อย่าทำอย่างนั้น เพราะฉันโสด และฉันอ่อนไหว (ก้าวถัดไป..)

.


ชื่อบล็อกวันนี้ นึกไว้นานแระ
ชอบเพราะตรงประเด็นมาก

แต่เนื้อหาในบล็อกส่วนใหญ่วันนี้ น่าจะเกี่ยวกับประเด็น “ก้าวถัดไป” มากกว่า


เนื้อหาบล็อกวันนี้ อาจจะกระโดด ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันเท่าไหร่
คิดอะไรได้ ก็เขียนตามสไตล์ช่างรำพึงรำพัน..




==========================================



ชื่อหัวบล็อกที่ว่า..
“อย่าทำอย่างนั้น เพราะฉันโสด และฉันอ่อนไหว”


เป็นชื่อที่คิดได้มาหลายสัปดาห์แระ
ตอนที่คิดมุกนั้นได้ ชอบมากๆ เพราะรู้สึกตรงใจ ตรงประเด็นกับตัวเอง (ณ นาทีนั้น)


..เหตุเกินเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
วันนั้นอุ้มหลานสาววัยเจ็ดเดือน(ตังจัง) เดินร้านหนังสือซีเอ็ด สาขาไหนอย่าไปรู้มันเลย
หลานเรามันก็น่ารัก ใครเห็นใครก็ชอบเล่นด้วย

ผมเองก็อุ้มบ่อย อุ้มจนใครต่อใคร พากันนึกว่าเป็นลูกผม
ก็เคยนึกๆ อยู่ ว่าจะใช้มุก..อุ้มเด็กจีบหญิง
..ปรากฎว่ามันไม่เวิร์กแฮะ เพราะใครๆ ต่างก็พากันมองว่าเป็นลูกเรา
ชายหนุ่มอุ้มเด็กน้อยตัวเล็กๆ วัยไม่กี่เดือน มองยังไง มันก็พ่อหมาดๆ นี่หว่า
แล้วไอ่วุฒิพ่อหมาดๆ เนี่ย สาวที่ไหนเค้าจะมาแล?? (แต่ก็มีคนแลนะ อิอิ)

วันนั้นอุ้มตังจังเดินหาหนังสือที่จะหาอยู่
ก็มีผู้หญิงมาเล่นกับหลานเรา หยอกล้อ เล่นกับหลาน คุย เล่นกับพ่อของเด็ก(เค้าคงนึกว่างั้น)
คือสาวเจ้าช่างเจรจา คืออกแนวรักเด็ก หน้าตารูปร่างก็ใช้ได้ ถือว่าโอเคเลยสำหรับผม
(คือผมไม่ได้ชอบผู้หญิงที่สวยจัด หรือว่ารูปร่างดีจัดน่ะ ไม่ชอบความเฟอร์เฟก เพราะเราเป็นพวกขี้หึงเงียบ)

ก็เล่น คุยกับทั้งหลาน ทั้งน้าของหลาน(ซึ่งเค้าคงนึกว่าเป็นพ่อเด็ก)
คือพูดจาจริงใจดี เปิดเผยพอประมาณ คุยได้ความว่าสาวเจ้าก็อยากมีลูกสาว
เรียกว่าคุยเป็นธรรมชาติมั่กๆ อย่างกับว่าเราเป็นเพื่อนเก่าเค้าอย่างงั้น

เราเองก็เห็นแหวนนิ้วนางข้างซ้ายเค้า เราก็ระงับใจเราอยู่ 555
คุยจนเค้าถามว่า “ลูกคนแรกหรือคะ?”
ผมก็ฮึกอัก “เอ่อนี่หลานผมครับ ลูกพี่สาว ไม่ใช่ลูกผม”
เธออึงไปสักพักหนึ่ง.. (เราก๊สึกว่า เดี๋ยวเธอคงจะค่อยๆ ชิ่ง)

แต่ผิดคาดแฮะ เธอคุยต่อ แบบเนียนๆ เลย
ถามไปว่า แล้วมีหลานกี่คน เราก็คุยไป
คือสาวเจ้าก็ถามปกติ เราก็ตอบไปแบบปกติ ก็คุยอีกพักหนึ่ง

