เห็นเขาบอกว่าโครงการเรื่องสั้นนี้มีวางไว้ 3 เล่มด้วยกัน เล่มนี้จะเป็นเล่มแรก นอกจากนั้นยังว่ามาว่าปลายปีนี้ คุณนพดล เวชสวัสดิ์ จะแปล What I talk about when I talk about running (รวม essay) ให้อ่านกันด้วย
จำได้ว่าอ่าน The Catcher in the Rye จบ แล้วอ่าน The Bell Jar ของ Sylvia Plath (ฉบับภาษาไทย "ในกรงแก้ว" ของ สนพ. IMAGE - เดี๋ยวนี้คงเริ่มหายากแล้ว) ต่อทันที ผลก็คือจิตตกทวีคูณเป็นสองเท่า ยังคิดเล่นๆ เลยว่า Holden Caulfiled กับ Esther Greenwood (ตัวเอกใน The Catcher in the Rye และ The Bell Jar ตามลำดับ) นี่เหมือนเป็นพี่น้องทางจิตวิญญาณกันเลย แล้วก็ยังคิดเพ้อเจ้อต่อไปอีกว่าอยากลองแต่งเรื่องสั้น ให้สองคนนี้เดินมาเจอกัน (ทั้งคู่อาศัยอยู่ในนิวยอร์ค) แล้วคุยๆ กัน อารมณ์เหมือน Before Sunrise (ภาคคนป่วย!) แต่ก็นั่นแหละความสามารถมิเพียงพอ ใครจะเอาไอเดียนี้ไปทำต่อก็เชิญเลย ไม่ว่าอะไร
ตอนนี้อ่านไป 6 เรื่องแล้ว พบว่าชอบมากทีเดียว อ่านจบทุกตอนส่วนใหญ่ก็ฟีลแบ้ด หดหู่ สลัดออกจากหัวไปไม่ได้ง่ายๆ แล้วก็มีข้อสังเกตว่าชื่อนิยายของ Salinger นี่จะประหลาดๆ ทั้งนั้น เช่น A Perfect Day for Bananafish (ปลากล้วย?), Uncle Wiggily in Connecticut (ลุง...อะไรวะ) หรือ Just Before the War with the Eskimos (สงครามเอสกิโม!!??) ไอ้พวกชื่อแปลกๆ มันก็มักจะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่ปรากฏในตัวเรื่องแบบไม่ได้สำคัญถึงขั้นเป็นคีย์เวิร์ดอะไรหรอก แต่พออ่านจบแล้ว ย้อนคิดไปถึงสิ่งเหล่านั้นมันจะ 'จี๊ด' มากเลย
ต่อมาคือ ในเล่มนี้ Salinger เขามักจะแบ่งโครงสร้างเรื่องเป็นสองส่วนใหญ่ๆ อย่างเช่นใน A Perfect Day for Bananafish ครั้งแรกเล่าถึงตัวภรรยา ส่วนครึ่งหลังเล่าถึงสามี หรือตอน For Esme - with Love and Squalor ครึ่งแรกจะเล่าถึงการเจอกันของพระเอก/นางเอก ส่วนครึ่งหลังคือตอนพระเอกไปสงคราม ทั้งสองส่วนของเรื่องมักมีความสัมพันธ์กันอย่างบางๆ ไม่ได้ปะทะปะทังอะไรกันมากมาย แต่มันส่งผลอย่างรุนแรงทางความรู้สึก (แน่นอนส่วนใหญ่คือ เศร้า)
นอกจากนั้นเรื่องสั้นเกือบทั้งหมดเกี่ยวเนื่องกับสงครามโลกครั้งที่สองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จนแทบจะเปลี่ยนชื่อหนังสือชื่อจาก Nine Stories เป็น War Stories ได้เลย ส่วนใหญ่จะพูดถึงสภาพจิตใจของตัวละครหลังผ่านสงครามมาแล้ว (ตัว Salinger เองก็เข้าร่วม WW2 ด้วย) แล้วเพิ่งไปค้นเจอในวิกิพีเดียว่า Salinger เนี่ยเขาจะมี gimmick อย่างหนึ่งที่เรียกว่า Glass Family นั่นคือ จะมีกลุ่มตัวละครจากตระกูล Glass ไปโผล่ในเรื่องนู่นเรื่องนี่เต็มไปหมด คนอ่านต้องเชื่อมโยงเอาเองว่าใครเป็นใคร หรือใครเป็นญาติฝ่ายไหนกับใคร แต่ทุกคนจะมีจุดร่วมกันคือได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่สอง
ป.ล.1 ว่ากันว่า J.D. Salinger เปรียบเหมือน 'พ่อ' ของ Haruki Murakami ส่วน F. Scott Fitzgerald ก็เป็นพ่อของ Salinger อีกทีหนึ่ง ผมเคยอ่าน The Great Gatsby แล้ว ชอบประมาณนึง แต่ไม่ค่อยอินสักเท่าไร เดาเอาว่าเพราะยุคสมัยในเรื่องมันไกลตัวผมเอามากๆ (ยุค Jazz Age ช่วงยุค 20 นู่นเลย)
เคยอ่าน The Catcher in the Rye ภาคภาษาอังกฤษไปได้นิดหน่อย ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความขี้เกียจ แต่เมื่อวันก่อนไปยืนอ่านฉบับแปลมาแล้วสองบท แล้วก็เกิดความละอายใจขึ้นมา ก็เลยวางมันกลับไปบนชั้น แล้วกระซิบบอกมันว่า "เดี๋ยวชั้นเอาสินสอดไปสู่ขอแกให้ถูกต้องตามประเพณีแล้วกันนะ!"
The Catcher in the Rye เป็นหนังสือที่ได้อ่านตอนเรียนเอกวรรณคดีตะวันตก เมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว ชอบมากเหมือนกัน ภาษาแรงดี ไม่คิดว่าจะมีคนชอบเหมือนกันค่ะ
The Great Gatsby ก็ได้อ่าน ได้ดูหนังที่ Robert Redford เล่นด้วย หามาดูจนได้ ไม่อยากเชื่อว่าฝรั่งก็มีนิยายน้ำเน่าแบบไทยเราด้วย แต่เน่าไม่เน่า เรื่องนี้ก็ติดอันดับนิยายน่าอ่านตลอดกาลของ BBC กับ New York Time
The Catcher in the Rye เป็นเรื่องเดียวที่เอาไว้คุยโม้กับเพื่อนฝรั่งได้ พอถามว่าหนังสือโปรดเราคืออะไร ก็เล่มนี้แหละ แต่ลืมเนื้อเรื่องไปบ้างแล้ว ต้องหามาอ่านใหม่อีกที
หนังใหม่ผม ฉาย 4 เม.ย. นี้ หอศิลป์ กทม. 17.30 จ้ะ
เอ่อ...ทำไมมัน 'กลม' ได้ขนาดนั้น! (น่ากลัวอ่ะ)