ถือก็หนัก-วางก็เบา
ได้อ่านจากหนังสือผาสุก
บอกว่าคนเราต้องหัดปล่อยวางลงบ้าง
อย่าถืออะไรมากนัก..เพราะมันจะทำให้หนัก.กับตัวเอง
แบบนิทานเรื่องนี้
มีพระสงฆ์บวชใหม่รูปหนึ่ง...ได้ออกบิณฑบาตรตอนเช้า
ขณะที่เดินไปตามทางนั้น...ได้มีชายคนหนึ่งสวมสุทอย่าดี
ผูกเน๊กไทสีสวย..รองเท้าหนังมันขลับ..เดินมาชี้หน้าด่าทอ
พระอย่างเสียๆหาย...พระได้ยินชายผุ้นั้นด่าทอ..ก็รีบเดิน
หลีกหนีไป...เดินไปทางไหนชายผุ้นั้นเดินตามด่าลั่นผู้คน
มองกันยกใหญ่...พระก็รีบรุดเดินหนี..รีบกลับเข้าวัด
เมือไปถึงวัดพระหนุ่มก็นั่งลงคิดถึงคำด่าของชายผุ้นั้น
เราไปรู้จักผู้ชายคนนั้นที่ไหน..นะ
เขามาด่าทอเราเรื่องอะไร
เราไปทำอะไรให้เขาเจ็บแค้นใจมากเชียวหรอ
พระหนุ่มนั่งคิดไปคิดมาก้อรู้สึกโกรธจนหน้าแดงก่ำ
คิดไปก้โกรธไป...บ่นในใฝจ....ไม่ได้ต้องไปถามว่าเขามา
ด่าเราเรื่องอะไร...พระหนุ่มรีบเดินออกจากวัดไปตามหา
ชายผู้นั้น...เดินตามหาเรื่อยๆไม่พบสักที....เดินไปคิดไป
หน้าดำหน้าแดงด้วยความโกรธ......ไม่พบก้อกลับวัด
วันที่สองเดินออกตามหาอีก......ไม่พบ
วันที่สามเดินออกตามหาอีก...คราวนี้พบ...
เห็นชายผู้สวมสูตผูกไทสวยงามนอนให้สุนัขเลี่ยหน้า..
ตรงริมถนนทางเท้า...กอดรัดฟัดเหวี่ยงกะหมา...
เนื้อตัวมอมแมม......ก้อสอบถามคนแถวนั้นว่าเขาเป็นใคร
ชาวบ้านก้อตามว่าเป็นคนบ้า....มาขอทานแถวนี้นานแล้ว
พระหนุ่มเห็นดัวนั้น.ก็นึกละอายใจตนเอง....
ที่คิดหนัก..โกรธได้แม้แต่คนบ้า.......
พระหนุ่มเริ่มปลดวางความโกรธ...
เพราะเห็นว่าตนเองถือหนัก
กับอารมณ์มานานถึง3วัน..
เกิดความละอายใจ......ในความถือของตนเอง
เป็นไงบ้างคะ.......คิดเห็นไงบ้างโปรดเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