มะลิไทยแลนด์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
14 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add มะลิไทยแลนด์'s blog to your web]
Links
 

 

วันที่ 24 ตุลาคม 2551 ฟ้าสางที่อาบูซิมเบล

ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเคาะประตูของพนักงานโรงแรม เมื่อคืนเค้าไม่ได้บอกว่าจะมาปลุก เราเลยตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 2 เรือน แต่นาฬิกายังไม่ทันปลุก เค้าก็มาเคาะเรียกเสียก่อน เราแค่ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จรีบลงไปสมทบกับเพื่อนร่วมเดินทางอีก 6 คน จากโรงแรมเดียวกัน กลุ่มหนึ่งมี 4 คน เป็นคุณน้าผู้หญิง 3 คน ผู้ชาย 1 คน ที่มาจากซานฟรานซิสโก พอดีมี 1 ในกลุ่มเคยมาเที่ยวเมืองไทย เลยได้พูดคุยกันเยอะหน่อย และได้รู้ว่าพรุ่งนี้พวกคุณน้าก็จะไปคาราวานเดียวกับเราจากอัสวาน-ลุกซอร์ แต่ไม่ได้พักโรงแรมเดียวกัน เพราะพวกคุณน้าชอบวิวแม่น้ำไนล์มาก เลยอยากพักโรงแรมที่มองเห็นวิวแม่น้ำไนล์ชัด ๆ แต่ก็ยังไม่ได้จอง กำลังให้โรงแรมนี้ติดต่อให้อยู่ ส่วนอีก 2 สาว มาจากประเทศญี่ปุ่ม แต่งตัวสไตล์ญี่ปุ่นจริง ๆ เลย พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ เลยไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ เรารับอาหารกล่อง ซึ่งก็คือเมนูเดียวกันกับที่กินทุกวันแหละ แต่บรรจุใส่กล่องให้ เราซื้อน้ำขวดใหญ่เพิ่มจากโรงแรมในราคา 3 EP. ตีสาวสิบห้ารถก็มารับ เป็นรถบัสสภาพดีนั่งได้ประมาณ 20 คน ตอนขึ้นไปมีผู้หญิง 2 คน ที่มาจากโรงแรมอื่นนั่งอยู่ก่อนแล้ว ต่อจากนั้นรถก็จะขับไปรับผู้โดยสารที่อยู่ตามโรงแรมอื่น ๆ จนเต็มคัน แล้วไปตั้งขบวนเพื่อออกพร้อมกันทั้งเมืองเลย ออกเดินทางพร้อมกันประมาณตี 4 พอรถเริ่มออกผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็เริ่มทยอยนอนหลับกัน เราหลับ ๆ ตื่น ๆ เลยได้มีโอกาสเห็นแสงแรกของพระอาทิตย์กลางทะเลทราย ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.ครึ่ง ก็ถึงอาบูซิมเบล ประมาณ 6.30 น. ก่อนลงจากรถคนขับรถจะนัดแนะเวลาโดยให้เรากลับมาขึ้นรถที่เดิม คือ บริเวณหน้าทะเลสาบ Nasser เวลา 8.50 น. ดังนั้นเรามีเวลาประมาณ 2 ชม. ในการชมวิหารอาบูซิมเบล ก่อนไปจากรถเราได้ถ่ายรูปรถบัสและคนขับไว้ เผื่อว่าตอนขากลับจำรถและคนขับไม่ได้ เดินเข้าไปสิ่งแรกที่เห็นก็คือคิวห้องน้ำยาวเหยียดมาก เราเลยตัดสินใจไปซื้อตั๋วก่อนแล้วค่อยออกมาใช้บริการตอนขากลับ จากห้องขายตั๋วต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 1 กม. จะถึงบริเวณวิหารอาบูซิมเบล ราคาตั๋ว 43 EP.ต่อคน






