สุจริตธรรมให้เกิดผลอย่างไร คิดให้รอบคอบสักหน่อย ก็จักให้เห็นได้
ในปัจจุบันนี้เอง ผู้ประพฤติสุจริตธรรมย่อมเป็นคนไม่มีภัย ไม่มีเวร มีกาย
วาจา ใจ ปลอดโปร่งนี้เอง ความสุขที่เห็นกันอยู่แล้ว ส่วนผู้ประพฤติ
ทุจริตอธรรม ตรงกันข้าม มีกาย วาจา ใจ หมกมุ่นวุ่นวาย แม้จักมีทรัพย์
ยศ ชื่อเสียง สักเท่าใด ก็ไม่ช่วยให้ปลอดโปร่งได้ ต้องเปลืองทรัพย์
เปลืองสุข ระวังทรัพย์ ระวังรอบด้าน นี้เป็นความสุขที่เห็นกันอยู่แล้ว
ส่วนในอนาคตเล่าจักเป็นอย่างไร อาศัยพุทธภาษิตที่แสดงว่า
กลฺยาณการี กลฺยาณํ ผู้ทำดีย่อมได้ดี
ปาปการี จ ปาปกํ ผู้ทำชั่วย่อมได้ชั่ว
จึงลงสันนิษฐานได้ว่า สุจริตธรรม อำนวยผลที่ดีคือความสุข ทุจริตอธรรม
อำนวยผลที่ชั่วคือความทุกข์ แม้ในอนาคตแน่แท้ อนึ่งในที่นี้รวมผลแห่ง
สุจริตธรรมทั้งสิ้น แสดงรวมยอดอย่างเดียวว่าความสุข เพราะเหตุนี้ สิ่ง
ใดเป็นอุปกรณ์แห่งความสุข หรือเรียกว่าสุขสมบัติ เช่น ความบริบูรณ์
ทรัพย์ ผิวพรรณงาม อายุยืน ยศ ชื่อเสียง เป็นต้น สิ่งนั้นทั้งหมดเป็นผล
แห่งสุจริตธรรม
เมตตา- มิตร - ไมตรี สามคำนี้ เป็นคำหนึ่งอันเดียวกัน
เมตตา คือ ความรักใคร่ปรารถนาจะให้เป็นสุข
มิตร คือ ผู้มีเมตตาปรารถนาสุขประโยชน์ต่อกัน
ไมตรี คือ ความมีเมตตาปรารถนาดีต่อกัน
ผู้ปรารถนาจะปลูกเมตตาให้งอกงามอยู่ในจิต พึงปลูกด้วยการคิดแผ่ ใน
เบื้องต้นแผ่ไปโดยเจาะจงก่อน ในบุคคลที่ชอบพอ มีมารดาบิดา
ญาติมิตร เป็นต้น โดยนัยว่าผู้นั้น ๆ จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความ
เบียดเบียน ไม่มีทุกข์ มีสุขสวัสดิ์ รักษาตนเถิด เมื่อจิตได้รับการฝึกหัดคุ้น
เคยกับเมตตาเข้าแล้ว ก็แผ่ขยายให้กว้างออกไปโดยลำดับดังนี้ ในคนที่
เฉย ๆ ไม่ชอบไม่ชัง ในคนไม่ชอบน้อย ในคนที่ไม่ชอบมาก ในมนุษย์
และดิรัจฉานไม่มีประมาณ เมตตาจิต เมื่อคิดแผ่กว้างออกไปเพียงใด
มิตรและไมตรีก็มีความกว้างออกไปเพียงนั้น เมตตาไมตรีจิตมิใช่อำนวย
ความสุขให้เฉพาะบุคคล ย่อมให้ความสุขแก่ชนส่วนรวมตั้งแต่สองขึ้นไป
ด้วย คือ หมู่ชนที่มีไมตรีจิตต่อกันย่อมหมดความระแวง ไม่ต้องจ่าย
ทรัพย์ จ่ายสุข ในการระวังหรือเตรียมรุกรับ มีโอกาสประกอบการงาน อัน
เป็นประโยชน์แก่ตนเอง และหมู่ เต็มที่มีความเจริญรุ่งเรืองและความสงบ
สุขโดยส่วนเดียว
อนึ่ง ถ้ามีปัญหาในชีวิตปัจจุบันของผู้ประพฤติสุจริตธรรม หรือทุจริตอ
ธรรมเกิดขึ้น พึงทราบว่า ในคราวที่สุจริตธรรมที่ได้ทำไว้แล้วกำลังให้
ผลอยู่ ผู้พระพฤติทุจริตอธรรมย่อมพรั่งพร้อมด้วยสุขสมบัติ และความ
สดชื่นร่าเริง อาจสำคัญทุจริตอธรรมดุจน้ำหวาน และอาจเย้ยหยันผู้
ประพฤติสุจริตธรรมได้ แต่ในการที่ทุจริตอธรรมของตนให้ผล ก็จักต้อง
ประจวบทุกข์พิบัติ ซบเซาเศร้าหมอง ดุจต้นไม้ฤดูแล้ง อนึ่งในคราวที่
ทุจริตอธรรมที่ได้ทำไว้แล้วกำลังให้ผลอยู่ ผู้ประพฤติสุจริตธรรมก็ยังต้อง
ประสบทุกข์พิบัติซบเซาอับเฉาอยู่ก่อน แต่ในการที่สุจริตธรรมของตนให้
ผลย่อมเกิดสุขสมบัติอย่างน่าพิศวง ดุจต้นไม้ในฤดูฝน แม้สจุริตธรรมจัก
ยังไม่ให้ผล โดยนัยที่กล่าวนี้ กาย วาจา และใจ ของตน ก็ย่อมปลอด
โปร่งเป็นสุขสงบ เป็นผลที่มีประจำทุกทิวาราตรีกาล.
.............................................................................
ที่มา : หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม