ข้าคือ Sa'kyo
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
26 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 
-Love is...- Vol.3 (5)

"...ข้าฆ่าเจ้าแน่ ถ้าเจ้าไม่เม้นต์..."




Love is… vol.3 /5

...................................................................................................................................................

(บ้านฉันยังไม่พัง?)

“เออ”

(สะอาดเรียบร้อยดี?)

“ก็...เออ”

(ไม่มีปัญหาอะไรนะ)

“มันกำลังจะมีแล้วล่ะ ถ้าแกยังไม่หยุดเซ้าซี้นะไอ้ลิงเกษตรกร” มะเหมี่ยวพูดเสียงติดรำคาญปนข่มขู่ เขาสะดุ้งตื่นหลังจากแอบงีบกลางวันไม่ถึงชั่วโมงเพราะได้เสียงโทรศัพท์บ้านที่ดังกริ้ง ๆ ทรมานหู

(ก็ฉันห่วงบ้าน... ฉันจะกลับเย็นวันนี้แหละ)

“อ่าว! ไม่รอเจอชมพู่เหรอ...” มะเหมี่ยวถามเมื่อเพื่อนรักบอกกำหนดการกลับจากค่ายอาสาพัฒนา

(ไม่หรอก กว่าพู่จะมาก็อาทิตย์หน้า)

“โอ๋ๆ น้องพริกไม่ต้องเสียใจนะ อกพี่เหมี่ยวยังมีให้ซบ คิดครั้งละ10 ยูโร” ว่าแล้วก็หัวเราะเยาะที่ดวงของเพื่อนรักคลาดกับน้องสาวเขาซะทุกครั้ง แต่แล้วอยู่ๆ ก็หัวเราะค้างเมื่อได้ยินคำตอบของพริก

(พู่เขาลางานสองวันหลังจากเสร็จกิจกรรมแจกหนังสือรวมวันอาทิตย์อีกหนึ่ง บวกวันหยุดนักขัตฤกษ์ ก็...สี่วัน เขาจะเที่ยวเชียงใหม่) น้ำเสียงของพริกทำเอามะเหมี่ยวเบะปากขยับปากขมุบขมิบอย่างหมั่นไส้

“เออๆ ไม่มีอะไรก็แค่นี้แหละจะหาอะไรกิน...” เขาไม่รอให้พริกพูดอะไรอีกก็วางหูดังกริ๊ก ไม่รอเอ่ยล่ำลาอะไรทั้งนั้นแหละ...จนอีกฝ่ายส่ายหน้าระอา

ชิส์! แค่สาวจะมาทำเป็นระริกระรี้ หมั่นไส้...

คิดแล้วก็แอบหงุดหงิดคว้าลูกดอกมาปาใส่เป้าฆ่าเวลาเล่นจินตนาการว่ากำลังปาใส่หน้าเพื่อนรักอยู่...แต่พอกำลังเพ่งสมาธิอยู่ดีๆ ก็เป็นอันต้องสะดุ้งโหย่ง...

บอกได้เลยว่าสิ่งเดียวในบ้านของพริกที่สามารถทำให้คนประสาทแข็งอย่างเขาผวาได้ก็คือไอ้โทรศัพท์บ้านเครื่องสีดำนี่แหละ... ไม่ว่าจะยามหลับ ยามตื่น ยามฟื้นมาเข้าห้องน้ำ หรือยามที่พยายามจะไม่สนใจมัน แต่มันก็ทำให้มะเหมี่ยวสมาธิเสียได้ทุกครั้งที่มันแผดเสียงแจ๊ด ๆ ขึ้นทุกทีสินา

แล้วมาดูกันสิว่าคราวนี้มันผีตัวไหนที่มาหลอกมาหลอนเขา ถ้าเป็นไอ้ลิงแสบตัวเดิม...เขาจะตามไปเลาะเส้นเอ็นมันออกมาต้มกินเหมือนเส้นมาม่าเลยคอยดู ส่วนถ้าเป็นไอ้สวยละก็...รับรองยัยน้องยุยได้เป็นหม้ายสามีตายแน่...

“...” มะเหมี่ยวยกหูขึ้นกำลังจะแว้กกลับแต่เสียงทางปลายสายก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน

(พริก!! ตอนนี้หน่าอยู่ที่โรมอยากได้อะไรเป็นของฝากมั้ย? แล้วพอดีว่าอาทิตย์หน้าจะต้องบินไปแถวประเทศทางอาหรับจะเอาอะไรหรือเปล่า? มันมีของเยอะมากกกก จนหน่าเลือกไม่ถูก เลยโทรมาถาม เมื่อกี้ก็โทรเข้ามือถือแต่ไม่มีใครรับ เอาโทรศัพท์วางทิ้งอีกแล้วล่ะสิ... อืม..ใช่! อาทิตน์หน้าหน่าหยุดสามวันว่าจะขึ้นไปเที่ยวเชียงใหม่ ฝากตัวล่วงหน้าเลยนะ... แล้วนี่เป็นอะไรเนี่ยเงียบเชียบเชียว”

แล้วนี้เป็นอะไรเนี่ยเงียบเชียบเชียว? เปิดช่องว่างให้ฉันพูดบ้างไหมล่ะ...ยัยนี่

“หยุดพักหายใจระหว่างพูดบ้างก็ได้นะ... เดี๋ยวเกิดหายใจไม่ทันลิ้นจุกปากชักดิ้นชักงอตายก่อนจะได้เอาผ้าลูกไม้จากโรมหรือชุดสาวอาหรับมาฝากไอ้พริก กลายเป็นผีไม่มีใครเขาอยากเจอหรอกนะจะบอกให้...” จบคำพูดกระแนะกระแหนของมะเหมี่ยวปลายสายถึงกับนิ่งไปราวๆ เกือบหนึ่งนาทีก่อนที่มะเหมี่ยวจะโยนกระบอกโทรศัพท์ทิ้งจนสายหลุดไป...

ก็ไอ้เสียงกรี๊ดที่มันดังทะลุออกมานั่นนะสิมันทำเอาแก้วหูของเขาแทบร้าว นี่ขนาดอยู่ไกลกันค่อนโลกนะเนี่ยแม่นางยังกรี๊ดได้ทรมานกระดูกสามชิ้นในหูขนาดนี้ ถ้าเกิดวันดีคืนดีมายืนแหกปากใกล้ๆ เขาคงหูแตกตาย

“ยัยแปร๊ดโทรโข่งความถี่สูงเอ้ย!” มะเหมี่ยวบ่น มองกระบอกโทรศัพท์ที่ห้อยต่องแต่ง เขาไม่คิดจะเก็บมันวางไว้บนแป้น ปล่อยให้มันครางเสียง ตืด ๆ ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ

ถ้าวางเกิดยัยประสาทนั่นโทรมากรี๊ดใส่อีกคราวนี้พ่อเขาคงได้มีลูกพิการหูหนวกกันพอดี... ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องมีใครโทรเข้ามาให้รำคาญอีก... สบายข้าล่ะ




น้อยหน่ายืนเพ่งมองโทรศัพท์มือถือราวกับจะทำให้มันลุกเป็นไฟไหม้ให้เป็นจุนไปซะเดี๋ยวนั้น หลังจากที่รู้ว่าตัวเองกรี๊ดใส่โทรศัพท์ที่ถูกตัดสาย...

มันน่าโมโหนัก ยิ่งคิดถึงไอ้คำพูดและน้ำเสียงกวนประสาทที่กระแนะกระแหนเธอยิ่งโมโห....

ไอ้หมอบ้า สงสัยใช้ปากผ่าตัดคนไข้ล่ะสิถึงได้ถอดสำเนาถูกต้องของมีดกับกรรไกรมาอย่างนี้ ปากจัด..

“นานา...เธอเป็นอะไรนะ ฉันเห็นเธอกรี๊ดๆ ใส่โทรศัพท์จนคนมองกันหมด...” เพื่อนร่วมอาชีพถาม น้อยหน่าหรือนานาเม้มปากก่อนจะส่ายหน้า และเดินจ้ำอ้าวออกจากบริเวณนั้น... ยิ่งคิดยิ่งแค้นอย่าให้แม่เห็นนะ จะเอาดินยัดปากให้พูดไม่ออกเลย...

“ฉันไม่รู้จะซื้ออะไรกลับเมืองไทย เอาไงดีละหวาน” น้อยหน่าหันมาถามเมื่อเดินออกมาไกลจากบริเวณเมื่อสักครู่แล้ว

“ฉันก็ไม่รู้จะซื้ออะไรเหมือนกันแก...มาบ่อยแล้ว เอ่อใช่!! ฉันว่าจะไปดูเขาทำผ้าลูกไม้ไปมั้ยนานา”

“ผ้าลูกไม้เหรอ?” น้อยหน่าเกือบจะส่ายหน้าเพราะดันไปนึกถึงไอ้ถ้อยคำที่ทำให้เธอเดือดปุดๆ แต่สุดท้ายก็ต้องเดินตามหวานไป เพราะสายตาไปปะทะเข้ากับร้านของผ้าลูกไม้ซึ่งมีชื่อมากในโรม

“สวยจังเลยอะหวาน...”

“พวกนี้ไม่เท่าไหร่ ต้องไปดูที่เขาปักมือกันก่อน แล้วแกจะอยากเสียเงินซื้อ” ว่าแล้วหวานก็พาน้อยหน่าเดินไปตามถนนเลียบแม่น้ำกลางเมืองของอิตาลีบ้านทรงยุโรปโบราณทาสีสวยสดใสช่างดึงดูดสายตา แต่ทว่าสองสาวมาเดินกันบ่อยจึงชินเสียแล้ว

“ถึงแล้วๆ” แม้หวานจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่น้อยหน้าก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปรกติจากเดิมเท่าไหร่นัก ที่เธอเห็นก็มีเพียงหญิงวัยกลางคน และหญิงชราสองสามคนนั่งปักอะไรอยู่สักอย่าง

“นี่ไงล่ะผ้าลูกไมแบบทำมือ ที่เราเห็นเมื่อกี้น่ะเขาใช้เครื่องทอลายมันจะคล้ายๆ กันแล้วก็ละเอียดสู้ปักมือไม่ได้หรอก...” หวานอธิบาย น้อยหน่าเดินเข้าไปใกล้ๆ หญิงกลุ่มนั้นก่อนจะทักทายเธอสองสามคำและถามเกี่ยวผ้าลูกไม้ที่ทั้งสี่คนทำอยู่

มันเป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับเธอมาก ลวดลายงดงามบนผ้าบางเบานั้นสวยจนเธอเผลอเหม่อมองมันตาไม่กระพริบ กว่าที่จะปักเป็นผืนต้องใช้เวลานานไม่ต่ำกว่าสามเดือนหากเป็นชิ้นไม่ใหญ่มาก... ส่วนอีกชิ้นหนึ่งน้อยหน่าถึงขั้นกับเสนอราคาที่คิดเป็นเงินไทยแล้วเกือบแสนบาทเพื่อแลกกับมันเลยทีเดียว แต่ มอริสหญิงชราเจ้าของผ้าเธอไม่ขาย

เธอปักมันมาสี่ปีแล้วเพื่อจะเป็นของขวัญวันแต่งงานให้กับหลานสาวของเธอ มอริสจะใช้ผ้าลูกไม้นี้เป็นผ้าคลุมศีรษะเจ้าสาว คนสวยถึงกับหน้าเศร้า...

แล้วสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นสมุดภาพเล่มหนึ่ง เธอและหวานของอนุญาตเปิดดูมัน และไม่ผิดหวังในนั้นมีรูปลวดลายของผ้าลูกไม้อยู่มากมาย และน้อยหน้าก็ไปเจอลายหนึ่งที่ถูกใจเธอเหลือเกิน ลายดอกคาเนชั่น เธอจึงสื่อสารกับหญิงเจ้าของสมุด ได้ความว่า เธอรับปักผ้าลูกไม้ขาย แต่คนที่สั่งจะต้องรอเป็นเวลานานและราคาสูง ดังนั้นเธอจึงปักตามลวดลายในเล่มไปเรื่อย ๆ หากมีใครสนใจจะซื้อเธอก็ยินดีขาย แต่ต้องแลกกับเวลาที่ยาวนานบางชิ้นก็เป็นปีทีเดียว

น้อยหน้าจึงไม่รอช้า เธอชี้ให้เนวาดูรูปที่เธอถูกใจ และต้องการมัน รูปดอกคาเนชั่นสีชมพูอ่อนเธออยากให้เนวาปักให้

“คุณต้องรอถึงหนึ่งปีนะคะสำหรับลายนี้ ฉันเคยปักชิ้นหนึ่งก่อนหน้านี้ใช้เวลาประมาณนั้น”

“แล้วชิ้นที่เสร็จแล้วไปไหนล่ะคะ? ฉันขอซื้อได้มั้ย?” เนวาส่ายหน้า

“มีคนซื้อไปแล้วค่ะ เธอเป็นคนไทยมาเที่ยวที่นี้เมื่อสองเดือนที่แล้ว...”

“ฉันเห็นผ้าชิ้นนั้นนะ มันสวยมากพื้นผ้าเป็นสีขาวมีไหมสีชมพู่อ่อนแซมปักเป็นรูปดอกคาเนชั่น... เนวาเป็นคนที่มีฝีมือรับรองว่าคุณไม่ผิดหวัง” หญิงชราอีกคนกล่าวชม

“แต่ฉันไม่อยากได้ลายที่ซ้ำกันนี่คะ”

“ถ้าเป็นลายที่คู่กันล่ะ?” นอริสเอ่ยถามขึ้น หวานก็เห็นด้วย เธอรีบช่วย้ชียร์ให้เพื่อนตัดสินใจ9d]’

“ฉันก็ว่าดีนะ ไม่ซ้ำแต่คู่กันเลย โรแมนติคดีออก”

“แล้วมันเป็นลายอะไรคะ?”

“ลายผีเสื้อสีชมพูอมม่วง” เนวาตอบ เธอพลิกแบบให้น้อยหน่าดู

มันเป็นผ้าลายลูกไม้พื้นสีขาวและมีรูปของผีเสื้อปักด้วยไหมสีชมพูอมม่วงค่อนอยู่มุมทั้งสองด้านของผ้าลูกไม้...

“ถ้าเอาผ้าสองชิ้นมาวางซ้อนกัน ลายที่ฉันปักไว้มันจะซ้อนทับกันได้พอดี และตรงนี้จะกลายเป็นรูปผีเสื้อที่กำลังบินอยู่ใกล้ๆ ดอกคาเนชั่นเป็นคู่พอดีกันค่ะ...”

“อ่าวฉันนึกว่ามันจะทับกันซะอีก...”

“ไม่ค่ะเพราะผีเสื้อจะถูกปักให้เหนือดอกไม้นิดหน่อย...” เนวาอธิบายคำถามของหวานพร้อมรอยยิ้ม แต่น้อยหน่ายังนิ่งอยู่ เธอกำลังจินตนาการภาพที่เนวาอธิบายให้ฟัง

พระเจ้า! มันต้องสวยมากแน่

“คุณขายเท่าไหร่คะถ้าฉันให้คุณปัก” น่อยหน่าถามราคา เนวาคิดเล็กน้อยก่อนจะยิ้มอ่อนหวาน

“ฉันจะคิดเท่ากับคุณผู้หญิงที่ซื้อไปก่อนหน้านี้ดีมั้ยคะ เพราะยังไงมันก็คู่กัน” สนนราคาของผ้าพอคิดเป็นเงินไทยแล้วอยู่ที่ราวๆ ห้าหมื่นกว่าบาท... แต่สาวสวยไม่เสียดายเลย เธอชอบมันมาก...

เนวาไม่รับเงินมัดจำเมื่อน้อยหน่าเสนอ เธอบอกว่ารอให้ผ้าเสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน น้อยหน่าจึงตกลง เพราะหากถึงตอนนั้นเธอไม่อยากได้ก็ไม่ต้องเสียเงิน เนวาก็ไม่ต้องเสียของ แต่ถ้าไม่เปลี่ยนใจเธอก็แค่ยอมเสียเวลาบินมาเอาผ้าที่นี่ ไม่ก็แลกไฟล์บินกับเพื่อน...

หลังจากที่ได้ของถูกใจแล้วสองสาวก็กลับที่พัก แวะทานอาหารอิตาเลี่ยนก่อนเข้าโรงแรม ตลอดเวลาน้อยหน่าคิดเสมอว่า ใครกันนะที่ชิงตัดหน้าซื้อผ้าชิ้นนั้นไปถ้าได้เจอกันก็ดีสิเธออยากลองเอาผ้าทั้งสองชิ้นมาวางซ้อนทับกันของจริงจะสวยเหมือนกับจินตนาการของเธอหรือเปล่า? เธออยากเห็นจริงๆ




“เหมี่ยวฉันจะออกไปรับพู่นะ แกดูบ้านให้ฉันด้วย”

“ไม่ใช่หมาเฝ้าบ้าน” มะเหมี่ยวที่นอนเอกเขนกอยู่ที่โซฟาหวายกลางห้องรับแขกตอบ ในมือของเขามีหนังสืออ่านเล่นกางอยู่ พริกส่ายหน้า...ตั้งท่าจะเดินเลยออกไป อย่าไปสนใจมันมาก แค่อาทิตย์กว่าๆ ที่มันอยู่ด้วยเขาก็จะประสาทกินอยู่แล้ว...

“อ่อ...” พริกนึกได้เลยพูดขึ้นอีก “แล้วขอร้องล่ะนะ โทรศัพท์บ้านน่ะ ถ้าไม่อยากรับก็อย่ารับปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้นแหละ อย่ายกหูทิ้งเหมือนคราวที่แล้ว”

“เออ...” มะเหมี่ยวรับคำง่ายๆ

พริกส่ายหน้าช้าๆ ระอาจริงจริ๊งกับไอ้เพื่อนคนนี้ เมื่อไหร่มันจะเป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียที เมื่ออาทิตย์ก่อนเขากลับจากเข้าค่ายอาสาพัฒนาเจอโทรศัพท์บ้านห้อยต่องแต่งมันเป็นเหตุผลที่ดีที่ตอบเขาว่าทำไมเขาถึงโทรเข้าบ้านแล้วสายไม่ว่างตลอด...

และพอเขายกหูวางกลับที่เดิมเท่านั้นแหละ มันก็กรีดร้องขึ้น พอรับสาย โอ้ว! แม่เจ้าโว้ย! พริกนึกว่าสงครามโลกครั้งที่สามกำลังระอุ ปลายสายสาดคำด่าชนิดที่เรียกว่าสาดน้ำสงกรานต์ยังเทียบไม่ได้... กว่าจะตั้งสติเคลียร์กับอีกสายรู้เรื่องก็ทำเอาหูขวาอัมพาตชั่วคราวไปเลย

ไอ้ตัวต้นเหตุที่ชักศึกเข้าบ้านเขานะเหรอ...โน้น... นั่งเล่นเกมส์เพลฯ สบายใจเฉิบในห้องนอน...

ไม่ถูกกันอะไรจะปานนั้นนี่ขนาดไม่เคยเจอหน้ากันนะยังขนาดนี้ถ้าเจอหน้ากันคนกลางอย่างเขาคงขอฮาราคีรีตัวเองก่อนใครเพื่อน เหนื่อยใจล่วงหน้า...

“มะรืนนี้ขออย่าให้บ้านลูกพังเล้ย...เจ้าที่เจ้าทางช่วยคุ้มครองบ้านลูกด้วยเถอะ” พริกเดินมาหยุดไหว้ศาลพระภูมิที่หน้าบ้าน เพราะเขารู้กำหนดการแล้วว่ามะรืนเช้าน้อยหน่าจะมาเที่ยวที่เชียงใหม่...

ความสงบสุขของข้าราชการจนๆ ของเขาคงไม่เหลือแล้วล่ะ



พริกไปรับชมพู่ที่สนามบิน ขากลับแวะซื้อของที่ตลาดเพราะชมพู่ว่าเธอจะทำอาหารเย็นเอง ส่วนกลางวันนั้นแวะซื้อของสำเร็จรูปเป็นแกงพื้นบ้านและน้ำพริกต่างๆ พอไปถึงก็พูดคุยกันอีกนิดหน่อย มะเหมี่ยวก็ไม่ได้กวนประสาทอะไรอย่างที่พริกระแวง ทุกอย่างเป็นอย่างเรียบๆ เรื่อยๆ สบายๆ ไม่มีอะไรที่เป็นตามอย่างที่เขาคิดสักอย่าง

ที่ดูจะตรงในความคิดสักหน่อยก็คงจะเป็น...ตอนเขาเจอเธออีกครั้งละมั้ง... ความดีใจ ความสุขใจ ความตื่นเต้น... แต่ก็เท่านั้น และไม่มีอะไรมากกว่านั้น ชมพู่ก็ไม่ได้มีอาการอะไรที่จะดูต่างจากปรกติ เธอดูดีใจที่ได้เจอเขาก็จริง แต่นอกนั้นก็ปรกติดีทุกอย่าง...

ปรกติจนเขาไม่ค่อยจะปลื้ม!

“เป็นอะไรของแกไอ้ลิง!” พริกส่ายหน้ากับคำถามของเพื่อนรัก มะเหมี่ยวไหวไหล่ทำท่าไม่แยแสเมื่อเห็นว่าพริกไม่ตอบอะไร ถึงไม่ตอบเหมี่ยวก็เดาได้ เขาน่ะนกรู้จะตาย

“มานั่งทำหน้าเหมื่อยอย่างนี้เดี๋ยวน้องฉันก็นึกว่าแกไม่อยากให้มากหรอก พู่ยิ่งนักคิด(แง่ลบ)อยู่ด้วย”

“ฉันไม่รู้จะทำอะไรนี่หว่า” พริกหมายความตามที่พูดจริงๆ เพราะระหว่างเขากับชมพู่มันดูเรื่อยๆเรียบๆ อย่างที่ไม่น่าจะเป็น หรือเพราะอะไรๆ มันเปลี่ยนไปแล้ว

“ถามหน่อยดิ เรื่องกิ๊กโทรโข่งของแกน่ะจบไปยังวะ” มะเหมี่ยวถามทำเอาพริกขมวดคิ้ว กิ๊กโทรโข่ง?

“ก็ยังลั่นแปร๊ดๆนั่นไง” พริกเข้าใจละ จะเรียกชื่อน้อยหน่าดีดีก็ไม่ได้ไอ้หมอนี่

“เราเป็นเพื่อนกันนะ...ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก”

“แล้วน้องฉันเขารู้หรือเปล่า?”

“รู้สิ...ฉันบอกเขาหมดแล้ว...เขารู้ก่อนหน้านี้อีก หน่าเขียนเมลล์ไปอธิบาย” พริกว่า คุณหมอหน้าสวยก็แค่พยักหน้า... “เหมี่ยว...”

“ถ้าจะบอกรัก...เก็บไว้ก่อนนะฉันยังไม่นิยมลิงเกษตร”

“พูดดีๆ ให้เหมือนคนเขาสักครั้งหนึ่งไม่ได้เหรอวะเหมี่ยว...กวนประสาทอยู่เรื่อย” พริกบ่นอย่างเอือมระอา... เขาล่ะหน่ายไอ้เพื่อนคนนี้จริงๆ

“คลายเครียดน่า”

“คลายกันจนเครียดไปหมดแล้ว”

“เออ ๆ มีอะไรก็ว่ามา บอกไว้ก่อนนะเว้ย...ฉันเป็นศัลยแพทย์ ไม่ใช่จิตแพทย์จะได้รับปรึกษาปัญหาทุกประเภท”

“รู้น่า...” พริกตีหน้ารำคาญนิดๆ มะเหมี่ยวพิงผนังไม้หันหน้าออกไปทางนอกระเบียงมองธารน้ำจำลองที่ไหลเอื่อยๆ นั้น

“ฉัน..ไม่รู้สินะ...ฉันคิดว่าฉันกับชมพู่ปรกติเกินไป ปรกติจนผิดปรกติ” พริกเอ่ยเบาๆ มะเหมี่ยวหน้าเบ้ มันสอนนักเรียนจนเพี้ยนใช่มั้ยเนี่ยถึงได้พูดอะไรแบบนี้

“ฉันว่าฉันไปช่วยพู่เตรียมของว่างดีกว่าว่ะ ก่อนจะเพี้ยนไปกับแก” มะเหมี่ยวทำท่าจะหนีเอาซะดื้อๆ พริกจึงเอาหมอนพิงปาใส่

“ไอ้นี่...ฉันไม่รู้จะพูดยังไงดีนี่หว่า... มันยังไงล่ะ...คือ มันเหมือนกับว่าฉันกับพู่ไม่เคยมีเรื่องอะไรทำนองนั้นเกิดขึ้นอย่างนั้นแหละ” มะเหมี่ยวเท้าคางมองพริก ปล่อยให้พริกพูดตามสบาย “เหมือนกับว่าเราไม่ได้เลิกกัน เราไม่ได้เข้าใจผิดกัน เราคุยกันเรื่อยๆ ปรกติ ซึ่งมันไม่ปรกติ...ทั้งๆ ที่ฉันคิดว่าฉันกับพู่คงต้องคุยกันหลายเรื่อง อย่างน้อยๆ ก็เคลียร์กันเรื่องน้อยหน่าอีกครั้ง แล้วก็คุยกันเรื่องคบกัน แต่..ไม่รู้สิเหมือนมันข้ามอะไรไปสักอย่าง”

มะเหมี่ยวพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ยังไม่พูดอะไรอยู่ดี ในหัวมีคำพูดผุดขึ้นมา หากพริกรู้ต้องตบกะโหลกเขาจนสมองไหลแน่... เพราะคำนั้นก็คือ... ไอ้ประสาท!

“แกคิดว่าไง?” มะเหมี่ยวส่ายหน้าทันที “ช่วยได้มาก” พริกกัดฟัน มะเหมี่ยวหัวเราะ

“จะให้พูดอะไรวะ ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่ไม่ได้พูดอะไรมากมายให้เสียเวลาน่ะ”

“ก็ใช่...แต่ฉันเหมือนว่ามันไม่เคลียร์ยังไงไม่รู้”

“แล้วเรื่องอะไรล่ะที่ว่าไม่เคลียร์” พริกส่ายหน้ากับคำถามของมะเหมี่ยว

“นี่ คนฉลาดอย่างฉันจะบอกอะไรให้นะ กับเรื่องบางเรื่องคนบางคนเขาไม่อยากพูดซ้ำบ่อยๆ หรอก อย่างเรื่องกิ๊กเก่าแกเนี่ยในเมื่อแกบอกว่าเคลียร์ไปแล้วก็จบซะ จะมีอะไรมากล่ะ ฉันว่าที่เขานิ่งๆ เนี่ยอาจจะรอให้แกพูดอะไรก็ได้ ไม่ก็เขารอจะพูดอะไรสักอย่าง...ใช่มะ...ลองมานั่งคุยกันดูสิ มานั่งมองปลาหมอให้มันท้องน่ะจะได้อะไรขึ้นมา”

“นั่นมันปลาคาฟ...ที่สำคัญปลาหมอจ้องแล้วไม่ท้อง” พริกแก้คำเปรียบเทียบของมะเหมี่ยว

“ก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ” ตรงไหนที่มันบอกว่าเหมือน...ไอ้เพี้ยน “ยังไงก็แล้วแต่พวกแกละกัน ฉันไม่อยากปวดหัวด้วยว่ะ” ว่าแล้วมะเหมี่ยวก็ทำท่าจะลุกขึ้นเดินหนี พริกจึงเอ่ยขึ้น

“แล้วไหนแกว่าจะเอาคืนฉันไง?”