แสงแรกที่ทะเลทราย

ช่วงที่เราไปถึงยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากเท่าไหร่ อากาศก็เย็นสบาย ถึงจะมีแดดจ้าก็ตาม วิหารแห่งนี้สร้างโดย ฟาโรห์รามเซสที่ 2 กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ที่ 19 ของไอยยุปต์ โดยการสร้างแบบสกัดหน้าผาเข้าไป หันหน้าไปยังทะเลสาบนัสเซอร์ (Lake Nasser) สิริรวมอายุเข้าไปก็ 3,200 กว่าปีเข้าไปแล้ว โดยพระองค์หวังว่าจะให้พวกนูเบียนนั้นเห็นถึงฤทธานุภาพของพระองค์ จะได้ไม่เข้ามารุกรานดินแดนไอยคุปต์ โดยใช้เวลาสร้างราว 20 ปี จึงแล้วเสร็จ มีความกว้าง 35 เมตร และมีรูปสลักของฟาโรห์รามเซสที่ 2 นั่งประทับ 4 องค์ แต่ละองค์ก็มีความสูงถึง 20 เมตร ส่วนด้านบนสุดจะมีรูปสลักลิงบาบูนจำนวน 22 ตัว เพื่อแทนจำนวนชั่วโมงในแต่ละวัน เป็นครั้งแรกที่เราเห็นรูปสลักของรามเสสขนาดมหึมา แบบจะ ๆ เราจึงออกอาการตลึงเล็กน้อยกับภาพที่เห็น เพราะความใหญ่โต อลังการของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา ดังนั้นคงไม่แปลกที่ผู้ที่ตั้งใจจะมารุกรานแผ่นดินบริเวณนี้ในสมัยก่อน เมื่อมาเห็นสิ่งนี้จะทำให้เกรงกลัวแสนยานุภาพของฟาโรห์รามเสส เพราะการจะสร้างวิหารที่ใหญ่โต สวยงามแบบนี้ขึ้นมาได้ คงต้องมีความพร้อมทั้งกำลังคน กำลังเงินที่มหาศาลที่เดียว นอกจากนี้เรายังทึ่งในความสามารถของผู้ที่มีส่วนร่วมในการย้ายวิหารแห่งนี้เพื่อหนีน้ำด้วย แค่สร้างก็ยังยากแล้วนี่ยังย้ายมาสร้างให้เหมือนเดิมอีก เมื่อเดินเข้าสู่ภายในวิหารจะพบห้องโถงใหญ่ที่เรียกกันว่า Hypostyle Hall ซึ่งดูอลังการด้วยเสาที่สลักเป็นรูปของฟาโรห์รามเซสที่ 2 โดยอยู่ในเครื่องทรงแบบเทพโอซิริส (Osirid pillars) จำนวน 8 ต้น ซึ่งเทพโอซิริสนั้นถือว่าเป็นเทพแห่งปรโลกผู้ปกป้องผู้วายชนม์ ทำให้สร้างความขลังให้กับตัววิหารมากยิ่งขึ้น ส่วนผนังภายในวิหารนั้นจะถูกแกะสลักเป็นภาพนูนต่ำว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับการทำศึกสงครามของฟาโรห์รามเซสที่ 2 โดยภาพที่แสดงชัยชนะของพระองค์เมื่อครั้งสู้รบกับพวกฮิตไทต์ (Hittites) ด้านในสุดจะพบกับห้องที่สำคัญที่สุดของวิหารแห่งนี้ เป็นห้องขนาเล็กที่อยู่ลึกสุดถึง 47 เมตรจากปากทางเข้า ภายในห้องจะมีรูปสลัก 4 รูปนั่งเรียงกันอยู่ติดกับผนังโดยเรียงจากซ้ายไปขวาคือ เทพพทาห์ (Ptah) ซึ่งเป็นเทพประจำเมืองเมมฟิสเมืองหลวงแห่งแรกของอียิปต์โบราณ ถัดมาจะเป็น เทพอามุน-เร (Amun-Re) เทพประจำเมืองธีบส์เมืองหลวงในสมัยของพระองค์เอง ถัดไปองค์ที่สามคือ ฟาโรห์รามเซสที่ 2 ในฐานะสมมุติเทพ และขวาสุดจะเป็น เทพเร-ฮอรัสตี้ (Re-Harakhti) ซึ่งเป็นเทพประจำเมืองเฮลิโอโปลิสที่เคยเป็นเมืองหลวงเช่นกัน ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในห้องนี้ นั่นก็คือทุกวันที่ 22 กุมภาพันธ์ และ 22 ตุลาคม ของทุกปีจะเกิดปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง คือในตอนเช้าตรู่เมื่อแสงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากพื้นดินแล้ว ลำแสงของดวงอาทิตย์จะทะลุลอดผ่านวิหารเข้ามาสู่ภายในห้องนี้ โดยลำแสงจะไปจับที่เทพเร-ฮอรัสตี้ ซึ่งอยู่ขวาสุดก่อน แล้วค่อยๆเคลื่อนมาจับที่รูปฟาโรห์รามเซสที่ 2 จากนั้นจึงไปจับที่ เทพอามุน-เร (Amun-Re) แล้วจึงเคลื่อนกลับไปทางเดิมโดยไม่ไปจับที่ พทาห์ (Ptah) เลย เนื่องจากมีความเชื่อว่าเทพพทาห์นั้นถือเป็นเทพที่ติดต่อกับยมโลกและจะสถิตย์อยู่ในความมืด จึงไม่สามารถรับแสงจากดวงอาทิตย์ได้ ฟังดูแล้วก็ค่อนข้างเป็นเรื่องมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติจริงๆ สิ่งที่เห็นทำให้รู้สึกได้ถึงพลังความศรัทธา และมุ่งมั่นของผู้คนในสมัยนั้น เสียดายที่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภายใน เราจึงทำได้แค่เก็บภาพความประทับใจไว้ ส่วนภาพที่นำมาให้เพื่อน ๆ ชมก็เป็นภาพที่ถ่ายมาจากภายนอกวิหาร


