ข้าคือ Sa'kyo
Group Blog
 
 
เมษายน 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
26 เมษายน 2552
 
All Blogs
 

-Love is...- Vol.3 (4)

"...ข้าฆ่าเจ้าแน่ ถ้าเจ้าไม่เม้นต์..."




Love is… vol.3 /4

…………………………………………………………………………………………………………


9.00 น.

พริกนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าวตรงหน้ามีแก้วน้ำผลไม้ปั่นฝีมือคุณหมอปากจัดวางอยู่ สายตาของเขาจ้องมองเครื่องสื่อสารสีดำสนิท อักษรตัว M โชว์หราเป็นโลโก้ยี่ห้อ ฝาพับของมันถูกเปิด – ปิด อยู่สักพักใหญ่แล้ว ด้วยเพราะเจ้าของไม่ยอมกดโทรออกไปไหนสักที ไม่รู้ว่าทำใจโทรไม่ได้? ไม่กล้าโทร? หรือไม่อยากโทรกันแน่...

“ถ้ามันลำบากขนาดนั้นก็ปาทิ้งเถอะ เห็นแล้วรำคาญ” นั่นไง! ถ้อยคำประชดที่พริกคิดว่าคนเป็นหมอน่าจะเย็บปากตัวเองก่อนใครดังขึ้นเอื่อยๆ เหมือนไอ้คุณเพื่อนจะไม่ใส่ใจแต่มันสนใจเต็มที่ เตรียมเก็บข้อมูลไว้ฉะเขาละสิ

“มันเช้าอยู่”

“บ้านเตี่ยแกสิ เก้าโมงเนี่ยนะเช้า” แค่นี้มันเล่นถึงเตี่ยเลยวุ้ย

“พู่อาจจะยังไม่ตื่น” มีเหตุผลใหม่

“น้องสาวฉันกุลสตรีมารยาทงามไม่เคยตื่นช้ากว่าแปดโมงเว้ย” ก็จริงของไอ้หมอ

“ถ้าเกิดเธอยุ่งอยู่ล่ะ” นี่ไง ใช่! เผื่อเธอทำงานอยู่

“วันนี้วันหยุด” เอ่อ...เน๊อะวันนี้วันอาทิตย์นี่หว่า...

“ก็เผื่อ...” เผื่ออะไรดีล่ะ

“แกจะไม่โทร?” มะเหมี่ยวทิ้งคำว่า ใช่มั้ย? ไว้บนใบหน้าแทน สายตาจับจ้องใบหน้าเพื่อนรักที่ทำเหมือนกำลังกินยาขม แค่โทรไปหาสาวทำหน้าอย่างกับจะไปตายอย่างนั้น

“ฉันไม่รู้จะพูดอะไรบ้างนี่หว่า...”

“สวัสดี สบายดีมั้ย? ทำอะไรอยู่? งานเป็นไงบ้าง? สารพัด ถ้ามันอ้อมมากนักก็ว่าไปเลยว่า คิดถึง กลับมาคบกันเถอะ... ก็แค่เนี่ย” แกก็พูดได้สิวะ... พริกค้อนในใจ... พูดตรงนี้ก็พูดได้สิ... ลองมาเป็นเขาดู...

“ก็รู้... แต่...”

“อะไรของแกอีกเนี่ย เดี๋ยวพ่อเอามีดล้วงคอเลย เรื่องมาก” พริกเริ่มคิดแล้วว่า เพื่อนของเขาเหมาะจะเป็นหมอจริงหรือเปล่า...

“แกว่าพู่จะมีใครหรือเปล่าวะเหมี่ยว...ฉันคิดเรื่องนี้มาตลอด” พริกเอ่ยถึงสิ่งที่เขากังวลออกมา

ลึก ๆ แล้วเขาไม่มั่นใจเอาซะเลยว่าตลอดเวลาหกเจ็ดปีที่ห่างกัน เวลาทำให้เธอเปลี่ยนไปหรือเปล่า สำหรับเขาแล้วทุกอย่างในความรู้สึกยังเหมือนเดิม แต่กับเธอเขาไม่สามารถบอกอะไรได้เลย...

“จะไปรู้ได้ไงวะ ฉันไม่ใช่อับดุลนะถามอะไรจะได้รู้ไปซะทุกเรื่อง...” เป็นคำตอบที่น่าประทับใจซะจริงๆ

“ถ้าพู่มีใครแล้วล่ะ”

“คำถามควายรับปริญญาอีกละ... มีคนอื่นแล้ว ก็แย่งสิวะไอ้นี่” พริกถอนหายใจกับคำตอบของมะเหมี่ยว เพื่อนคนนี้ต้องรู้อะไรแน่ ๆ แต่มันอุบเงียบ ไม่อย่างนั้นไม่มานั่งกวนประสาทของเขาอย่างนี้หรอก เป็นเพื่อนกันมาจนโลกเขาเบื่อกันแล้วทำไมจะไม่รู้ว่ามันเป็นคนยังไง

“เออ...” ตอบแค่นั้นแหละ แล้วเขาก็เดินผละออกไปทางหลังบ้านที่เป็นระเบียงไม้รับลม ปล่อยให้เพื่อนหมอปากน้องหมานั่งอ่านหนังสือที่เก้าอี้หวาย เลิกสนใจมันก่อนที่เขาจะประสาทกินดีกว่า

แต่ก่อนที่จะได้ก้าวขาไปที่ระเบียงหลังบ้านเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นมาจากชั้นสอง ทั้งพริกและเหมี่ยวหันมาสบตากัน ก่อนจะพร้อมใจเงยหน้าขึ้นไปด้านบนแม้จะรู้ว่ามองไปก็ไม่เห็นอะไรก็เถอะ... แล้วก็กลับมาสบตากันอีก

“คราวนี้ฉันไม่ช่วยปลอบแล้วนะ” คุณหมอพูดก่อนจะยกหนังสือขึ้นปิดหน้า ท่านอาจารย์เองก็ส่ายหน้า แล้วเปรยลอย ๆ เรียกเสียงหัวเราะ จากมะเหมี่ยวว่า

“ถ้าไม่ได้ใส่ซองงานแต่ง คงเป็นเจ้าภาพงานศพแหงๆ”






“กรี๊ดดดดด” อัญญาภาหวีดสุดเสียงเมื่อพบว่าตัวเองตื่นจากฝันดีมาอยู่ในสภาพไหน เธอไขว่คว้าเอาผ้านวมมาปิดบังร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเองอย่างเร่งร้อนทุลักทุเล จนคนหน้าสวยที่คาดว่าเป็นตัวตนเหตุที่ทำให้เธออยู่ในสภาพนี้กลั้นเสียงหัวเราะแทบไม่ได้...

ก็ดูสิ ปิดยังไงของเธอกันล่ะ ถึงได้เปิดนั่นหลุดนี่ไปหมด

“อ๊ะ! ระวัง! พี่ไม่ได้ใส่อะไรเหมือนกัน” ไอย์พูดปรามไม่จริงจังอะไรนัก เมื่อเห็นว่ายุยพยายามดึงผ้านวมไปคลุมร่างตัวเองให้มากที่สุดจนแทบไม่เหลือให้เขาเอามาปิดอะไรบนร่างตัวเอง เขาไม่เห็นจะแคร์สักหน่อยที่ต้องเปลือยต่อหน้าเธอ แต่เกรงว่าถ้าเด็กน้อยของเขาเห็นอะไร ๆ เข้าเดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปซะเปล่า ๆ

“บ้า!! พี่ไอย์บ้า! พี่ไอย์ทำอะไรยุยเมื่อคืน” ยุยแหวเสียงแหลม ไอย์อารมณ์ดีเกินกว่าจะโมโหใส่เธอซะด้วยสิ ยิ่งเห็นหน้าใสๆ แก้มป่องๆ นั้นแดงเถือกยิ่งชอบใจ

“พี่ไม่ได้ทำอะไรเลย?” จริงๆ นะ เขาไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ขอแอบไขว้นิ้วไว้หน่อยก็ดี เพราะยังไงเขาก็เป็นคนถอดเสื้อผ้าของเธอออกทุกชิ้นไม่มีเหลือ แล้วก็ไอ้รอย Kiss mark ที่เนินอกนั่นมันก็ฝีมือของเขาเอง

“ไม่ได้ทำแล้วทำไมยุยอยู่ในสภาพนี้ล่ะ”

“พี่ถอดเอง” เขารับหน้าซื่อ

“แล้วไหนว่าไม่ได้ทำอะไรไงคะ!!” ยุยหวีดเสียงไม่ลดละ แต่ไอย์ก็ยังตีหน้าเฉย ไม่รู้ไม่ชี้

“พี่ถอดเสื้อผ้าก็จริง แต่ไม่ได้ทำอะไรนี่” ถ้าเธอพูดเรื่อง Kiss mark เขาก็จะตีหน้าเฉยแล้วบอกว่า อะ!! นั่นก็คืออีกเรื่องที่เขาทำ

“แต่ยุยโป๊”

“พี่ก็เหมือนกัน”

“ม...หมายความ...ว่า ม...เมื่อคืน... เราสองคน” ยุยติดอ่างไอย์ขำ ไม่ตอบคำถามของเธอผุดลุกขึ้นนั่ง จนผ้านวมที่คลุมอยู่หมิ่นเหม่นั่นทำท่าจะหล่นออกจากกาย ยุยจึงรีบตะครุบชายผ้าแล้วเอาไปปิดอะไรต่อมิอะไรของพี่ไอย์ ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวไม่เห็นจะอนาทรร้อนใจเลยถ้ามันจะหลุดออกมาโชว์

“พี่ไอย์บ้า เดี๋ยวก็โป๊หรอก” ยุยโวยวายบ่น ไอย์กระตุกยิ้มก่อนจะพูดกวน ๆ ใส่เธอ

“กลัวเห็นหรือไงกัน เมื่อคืนยิ่งกว่าเห็นซะอีกยังไม่เห็นว่าอะไรเลยนะเราน่ะ” พูดจบ ไอย์ก็อยากจะระเบิดเสียงหัวเราะ เมื่อใบหน้าสีชมพูระเรื่อของยุยเปลี่ยนเป็นขาวซีดเหมือนกระดาษและวินาทีต่อมามันก็แดงแป๊ดจนน่ากลัวว่ามันจะไหม้

“พี่ไอย์พูดอะไรนะ... ย...ยุย.. ยุย..ท...ทำ..อะไรนะ” เขาขำมากเชื่อเถอะ แต่ต้องเก๊กสุดฤทธิ์ ขอเอาคืนเรื่องที่ไม่ยอมแต่งงานกับเขาสักหน่อยเถอะ

“ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นะ เมื่อคืนยุยน่ะไม่ยอมออกห่างจากตัวพี่เลยรู้หรือเปล่า” ไม่พูดเปล่า เขาแกล้งยื่นหน้ายื่นตาไปหอมแก้มป่องๆ ของเธออย่างหมั่นเขี้ยว...

อันนี้เขาไม่ได้โกหก เมื่อคืนน่ะยุยยิ่งกว่าเห็นอะไรของเขาซะอีก หลังจากที่เขาจัดการถอดเสื้อผ้าของเธอออกหมดแล้ว ฟอร์มว่าตื่นเช้ามาจะอำเด็กน้อยเล่น ๆ ว่าเมื่อคืนมีอะไรกันแล้วอยากรู้ว่าเธอจะทำหน้ายังไง? แต่เหมือนกรรมมันจะตามทันเขาลืมไปว่ายุยน่ะติดเขามาก หากนอนเตียงเดียวกันเมื่อไหร่เป็นต้องเอาเขาเป็นหมอนข้าง จากที่เคยหลับบ้างไม่หลับบ้างกลายเป็นไม่ได้หลับเลยทั้งคืนก็สภาพมันล่อแหลมเหลือเกินนี่

เขาขอยืนยันว่าไม่ได้โกหก...แนบชิดขนาดไหนก็จินตนาการกันเอาเองละกัน เล่นกอดไม่ปล่อย แถมเบียดเข้าหาทุกครั้งที่เขาขยับหนี... อยากจะบ้า...

“มะ...ไม่จริง... ยังไม่ได้แต่งงานกันเลยนะคะ” เธอพึมพำ แต่ไอย์ก็หูผีได้ยินชัดแจ๋ว

ทีเมื่อวานสายๆ บอกให้เขาทำให้ตัวเองเป็นผู้หญิง ตอนดึกๆ ก็เมินคำขอแต่งงาน พอมาตอนเช้าบ่นว่ายังไม่ได้แต่ง... เอาไงละทีนี้...ลิตเติลยุย

ไอย์ยิ้มบางๆ รั้งร่างบางของยุยให้ขึ้นมานั่งบนตักกอดกระชับเธอไว้ ปล่อยให้เธอทิ้งศีรษะซบลงที่ซอกคอ

“เสียดายเหรอ?” คำถามพื้นๆ ที่มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้หญิงหลายคนมี Sex ครั้งแรก หลายคนมักจะตอบว่า ไม่... เพราะเมื่อตัดสินใจมอบกายให้กับผู้ชายที่ตนรักแล้วใครจะมานั่งเสียดายล่ะ แต่บางสถานการณ์ก็ไม่แน่เสมอไป...

บรรยากาศมันพาไป... นี่ไงล่ะที่ทำให้เขาต้องถาม ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่เขาจงใจหรือไม่จงใจให้เกิดขึ้นก็ตาม กับยุยมันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้น แต่เขาก็อยากรู้ว่าเธอคิดยังไงหากเมื่อคืนเขาลักหลับเธอไปจริงๆ

เธอส่ายหน้าช้าๆ ขยับกายสอดเรียวแขนข้างหนึ่งไปรอบเอวของไอย์ มืออีกข้างจับผ้านวมที่ปิดหน้าอกไว้

“ไม่รู้สิคะ... ยุยไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน? ยุยบอกไม่ได้ว่ารู้สึกยังไง? แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริงกับพี่ไอย์ยุยไม่เคยคิดเสียดายเลยสักนิด ยุยรักพี่ไอย์มาก”

ไอย์ยิ้มกับคำตอบ เธอไม่ได้เป็นเด็กสิบสามขวบอย่างในความคิดอีกแล้ว เธอโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้หญิงที่พร้อมที่จะเป็นภรรยาของเขาเป็นแม่ของลูกของเขา

“แต่งงานกับพี่นะยุย...นะ” ไอย์กระซิบที่ข้างหูของเธอ ยุยนิ่ง เขาจึงรุกต่อเพราะทุกครั้งเธอจะปฏิเสธทันที งานนี้มีลุ้น “นะครับ”

ใครว่าผู้ชายหน้าสวยนิสัยเถื่อนอย่างเขาอ้อนสาวไม่เป็น ไม่อยากบอก ถ้าเขาคิดจะอ้อนมารยาหญิงร้อยแปดเล่มเกวียนที่ว่าแน่ เจอมารยาล้านแปดพระธรรมขันธ์ของตระกูลวรมินเข้าไปก็จอด

“แต่...พี่ไอย์เคยบอกว่า...” ยุยใจอ่อนยวบเมื่อเจอไม้ออดอ้อนของพี่ไอย์ แต่ก็ยังมีข้อกังขาอยู่ “พี่ไอย์เกลียดการผูกมัด”

“พี่เกลียดผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของพี่ พี่เกลียดผู้หญิงทุกคนที่คิดจะผูกมัดพี่ แต่ผู้หญิงทุกคนต้องไม่ใช่ยุย... ยุยคือผู้หญิงคนเดียวที่พี่รัก... และเป็นคนเดียวที่ผูกมัดพี่ได้ ยุยเป็นพันธะที่พี่ต้องการจะให้มี...” เขามองสบตากับเธอตอนที่พูดคำพูดเหล่านี้ “พี่รักยุย... แต่งงานกับพี่นะ...” เขามาจบประโยคด้วยคำขอแต่งงานที่อ่อนหวานอีกครั้ง ถ้าเธอส่ายหน้าปฏิเสธเธอคงเสียใจไปตลอดชีวิต...

“ค่ะ” ยุยตอบรับ ก่อนจะซุกกายอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม และปล่อยให้อ้อมแขนแข็งแรงของเขาโอบกระชับบอกรักเธอ

“... ฤกษ์ที่ได้มาคือเดือนหน้าคงเตรียมตัวทัน” ยุยแทบเต้นผางเมื่อได้ยินประโยคนี้จากปากพี่ไอย์ของเธอ เดือนหน้า! อะไรคือเดือนหน้า! ไอย์อ่านสายตาของเธอออกเลยยิ้มแฉ่งตอบกับเธอแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“ฤกษ์แต่งงานน่ะ”

“ทำไม..”

“อย่าบอกว่าเร็วเด็ดขาด! พี่ให้พ่อพี่ไปหาฤกษ์มาตั้งแต่พี่ขอยุยแต่งครั้งแรกแล้ว ถ้ายอมตกลงตอนนั้นยุยก็มีเวลาเตรียมตัวเกือบสองปีเชียวนะ แต่ไม่เป็นไรหรอก เดือนเดียวก็ทัน ถ้าไม่ทันจริงๆ ก็จดทะเบียนอย่างเดียวก็ได้ พี่ไม่ถือ” ตอบเอง แล้วก็พูดเอง และก็บังคับเองเสร็จสรรพ นี่แหละพี่ไอย์ตัวจริงเสียงจริง

“ถ้ายุยจะบอกว่าไม่...” ไอย์ขัดขึ้นมาทันทีเมื่อยุยทำท่าจะค้าน แค่เดือนเดียวเองนะ! “พี่จะไม่แต่งไม่เติ่งอะไรทั้งนั้น เราจะอยู่กันอย่างนี้แหละ พี่จะรักยุยทุกวัน เอาสิถ้าไม่ท้องก็ให้มันรู้ไป แล้วคิดดูนะยุยว่าลูกเกิดมาแต่ต้องเป็นลูกนอกสมรสน่ะ ลูกจะน้อยใจแค่ไหน เพราะแม่ไม่ยอมแต่งงานกับพ่อ แถมถ้าเกิดพี่แอบมีกิ๊ก...”

“ไม่มีทาง!” ยุยแหวขึ้นก่อนที่ไอย์จะพูดจบประโยคด้วยซ้ำ เธอผลักเขาจนล้มนอนบนเตียง ส่วนตัวเองก็ขึ้นนั่งคร่อมร่างกำยำของเขา ไม่ได้คิดเลยว่าอะไรต่อมิอะไรของเธอมันโผล่มาท้าทายสายตาของเขาแค่ไหนมันทำเอาอารมณ์ที่พยายามเก็บกดไว้ถูกจุดให้ลุกโพล่งขึ้น

“ถ้าพี่ไอย์มีกิ๊กนะ ยุยจะจับเชือดให้กุดเลยคอยดู แล้วก็ไม่ต้องคิดเลยนะว่าจะละเลยลูกของยุย พี่ไอย์ตายแน่! แล้วนี่ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเราจะมีเจ้าตัวเล็กหรือเปล่า? ไม่รู้ล่ะ พรุ่งนี้ไปจดทะเบียนสมรสกันไว้ก่อน เรื่องพิธีน่ะเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น”

โอ้!! หนอ... บทจะง่ายมันก็ง่ายพริบตาเลยแฮะ

ถ้ายุยสะกิดใจนิดหนึ่งคงรู้นะว่าผู้หญิงน่ะผ่านครั้งแรกแล้วร่างกายต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ยากที่จะลุกมาเต้นเหยงๆ โดยที่ไม่รู้สึกอะไร แต่ช่างเถอะ! สนใจเรื่องนั้นทำไม ในเมื่อเธอก็ประกาศปาว ๆ แล้วนี่ว่าจะจดทะเบียนสมรสวันพรุ่งนี้ก็เข้าทางเขาล่ะ

