038. ทฤษฎีห่านบิน: A Journey Through the Secret History of the Flying Geese Model
ทฤษฎีห่านบิน: A Journey Through the Secret History of the Flying Geese Model
คนเรามักจะเลียน/เรียนจากธรรมชาติ แบบแผนต่างๆ ที่คนเราคิดกันขึ้นมา ก็มักจะมาจากการช่างสังเกตชีวิตรอบตัวและในธรรมชาติรอบนี่เอง แม้แต่เรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ ก็มีคนสังเกตว่าเหมือน "ห่านบิน"
............................
การพัฒนาทางเศรษฐกิจของเอเซียตะวันออกมีแบบแผนที่เรียกกว่า ห่านบิน
ห่านตัวแรกที่ออกบินก่อนคือ ญี่ปุ่น ซึ่งปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้ทันสมัยภายหลัง การปฏิรูปเมจิ ในช่วงครึ่งหลังศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นได้พัฒนาเรื่อยแต่สะดุดไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ในทศวรรษ 1960 ญี่ปุ่นก็ยังอยู่ในระดับที่เป็นประเทศพัฒนาซึ่งเป็นเพียงประเทศเดียวในเอเซีย ณ ขณะนั้น
ห่านกลุ่มต่อมาที่บินตามญี่ปุ่นไปคือกลุ่มประเทศ 4 เสือ หรือ Asian NIEs อันประกอบด้วยไต้หวัน เกาหลีใต้ ฮ่องกง และสิงคโปร์ ได้ออกบินในช่วงทศวรรษ 1960 ตามมาด้วยประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะมาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่บินตามมาห่างๆ
ห่านกลุ่มที่สามซึ่งออกบินในช่วงทศวรรษ 1990 คือ จีน ภายหลังจากเปิดเศรษฐกิจของประเทศในปี 1994 อินเดียและเวียดนามก็ได้บินมาด้วยในช่วงนี้
อะคะมะทรึ (Akamatsu) เป็นผู้บุกเบิกแนวคิดห่านบินและได้รับการต่อยอดโดยโคะจิมะ (Kojima)
อะคะมะทรึอธิบายปรากฎการณ์ห่านบินว่ามี 4 ขั้นตอนคือ
1. ประเทศเริ่มนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมมาเพื่อบริโภค
2. อุตสาหกรรมในประเทศเริ่มผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และนำเข้าสินค้าทุนเข้ามา
3. ประเทศเริ่มส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
4. อุตสาหกรรมไล่ตามอุตสาหกรรมเดียวกันในประเทศพัฒนาแล้ว การส่งออกสินค้าเริ่มลดลง และเริ่มส่งออกสินค้าทุนที่ใช้ในการผลิตสินค้านั้นแทน
อะคะมะทรึใช้ข้อมูลอุตสาหกรรมด้ายดิบในช่วง 1860-1930 พบว่าการนำเข้า ผลิต และส่งออก เป็นไปตามแบบจำลองห่านบินอย่างสมบูรณ์ จากนั้นแบบจำลองห่านบินได้รับการขยายเพิ่มจำนวนประเทศและจำนวนสินค้ามากขึ้น แบบจำลองอะคะมะทรึพยากรณ์ว่าในกระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศหนึ่งๆ นั้น อุตสาหกรรมเบาจะพัฒนาก่อนแล้วตามมาด้วยอุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมปลายน้ำมาก่อนแล้วค่อยตามมาด้วยอุตสาหกรรมต้นน้ำ
การวิจัยเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวกับประเทศไทยพบว่า เป็นไปตามคำอธิบายของอะคะมะทรึ แต่ไทยอยู่ในลักษณะ ปลาบิน (Flying Fish) คือ
1. อุตสาหกรรมเสื้อผ้าพัฒนาก่อน แล้วจึงตามมาด้วยอุตสาหกรรมสิ่งทอ
2. อุตสาหกรรมยานยนต์พัฒนาก่อน แล้วจึงตามมาด้วยอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า
3. อุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอพัฒนาก่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ เหล็กและเหล็กกล้า
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของเกาหลีใต้นั้นอุตสาหกรรมเสื้อผ้าได้พัฒนาแล้วแล้วในปี 1960 และเริ่มตกต่ำในช่วง 1990 อุตสาหกรรมสิ่งทอตามอุตสาหกรรมเสื้อผ้ามาแต่ก็ตกต่ำไปก่อนอุตสาหกรรมเสื้อผ้า ส่วนเหล็กและเหล็กกล้าพัฒนามาก่อนยานยนต์จึงตามมาทีหลัง อุตสาหกรรมต้นน้ำจึงไม่จำเป็นที่จะต้องตามอุตสาหกรรมปลายน้ำเสมอไป
อุตสาหกรรมของแต่ละประเทศอาจจะเกิดจากการผลักดันจากอุตสาหกรรมสำหรับผู้บริโภคก่อน หรือผลักดันจากอุปทานของประเทศก่อนก็ได้ ดังเช่น อังกฤษ ที่การปฏิวัติอุตสาหกรรม จากการประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำจากนั้นนำมาใช้เป็นสินค้าทุนเพื่อก่อให้เกิดอุตสาหกรรมต่างๆ ตามมา
แบบจำลองห่านบินไม่สามารถอธิบายปรากฎการณ์ได้อย่างสมบูรณ์ ปัจจุบันมีข้อสงสัยว่า สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์นั้น ญี่ปุ่นคงจะไม่ใช่ ห่านจ่าฝูง ได้นานอีกต่อไป เพราะห่านรุ่นหลังอย่างจีนกำลังจะทันแล้ว อย่างไรก็ดี อะคะมะทรึ กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า
these countries, advanced and less advanced, do not necessarily go forward at the same speed in their development of a wild-geese-flying pattern, nor do they always gradual progress, but they are at time dormant and at other times make leaping advances
.
ข่าวดีก็คือ เรามีหลายเส้นทางให้เลือกเดิน
Source://www.oknation.net/blog/print.php?id=312619
-----------------------------------------------------------------------------
Create Date : 17 สิงหาคม 2556 |
Last Update : 18 กันยายน 2557 16:43:31 น. |
|
61 comments
|
Counter : 7616 Pageviews. |
|
|
|
วิถีเศรษฐกิจ : ดร.ไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์ กรุงเทพธุรกิจ วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2550
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ กล่าวในพิธีลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น หรือ JTEPA ที่โตเกียว เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2550 ว่านี่เป็น win-win สำหรับสองประเทศ แต่ในความเห็นของผู้เขียน ญี่ปุ่นมีความสำคัญมากเหลือเกิน โดยเฉพาะในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มากเสียจนว่าผลของ JTEPA ที่มีต่อสองประเทศนั้นยังไม่สำคัญเท่ากับว่า หลังจาก JTEPA ญี่ปุ่นจะเปลี่ยนทัศนคติและบทบาทของตัวเองอย่างไรให้ต่างไปจากอดีต จนส่งผลดีแก่โลกและภูมิภาค
ปัญหาของญี่ปุ่นหรือที่เรียกกันว่า Japan's problems ซึ่งมีมาตลอดนั้นยังไม่เคยหมดไป และตราบใดที่ปัญหานี้ ยังไม่ได้รับการเยียวยา บทบาทของญี่ปุ่นที่จะมีต่อโลกและภูมิภาคก็จะน้อยกว่าที่ควรเป็น ญี่ปุ่นสำคัญอย่างไรหรือ?
ความสำคัญของญี่ปุ่น ไม่ได้อยู่ที่ญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก หรือเป็นผู้ค้า ผู้ลงทุนรายใหญ่ของโลก เป็นผู้นำมีนวัตกรรมทางเทคโนโลยีการผลิตในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะรถยนต์ Consumer Electronics ซึ่งส่งผลดีต่อโลก หรือในเอเชีย โดยเฉพาะอาเซียนไม่ได้เป็นเพราะญี่ปุ่น ได้มีบทบาทต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม ผ่านการลงทุนโดยตรง และการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยเฉพาะการเป็นแหล่งสินค้าทุนที่สำคัญของภูมิภาค
แต่ที่สำคัญกว่า ในบริบทขั้นต้น ญี่ปุ่นก็นำมาซึ่งปัญหาแก่โลกและภูมิภาคมาตลอด ญี่ปุ่นจึงเป็นที่รักและที่ชังของผู้ที่เป็นหุ้นส่วน แม้กระทั่งกรณีของไทย เหตุของปัญหามักจะมองไม่เห็นได้ง่าย หรือ Invisible หรือจับให้มั่นคั้นให้ตาย
สัจธรรมที่พบในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศนั้น ทุกประเทศย่อมคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ "เรา" ย่อมสำคัญกว่า "เขาหรือคนอื่น" เสมอ ญี่ปุ่นไปลงทุนที่ไหนก็ใช้ผู้บริหารของตัวเอง การค้าเสรีในอุดมคติหรือตามตำรา ไม่เคยเป็นจริงในโลก ทุกประเทศล้วนมีการจัดการ มีการแทรกแซง มีการทำการค้าในเชิงเป็นนโยบายเชิงกลยุทธ์ ทั้งส่งเสริม ปกป้องและคุ้มครอง ยึดหลัก Mercantilist คือ ส่งออกให้มากที่สุด นำเข้าให้น้อยที่สุด ญี่ปุ่นไม่ได้ต่างจากสหรัฐหรือ EU ในการให้เงินอุดหนุนภาคเกษตรหรือคุ้มครองชาวนา
ในกรอบของการเจรจาพหุภาคี ผ่าน GATT หรือ WTO ในอดีต ญี่ปุ่นค่อยๆ เปิดตลาดด้วยการลดภาษีนำเข้าจนค่อนข้างต่ำ ในสินค้าอุตสาหกรรม แม้จะเปิดเสรีภาคการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไป เหมือนประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ แม้ญี่ปุ่นจะสนใจ Trade Facilitation แต่เมื่อมาถึงเรื่องมาตรฐานรวมทั้งอะไรที่เรียกรวมๆ ว่า Nontariff Barriers หรือปัญหาทางโครงสร้าง ทางสถาบันซึ่งล้วนแล้วแต่จะสร้างต้นทุนทางธุรกรรม ให้แก่ผู้ค้าและผู้เข้ามาลงทุน อุปสรรคที่พบในญี่ปุ่นนั้นสูงไม่แพ้ใคร ข้อเท็จจริงที่พบจากหลักฐานการวิจัยและการศึกษาทางวิชาการที่มีอยู่มากมาย
ในบริบทข้างต้นญี่ปุ่นค่อนข้างจะสุดขั้วและมีลักษณะพิเศษหลายอย่าง ที่ต่างไปจากคนอื่น อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ญี่ปุ่นต่างกับผู้อื่นอย่างไร ?
ลองดูข้อมูลจาก การลงทุนโดยตรง จะพบว่า โดยทั่วไปประเทศอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่จะมีสัดส่วน หรือส่วนต่างระหว่างการลงทุนโดยตรงที่ออกไปกับที่เข้ามาไม่ต่างกันอย่างลิบโลก แต่สำหรับญี่ปุ่นนั้น การลงทุนโดยตรงส่วนที่ไหลเข้าประเทศญี่ปุ่นน้อยเหลือเกิน ส่วนที่ออกนอกสูงกว่าส่วนที่เข้าเคยสูงถึงเป็นกว่าสิบเท่า
โครงสร้างและความสำคัญของการนำเข้าของญี่ปุ่น ยิ่งบอกถึงความพิเศษ ตั้งแต่ทศวรรษ 60 เป็นต้นมา เป็นเวลาเกือบ 40 ปี ประเทศอุตสาหกรรม เช่น สหรัฐ เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส เมื่อ GDP มีขนาดใหญ่ขึ้น รายได้ต่อหัวสูงขึ้น ประเทศเหล่านี้ ล้วนนำเข้าสูงขึ้นมากอย่างชัดเจนในสัดส่วนต่อ GDP โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรม จากญี่ปุ่นหรือประเทศ NICS อื่นๆ
ในทางตรงกันข้ามญี่ปุ่นนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมเพียงแค่ประมาณร้อยละ 2 เศษๆ ของ GDP เป็นเวลายาวนาน แม้จะเพิ่มขึ้นมาบ้างในระยะหลังๆ โดยพื้นฐานญี่ปุ่นไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ จึงนำเข้าอาหาร วัตถุดิบ ชิ้นส่วนอุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมัน มากเป็นธรรมดา
ปกติเมื่อประเทศร่ำรวยขึ้น ประเทศจะค้าขายสินค้าประเภทเดียวกันให้กันและกัน เพราะผู้บริโภคมีรสนิยมที่หลากหลาย ทำให้มี intra industry trade สูง ที่สะท้อน Product Differentiation สูง และถ้าไม่นับชิ้นส่วนอุปกรณ์ อะไรที่ญี่ปุ่นส่งออกมาก ซึ่งก็คือสินค้าอุตสาหกรรมญี่ปุ่นก็จะนำเข้าน้อยมาก ในสินค้าประเภทเดียวกัน
ดัชนีที่บอกถึง intra industry trade ของญี่ปุ่นนั้นต่ำเอามากๆ เชื่อกันว่า นอกเหนือจากปัจจัยเรื่องรสนิยมผู้บริโภค และระบบเครือข่ายธุรกิจในญี่ปุ่น เชื่อกันว่า สัดส่วนที่สูงมากกว่าใครๆ ของการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่น ที่ทำผ่านระหว่างบริษัทแม่ในญี่ปุ่นและบริษัทลูกของญี่ปุ่นในต่างประเทศ มีส่วนที่ทำให้ญี่ปุ่นนำเข้าน้อย ในสินค้าใหม่ๆ ที่อาจจะไปแข่งกับตลาดในญี่ปุ่นของบริษัทแม่
Kojima นักเศรษฐศาสตร์ญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น เชื่อว่าญี่ปุ่นและโลกจะดีขึ้น ถ้าญี่ปุ่นนำเข้าจากไม่ถึงร้อยละ 10 เป็น 20% ของ GDP ผู้เขียนเชื่อว่า การที่ญี่ปุ่นซื้อน้อยทำให้ความไม่สมมาตร ความไม่สมดุลทางการค้า และการเงินโลก และภูมิภาคมีมากขึ้น ประเทศกลุ่มอาเซียน และ NICS ทั้งหลาย ต้องชดเชยการขาดดุลกับญี่ปุ่นอย่างเรื้อรัง จำเป็นต้องไปพึ่งพาตลาดสหรัฐมากเกินไป เช่นในปัจจุบัน
รัฐบาลญี่ปุ่นมักจะมองบทบาทของญี่ปุ่นผ่านการลงทุนโดยตรง เหมือนเป็นผู้นำของฝูงห่าน หรือ Flying Geese Model สามารถทำให้ประเทศ NICS และอาเซียน ไต่อันดับทางรายได้และเทคโนโลยีเป็นขั้นเป็นตอนตามความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ หรือ Comparative Advantage ในที่สุด ประเทศเหล่านี้ก็จะเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยี และลดการขาดดุลกับญี่ปุ่นได้ เป็นสถานการณ์ win-win
ผู้เขียนคิดว่า ขณะนี้ เรายังไม่สามารถสรุปเช่นนี้ได้ กรณีของไทยเรายังไปไม่ถึง ญี่ปุ่นช่วยเราได้ในเรื่องง่ายๆ แต่ในเรื่องยากๆ ของการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยี เราตั้งรับมากกว่าการมีนโยบายเชิงรุก ในการพัฒนาเทคโนโลยี ประเทศ NICS รุ่นแรก เช่น เกาหลี ไต้หวัน แต่ยกเว้นสิงคโปร์ ฮ่องกง สามารถไต่อันดับทางเทคโนโลยี โดยไม่ต้องพึ่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ เหมือนประเทศในอาเซียน จึงอย่าคิดว่า JTEPA จะทำให้ญี่ปุ่นช่วยพลิกแผ่นดินไทย
Source://www.nidambe11.net/ekonomiz/2007q2/2007april25p1.htm