ทางเดินเข้า




















วิหารฟาโรห์รามเสสที่ 2

จากวิหารรามเสสเราก็บไปยังวิหารเนเฟอตารี ซึ่งเป็นมเหสีของรามเสส นัยว่ารามเสส love มเหสีองค์นี้มาก ๆ จึงได้สร้างอนุสรณ์สถานที่ยิ่งใหญ่ แบบที่ไม่เคยมีฟาโรห์องค์ใดทำให้มเหสีมาก่อน ภายในก็มีการแกะสลักตามผนังและเพดานเหมือนกับของรามเสส ความยิ่งใหญ่อลังการก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เราใช้เวลากับสองวิหารนี้จนถึงประมาณ 8.15 น. ก็ออกมาเก็บภาพบรรยากาศบริเวณทะเลสาบ Nasser และแวะดูข้อมูลที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ก่อนที่จะกลับออกไปขึ้นรถ เราแวะเข้าห้องน้ำด้านนอก ซึ่งไม่ค่อยมีคนเข้า เราสังเกตว่าขามาคนจะใช้บริการห้องน้ำด้านนอกมากกว่า คงเพราะไม่รู้ว่ามีห้องน้ำอยู่ด้านในอีกแห่งหนึ่ง ส่วนขากลับคนจะใช้บริการห้องน้ำด้านในมากกว่า คงเพราะเดินเที่ยวเสร็จแล้วก็อยากเข้าห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดมั๊ง แต่ถ้าใครอดทนได้มาเข้าห้องน้ำภายนอกไม่มีคนเลย เรามาถึงที่นัดหมายตามเวลาพอดี ซึ่งผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็จะมากันแล้ว ที่หายไปคือ 2 ยุ่น กับอีก 1 หนุ่มจากโรงแรมอื่น ไม่นาน 2 ยุ่นก็มา พวกเธอบอกว่าจำรถไม่ได้ จนรถจะออกแล้วยังมีอีก 1 หนุ่มมาไม่ถึง คนขับรถบ่นใหญ่บอกว่าทำยังงัย convoy จะออกเดินทางแล้ว และเขาก็รีบเดินไปตามจนได้ตัวกลับมา เราจึงออกเดินทางกลับกัน ขากลับอากาศร้อนขึ้นคนขับรถจึงเปิดแอร์ให้ค่อยสบายหน่อย ตลอดการเดินทางกลับผู้โดยสารส่วนใหญ่ทำกิจกรรมคล้าย ๆ กัน คือ นอนหลับ จะไม่เหมือนก็ตรงท่าทางการหลับของแต่ละคน บางคนที่นั่งเก้าอี้เสริมน่าสงสาร เพราะพนักพิงมันเตี้ย