หนุ่มหน้าสวยยิ้มหวาน ไม่สนว่าร่างนุ่มนิ่มที่นั่งคร่อมอยู่บนตัวเขาจะทำหน้างอง้ำขนาดไหน มือหนาลูบไล้เบาๆ ไปตามเรียวขาไร้อาภรณ์ปิดกั้น สายตามองตามมือซุกซนนั้นไหลไปหยุดที่สะโพกเขาค่อย ๆ ดันให้ร่างของเธอลงไปต่ำอีกนิดจนไปถึงหน้าขา

เธอสะดุ้งเมื่อสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของบุรุษเพศถดร่างถอยหนีแต่เขาก็กดร่างของเธอไว้ สบตากับเธอด้วยสายตาเว้าวอนจนน่าใจอ่อน

“พี่..ไอย์” ยุยเรียกขานเขาด้วยเสียงแผ่วเบาใบหน้าแดงซ่าน เธอนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างที่เขาต้องการ นาทีต่อมาไอย์จึงลูบไล้ฝ่ามือขึ้นไปตามแนวสีข้างไล่ไปจนถึงอกอวบอิ่ม มืออีกข้างก็ยื่นไปรั้งท้ายทอยของเธอให้ก้มลงต่ำลงมา ต่ำลงมารับจูบดูดดื่มจากเขา...

ร่างบางสั่นน้อยๆ สะท้านไปทั้งกายเมื่อความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เธอขยับร่างช้าๆ เมื่อรู้ว่ายิ่งขยับความรู้สึกแปลกใหม่นั้นยิ่งเพิ่มมากขึ้นและเธอก็พอใจกับมัน

ทำไมกันเมื่อคืนก็เกิดเรื่องทำนองนี้แท้ ๆ แต่ทำไมเธอถึงจำไม่ได้นะ กลับรู้สึกว่าครั้งนี้ต่างหากที่จะเป็นครั้งแรกของเธอ

“พี่ไอย์คะ...” เธอถอนจูบและเรียกเขา

“หือ...” แม้ปากจะไม่ได้จูบ แต่มือไม่ได้หยุดทำงานนี้ กว่าสาวเจ้าจะตั้งตัวถามได้ก็เล่นเอาหอบไปหลายนาที กระซิบถามข้าง ๆ หูของคนรัก

“เมื่อคืน...เราทำแบบนี้กันจริงเหรอคะ” เธอถามเสียงกระเส่า ไอย์แทบจะชะงักค้าง จนต้องรีบพลิกกายขึ้นทาบทับร่างบางไว้ เพราะถ้าเกิดเขาบอกความจริงเธอละก็ มีแววว่าวิวาห์ล่มแน่

“ไม่... เมื่อคืนเราไม่ได้ทำอะไรกัน ยุยแค่นอนกอดพี่เฉยๆ” ตอบแล้วก็จูบเพราะรู้สึกได้ถึงอาการแข็งทื่อแบบทันทีทันใด จะว่าเห็นแก่ได้ก็เถอะ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว...

ถ้าเธอไม่ยอม แต่ยอมแต่ง เขาก็ทนได้... สามารถทนอยู่หรอก

ถ้ายอม แล้วยอมแต่งด้วย ก็ดีมาก

แต่ถ้าไม่ยอมสักอย่างนี่สิ... งานเข้า...

“พี่ไอย์อำยุยอีกแล้ว” ยุยตัดพ้อพองามเมื่อปากเป็นอิสระ ทุบเบาๆ ที่ไหล่หนาก่อนจะทำท่าทางฮึดฮัดเล็กน้อยใส่พ่อคนหน้าสวยที่ยิ้มส่งตาหวานวิบวับใส่เธออย่างน่าหมั่นไส้

“งั้นแก้ตัวมาทำตอนนี้ดีมั้ย แล้วพรุ่งนี้ก็ไปจดทะเบียนกันเลย ส่วนงานพิธีเมื่อไหร่ก็ได้” ไอย์เลียนแบบประโยคของยุยก่อนหน้านี้ทำเอาเธอเขินจนต้องเม้มปากแน่น ไอย์ก้มลงจูบไล้หยอกล้อ

“รอหลังแต่งก็ได้นะยุย พี่พอทนได้อยู่หรอก” พี่พอทนได้ แต่จริง ๆ แล้วพี่ไอย์ไม่อยากทนนะน้องยุย

ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าพี่ไอย์ของเธอต้องใช้ความอดทนขนาดไหน เขามีโอกาสแบบนี้มากมายจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกครั้งก็ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น พี่ไอย์ทนุถนอมเธอราวกับไข่ในหิน ถ้าเธอบอกว่ารอไปก่อน เธอเชื่อว่าเขาก็จะรอ แม้ตอนนี้มันจะหยุดยากมากก็ตาม...

มือเล็ก ๆ ยกขึ้นไปสัมผัสใบหน้าสวยราวกับรูปสลักของไอย์มันลูบไล้เบาๆ ตั้งแต่ริมคิ้ว ตา จมูก มาที่ริมฝีปาก ไอย์งับนิ้วเล็กๆนั้นอย่างหมั่นเขี้ยว ในใจก็พยายามข่มอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลง ฝ่ามือบอบบางสอดเข้าไปในเรือนผมดกดำลูบไปด้านหลังศีรษะ ก่อนจะค่อยๆ โน้มใบหน้าของเขาลงมา

“ถ้ายุยไม่อยากรอจะผิดไหมคะ...พี่ไอย์...”

คำตอบของพี่ไอย์กลืนหายไปในรสจูบหวานซึ้ง แต่ทั้งสองก็รู้ดีว่าคำตอบมันคืออะไร... ปล่อยให้ร่างกายของทั้งสองตั้งคำถามและให้คำตอบกันเองโดยมีเสียงกระซิบบอกรักแผ่วหวานตามด้วยเสียงครวญเป็นตัวเร่งเร้าจังหวะ....ให้คู่รักนำพาซึ่งกันและกัน...

พอเถอะ เรทแล้ว...ซาน้อยใสซื่อจนเลือดกำเดาจะกระฉูดล่ะ...วู้... จินตนาการกันเอง (ถ้าอยากจะคิดนะ...ซาน้อยคิดล่วงหน้าไปไกลโข...555)






20.30 น.

กริ๊งงงงงงงง... กริ๊งงงงงงงง...