ซึ่งตามธรรมดา พอผมเจอสถานการณ์แบบนี้ พออีกฝ่ายรู้ว่าเราโสด
เค้าจะค่อยๆ เฟดเอ้าท์ออกไป คงกลัวเป็นการทอดสะพานให้เราหรืออะไรทำนองนั้น
ซึ่งส่วนใหญ่ ผมก็ยอมรับว่าผมก็คิด 555
..แต่คนนี้ไม่แฮะ คุยต่ออีกพักใหญ่ จนผมเองต่างหาก
ที่เกรงใจแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของเค้า..
ต้องเฟดออกมา เกรงว่า เดี๋ยวไปมีใจกับคนมีเจ้าของ

เราเองก็โสดของแท้ๆ แถมหวั่นไหวกับเรื่องพวกนี้ง่ายซ่ะด้วย
(หาแฟนตัวเป็นเกลียว แต่ท่าทีไม่ค่อยแสดงออก 555)


ชอบประมาณนี้อ่ะ เป็นธรรมชาติ จริงใจ ไม่ว่างท่า คุยง่าย
(เราต่างหากชอบว่างท่า555)


จริงๆ ตอนอุ้มหลานออกมาจากร้านหนังสือ สักพักหนึ่งก็เดินกลับไปดูนะ
แต่ไม่อยู่แระ..


เราเองถือเรื่องพวกนี้น่ะ ถึงจะชอบแค่ไหน ปิ๊งแค่ไหน
ถ้าเค้ามีเจ้าของแล้ว หรือส่อว่ามีเจ้าของ เราก็จะไม่ไปยุ่งเด็ดขาด
จะถือมากๆ หยิ่งยโสในเกรียติของตัวเอง ..
และก็ไม่เคยคิด จะไปเป็นมือที่สามของใคร หรือไปเป็นตัวเลือกของใครด้วย

ด้วยความหยิ่งยโสโอหังนี้
ด้วยความเป็นคนช่างว่างท่าของตัวเรา ทำให้เราโสดสนิทมาจนปัจจุบันนี้ (เศร้าอ่ะ)
จริงๆ อาจจะเพราะเราช่างเลือกด้วย(เลือกมากไปป่าว555)
ทั้งๆ ที่เราออกจากอ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้ได้ง่ายๆ


ถึงยังไงก็ยังยืนยันตามโจทย์เดิมที่ยึดถือมาเนิ้นนาน
เรารักเค้า และเค้ารักเรา ..ถ้าได้ใกล้เคียงกับคำว่า “คู่แท้” ยิ่งแจ่ม



ปล. หากไม่ได้ โสดก็โสด(ว่ะ..)




==========================================




จบไปแระสั้นๆ เรื่องตามหัวบล็อก ..



แต่เหตุแท้ๆ ที่ทำให้วันนี้ลุกขึ้นมาเขียนบล็อก ทั้งๆ ที่ช่วงหลังมานี้
ไม่รู้สึกมีความกระตือรือร้นใดๆ ให้อยากมาเขียนบล็อก

ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง ทั้งโดยธรรมชาติ ตามสถานการณ์ และโดยบางเจตนา
ถ้าไม่รู้สึกมีเรื่องอยากเขียนจริงๆ คงไม่ลุกขึ้นมาเขียนบล็อก
(บางซอกมุมของจิตใจ เผลอๆ จะมีคิดว่า พร้อมที่จะทิ้งบล็อกนี้ไปเลยด้วยซ้ำ)



แต่เหตุที่ทำให้วันนี้ต้องลุกมาเขียนบล็อก
เพราะเหมือนกับว่า บางคำถาม ที่ถามตัวเองตลอดมา ตั้งแต่ต้นปีนี้
ถึง “ก้าวย่างถัดไป..”

วันนี้.. ดูเหมือนจะได้บทสรุปคร่าวๆ
ความคิดต่างๆ นานาที่เคยฟุ้งกระจายอยู่ ตลอดช่วงที่ผ่านมา ทั้งยามตื่นและยอมนอน
ดูเหมือนเย็นนี้ที่ผ่านมา จะตกตะกอนลงเป็นชั้นผิวได้ในที่สุด..


