วันที่ 21 ตุลาคม 2551 เที่ยวเมือง Alexandria
วันนี้ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ตีห้า ประมาณตีห้ายี่สิบ ก็ออกจากโรงแรมไปเรียกแท็กซี่ ช่วงเช้าแท็กซี่จะน้อยหน่อย แต่ก็พอมีบ้าง เมื่อคืนเราให้พนักงานโรงแรมเขียนชื่อสถานีรถไฟรามเสส เป็นภาษาอารบิกให้ พอเราเรียกรถแท็กซี่ได้ก็บอกว่าจะไป Ramses station he ก็พยักหน้า แต่เพื่อความแน่ใจก็เอาชื่อภาษาอารบิกให้ he ดูอีกครั้ง he บอก OK ไม่ลืมถามราคา he บอก 10 EP. เราเคยถามพนักงานโรงแรมบอกว่า สัก 5 EP. แต่เราคิดว่านั่นน่าจะเป็นราคาสำหรับคนท้องถิ่น ก็เลยไม่ได้ต่อรอง ถ้าเพื่อน ๆ ที่ไปอยากจะต่อรองดูก็ได้ ประมาณ 10 นาที ก็ถึงหน้าสถานีรถไฟ พอไปถึงเราก็มองหาตัวช่วย พอดีเห็นพี่ตำรวจยืนอยู่ก็เลยเอาตั๋วรถไฟ ซึ่งเป็นภาษาอารบิกทั้งหมดไปให้พี่เค้าดู ความจริงพนักงานโรงแรมก็แปลเป็นภาษาอังกฤษมาให้เราแล้วล่ะ แต่เราเป็นพวกชอบ double check หรือเรียกอีกอย่างว่าพวกวิตกจริตนั่นแหละ ก็เลยต้องถามให้แน่ใจอีกครั้ง พี่ตำรวจก็ดีมากเลย แนะนำและชี้ทางให้เราไปที่ platform 4 พอไปถึง platform 4 ก็มีรถไฟจอดอยู่ขบวนหนึ่ง เราก็เลยเดินเข้าไปถามคุณลุงที่ยืนให้บริการผู้โดยสารอยู่ที่ประตูทางขึ้นรถไฟ คุณลุงเลยชี้ตู้รถไฟให้ เราขึ้นไปก็นั่งตามเบอร์เก้าอี้ที่พนักงานโรงแรมเขียนบอกไว้ให้ เป็นรถไฟชั้นหนึ่ง ที่นั่งกว้างขวาง สะอาด และปรับเอนได้มากพอควร รถไฟออกตามเวลา 6.00 น. แต่เป็นธรรมดาของรถไฟ คือ แล่นไปเลย ๆ เหนื่อยก็หยุดพัก แต่ดูว่าจะเหนื่อยบ่อยหน่อย เลยหยุดพักทุกสถานีเลย เราสังเกตเห็นว่าสถานีแรก ๆ ก็ จะมีชื่อเป็นภาษาอารบิก และกำกับด้วยภาษาอังกฤษ แต่พอสถานีหลัง ๆ ชัดเริ่มมีแต่ชื่อภาษาอารบิกแล้ว วิวข้างทางก็คล้าย ๆ บ้านเรา นึกถึงเวลานั่งรถไปอยุธยา อ่างทอง อะไรเทือกนั้น เพราะจะเป็นวิวเกษตรกรรม ยังคุยกับสามีว่า ตอนก่อนมาเราวาดภาพว่าคงจะเป็นการนั่งรถไฟที่วิ่งกลางทะเลทราย แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่ วิวิอุดมสมบูรณ์ จะมีต่างจะเมืองไทยก็ตรงพาหนะที่ชาวบ้านใช้ จะเป็นลา และม้า เค้าใช้ลาไถนาด้วย ไม่ค่อยเห็นรถไถนา ถ้าเป็นบ้านเราก็จะเป็นวิวควายกับคูโบต้า ตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนรถไฟ จะมีพนักงานเข็นรถเข็นขายกาแฟและอาหารเป็นระยะ ๆ ออกเสียงประมาณว่า ช่วยอัดก๊อปปี้ ใครมีโอกาสได้ไปก็ลองฟังดูว่าออกเสียงคล้ายแบบนี้หรือเปล่า เรานั่งรถไฟถึงอเล็กซานเดรียใช้เวลาประมาณ 3 ชม. ครึ่ง ตอนแรกก็คิดว่าจะลงสถานีไหนดี เพราะตามข้อมูลที่หามาแนะนำให้ลงสถานี Mars แต่เนื่องจากเราไม่เห็นชื่อภาษาอังกฤษของสถานี แต่สังเกตว่ามีอยู่ป้ายหนึ่งที่มีคนลงจำนวนมาก ตอนแรกก็คิดจะลง แต่ตัดสินใจนั่งไปก่อน พอถัดไปอีกป้าย เริ่มเห็นคนลุกกันหมดตู้ พอดีคุณลุงคนตรวจตั๋วเดินเข้ามาคุณลุงเลยบอกให้เราลงได้แล้ว เพราะเป็นสถานีสุดท้ายแล้ว สรุปก็คือ เพื่อน ๆ ที่จะไป Alexandria โดยรถไฟ ก็ลงที่สถานสุดท้ายปลายทางแหละค่ะ เพราะเป็นสถานีที่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวมากที่สุด
สถานีรถไฟบรรยากาศเหมือนหัวลำโพงบ้านเราเลย
ตั๋วรถไฟเป็นภาษาอารบิก ยกเว้นราคากับวันที่ ไปกลับราคาไม่เท่ากัน
ที่นั่งรถไฟชั้นหนึ่ง