เสียงโทรศัพท์บ้านของพริกกรีดร้องขึ้น มะเหมี่ยวทำเฉยไม่สนใจอะไร แต่จนแล้วจนรอดมันก็ยังดังอยู่เขาจึงลดหนังสืออ่านเล่นที่อ่านตั้งแต่เช้าลงเขม่นมองเผื่อว่ามันจะได้รับรังสีอัมหิตของเขาแล้วหยุดร้อง แต่เปล่าเลย มันยังดังอยู่อย่างนั้น... ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะรอให้ไอ้คนตาดุมาจัดการแต่ดูท่ามันจะไม่แยแสเพราะถ้ามันสนมันก็คงโผล่หางมาแล้ว แต่พอคิดดูอีกที พริกไม่อยู่เพราะไปส่งไอย์กับยุยขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ สรุปทั้งบ้านมีเขาอยู่คนเดียว..

ชิส์ รับก็ได้วะ

มะเหมี่ยวเดินไปยืนมองไอ้เครื่องที่ร้องกริ๊ง ๆ นั่นอีก นานแล้วนะๆไม่มีใครรับก็วางสิวะ...

กริ๊งงงงงง กริ๊งงงงงง

เอ่อ ๆ รับ ๆ

“สวัสดีค่ะ...” อะโด่...ถึงจะไปอยู่นอกประเทศมานานแต่ก็รักความเป็นไทยนะเฟ้ย รับโทรศัพท์ สวัสดีตลอดแหละ

(พริก?) มารยาทนะมีมะ เขาสวัสดีก็สวัสดีกลับมาสิ มะเหมี่ยวคิด แต่สิ่งที่พูดก็คือ...

“ไม่ใช่ค่ะ ตอนนี้พริกไม่อยู่ค่ะ ไว้โทรกลับมาใหม่นะคะ... อ่อ! หรือจะฝากอะไรไว้หรือเปล่าคะ...”

(เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ ฉันโทรเข้ามือถือเขาแล้วเขาไม่รับน่ะค่ะ ไว้ฉันจะโทรมาใหม่ละกันค่ะ) ไอ้เสียงแว่วๆ ที่ดังอยู่หรือเปล่าหว่า ไอ้เพื่อนรักใช้เครื่องตั้งแต่เมื่อกลางวันจนแบตเกลี้ยงถึงได้เอามาชาร์ตทิ้งไว้

“ค่ะ”... ว่าแล้วเขาก็วางสาย โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้าของเสียงหวานๆ เซ็กซี่นั้นบ่นพึมพำว่าเขาไม่มีมารยาทนึกอยากจะวางก็วาง...

มะเหมี่ยวกลับมานั่งอ่านหนังสืออีกครั้ง เสียงจากชั้นสองไม่มีแล้วตั้งแต่เจ้าเพื่อนหน้าสวยพาน้องยุยออกมาจากห้องในเวลาบ่ายโข เห็นสายตาของไอ้เพื่อนรักก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างแถมท่าทางน้องยุยที่รักบ่งบอกขนาดนั้น แต่ที่ขำที่สุดก็คงเป็นท่าทางของยุยตอนเห็นเขาในเวอร์ชั่นจริงไม่ใช่แอ๊บสาวอย่างเมื่อวานนั่นแหละ

แหมๆ ก็วันนี้มะเหมี่ยวเองไม่ได้สวมกระโปรง แต่ที่ใส่คือกางเกงยีนส์สีซีด มีรอยขาดรอยปะซะจนแทบเรียกว่าหาดีไม่ได้ ท่อนบนก็สวมเพียงเสื้อกล้ามตัวหลวมสีดำเท่านั้น ดูยังไงมันก็ไม่ใช่พี่เหมียวคนสวยเมื่อวาน ท่าทางก็ดูเปลี่ยนไป แต่ที่ไม่เปลี่ยนเลยก็คือรอยยิ้มกระชากใจนั่นแหละมั้ง

เพื่อนหน้าสวยกระซิบเบาๆ กับคนรักแต่มะเหมี่ยวก็แอบได้ยินว่า “นี่แหละไอ้เหมี่ยวตัวจริงคิดว่าแบบนี้พี่จะรักมันลงเหรอ” แค่นั้นก็ทำเอาน้องยุยหน้าเหวอแล้วเหวออีก

ส่วนเจ้าของบ้านก็ออกไปแรดอยู่ข้างนอกบ้าน(ข่าวว่าเขาไปส่งเพื่อน) แล้วเขาจะทำอะไรในบ้านหลังนี้ได้ล่ะ ถ้าไม่อ่านหนังสือ...

สิบห้านาทีต่อมามะเหมี่ยวเป็นอันต้องโยนหนังสือทิ้งเพราะไอ้เครื่องโทรศัพท์บ้านนั่นมันร้องกริ๊งๆอีก เขาถอนหายใจทิ้งก่อนจะสวมบทบาทเจ้าของบ้านชั่วคราวแทน ไม่ได้เป็นคนดีอะไรหรอก แต่เผื่อว่ามีคนมีธุระกับไอ้อาจารย์คลั่งรักนั่น...

“สวัสดีค่ะ”

(ขอสายพริกหน่อยได้มั้ยคะ บอกเขาว่า”หน่า”โทรมาจากเยอรมันค่ะ) โอ๊ะ ๆ กิ๊กทางไกลซะด้วย แต่ว่าชื่ออะไรนะหน่า ๆ

“พริกยังไม่กลับมาเลยค่ะ... อะ...เดี๋ยวนะคะเขากลับมาแล้ว”

(เอ่อ...ค่ะ)

“สักครู่นะคะ” แล้วมะเหมี่ยวก็ผละไปเรียกพริกที่ลงจากรถ คนตาดุจึงเข้ามารับสายในบ้านส่วนมะเหมี่ยวก็ชิ่งเข้าไปในครัว ไม่ถึงสองนาทีพริกก็หน้าเริ่ดมาลากคอคุณหมอหน้าสวยกลับไปที่โทรศัพท์อีกครั้ง

“อะไรของแกวะไอ้ผัก” มะเหมี่ยวโวยวายเมื่อพริกแทบจะยัดโทรศัพท์บ้านเข้ามาในปากของมะเหมี่ยว

“บอกทางกับหน่าทีเธอหลงทางอยู่บนถนนที่เยอรมัน” มะเหมี่ยวอ้าปากเหวอ...ก่อนจะปรับอารมณ์แล้วกวนประสาทกลับทันที

“อยู่เยอรมันแต่โทรมาถามทางคนที่อยู่เมืองไทยเนี่ยนะ โง่หรือบ้าวะ คนแถวนั้นมันไม่มีหรือไงถึงได้ไม่ถาม”

“ถ้ามียัยนั่นจะโทรมาทำไมวะ ไอ้บ้านี่...เขานึกว่าฉันจะดูในเน็ตให้ได้...”

“แกก็ไปเปิดเน็ตดูเดะ...” มะเหมี่ยวรวนไม่ได้ใจดำหรอกนะ แต่แอบหมั่นไส้ไม่ถูกชะตาแบบแปลก ๆ กับคนที่รอสายอยู่

“กว่าจะหาเจอค่าโทรหมดเป็นแสน”

“ก็แล้วไง”

“ไอ้หมอ แกเป็นหมอต้องช่วยคนสิวะ” มะเหมี่ยวทำหน้าเหยเก...

“ข้าไม่เถียงโว้ยว่าเป็นหมอ ดีที่รู้ จะได้ไม่คิดว่าฉันเป็นเจ้าหน้าที่ทางหลวงหรือแผนที่เคลื่อนที่...” บ่นแล้วก็คว้าโทรศัพท์มากรอกเสียงลงไปชนิดที่เรียกว่าคนฟังอยากมาเจอหน้าเขาแล้วก็เอาโทรศัพท์ปาหน้าหวานๆนั่น

“ว่ามายัยสติแตกเธออยู่ตรงไหน? แล้วกำลังจะไปไหน?”

(ฉันไม่ได้สติแตกย่ะ) นานากระแทกเสียงกลับมา เสียงของพริกที่ทุ่มเถียงกับคนที่บอกว่าเป็นหมอเนี่ยมันกระแทกหูเธอจังๆ ทุกคำพูดเลยน่ะสิ หน๋อย...มาว่าเธอโง่ ก็แค่เช่ารถมาขับเล่นแต่ลืมเอาแผนที่มาด้วยแล้วก็เดินทางผิดเส้นทางเท่านั้นเอง

“ก็ดีที่รู้ว่าไม่ได้บ้า หลงทางอยู่ที่เยอรมันแต่โทรมาถามทางคนที่อยู่เมืองไทยต่อให้คนบ้าจริงๆ ก็ไม่มีใครทำหรอก”

(ไอ้บ้า! นายมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉันย่ะ)

“แล้วเธอล่ะมีสิทธิ์มาว่าอะไรฉันไม่ทราบยัยแปร๊ด”

“เฮ้ย ๆ ไอ้เหมี่ยวใจเย็นสิวะหน่าเขาหลงทางอยู่นะช่วยเขาก่อน” พริกปราม แต่มะเหมี่ยวสนใจตายเลย

“เพื่อนแกน่าช่วยนักนี่ลั่นแปร๊ดอาราธนาศีลให้ฉันเป็นชุดเลยเนี่ย” ไม่พูดเปล่าเขาเอากระบอกโทรศัพท์แนบหูของพริก... พริกหูแทบแตก จะต้องกรอกเสียงห้าม นานาเริ่มสงบลงเมื่อได้ยินเสียงของพริก แต่อีกนัยหนึ่ง…ที่ทำให้เธอนิ่งไปคงเป็นชื่อของคนที่เธอสนทนาด้วยเมื่อสักครู่... เหมี่ยว! มะเหมี่ยวงั้นเหรอ? ใช่เขาเหรอ...

“ให้ไอ้เหมี่ยวช่วยนะหน่า...” เธอครางรับเบาๆ พริกจึงส่งโทรศัพท์บ้านให้มะเหมี่ยวอีกที

“เออ...” ดูคุณหมอพูดกับผู้เคราะห์ร้าย

(เหมี่ยว?)

“เออ...ทำไม”

(ไม่ทำไมหรอก?)

“อ่าว!! ยัยนี่”

“ไอ้เหมี่ยว กูขอล่ะ” พริกแทบจะกราบมะเหมี่ยวซะให้ได้ คุณหมอหน้าหวานพ่นลมหายใจพรืดก่อนจะพยักหน้าแล้วผายมือเชิญคุณเพื่อนออกไปด้านนอก พริกลังเลจนมะเหมี่ยวขึงตาใส่ ช่วยคนต้องใช่สมาธินะเว้ย!

พริกเดินออกไปที่ระเบียงหลังบ้านปล่อยให้มะเหมี่ยวช่วย(?) นานาตามแบบฉบับของเขา อย่างน้อยๆ ก็อยู่คนละประเทศคงไม่หักคอกันตายหรอกมั้ง แต่ไม่แน่ อาจจะโกรธจนเส้นเลือดแดงแตกก็ได้

“เอาละที่นี้ว่ามาว่าเธออยู่บนถนนเส้นอะไร?”

(ฉันไม่รู้?)

“อ่าว! จะให้ช่วยมั้ยเนี่ย?”

(ก็ถ้าฉันรู้ฉันจะโทรมาเหรอ ที่นี่มีแต่ต้นไม้) น่าจะนอกเมือง มะเหมี่ยวคะเนในใจ

“แล้วมันมีป้ายบอกมั้ยว่าถนนเส้นนี้มันจะไปถึงไหน”

(เมื่อกี้เพิ่งผ่านมา มันบอกว่าไปเฟลนส์บูร์ก (Flensburg) ) มะเหมี่ยวนึกภาพท้องถนนในประเทศเยอรมันขอบอกว่าทั้งประเทศจริง ๆ เพราะเมืองที่ปลายสายบอกนั้นมันสามารถใช้ถนนหลายสายเดินทางไปได้แล้วที่ยัยคนนี้อยู่มันถนนเส้นไหนล่ะ

“บอกให้ชัดกว่านี้ได้มั้ย? มันเป็นถนนเส้นหลักหรือเปล่า?”

(เดี๋ยวนะ! อะ ๆ ใช่ ๆเป็นเส้นหลัก...)

“โอเค! บอกฉันหน่อยสิว่าเธอไปทำอะไรที่เมืองเฟลนส์บูร์กที่อยู่ริมชายแดนประเทศเยอรมัน”

(ห๊ะ! ชายแดน?!)

“ก็เออสิ...” ขนาดมะเหมี่ยวอยู่ที่นั่นนับสิบปีไปที่เมืองนั้นนับครั้งได้เลย...ไกลจะตาย

(ฉันว่าจะไปดูพิพิธภัณฑ์รถที่ชตุทท์การ์ท(Stutgart)) คราวนี้มะเหมี่ยวถึงกับคลึงศีรษะตัวเอง จะไปดูพิพิธภัณฑ์รถที่ชตุทท์การ์ท แต่ดันขับรถมาอีกฝั่งของประเทศ... โอ้ว!สวรรค์!