จึงจำเป็นต้องจดบันทึก (ซึ่งเดียวนี้ ทำลงบล็อกน่ะสิ)
เพื่อจะได้มองเห็นผลึกทางความคิดของตัวเองให้ชัดขึ้น
อะไรที่คิดบวกเกินไป อะไรที่คิดลบเกินไป
อะไรที่ระแวงเกินกว่าเหตุ อะไรที่หลอกตัวเอง ฝันหวาน ประมาทอยู่ ฯ

เป็นทั้งเครื่องเตือน เครื่องติ่ง เครื่องขัดเกลา เครื่องผูกมัด ฯ



-----------------------------



ใช้คำว่า “ก้าวถัดไป..”
เพราะมันไม่ใช่สเต็ปปัจจุบัน และไม่ใช่ย่างก้าวข้างหน้าที่กำลังจะมาถึง
แต่มันคือ ก้าวที่สาม ที่สี่ ถัดไปจากก้าวปัจจุบันนี้..

ข้าพเจ้าเป็นคนเช่นนี้เอง
ชอบคิดล่วงหน้าไป 2-3 ก้าว หรือ 3-4 ก้าว
อาจจะไม่ได้อยู่กับปัจจุบันมากนัก ไม่ใช่ปัจจุบันขณะ

ถึงแม้เดี๋ยวนี้ จะพยายามฝึกสติ ให้อยู่กับปัจจุบัน
แต่พอเป็นเรื่องของการว่างแผนในชีวิต อนาคต ข้าพเจ้ามีแผน 5 ปี , 10 ปี , 20 ปี
แผนเชิงเป้าหมายที่คาดหวัง (วาดหวังไว้) ,
..ส่วนแผนเชิงปฎิบัติการ จะเป็นประมาณนี้แหละ 1-2 ปีล่วงหน้า
แผนของปีนี้ หรือปลายปีนี้ ตั้งไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว

ส่วนแผนของปีหน้า คือเรื่องที่พยายามคิดให้ตกอยู่ มาตลอดตั้งแต่ต้นปีนี้
ซึ่งหลายๆ เดือนที่ผ่านมา มีเรื่องแผนปฎิบัติการนี้รบกวนใจอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งจะใช้คำว่า “รบกวน” ก็ดูจะเป็นการโยนความผิดกันเกินไปหน่อย
ใช้คำว่าเป็นเรื่องที่ “วนเวียนอยู่ในใจเรา” โดยที่เราไม่คิดจะปัดออกไป ดูจะถูกกว่า



ปีหน้าจะย้ายที่อยู่..
ซึ่งจะว่าไป อาจจะไม่ค่อยมีเหตุอันควรให้ย้ายเลยด้วยซ้ำ
เหมือนกับการ “ตัดช่องน้อยแต่พอตัว”

การเคลื่อนย้ายของเรา อาจจะทำให้ที่บ้านต้องมีภาระในบางแง่มุมมากขึ้น
แต่เราก็รู้สึกว่า ไม่อยากอยู่แล้ว ชีวิตปัจจุบัน..

บ้านที่อยู่ทุกวันนี้ เป็นบ้านที่ ทางบ้านย้ายมาจากบ้านเก่า เมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว
ผมเองยืนกรานมาตลอด ว่าควรจะใช้ตัวเลือกอื่น ทางเลือกอื่นๆ (แทนที่จะมาอยู่บ้านนี้)

ด้วยความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่บ้านนี้ และระแวกใกล้เคียง (ผมคุยด้วยเกือบทุกวัน55)
คิดว่าท่านคงเข้าใจ ไม่ได้มี่เจตนาว่าร้ายท่าน..

บ้านที่ทุกวันนี้อยู่ สังคมในระแวกใกล้เคียง เป็นรูปแบบชีวิตที่ผมไม่ปรารถนาเลย
บ้านติดถนนใหญ่ เสียงหนวกหูมีทั้งวัน ทั้งคืน สังคมรอบข้างก็ไม่ค่อยดีนัก..
..คนอื่นผมไม่รู้ ที่รู้ๆ คือผมอยู่แล้วไม่เย็นใจ ไม่สุขใจเลย


โดยส่วนตัวของผมแล้ว ผมชอบความสงบ มีความเป็นส่วนตัวสูง
แม้ที่บ้านผม จะไม่ได้ชอบอย่างผม.. คือเค้าค่อนข้างที่จะชอบมีสังคม
..แต่ผมก็เชื่อว่า รอบบ้านปัจจุบันนี้ ก็ไม่ใช่สังคมที่ถูกจริตกับที่บ้านผมอยู่ดี

จริงๆ ก็คงจะมีเรื่องอื่นๆ อีก ที่นอกเหนือไปจากเรื่องสถานที่ตั้งของบ้าน
ที่ทำให้ผมไม่ค่อยอยากอยู่กับชีวิตปัจจุบันนี้นัก..



