธอหาใช่น้ำตาแห่งความเจ็บปวด หากเป็นน้ำตาแห่งความเศร้าโศกที่สุดท้ายเธอไม่มีวันจะได้พบเด็กชายคนนั้นอีก ลมหายใจห้วงสุดท้ายถูกระบายออกมาช้าๆ แผ่วเงียบ และขาดห้วงลง

6.

คุณออกเดินจากอดีตเมื่อสิบปีก่อน เดินลึกไปตามทาง เม็ดน้ำนับพันร่วงหล่นจากก้อนเมฆดำทะมึนช้าๆ คุณพบว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น คล้ายมีรถกระบะพุ่งชนหญิงสาว ฝูงชนรุมล้อมเหตุการณ์ คุณเดินผ่านและมองเข้าไปเห็นหญิงสาวนอนจมกองเลือด เธอสวมใส่ชุดกระโปรงบานสีแดง บางสิ่งบางอย่างกระตุกเกร็งในอก เบื้องหน้านั้นคุณมองเห็นสนามเด็กเล่น คุณผละจากที่นั่นวิ่งไปยังสนามเด็กเล่น มีชิงช้าเก่าขึ้นสนิม ไม้กระดกถลอกสี วางตัวอยู่บนสนามหญ้า แรงกระตุกในอกทวีคูณ ความทรงจำในวัยเยาว์ผุดขึ้นเป็นฉาก ภาพคุณในวัยเด็กยืนอยู่กับเด็กสาวอีกคน เด็กสาวคนนั้นยืนรูปถ่ายใบเล็กให้ แล้วทั้งคุณและเด็กสาวก็ร้องไห้ออกมา เด็กสาววิ่งจากไป คุณพบแล้วว่าสิ่งใดพาคุณให้ย้อนกลับมา หยาดฝนที่หลั่งไหลจากฟากฟ้าทำให้น้ำตานองหน้าของคุณถูกกลบเกลื่อน

คุณฝ่าสายฝนกลับไปที่โรงแรม คุณคิดถึงรูปถ่ายใบนั้น รูปถ่ายที่ติดตัวคุณไปทุกที แต่หลงลืมความสำคัญไปเสียสิ้น สูญเสียแม้กระทั่งชื่อกำกับของเธอ คุณมาถึงห้องพักบนชั้นสาม ห้องพักเปียกโชกด้วยสายน้ำที่เกาะตามตัวคุณ หนังสือเล่มนั้นสงบนิ่งอยู่บนที่นอน คุณเดินตรงไปที่เตียงหยิบหนังสือขึ้นเปิดกลางเล่ม รูปถ่ายใบเดิมยังคั่นอยู่ หากแต่เด็กสาวในรูปหายไปแล้วมีเพียงม้านั่งหินอ่อนวางอยู่ลำพัง คุณพลิกดูด้านหลัง ตัวหนังสือซีดสีจากปากกาลูกลื่นกำกับว่า“ได้โปรด อย่าลืมฉัน” คุณเสไปมองที่รูปถ่ายขาวดำติดผนัง มีจุดสีแดงแต้มอยู่ในรูปคุณเดินเข้าไปใกล้ เพื่อพบว่าถนนเส้นหลักในรูปถ่ายที่เคยว่างเปล่า มีเด็กสาวคนนั้นปรากฎอยู่

คุณตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความคาดหวังบางอย่างและพบว่ามันแตกสลายไปช้าๆ ในตอนสาย คุณตื่นมาในเช้าถัดไปคาดหวังใหม่ และพบว่ามันค่อยๆ จางหายไปอีกครั้ง ซ้ำไปมา เวียนวนกลับกลาย วงจรชีวิตคล้ายวงจรอุบาทว์ สุดท้ายคุณเลิกคาดหวังในเช้าที่คุณไม่ตื่นอีกต่อไป ไม่มีสิ่งใดจางหายหรือแตกสลาย ยกเว้นคุณ.





Create Date : 26 เมษายน 2556
Last Update : 27 เมษายน 2556 0:56:44 น. 4 comments
Counter : 1278 Pageviews.

 
เศร้ามาาาาาาาาาากกกกกกกกกก

โอย แย่เลย อ่านเวลานี้

จิตตกอย่างแรงเลย แง

แต่โหวตให้นะคะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 7 พฤษภาคม 2556 เวลา:13:02:17 น.  

 
ขอบคุณมากครับ แล้วก็เป็นกำลังใจให้นะครับ ขอให้กลับมาสดชื่นเร็ววัน


โดย: i.am.Victor วันที่: 7 พฤษภาคม 2556 เวลา:15:50:16 น.  

 
ฉันเข้ามาอ่านเรื่องสั้นนี้จากคำแนะนำของใครบางคนทันทีที่อ่านจดหมายแนะนำจากเขาเสร็จทั้งทั้งที่เคยเข้ามาใน คนแปลกหน้าแล้วก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังอ่านไม่จบ แต่ครั้งนี้ฉันตั้งใจนั่งอ่านมันมาก ในช่วงแรกที่อ่านสมองฉันรับรู็ได้ถึงความแปลกใหม่ที่จะได้เจอเหมือนเด็กที่่ได้รับของขวัญในวันเกิด แต่พออ่านไปจนถึงตอนจบหัวใจฉันเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ มันเป็นความรู็สึกที่เศร้า หดหู่ อย่างบอกไม่ถูก คำถามเดียวที่มี ทำไมต้องเขียนเรื่องที่เศร้า อ้างว้างขนาดนี้ ทำไมไม่ให้เขาทั้งสองคนได้เจอกัน ที่ร้านหนังสือ หรือร้านไอศครีมก็ได้ ให้เขาได้พบกัน เจอกัน คุยกัน.....
ฉันรู้สึกว่าคนเขียนใจร้าย


โดย: Stranger IP: 118.175.155.147 วันที่: 12 มิถุนายน 2556 เวลา:16:24:18 น.  

 
ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะครับ คุณ Stranger



โดย: i.am.Victor วันที่: 13 มิถุนายน 2556 เวลา:17:30:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

i.am.Victor
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]





รักเร้นเร้นลับโลกคู่ขนาน
บันทึกแห่งนกไขลานหวามหวั่นไหว
แกะรอยหาแกะดาวคืนฝนปราย
ด้วยรักใจสลายแดนสนธยา




#สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามมิให้นำไปเผยแพร่และอ้างอิง ไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของบทความภายในบล็อคนี้
โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้เขียน#




"Pain is inevitable, Suffering is optional"
Haruki Murakami
Group Blog
 
<<
เมษายน 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
26 เมษายน 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add i.am.Victor's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.