มะเหมี่ยวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูลองคำนวณเวลาที่เยอรมันก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ

“เธอล้มเลิกแผนวันนี้เถอะนะ ต่อให้เธอบินได้เธอก็ไปไม่ทันเวลาดูรถหรอกพิพิธภัณฑ์คงปิดไปแล้ว”

(ทำไมล่ะ!!) นานาถามเสียงดังมะเหมี่ยวฉุนกึก เรื่องอะไรมาวี้ดว้ายใส่หูเขาเนี่ย

“หุบปากเลยเลยยัยแปร๊ดเน่า ขับรถหลงทางแล้วยังจะมาแว้ดๆ อีกน่ารำคาญ”

(เอ๊ะ)

“ฟัง!” นานาเงียบกริบทันทีก่อนที่จะนิ่งฟังมะเหมี่ยวบอกทางกับเธอให้กลับที่พักเมื่อเขารู้ว่าเธอพักอยู่ที่ไหน? และควรจะขับรถที่เช่ามาไปคืนให้ทันเวลาไม่อย่างนั้นเสียค่าเช่าบานเบอะแน่

“คิดว่ากลับได้มั้ย” มะเหมี่ยวถามย้ำหลังจากที่พยายามคิดหาทางกลับที่พักให้ยัยแปร๊ดเน่าฉายาที่เขาตั้งให้แบบไม่ต้องคิดนาน แต่คำตอบของเธอทำเอาเขาชักเครียดๆ

(คิดว่านะ) ตอบมาอย่างนี้จะให้เขาทำยังไงละเนี่ย (แต่จะลองดูนะ ยังไงเดี๋ยวฉันลองโทรหาอีกครั้งถ้าไปไม่ถูก)

“เออ... โทรมาเบอร์บ้านละกัน อ่อ... ขับรถให้เร็วหน่อยละกันที่นั่นคงจะบ่ายแล้วกว่าเธอจะเข้ามาถึงในตัวเมืองเฟลนส์บูร์กคงอีกเกือบชั่วโมงแล้วกว่าจะเข้าไปถึงเบอลินคงมืดล่ะ”

(อืม!! ขอบคุณนะที่ช่วย)

“กลับถึงที่พักให้ได้ก่อนเถอะแล้วค่อยมาพูด ตั้งใจขับล่ะจำทางไม่ได้ก็โทรมาถามอย่าทำเก่งคลำทางเองเดี๋ยวได้หลงออกนอกประเทศ”

(นี่พูดดีๆ ก็ได้นะไม่ต้องมาว่าฉัน!) มะเหมี่ยวเบะปากอย่างหมั่นไส้ปลายสายก่อนจะชิงตัดบท

“เออๆ รีบๆ ขับรถไปเถอะแค่นี้แหละ” ว่าแล้วก็วางสายก่อนจะทำท่าทางล้อเลียนปลายสายทั้งที่อีกฝ่ายมองไม่เห็นแล้วสะบัดหน้าเดินหนีเข้าครัว ควานหาของกินแล้วก็หยิบเบียร์เดินไปที่ระเบียงหลังบ้าน

“เพื่อนแกคนนี้บอกให้ไปเข้าคอร์สรักษามารยาทด้วยนะ ลั่นแปร๊ดๆ จนหูฉันชาไปหมด” มะเหมี่ยวบ่นพลางเปิดกระป๋องเบียร์ยกขึ้นดื่มลงท้อง

“แกไปว่าเขาก่อนนี่”

“ตอนไหนวะ? ไม่มีซะล่ะแม่นั่นแหละวี้ดว้ายน่ารำคาญ” พริกส่ายหน้า ก็ได้ยินเต็มสองรูหูว่าไปว่าอีกฝ่ายก่อนมันยังทำเนียนไม่รับ “ว่าแต่ใครวะ? ไปทำอะไรที่เยอรมัน”

“น้อยหน่าไง ตอนนี้เป็นแอร์ฯ อยู่คงบินไปที่นั่นแล้วเลยเที่ยวน่ะ”

“น้อยหน่า? น้อยหน่า...” มะเหมี่ยวทวนชื่อนั้นช้าๆ “ใครวะ? ไม่เห็นรู้จัก” พริกส่ายหน้าช้าๆ กับเรื่องความจำบางอย่างของมะเหมี่ยว แต่เอาเถอะเพื่อนเขาก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว อันไหนอยากจำก็จำ อันไหนไม่อยากจำก็ไม่จำ

“ก็เพื่อนของชมพู่ที่เซนต์บอสซั่มไง” พริกย้อนอดีตให้มะเหมี่ยวแต่ดูท่าจะย้อนไปไกลสักหน่อยมะเหมี่ยวเลยอึ้งไปนาน

“อ๋อ...ย้อนไปซะไกลเลยนะแก บอกว่ากิ๊กเก่าของแกฉันก็พอนึกออกหรอก...” มะเหมี่ยวส่งสายตาล้อเลียนมาให้พริกจนพริกต้องยกเท้าถีบเบาๆที่ต้นขาของเขา

“ทำเป็นโกรธ..อิโธ่! ก็ว่าแล้วทำไมถึงแว้ด ๆ ได้ขนาดนั้น...ขอสายพริก บอกว่าหน่าโทรมา” มะเหมี่ยวเลียนเสียงของนานาตอนที่เธอขอสายพริก พริกแค่ยิ้มแล้วก็ส่ายหน้าเอือมๆ นี่ขนาดนานาที่ไม่มีคดีติดตัวมะเหมี่ยวยังแปลงสาส์นได้ขนาดนี้แล้วเขาล่ะจะเหลืออะไร งานนี้สงบปากไว้ดีกว่า

“เอ่อ...ว่าแต่คุยกับพู่เป็นไงบ้างวะ แอบเงียบเชียบเชียวนะแก เล่ามาให้หมดเลย....” มะเหมี่ยวเค้นคอเพื่อนรัก แต่พริกเฉยเลี่ยงไม่สนใจ มะเหมี่ยวทำเสียงขัดใจ ก่อนจะจิบเบียร์เงียบๆ ส่วนพริกเขานั่งคิดถึงเรื่องเมื่อกลางวัน

ช่วงเวลาที่เขาคุยกับชมพู่...................


center>

(ย้อนกลับไปตอน 9.00 น.)

เสียงจากชั้นสองเงียบไปแล้ว มะเหมี่ยวก็นั่งอ่านหนังสือไม่สนใจอะไรอีก พริกสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ

เอาวะ!! มาถึงขั้นนี้แล้ว... จะอยู่จะตายยังไงก็ต้องเสี่ยง

พริกหย่อนกายลงนั่งที่เบาะนุ่มเอนตัวพิงระแนงไม้ที่กั้นเป็นระเบียง ทอดสายตามองไปที่สวนจำลองที่เขาทุ่มเงินตกแต่งให้มีบรรยากาศเหมือนในป่า มีธารน้ำจำลองไหลเอื่อย ๆ ด้วยแรงไฟฟ้า ในนั้นมีปลาหลายสายพันธุ์ที่เขาหามาปล่อยไว้

นิ้วเรียวกดโทรออกไปในหมายเลขสิบหลักที่ไปจิ๊กมาจากเครื่องของเพื่อนหน้าสวยเมื่อวานเย็น ยกเจ้าเครื่องสื่อสารขึ้นมาแนบหู ฟังเสียงเพลงรอสายท่วงทำนองเพลงสากลหวาน ๆ นั้นด้วยใจระทึก ในหัวคิดสาระตะว่าจะทักทายเธอด้วยคำพูดไหนดี? ถามไถ่เธอด้วยเรื่องอะไรบ้าง?

(สวัสดีค่ะ) เสียงหวานๆ ของปลายสายทำเอาหัวใจที่เต้นเร็วอยู่แล้วยิ่งรัวจังหวะขึ้นอีก ลมหายใจของพริกเหมือนจะติดขัด สงสัยงานนี้คงต้องให้เพื่อนรักตรวจอาการเป็นแน่แท้...

(ฮัลโหล... สวัสดีค่ะ...) ชมพู่กรอกเสียงทักทายย้ำเข้ามาอีกทีเมื่อเห็นว่าฝ่ายที่โทรเข้ามาไม่ทักเธอตอบ เบอร์ที่โชว์เข้ามาตอนแรกทำเอาร่างของเธอแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ อยากจะกระโดดไปรอบบ้านเพราะเธอจำได้ดีว่าหมายเลขสิบหลักที่โชว์อยู่นั้นเป็นเบอร์ของใคร...

แต่พอเธอทักกลับไปแล้วไม่มีคนตอบกลับมานี่สิ มันทำเอาเธอใจแป้วไปซะแล้ว... หรือว่าไม่ใช่เขา

(พริก?) เสียงหวานของเธอเอ่ยเรียกชื่อ... เจ้าของชื่อหลับตานิ่ง ซึมซับความรู้สึกนี้ไว้ในหัวใจ

นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ยินเสียงของเธอเรียกชื่อเขา... เสียงหวานที่ดังอยู่นี้หากมันมากระซิบแผ่วอยู่ที่ข้างกายเขาจริง ๆ ไม่ใช่ผ่านโทรศัพท์เหมือนวันเก่าก่อนมันจะดีแค่ไหนกัน

(ได้ยินหรือเปล่าคะ?) เธอถามย้ำมาอีก... ชมพู่เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคนที่โทรมานั้นใช่พริกหรือเปล่า เพราะอีกฝ่ายเงียบจนเธอใจหาย หรือว่าจะไม่ใช่เขา แค่คนโทรผิด? คิดได้เท่านั้นหัวใจที่เคยพองคับอกมันก็เริ่มฟีบเล็กเหมือนถูกเจาะเอาลมออก...

(เอ่อ... ถ้าไม่ได้ยินยังไงขอวางนะคะ) คงไม่ใช่เขา

แต่ก่อนที่เธอจะลดโทรศัพท์มือถือลงจากหูเสียงเรียบนุ่มของคนที่โทรเข้ามาก็ดังขึ้น

หัวใจที่มันแห้งแล้งมานานปี ตอนนี้มันเหมือนมีสายฝนโปรยปรายลงมาให้ความชุ่มชื่น ดอกไม้ที่ไม่เคยเบ่งบานมันกับผลิดอกสว่างไสว เพียงแค่คำพูดเดียวที่เหมือนเสียงกระซิบแผ่วนั้น...

“คิดถึง…”

ฝ่ายคนพูดนั้นตอนนี้นั่งซุกใบหน้ากับเข่าที่ยกชันขึ้นมา ซ่อนใบหน้าแดงระเรื่อนั้นไว้ มืออีกข้างก็ยกขึ้นมาขยุ้มผมบนศีรษะจนยุ่งเหยิง โยกตัวช้าๆ ก่อนจะหยุดนิ่ง และเอนกายพิงระแนงไม้อีกครั้ง ใบหน้าเชิดขึ้น หลับตาพริ้มเพื่อให้ตัวเองจินตนาการถึงใบหน้าสวยหวานที่ตัวเองแสนจะคิดถึง

“คิดถึง...มากเลยค่ะพู่” และในวินาทีต่อมาเขาก็จินตนาการได้ว่าเธออยู่ในสภาพใบหน้าแดงระเรื่อ ยิ้มหวานอย่างขัดเขินเหมือนกับที่เขาเคยเห็นเมื่อวันวาน พริกฉีกยิ้มออกทีละนิด... ทีละนิดเมื่อได้ยินถ่อยคำต่อมาของอีกฝ่าย

(คิดถึงแล้วทำไมไม่มาหาพู่ล่ะ..คนใจร้าย!!)



center>

ซาน้อยผู้ใสซื่อ : มีคำถามขอรับ (ยกมือขึ้นสุดแขน)

พริกและมะเหมี่ยว : (เมินหน้าหนีประมาณว่าตูไม่อยากยุ่งกะมัน)

ไอย์ : (นั่งมองเฉยๆ)

ซาน้อยผู้ใส่ซื่อ : “พี่เกลียดผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของพี่ พี่เกลียดผู้หญิงทุกคนที่คิดจะผูกมัดพี่” ประโยคเนี่ย รวมไปถึงผู้ชายด้วยปะขอรับท่านพี่ไอย์...หรือว่า ไม่...

ไอย์ : -’’-+ (ชิ้ง!!)

พริกและมะเหมี่ยว : ฮา!!

ซาน้อยไม่ได้ทำไรผิดนะ กะแค่สงสัยนี่นา... ส่วนไอ้สวยน่ะเร๊อะ... มันกำลังวางแผนฆ่าซาน้อยอยู่อะนะ...แต่ไม่มีทางหร๊อก เพราะซาน้อยน่ะ ใสซื่อ... คิกๆ





< ตอนที่ 3 .....................................................................................









 

Create Date : 26 เมษายน 2552
4 comments
Last Update : 31 พฤษภาคม 2552 13:49:54 น.
Counter : 863 Pageviews.

 

รอๆๆๆ




อิอิ

 

โดย: MIwZ IP: 61.19.65.122 1 พฤษภาคม 2552 10:59:58 น.  

 

รอนะค่ะ

แต่งแต่ละเรื่องได้น่ารักมากๆเลยค่ะ

^^

มีพรสวรรค์นะค่ะเนี่ย
น่ารักจริงๆค่ะ

 

โดย: aeummy IP: 125.25.83.157 7 พฤษภาคม 2552 16:00:52 น.  

 

รอๆๆๆ มาเถอะค่ะ มาอย่างใสซื่อก็ได้ท่านซาเคียว

 

โดย: ^^ IP: 129.2.165.103 14 พฤษภาคม 2552 13:10:06 น.  

 

waitin yu na ka..

 

โดย: PB IP: 10.200.208.4, 125.236.44.42 21 พฤษภาคม 2552 7:02:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


samurai_KYO
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"ข้าคือ...มิบุ ซา'เคียว"

Friends' blogs
[Add samurai_KYO's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.