เอาเป็นว่า ไม่โทษสิ่งอื่นๆ พูดแต่ใจเรา..
ใจเรา ตัวเรา อยากไปใช้ชีวิตที่ “เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง” (สักที)มากกว่า
ที่ผ่านมาก็ทอดเวลา รอความพร้อม อะลุ่มอล่วย ฯ มาก็มากพอประมาณแล้ว


วันนี้น่าจะเรียกได้ว่าพร้อมแล้ว ถึงเวลาแล้ว ถึงกาลอันสมควรแล้ว..ที่จะไป
จะไปไหน? คงไม่ได้คุยในที่นี้ (ถ้ารู้จักผมก็ถามมาได้)
ระแวกที่ตั้งคราวๆ ได้กรอบมาพักใหญ่แล้ว , ส่วนที่ลงเอยจริงๆ ยังไม่กำหนด
เพราะกว่าจะเริ่มดำเนินการ คือต้นปีหน้า..


โจทย์ใหญ่มากๆ
ประเด็นหลักๆ เลย ที่วนเวียนอยู่ในหัวมานานหลายเดือน
รวมทั้งหาซื้อหนังสือ มาอ่านเพิ่มเติม เพื่อช่วยคิด คือ
“ย้ายไปแล้วจะไปทำอะไร??” (การงาน การค้า กิจการอะไร)

ถ้าคำตอบที่ว่า “จะทำอะไร?” ยังหาไม่เจอ
ก็จะหา “ทำเล ที่ตั้งที่แน่ชัด” ไม่ได้..

ในหลายเดือนที่ผ่านมาก็ “รอดู” ว่าอะไรจะใผล่พ้นน้ำขึ้นมากก่อน
คือ อะไรที่จะทำ(หนึ่ง) หรือ ทำเลที่จะได้(สอง)

คิดวนเวียนอยู่กับไอ่ 2 เรื่องนี้นี่แหละ
ทำนู้นดีมั้ย? ทำนี่ดีมั้ย? หรือจะทำนั่นดี??
ถ้าทำนู้น ทำเลต้องประมาณนี้ ต้องใช้ทุน ใช้คน ใช้ความรู้อะไรบ้าง
ถ้าทำนี่ ต้องยังไง?? แล้วถ้าทำนั่นหล่ะ?? ฯลฯ สารตะจะคิดฟุ้งกระจายไป

จะหาเวลาสงบๆ มาคิดจริงๆ จังๆ ก็หาไม่ได้สักที
ถึงกับไปลงพื้นที่ เผื่อว่าจะปิ๊งไอเดียได้คำตอบก็หลายหน แต่ก็เหลวไม่ได้อะไรขึ้นมา



บางจังหวะตระเวนในเมืองกรุง เหมือนคนกำลังสั่งลาเมืองเกิด
แทบจะร่อนไปทั่วกรุง เหมือนคนชีพจรลงเท้า.. (คิดๆๆ ทำอะไรดี?)

อย่างวันนี้ ก็ตั้งใจว่าจะนั่งแอร์พอร์ตลิ่งไปสุวรรณภูมิ แล้วต่อไปนั่งรถบีอาร์ที
ปรากฏว่าแอร์พอร์ตลิ่ง หยุดเสาร์อาทิตย์ซ่ะชิบ , แต่ก็ได้นั่งบีอาร์ที
กลับมานอนมองท้องฟ้าที่สวนรถไฟ..

ซึ่งที่นี่เองดูเหมือนว่า ความคิดจะค่อยๆ ตกตะกอนลงได้
ค่อยๆ ตัดตัวเลือกต่างๆ ที่มี ถามเหตุและผลกับตัวเอง ..

ถามเหตุและผลตัวเอง ถามใจตัวเอง ถามความเป็นไปได้ ต่างๆ ที่น่าจะต้องถาม
ผลได้คำตอบว่า “ไม่ต้องทำอะไรเลย..!!”