“เอาเรื่องพู่ให้รอดก่อนเถอะ ก่อนที่จะมาระแวงฉันน่ะ” เออแนะ...มันย้อนได้แสบ

พริกส่ายหน้าปลงๆ มะเหมี่ยวเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้ว เขานั่งมองธารน้ำแรงไหลเอื่อยๆ ด้วยแรงไฟฟ้าคิดในสิ่งที่มะเหมี่ยวพูด แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคุณหมอโวยวาย ลองเอียงหูฟัง ถ้าตีเป็นหวยซื้องวดนี้เขาถูกแน่ เขาเดาว่าน้อยหน่าโทรมาและมะเหมี่ยวรับสายอีกแน่ๆ

“ให้ตาย!” ถึงปากเพื่อนรักจะเข้าข่ายปากเสียสักหน่อย แต่เพื่อนเขาพูดมันก็มีส่วนถูก

เขาจะมามัวคิดเล็กคิดเล็กคิดน้อยทำไม ในเมื่อทุกอย่างมันอยู่ตรงหน้าแล้ว ระหว่างพริกกับชมพู่มันผ่านจุดที่เรียกว่าเจ็บมาแล้ว ตอนนี้มันอยู่ในจุดอิ่มตัว อยู่ที่ว่าเราจะเลือกเดินไปทางไหนก็เท่านั้น

...ใช้เวลาที่ห่างกันทั้งหมดคิดเอาเองว่าแกรักน้องฉัน หรือเพราะไม่อยากอยู่คนเดียว ถ้าน้องฉันกลับไป แล้วแกยังยืนยันความรู้สึกว่าเหมือนเดิมกับที่บอกฉันเมื่อกี้ ฉันเชื่อว่า...พระเจ้าไม่ใจร้ายกับแกหรอก...

คำพูดของมะเหมี่ยวเมื่อหลายปีก่อนมันสะท้อนเข้ามาในหัวอีกครั้ง..ใช่สินะ เขาถามตัวเองมาตลอดตั้งแต่วันที่เธอจากไปวันแรกจนถึงทุกวันนี้เขารู้สึกยังไง... คำตอบมันก็ชัดอยู่ในหัวใจอยู่แล้ว... แล้วเขาจะมานั่งลังเลอะไรล่ะ

หลายปีก่อน...เขารักเธอ

ตอนนี้... เขาก็ยังคงรักเธอ...

ทางเดินมันชัดอยู่แล้ว....


“ยัยบ้า! กะอีแค่ของฝากมันจะเลือกยากอะไรนักหนา... อยู่อาหรับฯเธอจะเอาหิมะมาฝากเพื่อนฉันหรือไงวะเฮ้ย! สมองน่ะสมองคิดเซ้...” หวังว่าโทรศัพท์ของเขาจะไม่พังนะ พริกคิดเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนรักแผดออกมา

“แน่จริงก็รีบมาสิวะ พ่อจะเลาะฟันตัดลิ้นเย็บปากให้ดู!” และหวังว่าบ้านเขาจะไม่พังนะในอีกวันสองวันข้างหน้า... พริกให้กำลังใจตัวเอง...





“คิดอะไรอยู่คะ...” ชมพู่เดินมาทรุดนั่งบนเบาะรองนุ่งที่ระเบียงหลังบ้าน

เธอเพิ่งเคยมาบ้านที่เชียงใหม่ของพริก พอรู้คราวๆ ว่าบ้านหลังนี้เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปีกลายหลังจากที่พริกมาเป็นอาจารย์อยู่ที่เกือบสามปี เขาก็ตัดสินใจซื้อที่ดินที่นอกเมืองและสร้างบ้านทรงไทยประยุกหลังนี้...

“หลายอย่างค่ะ หนึ่งในนั้นก็คือว่าจะทำยังไงบ้านจะไม่ถูกพังตอนไอ้หมอกับหน่าเจอกันวันมะรืน...”

“นั่นสิปัญหาใหญ่เลยนะคะเนี่ย?” ว่าแล้วเธอก็ขำ ยิ่งคิดถึงตอนที่มะเหมี่ยวตั้งอกตั้งใจกวนประสาทน้อยหน่าที่โทรมาคุยกับพริกก็ยิ่งขำ ขนาดฝ่ายโน้นของคุยกับเธอมะเหมี่ยวก็ไม่ยอมให้คุยหน้าตาเฉย...ออกแนวกวนช่วยชาติเลยล่ะ

“ว่าแต่พู่เถอะค่ะ...เป็นไงบ้าง? บ้านสวยมั้ย?”

“ค่ะ...สวยมาก” ชมพู่ตอบตามจริง...”แล้วพริกล่ะคะ...เล่าให้ฟังบ้างสิเป็นอาจารย์เป็นไงบ้าง?” คำถามของเธอทำเอาเขาหัวเราะ

“ถ้าไม่ติดว่าลาออกแล้วจะไม่มีกินนะ จะลาออกให้รู้แล้วรู้รอดเลย”

“ทำไมล่ะคะ...พริกสอนเก่งนะ ตอนติวคณิตฯให้พู่เข้าใจง่ายออก” พู่พูดถึงเรื่องเก่าๆ ตั้งแต่สมัยเธอเปลี่ยนตัวกับมะเหมี่ยวโน้นเลยล่ะ เธอได้พริกช่วยเหลือหลายๆครั้ง

“ไม่ได้ง่ายอย่างนั้นแล้วพริกก็ไม่ได้สอนคณิตด้วย วิชาช่างน่ะละเอียดจะตายแถมพวกนักศึกษาก็เซี้ยวซะ... รู้งี้สมัยเรียนไม่แสบก็ดี เวรกรรมตามทันจริงๆ”

ชมพู่หัวเราะ “แต่คิดไม่ถึงจริงๆ นะคะที่พริกจะเป็นอาจารย์...ไม่ให้เลย”

“อ่าวๆ พูดอย่างนี้ก็สวยสิคะคุณ” พริกขยับตัวเข้าไปใกล้ชมพู่ก่อนจะพยายามคว้าร่างของเธอมากอดแต่เธอขยับตัวหนี

“ก็จริงนี่นา... ตอนแรกพู่คิดว่าพริกจะเป็นวิศวกรในบริษัทใหญ่ๆ ไม่ก็เป็นผู้รับเหมาอย่างไอย์ไปเลย ไม่คิดว่า...”

“ตอนแรกก็ตั้งใจอย่างนั้นอยู่” เขาว่า แต่ก็ขยับตัวไปนั่งใกล้ชมพู่ “แต่ตัดสินใจเรียนต่อเพราะหลงลมปากไอ้สวยมันน่ะสิ...” ถึงตรงนี้ก็คว้าหมับเอาร่างบางของชมพู่เข้ามาในอ้อมกอด...กอดเธอไว้แน่น

“พอเรียนจบป๊าก็ให้มาเป็นอาจารย์ที่นี่ เพิ่งได้บรรจุเมื่อปีที่แล้วเอง...ที่บ้านพริกรับราชการกันหมด มีแต่เฮียภีนั่นแหละที่ลาออกตำรวจไปช่วยเจ้ของพู่คุมคลับน่ะ” ชมพู่พยักหน้า กิจการของเจ้เจี๊ยบใหญ่มากตอนนี้สารวัตรภีมะเลยต้องออกไปช่วยภรรยา ที่สำคัญดูท่าถ้าเขายังเป็นตำรวจอยู่สักวันอาจจะได้ใช้อำนาจในทางที่ผิด เพราะภรรยาของเขาน่ะ ร้ายเหลือรับ

“แล้วพู่ล่ะคะ...เป็นยังไงบ้าง?” พริกถามพร้อมกับก้มลงสูดกลิ่นหอมที่แก้มนุ่มๆ ของเธอ...ชมพู่ไม่ได้ขัดขืนเธอยิ้มบางๆ

“ก็พอเรียนจบโทที่โน้นก็ทำงานที่สถานทูตอยู่สามปีค่ะ แล้วก็กลับมาที่เมืองไทยมาเป็นผู้ช่วย บ.ก.สองปีแล้ว”

“เงียบเลยนะคะ ไม่ติดต่อมาเลย...ไม่รู้หรือไงว่าพริกคิดถึงขนาดไหน” พริกอ้อน...รัดร่างบางของเธอไว้ในอ้อมกอด ขยับให้เธอมานั่งบนตักของตัวเอง

“ไม่กล้าโทรมานี่คะ...ไม่รู้ว่าพริกมีแฟนใหม่ไปหรือยัง ออกจะเสน่ห์แรงขนาดนี้...” สาวหน้าหวานหันมาค้อนงามๆ ใส่ ทำอาคนตาดุหมั่นไส้จนต้องกดจมูกหนักๆ ไปที่ซอกคอมหอมกรุ่นนั่นเล่นเอาเธอขนลุกซู่ทีเดียว

“เสน่ห์แรงที่ไหนล่ะ ก็รอแต่พู่คนเดียวนั่นแหละ...”

“จริ๊ง?” ชมพู่ทำเสียงสูง พริกทำเสียงจิ๊จ๊ะดูคุณเธอขยันทำให้เขาหมั่นเขี้ยวจริงๆ

“หมั่นเขี้ยว” ไม่พูดเปล่าพริกก็อ้าปากงับที่หัวไหล่ของเธอเบาให้พอจั๊กจี้มากกว่าเจ็บ เขารู้ดีว่าชมพู่ของเขาน่ะบ้าจี้

“บ้า! ไม่เอานะ...” ว่าไปก็หัวเราะไป แต่พริกไม่ฟังจับนั้นจูบนี่จนเธอหัวเราะไม่หยุดนั่นแหละถูกใจเขานักล่ะ ยิ่งเห็นเธอหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหลยิ่งสะใจ

“พอแล้ว พอแล้วค่ะ...ยอมแล้วๆ” ได้ยินคำนี้พริกก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำสายตากรุ่มกริ่มใส่เธอ แต่ชมพู่ไม่ทันสังเกต

“ยอมแล้วเหรอ” ชมพู่พยักหน้าขานรับเบาๆ “จริงนะ” พริกถามย้ำ เธอก็ยังคงพยักหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรงเพราะพลังทั้งหมดหายไปกับการหัวเราะ

พริกไม่รอช้าจะว่าเขาฉวยโอกาสก็ว่าเถอะ เรื่องเรื่องนี้เขารอมานานแล้ว รอนานจนหากต้องรออีกหนึ่งวินาทีเขาคงขาดใจตายแน่ๆ เขาแตะริมฝีปากกับเรียวปากของเธอแผ่วเบา นิ่งนาน ไม่ขยับอย่างที่ใจนึก ชมพู่นิ่งขึงทันที ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ถอนใบหน้าออกมา

“พู่ไม่มีใครใช่มั้ย?... ยังรอพริกเหมือนกับที่พริกรอพู่ใช่หรือเปล่า” เขาถามเธอเสียงเบา แตะหน้าผากกับหน้าผากของเธอ ชมพู่คลี่ยิ้มยกปลายนิ้วมาแตะแก้มขาวของพริกลูบไล้มันเบาๆ

“แล้วพู่จะมีใครล่ะคะ...ในเมื่อพู่คิดถึงพริกคนเดียวมาตลอด”

คำตอบของเธอทำเขายิ้มสวย... ก่อนจะจูบเธออย่างอ่อนโยน และคิดถึง ทุกสิ่งทุกอย่างแสดงออกมาด้วยหนึ่งจูบลึกซึ้งที่ทั้งสองรู้สึกแก่กัน...

ริมฝีปากค่อยๆ ขยับรับจังหวะซึ่งกันและกัน ลมหายใจที่สอดคล้อง... อ้อมกอดแสนอบอุ่นที่ถวิลหาทุกค่ำคืน...

พริกถอนจูบออก ทั้งคู่หอบหายใจ หน้าผากแตะกันอีกครั้ง ริมฝีปากแดงเจ่อคลี่ยิ้มให้กันและกัน ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายเริ่มจูบเธออีกครั้ง... อีกครั้ง... และอีกครั้ง...

จะไม่ปล่อยให้เธอหลุดมือไปไหนอีกแล้ว...