วิหารเนเฟอตารี


ทะเลสาบ Nasser

ขากลับใช้เวลาประมาณ 3 ชม. ก็ไปถึงบริเวณ high dam ที่นี่คนขับรถจะถามว่าใครจะไม่ดูเขื่อนบ้าง เรากับสามียกมือทันทีเพราะอ่านข้อมูลของเพื่อน ๆ มาก่อนแล้วว่าไม่น่าสนใจ พอหันไปก็พบว่ามีประมาณครึ่งหนึ่งที่ยกมือว่าไม่ดู ดังนั้นคนขับรถจึงบอกว่าใครไม่ดูให้ลงคอยที่บริเวณหน้าทางเข้า ส่วนคนที่จะไปดูให้นั่งอยู่บนรถ ใช้เวลาดูประมาณ 10-15 นาที ก่อนที่พวกเราจะลงจากรถ คนขับก็เดินขึ้นมาแล้วบอกอีกครั้งให้ชัดเจนว่าใครไม่ดูให้ลง ใครดูให้นั่งบนรถ เขาบอกว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีนักท่องเที่ยวเข้าใจผิดกลายเป็นคนดูลง คนไม่ดูนั่งบนรถ พอพาเข้าไปก็เกิดโวยวายกันขึ้น พอเขาพูดเสร็จคนที่ไม่ดูจึงลงไปยืนคอยใต้ร่ม อากาศก็กำลังสบาย ขณะที่ยืนคอยรถกลับมารับ เราก็เลยได้รู้จักกับเพื่อใหม่เป็นผู้หญิงที่มาคนเดียวหน้าเป็นฝรั่ง แต่เธอบอกเธอมีเชื้อสายอียิปต์ นั่นซิเพราะเราสังเกตตั้งแต่ตอนไปอาบูซิมเบลแล้วว่าเธอคุยกับคนขับรถอย่างออกรสออกชาติอยู่คนเดียว ส่วนอีกกลุ่มที่ไม่ได้ไปดูก็คือคุณน้าจากซานฟรานซิสโกนั่นเอง อันนี้ได้คุยกันแล้ว และอีก 2 คน ๆ เป็นชาย 1 หญิง 1 เราคุยกับผู้หญิง เป็นหมวยชาวฮ่องกง แต่เธอมีมารดาเป็นคนไทย 100% แต่งงานกับพ่อเธอที่เป็นชาวฮ่องกง ปัจจุบันย้ายไปอยู่ฮ่องกงกันหมดแล้ว แต่เธอมียายที่อยู่กรุงเทพ เธอยังพูดภาษาไทยให้เราฟังเป็นประโยคได้เยอะทีเดียว ถึงจะไม่ชัดแต่ก็พอฟังรู้เรื่อง เรายังได้ฮากับหลายประโยคที่เธอพูดด้วย