ไม่ต้องไปดิ้นรนทำธุรกิจ ธุรกรรมอะไรทั้งนั้น..
เหตุที่คิดอยากจะเปิดร้าน หรือทำธุรกิจนู้น นึ่ นั่น ก็เพราะ..
..เกรงว่าตัวเองจะว่างเกินไป เกรงว่าจะดูไม่ดีในสายตาคนอื่น

แต่เฮ้ย!! ไม่เห็นมีอะไรที่ตูอยากทำจริงๆ เลยนี่หว่า..
แล้วตรูจะไปดิ้นรนทำหาพระแสงอะไรล่ะโว๊ย??

ก็ทำอย่างที่ทำนี่แหละ.. ทำสิ่งที่ชอบ ที่ถนัดไป
ก็เล่นหุ้นไปแล้วยังไง?? ..คนเค้าจะนึกว่าไม่มีงานทำแล้วยังไง??
ก็นี่มันชีวิตที่เราอยากได้มาอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?? ..ทำงานเหมือนไม่ทำน่ะ??

แล้วที่ทำอยู่นี่น่ะ ก็พอหากินหาใช้ได้ จะเช่าอยู่ไปก่อนเก็บเงินก้อนต่อไป(รอทำงานใหญ่)
หรือจะซื้อบ้าน ซื้อคอนโดริมทะเล มันก็ทำได้นิ คงมีปัญญาผ่อนอยู่หรอกน่า
ทุกวันนี้แม้ยังไม่รวยดังใจหวัง แต่ก็กล้าพูดว่า ใช้น้อยกว่าที่หาได้..
ไม่น่าจะมีอะไรน่าเป็นห่วง ..
..กินก็ชอบกินข้าวแกง , ของแปลกๆ ไฮโซไม่เคยถูกปาก
ข้าวของเครื่องใช้ก็แสนธรรมดาสามัญชน แบร์นเนมก็ไม่เคยหลงไหล (ยกเว้นบางยี่ห้อ อิอิ)

ก็มีเวลาให้ตัวเองเลย 24 ชั่วโมง..
อยากจะเลี้ยงหมา เลี้ยงแมว ถ้าเป็นบ้านก็น่าจะทำได้ (คอนโดคงทำไม่ได้)
มีเวลาก็ออกกำลังกายบ้าง ว่ายน้ำบ้าง จะฝึกโยคะ เรียนนั่นนี่
จะอ่านหนังสือ จะหัดดนตรี จะหัดวาดภาพ หรือจะหัดภาษาอังกฤษก็ทำได้(หัดมาทั้งชาติยังไม่กระดิก)
จะฟังธรรมะ จะฝึกปฏิบัติ ก็ทำได้ ไม่ต้องเขินไม่ต้องอายใคร
ถ้าจะมีเวลาเหลือ อยากจะทำตัวเป็นประโยชน์กับประเทศชาติบ้าง ก็น่าจะหาเรื่องอาสาทำได้
อยากไปเที่ยวไหนทั่วไทก็ทำได้ อยากทำอะไรก็ทำได้ ฯลฯ .. (หาแฟนด้วยนะ)



สรุปคือ ถ้าริจะ “ตัดช่องน้อย” แล้ว , เราจะไปหา “ห่วง” หา “เรื่อง” มาผูกตัวเองไว้ทำไม??
หาที่ ที่จะมีเฟคซิลิตี้ ตอบสนองเราได้ แล้วก็ “แค่อยู่”
“แค่ใช้ชีวิตอย่างที่อยาก”

ถ้าคำตอบคือ ตัดทิ้งที่ว่า “ทำอะไรดี” ทิ้งซ่ะให้หมด..
ตัดเรื่องหยุมหยิมอ้อมค้อมออก เราก็น่าจะเข้าประเด็นได้ ..

ก็อาจจะลองดูสักปีก่อน ถ้าหมดปี แล้วรู้สึกว่า “ว่าง เกินไป”
ก็ค่อยหาเรื่องมาแบกทีหลังก็ได้ ..
..เพราะเท่าที่คิดๆ แล้ว เอาเฉพาะเรื่องที่อยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำ
มันก็อาจจะมีมาก มากเกินกว่า ที่จะคิดว่าตัวเองจะมีเวลาเต็มที่แล้วซ่ะอีก


.