ช่วงอาหารค่ำหมดไปแล้วตอนนี้ถึงเวลานั่งคุยเรื่องนั่นเรื่องนี้กันก่อนเข้านอน ชมพู่เล่าเรื่องที่ทำงานให้เขาฟัง เรื่องนักเขียน เรื่องนิยาย เรื่องเพื่อนร่วมงาน... แอบมีหลงเรื่องที่มีหนุ่มๆ มาขายขนมจีบให้พริกหึงเล่นอีกสองสามเรื่องพอกระศัย ก่อนจะวกกลับมาเรื่องของพริกเอง

เรื่องงานสอน นักศึกษา แผนการสอน...เรื่องเรียนโทก่อนหน้านี้ เรื่องลงทุนทำบริษัทรับเหมาก่อสร้างกับไอย์ แอบมีหลงเรื่องที่มีนักศึกษาสาวมาสร้างสะพานให้ก็หลายครั้ง สาวหวานก็แค่แอบหึงเล็กๆ ทำหน้างอนตามประสาให้คนตาดุง้อเล่น...

ก่อนจะมาจบกันที่ชมพู่อยากเต้นรำแต่พริกจนใจเพราะไร้ความสามารถเรื่องนี้ แต่ก็ขัดคนรักไม่ได้ ไหนๆ บรรยากาศก็ดี เพลงที่เพื่อนรักเปิดฟังในบ้านก็เพราะ แถมมันยังอุตส่าห์หาไฟกระพริบสีฟ้าสลับม่วงมาประดับที่ระบียงหลังบ้านให้อีก... ไม่รู้ว่าที่สร้างบรรยากาศให้เนี่ยมีจุดประสงค์แอบแฝงหรือเปล่าแต่ก็ขอบคุณล่ะ

การเต้นรำไม่ใช่ง่ายจริงๆ หัดอยู่พักใหญ่ก็ไม่มีทีท่าว่าท่านอาจารย์ตาดุจะเต้นเป็นกับเขาเลย สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าทั้งสองแค่จับมือกันแล้วเอนตัวไปทางซ้ายทีขวาที พอชมพู่หมุนตัวพริกก็ช่วยยกแขนขึ้นก็เท่านั้น...

“ไม่ไหวๆ” มะเหมี่ยวบ่นหลังจากที่นั่งมองจากระเบียงชั้นสองที่เยื้องกันกับระเบียงข้างล่าง ก่อนจะผินหน้าขึ้นไปมองดาวบนฟ้า ที่แข่งกันเปล่งแสงระยิบระยับ มากพอที่จะทำให้มะเหมี่ยวยิ้มออกมาได้

“ฉันน่าจะสอนแกเต้นรำก่อนที่ชมพู่จะมาว่ะไอ้ลิง...เฮ้อ... ไปนอนดีกว่า...” ว่าแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องนอนปิดประตูลงกลอน เพราะแน่ใจว่าคืนนี้น้องสาวของเขาคงไม่ได้กลับมานอนในห้องนี้กับเขาแน่ ๆ

มะเหมี่ยวอมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของชมพู่ และเสียงพริกโวยว่าเธอเหยียบเท้าเขา แล้วเสียงนั้นก็ค่อยๆ เงียบหายไป... ให้คืนวันหวานๆ นี้เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงหัวใจละกัน...



เช้าที่แสนสดใสกำลังมาเยือนในไม่ช้า พริกขยับอ้อมกอดรั้งร่างบางที่เขากอดไว้ทั้งคืนให้เข้ามาใกล้อีก เธอดิ้นเบาๆ ก่อนจะพูดว่า

“ไม่เอาค่ะ..อึกอัด...ปล่อยก่อนนะคะ เช้าแล้วไปทำอาหารกัน”

“ไม่เอาหรอก พริกมีอาหารเช้าแล้ว...” เขาว่า ชมพู่ฉงนเขาไปมีอาหารเช้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แอบตื่นไปทำหรือไง แต่พริกทำอาหารไม่เป็นนี่

แล้วคำตอบก็ถูกเฉลยเมื่อพริกแสดงให้ชมพู่รู้ว่าเธอนั่นแหละคืออาหารเช้าของเขา ชมพู่พยายามดันร่างของพริกไว้แต่ทำได้ไม่ได้อย่างที่ใจนึกนัก เพราะสัมผัสของเขามีอิทธิพลกับเธอมากแค่ไหนเธอรู้ดี

พริกจูบอย่างอ่อนหวานก่อนที่มือไม้จะเริ่มอยู่ไม่สุขเหมือนดังเช่นยามค่ำคืนที่ผ่านมา เสียงของเขากระซิบบอกอรุณสวัสดิ์ข้างหูของเธอ และเม้มมันเบาๆ ให้เธอสะท้านไปทั้งตัว แต่แล้วอยู่ๆ ทั้งสองก็ต้องสะดุ้งสุดตัว... เพราะ...

“ไอ้หมอหมา!”

“ยัยแปร๊ดเน่า!”

โครม!!

โครม? เสียงโครมนั่น? มันโครมอะไรน่ะ? อย่าบอกนะว่า...





< ตอนที่ 4 .....................................................................................









Create Date : 26 พฤษภาคม 2552
Last Update : 31 พฤษภาคม 2552 14:03:50 น. 3 comments
Counter : 850 Pageviews.

 
รัก คือ




รัก


โดย: yopathum วันที่: 26 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:32:01 น.  

 


โดย: yopathum วันที่: 2 มิถุนายน 2552 เวลา:3:34:32 น.  

 
มาต่อไวๆนะ รอจนคนแก่เหงือกแห้งแว้ว

ใส่รูปมะด้ายยย เซงเยย


โดย: ติดตามๆ IP: 125.25.53.24 วันที่: 4 มิถุนายน 2552 เวลา:15:02:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

samurai_KYO
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"ข้าคือ...มิบุ ซา'เคียว"

Friends' blogs
[Add samurai_KYO's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.