keigolin
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ blog ของ keigo นะคะ ^^

blog นี้เป็น blog เก่าค่ะ ได้ย้ายบ้านไป thisiskeigo.wordpress.com แล้ว ไปติดตามกันได้ที่นั่นค่ะ ^^
หรือติดตามเพจกันได้ที่ http://www.facebook.com/thisiskeigo
ขอบคุณที่ติดตามกันค่ะ ^^
New Comments
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
13 มีนาคม 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add keigolin's blog to your web]
Links
 

 
Dragon Zakura - นายซ่าส์ท้าเด็กแนว

ซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่องนี้ได้ปิดฉากจบลงไปเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา จบลงพร้อมกับความประทับใจในหลาย ๆ เรื่อง หลาย ๆ มุมมองของเราเลยแหละ

ในเรื่อง ซากุระงิเป็นทนายได้รับการว่าจ้างให้กอบกู้โรงเรียนริวซังซึ่งเป็นโรงเรียนปลายแถวให้พ้นจากสภาพล้มละลายให้ได้ ทำให้เขาตัดสินใจเปิดคลาสพิเศษขึ้นมา จุดประสงค์เพื่อให้มีนักเรียนเอนทรานซ์ติดโทไดอย่างน้อย 5 คน (เพื่อที่โรงเรียนจะได้มีชื่อเสียงมากขึ้น) และตัวเขาเองก็ต้องรับภาระการเป็นอาจารย์ประจำชั้นควบคู่กับอ.อิโนะด้วย

เรื่องค่อย ๆ ปูเรื่องไปเรื่อย ๆ ให้เห็นถึงพัฒนาการของนักเรียนทั้ง 6 ทีละนิด ๆ แสดงให้เห็นถึงจุดหักเห หรือจุดพลิกผันของนักเรียนแต่ละคนที่เป็นเหตุตัดสินใจให้เข้าคลาสพิเศษที่ว่านี้ รวมทั้งกลยุทธ์วิธีการสอนที่แหวกแนวออกไปจากการเรียนการสอนทั่ว ๆ ไปด้วย

เกือบตลอดทั้งเรื่อง ผู้ชมจะได้เห็นวิธีการซ้ำ ๆ ของอาจารย์ที่มุ่งเน้นให้นักเรียนทั้ง 6 เกิดทักษะและมีความชำนาญในการทำโจทย์

ไม่ว่าจะเป็นการท่องสูตรไปมา การคิดเลขในใจ (โดยเลียนแบบการเล่นปิงปองอ่าค่ะ) หรือแม้แต่การทำโจทย์เป็นร้อย ๆ ข้อก็ตาม

นั่นเป็นสิ่งที่เราเองก็พยายามบอกน้อง ๆ ที่เราสอนตลอดนะว่า

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เรียนรู้เรื่องก็คือ BASIC

(ไม่ใช่ภาษาเบสิคนะคะ - -" )

พื้นฐานเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเรียนรู้แบบต่อยอดมากที่สุด อย่างเช่น จะเรียนคณิตศาสตร์ให้ได้เกรดดี ๆ พื้นฐานเราก็ต้องแน่น อย่างสมมติ ขึ้นม.ปลายมีเรียนตรีโกณมิติ ซึ่งเป็นบทที่ต่อยอดมาจากตอนม. 3 ซึ่งสอนให้รู้จักมุม sin, cos, tan เบื้องต้นแล้ว นั่นก็แสดงว่า เราจะเรียนตรีโกณของม.ปลายให้เข้าใจ เราจะต้องเข้าใจของม. 3 อย่างถ่องแท้และขึ้นใจเสียก่อน เช่นเดียวกันกับวิชาอื่น ๆ

และในซีรีส์เรื่องนี้เองก็ได้เน้นตรงจุดที่เราว่านี้พอดีเลยด้วย...

อีกจุดหนึ่งในการเรียนที่เราเองก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยกับซีรีส์เรื่องนี้ก็คือ การเรียนวิชาภาษาอังกฤษ

เท่าที่คลุกคลีและมีโอกาสได้สอนน้อง ๆ มัธยมอยู่หลายคน เราถึงรู้ว่าน้อง ๆ มักจะไม่ชอบวิชาภาษาอังกฤษกันเป็นส่วนใหญ่

ตรงนี้เราจะไม่โทษระบบการศึกษาของเมืองไทยหรอกนะว่ามันห่วยหรือเปล่า หรืออย่างไร

แต่เราเห็นด้วยกับละครเรื่องนี้ตรงที่การเรียนแบบธรรมชาติ คือ ไอ้แกรมมาร์ทั้งหลายน่ะ ไม่ต้องไปนั่งท่องหัวฟูหรอก อาศัยความเคยชิน ประสบการณ์ เดี๋ยวแกรมมาร์ก็อยู่ในหัวพร้อมใช้เองน่ะแหละ

เช่นเดียวกันกับการที่เรียนอังกฤษมาแทบตาย แต่ทำมั้ย พูดไม่ได้ซักที ... มันต้องกล้าพูดนะ พูดผิดพูดถูก พูดไปเถอะ ขอให้พูดแล้วรู้เรื่องก็พอ ไม่ต้องไปคิดว่า เฮ้ย นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ต้องใช้ Past Tense หรือว่าผลของการกระทำยังคงอยู่ ต้องเป็น Present Perfect Tense อย่างนั้นก็คงพูดไม่ออกกันพอดี