ยังมีเวลาอีกหลายเดือน กว่าจะถึงวัน-เวลานั้น
ก็คงได้มีเวลาคิด ทบทวน ไตร่ตรอง หาข้อมูล ถามใจตัวเองอีกหลายยก
แต่ด้วยที่วันนี้ ได้คิด “ตัดตัวเลือก” ทิ้งได้หมด..
พอได้สอบทานตัวเอง ก็ลงตัวดีแท้หนอ..

ถ้าปีนี้จบปีทำผลงานได้เข้าเป้าที่ตั้งไว้..
ปีหน้า รายได้ที่น่าจะทำได้ ก็ไม่น่าจะทำให้แผนการ “ไม่ต้องทำอะไรเลย” ล้มเหลว



ออกตัวก่อน ว่าเจ้าของบล็อก ไม่ใช่คนขี้เกียจตัวเป็นขนนะ (แม้หลังจะยาวบ้างก็เหอะ555)
ที่ว่าไม่ต้องทำอะไรเลย ก็คือต้องทำนะ เพียงแต่มันเป็นงานที่ทำเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ใจรัก
ไม่ต้องฝืนตัวเองมาก และที่ผ่านมาก็เคี่ยวเข็ญตัวเองมาก็มากแล้ว
มากพอที่จะพอมีวิชาติดตัว ไว้ตอบสนองความไม่ฟุ้งเฟ้อของตัวเองได้



ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ปลายปีหน้ามีแบ็กแพ็คญี่ปุ่น!!
(ข้ามช็อตจริงๆ เจ้าของบล็อกนี้ 555)





Create Date : 14 มิถุนายน 2553
Last Update : 14 มิถุนายน 2553 0:22:07 น. 11 comments
Counter : 536 Pageviews.

 
อืม...ก็พอเข้าใจอยู่ครับ...แต่ก็ไม่น่าจะอ่อนไหวนี่ครับ


โดย: panwat วันที่: 14 มิถุนายน 2553 เวลา:0:43:23 น.  

 
สาวใส่แหวนนิ้วนางซ้ายไม่จำเป็นต้อง
มีคนรักหรือแต่งงานแล้วซะหน่อยนะคะ
เราใส่นิ้วนางซ้ายตั้งแต่มัธยมต้นจนป่านนี้
แบบแม่ทำให้ใส่ ก้อใส่ติดนิ้ว ไม่ใส่มันขาดๆ
อย่าตัดสินการเริ่มความรัก แต่แหวนวงเดียว
จะดีกว่าไม๊..

ดีจังที่คุณรู้จักตัวเองลึกซึ้ง
ซึ่งนั่น น่าจะทำให้คุณมีความสุข กับสิ่งที่รู้
เป้าหมายที่ชัดเจน อยากรู้จักตัวเองมากอย่างคุณบ้าง

ยินดีด้วยกลับทริปญี่ปุ่นปลายปี


โดย: goyajang วันที่: 14 มิถุนายน 2553 เวลา:1:36:03 น.  

 
เป็นคนหนึ่งเลยที่อ่อนไหวง่าย ...
เป็นคนหนึ่งที่ใส่แหวนนิ้วนางข้างซ้าย (แต่โสด)

และเป็นคนหนึ่งที่อยากใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ ..


โดย: cupid fylmus วันที่: 14 มิถุนายน 2553 เวลา:4:20:31 น.  

 
เป็นคนหนึ่งที่ใส่แหวนนิ้วนางข้างซ้ายทุกครั้งและทุกวันค่ะ แถมใส่นิ้วนางข้างขวาอีกวงหนึ่งค่ะ แต่แหวนเหล่านั้นเป็นแหวนของตัวเองนะค่ะ ไม่ใช่ของใครอื่น อย่าตัดสินว่าเค้ามีใครเพียงแค่สวมแหวนเลยค่ะ คุณอาจจะตัดโอกาสของตัวเองนะค่ะ ส่วนความคิดของคุณขอยกย่องนะค่ะ ที่จะไม่ไปยุ่งกับคนที่มีเจ้าของแล้ว ขอเป็นกำลังใจให้เจอคนที่ใช่ในเร็ววันนะค่ะ


โดย: reception hall วันที่: 14 มิถุนายน 2553 เวลา:9:52:10 น.  