บริเวณป้าย High Dam ที่คนไม่เข้าไปดูยืนรอรถมารับ

ไม่นานรถก็กลับมารับพวกเราเดินทางต่อไปยังวิหารฟิเล ระหว่างทางที่จะไปวิหารฟิเลนั้น มีการเปลี่ยนคนขับรถคนเก่าซึ่งพูดภาษาอังกฤษได้ เป็นชาวอียิปต์ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ทำให้การสื่อสารยากลำบากขึ้น แต่โชคดีที่มีนักท่องเที่ยวสาวที่มาคนเดียวแล้วมีเชื้อสายอียิปต์เป็นไกด์จำเป็นให้ พวกเราเลยได้เดินทางไป-กลับวิหารฟิเลโดยเรือในราคา 5 EP. โดยไม่ต้องต่อราคาให้ยุ่งยากเหมือนที่เพื่อนบางคนเจอ ค่าตั๋วเข้าฟิเลราคา 20 EP.ต่อคน ฟิเลเป็นวิหารที่อยู่บนเกาะ จากข้อมูลทั้งในหนังสือและหนังสารคดีที่เราดู บอกว่าเป็น วิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าไอซิส ซึ่งเป็นพระมารดาของเทพฮอรัส (เทพเหยี่ยว) เป็นวิหารแห่งสุดท้าย ที่มีการจารึกเรื่องราวของอียิปต์ในภาษาฮิโรกลีฟิค เป็นเทวาลัยที่มีพิธีกรรมบูชาเทพแห่งสุดท้าย ก่อนที่อียิปต์จะถูกปกครองโดยชาวโรมัน เดิมวิหารนี้ ตั้งอยู่ที่เกาะ Philae แต่ถูกน้ำจากเขื่อนอัสวานท่วม องค์การรยูเนสโก จึงได้ชะลอหนีน้ำไปไว้ที่สูงกว่าที่เกาะ "Agilika" วิหารฟิเลย์นี้เป็นหนึ่งในสามวิหารแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ที่สร้างโดยราชวงศ์ปโตเลมี ที่ยังคงอยู่ในสภาพที่ดี เสาวิหารมีการแกะสลักหลากหลายแบบ บางต้นหัวเสาเป็นรูปใบปาล์ม บ้างเป็นรูปดอกบัวคลี่ บ้างเป็นต้นปาปิรุสและยังมีใบไม้ต่างๆอีกหลายชนิด เป็นงานสถาปัตยกรรมที่ได้รับการออกแบบและตกแต่ง ที่แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานวัฒนธรรมของ 3 ชาติ คือ อียิปต์-กรีก-โรมัน ที่สมบูรณ์แบบและงดงามที่สุดแห่งหนึ่งวิหารฟิเลย์นี้ ได้รับการยกย่องให้เป็นเพชรน้ำเอกแห่งลุมแม่น้ำไนล์ ถือว่าเป็น "ไข่มุกแห่งอียิปต์” ในบางส่วนของภาพสลักที่ผนังวิหารจะเห็นร่องรอยการถูกขูดทำลายแล้วมีการสลักสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ และตัวอักษรแบบคอปติกลงบนผนังด้วย ในความคิดของเรารู้สึกว่าเป็นวิหารที่มีความสวยงามและอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ประกอบกับทิวทัศน์โดยรอบ ทำให้ฟิเลดูมีเสน่ห์มาก ๆ เรามีเวลาเดินชมวิหาร 1.30 ชม. พวกเราข้ามเรือกลับไปขึ้นรถที่เดิม












































วิหารฟิเล

คนขับรถพาไปชม Unfinished Obelisk พอถึงผู้โดยสารหญิงที่ทำหน้าที่ไกด์จำเป็นก็ถามว่ามีกี่คนที่จะเข้าไปดู คราวนี้มียกมือประมาณ 4-5 คน ที่เหลือไม่ดู ดังนั้นคนที่ดูก็จะลงไปดู ส่วนที่ไม่ดูคนขับรถจะพาไปส่งตามโรงแรม แล้วจะวกรถกลับมารับคนที่ดูอยู่อีกครั้ง เราไปถึงโรงแรมประมาณ 3 โมงเย็น อาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว แล้วขึ้นไปดูวิวแม่น้ำไนล์บนดาดฟ้าโรงแรม ในความคิดของเราแม่น้ำไนล์สวยบาดใจจริง ๆ เราจึงชมวิวจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน เพื่อรอเก็บภาพไนล์ช่วงอาทิตย์ตกดิน
