ในเรื่องนี้ก็ได้พูดถึงตรงจุดนี้เช่นกัน

สิ่งที่ชอบในซีรีส์เรื่องนี้ นอกจากจะเป็นเรื่องของวิธีการสอนซึ่งค่อนข้างจะโดนใจเราและเราเห็นด้วยแล้ว ยังมีเรื่องของความสมจริงเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่างหาก

ต้นเรื่อง ซากุระงิได้ลั่นคำพูดไปแล้วว่าจะทำให้เด็กนักเรียนริวซังเอนท์ติดโทไดอย่างน้อย 5 คน ถ้าเป็นละครน้ำเน่าทั่ว ๆ ไป ตอนท้ายเรื่องก็คงจบลงแบบ happy ending คือ นักเรียนคลาสพิเศษทั้ง 6 คนเอนท์ติดโทไดหมด ... ทั้ง ๆ ที่ยามะพี (ในเรื่องจำชื่อไม่ได้อ่า) ข้อมือพลิก จับปากกาดินสอลำบากแทบตาย อีกคนก็ท้องเสียเพราะโดนน้องชายฝาแฝดกลั่นแกล้ง (แล้วมันก็เอนท์ไม่ติด 555) อีกคนก็แม่ป่วยกะทันหัน

แต่สำหรับเรื่องนี้ ไม่ใช่แบบนั้น เรื่องนี้จบลงที่นักเรียนคลาสพิเศษเอนท์ติดโทไดถึง 3 คน ซึ่งเราดูแล้วว่ามันสมจริงสมจังดี ดูไม่เป็นละครมากจนเกินไป

นอกจากเรื่องเรียนแล้ว เรื่องนี้ก็ยังให้แง่คิดดี ๆ ในการดำเนินชีวิต และมิตรภาพระหว่างเพื่อนได้ดีทีเดียว

ดูตอนจบ น้ำตายังแอบหยดเผาะ ๆ ไปด้วยไม่ได้เลย ...

อ้อ แอบเสริมอีกนิดนึง ตอนท้ายซีรีส์จะมี ITV Asian Series Fan Club มาพูดถึงซีรีส์เล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วย

มีอยู่วันนึง น้องพิธีกรรายการนี้ (ไม่บอกชื่อแล้วกันนะ) ได้พูดถึงโทได และเรียกโทไดว่า "ม.โทได" ... เอ่อ น้องคะ ... โทไดน่ะมันย่อมาจาก Tokyo University (ในคำแปลเป็นภาษาอังกฤษ) มีคำว่า "มหาวิทยาลัย" อยู่แล้วอ่ะค่ะ ไม่จำเป็นต้องเติม "ม." ลงไปข้างหน้าโทไดหรอกค่ะ

อ้อ ส่วนที่ว่าชื่อเต็ม ๆ ของโทไดในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่าอะไร ขออนุญาตไม่บอกแล้วกันนะคะ กลัวพิมพ์ผิดง่ะ เดี๋ยวหน้าแตก



Create Date : 13 มีนาคม 2549
Last Update : 16 มิถุนายน 2558 22:45:47 น. 5 comments
Counter : 2039 Pageviews.

 
แวะมาเยี่ยมค่ะ พอดีเคยเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่น
Todai = Tokyo Daigaku = Tokyo University ค่ะ



โดย: duxky (duxky ) วันที่: 13 มีนาคม 2549 เวลา:19:00:37 น.  

 
โอ้วววว นั่นแหละ ๆ คุณ duxky ขอบคุณมาก ๆ เลยค่า...

พอดีที่ตัวเองรู้ก็เพราะมีพี่ชายเรียนที่ญี่ปุ่นนั่นแหละ แล้วตัวเองก็เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่คอร์สนึง เลยรู้งู ๆ ปลา ๆ มาอ่า...


โดย: keigo IP: 202.12.118.36 วันที่: 14 มีนาคม 2549 เวลา:13:29:56 น.  

 
เราชอบมากๆเลยนะคุยกันได้ที่เมล์นี้เลย ok_mylove1234@hotmail.com


โดย: โครตชอบ IP: 58.8.160.150 วันที่: 29 เมษายน 2550 เวลา:15:33:33 น.  

 
ตามหลักภาษาศาสตร์ ถ้าในคำคำนั้นของภาษาอื่นแม้จะระบุไว้อยู่แล้ว แต่สามารถใส่คำภาษาไทยเพิ่มเข้าไปได้ครับ เพื่อเพิ่มความเข้าใจกับคนที่ไม่รู้ภาษานั้นๆ

ตรงนี้เป็นหลักการแปลทั่วไป


โดย: art->science IP: 123.2.246.182 วันที่: 2 พฤษภาคม 2551 เวลา:16:16:12 น.  

 
แนะนำเว็บดูหนังซีรีย์เกาหลีฟรี


โดย: koreaserie (loveyoupantip ) วันที่: 6 สิงหาคม 2554 เวลา:8:09:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.