 
ไมห้องนี้มีแต่คนนอนดึกแหะ ระวังสุขภาพด้วยนะค่ะ ใช่ครีมรอบดวงตาด้วยล่ะ เด่วเป็นเหมือนหมีแพนด้าไม่รู้ด้วยนะ อิอิ


โดย: reception hall วันที่: 14 มิถุนายน 2553 เวลา:9:55:42 น.  

 


โดย: ขายยา วันที่: 14 มิถุนายน 2553 เวลา:11:09:08 น.  

 
แวะมาเยี่ยมครับหนา



โดย: nuyect วันที่: 14 มิถุนายน 2553 เวลา:12:23:38 น.  

 
ออกตัวไว้แล้วนี่ค่ะ..ว่าblog นี้ เป็นไปตาม
อารมณ์ของผู้เขียน...ไม่เป็นไร...

อ่านไปก็เพลินดี...ได้หลายหลาก

แวะมาทักทายค่ะ


โดย: ในความอ่อนไหว วันที่: 14 มิถุนายน 2553 เวลา:22:03:02 น.  

 

หวัดดีทุกๆ ท่านที่เข้ามาทักทายพูดคุยกันนะครับ

ก่อนอื่น ต้องขออำภัยด้วย ที่มาตอบคอมเม้นท์ช้า
เพราะอย่างที่ว่าไว้ , คือช่วงนี้ ไม่ค่อยกระตือรือร้นในการเล่นบล็อกเท่าไหร่



แล้วเดี๋ยวจะไปทักทายทุกๆ คนที่บล็อกนะครับ



ขอบคุณ..
คุณ panwat

คุณ goyajang
---แหวนไม่ใช่เครื่องการันตีว่ามีคู่แล้ว แต่คนที่เค้ามีคู่แล้วก็นิยมใส่กัน(แฟนคงซื้อให้)
ถ้าเราไม่ดูตาม้าตาเรือ เข้าไปแล้วหงายหลังกลับมา มันก็จ๋อยเหมือนกันนะ

คุณ cupid fylmus
---ใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ บางทีเงือนไขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
บางคนเข้าสู่โอกาสนั้นง่าย บางคนยาก , ที่สำคัญ ต้องมีความกล้าพอประมาณ
..เพราะชีวิตตามใจตัวเอง อาจจะไม่สบอารมณ์คนรอบช้างนัก เอาใจช่วย


โดย: บุญทับ วันที่: 23 มิถุนายน 2553 เวลา:23:39:59 น.  

 

ขอบคุณ..
คุณ reception hall
---เอ่อแหะ หลายเสียงบอกว่า ใส่แหวนนิ้วนางนี้ โดยไม่ได้อยู่ในค่านิยม "แหวนที่นิ้วนาง"
แต่คนที่มีคู่แทบทุกคนที่ผมรู้จัก สวมแหวนตามค่านิยมนี้
คนที่สวมแหวนที่นิ้วนาง ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีคู่แล้ว
ว่าแต่ ถ้าเราดุ่ยๆ เข้าไปถามเลย ว่าคุณครับๆ คุณมีแฟนแล้วหรือยัง?
..คนที่ดุ่ยๆ เข้าไปถามจะเป็นไงนะ??

คุณ ขายยา

คุณ nuyect

คุณในความอ่อนไหว


แล้วจะไปทักทายทุกๆ คนอีกทีนะครับ


โดย: บุญทับ วันที่: 23 มิถุนายน 2553 เวลา:23:48:54 น.  

 
ผมเข้าเมาที่นี่ประจำเลยนะครับคุณบุญทับ
เพราะเรื่องมันยาว..บางทีผมต้องรีบ..เลยมาต่อหลาย
รอบครับ


โดย: panwat วันที่: 24 มิถุนายน 2553 เวลา:0:10:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

บุญทับ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




กฎของเราก็คือ
เรามีความสุขสนุกสนาน
ได้มากเท่าที่เราต้องการ
แต่ต้องไม่ทำร้ายจิตใจใคร
..แม้แต่คนเดียว


จากหนังสือ ฟ้ากว้าง..ทางไกล



มวลเมฆ คือเนินเขาทำด้วยไอน้ำ เนินเขา คือมวลเมฆสร้างด้วยศิลา..(รพินทรฯ)
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
14 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add บุญทับ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.