แม่น้ำไนล์ยามอาทิตย์อัสดง จากดาดฟ้าโรงแรม

เสร็จแล้วก็ไปเดินหาอาหารเย็นกิน และแวะเที่ยวตลาดอัสวาน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ๆ เดินเท่าไหร่ก็ไม่สุดสักที มีร้านค้ามากมาย ส่วนใหญ่ขายของที่ระลึกและพวกเครื่องเทศ คนขายจะมายืนตรงถนนที่คนเดิน แล้วก็เชิญชวนให้คนเข้าไปดูของในร้านของตัวเองเป็นอย่างนี้ตลอดทางเลย อ้อ! เค้ามักจะทักเราว่า “Japanese” เวลานำเสนอ เค้าจะบอกว่าทุกอย่างในร้าน one dollar แล้วก็ชี้ไปที่ของในร้าน แต่เราว่าต้องไม่ใช่แน่เลย หลาย ๆ อย่างมันไม่น่าจะ one dollar เราว่าคงเป็นเทคนิคที่จะทำให้ลูกค้าเข้าไปในร้านก่อนจากนั้นค่อยหว่านล้อมให้ซื้อสิ่งของในร้านอีกที เพราะธรรมชาติของคน ก็ชอบของถูกอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้เข้าไปดูสักร้าน เพราะยังไม่คิดจะซื้อของอะไรให้เป็นภาระ รอไว้ซื้อที่ตลาดข่านทีเดียวดีกว่า ได้แต่เดินชมบรรยากาศ มีพ่อค้าบางคนก็เข้ามาจับข้อมือเราแล้วทำท่าจะจูงไป เราก็บอกว่า “ไม่ค่ะ” เป็นภาษาไทยพร้อมกับส่งยิ้มให้ เค้าก็จะปล่อย เทคนิคยิ้มสยามนี่ใช้ได้ผลจริง ๆ เรากับสามีเดินแจกยิ้มไปทั่ว เค้าจะพูดอะไรแจกยิ้มอย่างเดียว เค้าก็จะไม่เซ้าซี้เราอีก เคยอ่านเรื่องของเพื่อน ๆ บางคนจาก internet บอกเล่าถึงผู้ชายอียิปต์ว่าจะชอบหลีสาวต่างชาติ เราไม่เจอนะ ตามที่เราเจอเราคิดว่าผู้ชายอียิปต์ขี้เล่น และมักมีสายตาที่แสดงชัดเจนว่าชื่นชมหญิงสาวชาวต่างชาติ ไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไรนะ แต่เค้าก็แค่มองและส่งสายตาแค่นั้น ไม่ได้ทำอันตรายอะไร เราเดินเล่นประมาณ 1 ชม. ก็กลับไปพักผ่อนเอาแรง พรุ่งนี้รถจะมารับตอน 7.15 น. คืนนี้คงหลับสบายแน่เลย


















Shopping center ที่อัสวาน




 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2551
2 comments
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2551 22:09:35 น.
Counter : 2141 Pageviews.

 

ตามมาอ่านจนจบทันที่อัพเดทแล้วค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ

ชอบมาก ๆ เลยนะคะที่คุณมะลิเขียนเนี่ย
ไม่เหมือนที่เคยอ่าน ๆ มาทั้งหมดเลย
เพราะว่าเขียนละเอียดมากจริง ๆ ค่ะ เห็นภาพหมดเลย
ว่าทัวร์จะพาไปไหนอะไรยังไง กี่โมง กี่โมง
ใครจะดู ใครจะไม่ดู จะลงรถ ขึ้นรถอะไรยังไง
ละเอียดมากจริง ๆ ค่ะ ชอบมาก ๆ

ชอบเทคนิคที่ถ่ายรูปคนขับรถกับรถไว้จะได้ไม่หลง
แล้วก็ขอบคุณสำหรับเทคนิคการเข้าห้องน้ำด้วยนะคะ
จะเอาไปใช้แน่นอนค่ะ เรื่องด้านนอกกับด้านในน่ะค่ะ

รูปพระอาทิตย์ตกดินแม่น้ำไนล์นี่งดงามจริง ๆ นะคะ
เห็นแล้วอยากจะไปพรุ่งนี้เลยทีเดียวเชียว
ขอบคุณอีกหลาย ๆ ครั้งค่ะ แล้วจะเข้ามาอ่านอีกเรื่อย ๆ

 

โดย: นางสาวดุ่บดั่บ 15 พฤศจิกายน 2551 8:26:10 น.  

 

รายละเอียดมากมาย ขอยืมเอาไปใช้หากได้มีโอกาสไปปีหน้า ต้องไปให้ได้

 

โดย: ไอริน (กวนฐานฮวา ณ อเบอร์ดีน ) 19 พฤศจิกายน 2551 23:27:38 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.