การปล่อยวางนั้นเป็นเรื่องของการ "ทำจิต" เพื่อไม่ให้ทุกข์ใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรทำอะไรมากกว่านั้นหากทำได้ เมื่อคนรักตายจาก
ไป เราไม่สามารถทำให้เขาฟื้นขึ้นมาได้ สิ่งที่เราทำได้ในกรณีนี้ก็คือ
การทำจิต หรือปล่อยวางเท่านั้น
แต่หากเราล้มป่วย นอกจากการทำจิต คือ ไม่บ่นโวยวายหรือตีโพยตีพาย หากแต่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือพิจารณาว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราแล้ว เรายังควร "ทำกิจ" ด้วย คือ เยียวยารักษาร่างกายให้หายป่วย
หรือถึงแม้จะยังไม่ป่วย สุขภาพยังดีอยู่ ในด้านหนึ่งก็ควรเผื่อใจว่าอะไร
ก็ไม่เที่ยง จะได้ไม่ทุกข์ใจเมื่อต้องล้มป่วย แต่พร้อมกันนั้นก็ควรออก
กำลังกายสม่ำเสมอ ใส่ใจในคุณภาพของอาหาร
เพื่อป้องกันไม่ให้ล้มป่วยเร็วเกินไป
ใครที่ทำใจอย่างเดียว โดยไม่ทำกิจเลย
ย่อมเรียกว่าเป็นอยู่อย่างไร้ปัญญา
จริงอยู่กล่าวในทางปรมัตถ์แล้ว ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงสิ่งที่ หยิบยืมมาใช้ชั่วคราว แต่ตราบใดที่มันยังอยู่ในการดูแลของเรา เรา
ก็มีหน้าที่ดูแลมันให้ดีที่สุด เช่นเดียวกับโทรศัพท์หรือรถยนต์ที่เราหยิบ
ยืมมาจากเพื่อน แม้มันไม่ใช่ของเรา เราก็ต้องดูแลรักษาให้ดี ใครที่
ปล่อยปละละเลย เอาแต่ใช้แต่ไม่ดูแล ด้วยเหตุผลว่า มันไม่ใช่ของเรา ย่อมเรียกได้ว่าเป็นผู้ไร้ความรับผิดชอบ เอาแต่ได้ ไม่น่าคบหาเลย
ครั้งหนึ่งหลวงพ่อชา สุภัทโท เดินผ่านกุฏิของพระรูปหนึ่ง ท่านสังเกตุ
เห็นหลังคาแหว่งไปครึ่งหนึ่งเพราะถูกพายุฝนกระหน่ำ แต่พระรูปนั้นไม่ขวนขวายที่จะซ่อมหลังคาเลย ปล่อยให้ฝนรั่วอย่างนั้น ท่านจึงถาม
เหตุผลของพระรูปนั้น คำตอบที่ได้ก็คือ ผมกำลังฝึกการไม่ยึดมั่น
ถือมั่นครับ หลวงพ่อชาจึงตำหนิว่า นี่เป็นการทำโดยไม่ใช้หัวสมอง
แทบไม่ต่างจากการวางเฉยของควายเลย
การปล่อยวาง ไม่ใช่การไม่ทำอะไรเลย สาธุ
ว่าแล้วก็โหวตค่ะ อิอิ
---------------------
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
**mp5** Dharma Blog ดู Blog