พอลงรถไฟ เดินมาหน้าสถานี ก็มีคนขับ taxi เข้ามาถามว่าจะไปที่ไหน เราเลยถามกลับว่าพูดอังกฤษได้หรือเปล่า เค้าบอกว่าได้ เราเลยบอกว่าเราต้องการไปตามลำดับนี้ Qaitbey , Bibiotheca, Pompey pillan, Catacombs, Roman theatre และ Greco-Roman Museum และเพื่อความมั่นใจว่าจะพาเราไปครบตามสถานที่ ๆ บอก เราก็ควักเอาภาษาอารบิกที่ให้พนักงานโรงแรมเขียนไว้มาให้ดูอีกที he ให้ข้อมูลเราว่าตอนนี้ Greco-Roman Museum ปิดปรับปรุง แต่จะพาเราไปที่ National Museum แทน แล้ว he ก็เรียงลำดับการเที่ยวให้เราใหม่ตามความเหมาะสม โดยจะพาเราไป Roman theatre เป็นที่สุดท้าย เพราะมันอยู่หน้าสถานีรถไฟนั่นเอง เราเลยบอกว่าเที่ยวหมดนี้และต้องพาเรามาส่งที่สถานีรถไฟให้ทันบ่าย 3 โมง เพราะเราจะต้องนั่งรถไฟกลับไคโร ดังนั้นเรามีเวลา 5 ชั่วโมงสำหรับการท่องเที่ยว he บอกราคา 100 EP. เราปรึกษาสามีก็คิดว่ารวมทิปแล้วก็พอรับได้ จึงตกลงทันที สถานที่แรกที่เราไปคือพิพิธภัณฑ์ ที่นี่แบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นล่างสุดเป็นยุคอียิปต์ ชั้นสองยุคกรีก-โรมัน ชั้นสามเป็นยุคปัจจุบัน มีโบราณวัตถุจำนวนมาก และน่าสนใจมากด้วย เราใช้เวลาที่นี่ประมาณ 45 นาที เป็นสถานที่แรกที่เราได้มีโอกาสใช้บัตรนักศึกษานานาชาติที่ทำไป โดยจะได้ลดราคาลงครึ่งหนึ่งเหลือคนละ 15 EP.
ด้านหน้าสถานีรถไฟ Alexandria
Alexandria national museum
โบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์ รูปปั้น Zeus
เทพีฮาร์เธอร์
ฟาโรห์อเคนาเตน
จากนั้นเราก็ไปที่ห้องสมุดที่ใหญ่โตทันสมัย เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากหอสมุดแห่งเดิมที่เป็นความภาคภูมิใจของเมืองเก่า ที่เคยเป็นศูนย์กลางการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์แห่งแรกของโลก ภายในบรรจุหนังสือกว่า 8 ล้านเล่ม ในหลายภาษา รวมทั้งต้นฉบับเขียนมือที่หายากกว่าอีก 50,000 ชิ้น บริเวณด้านหน้าก็จะมีการสลักตัวอักษรของทุกประเทศในโลก เคยเห็นคนถ่ายตัวอักษรไทยมาด้วย เราก็พยายามหาแต่หาไม่เจอ ตอนแรกเรากะจะไม่เข้าไปข้างใน เพราะคนขับรถบอกว่าเค้าห้ามเอากระเป๋าใด ๆ เข้าไปทั้งสิ้น แต่สามารถเอากล้องถ่ายรูปเข้าไปได้ คนขับบอกว่าเราต้องไปเข้าคิวรอฝากกระเป๋าแล้วชี้ให้ดูแถวฝากกระเป๋าที่ยาวเหยียด คาดว่าถ้าจะรอคิวฝากกระเป๋าคงเสียเวลาอย่างน้อย 10 นาที คนขับรถแนะนำให้เอาของทั้งหมดวางไว้บนรถ ตอนแรกสามีเราก็ทำท่าจะฝากแล้ว แต่เราถามสามีว่าเราจะไว้ใจคนขับแท็กซี่มากเกินไปหรือเปล่า พอถามอย่างนี้สามีเลยเปลี่ยนใจ เราเลยว่าจะไปถ่ายรูปเฉพาะข้างนอกเท่านั้น แต่เรามาคิดอีกทีได้ไอเดียว่า ไหน ๆ มาแล้ว จะไม่เข้าก็เสียดาย เอางี้
เราผลัดกันเข้าไปก็ได้นี่นา ดังนั้นเราจึงไปซื้อตั๋วเข้า ที่นี่เราเสียค่าเข้าคนละ 5 EP. เท่านั้น แล้วเราก็เข้าไปก่อน พอเราเดินดูเสร็จ ก็ออกมาเฝ้ากระเป๋าให้สามีเข้าไปดูและถ่ายรูปบ้าง ก็เลยได้ภาพสวย ๆ มาฝากนี่แหละ
แถวรอฝากกระเป๋าเข้าห้องสมุด Alexandria
รูปปั้นอเล็กซานเดอร์มหาราชหน้าห้องสมุด
ตัวอักษรประเทศต่าง ๆ ในโลกที่ด้านหน้าอาคารห้องสมุด
ภายในห้องสมุด
ด้านหน้าห้องสมุด
จากนั้นเราไปกันต่อที่ Qaitbey ซึ่งอยู่ไกลที่สุดปลายของอ่าว Eastern Harbour เลย รถก็ติดมากด้วย ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเพื่อน ๆ หลายคนที่มาเที่ยวที่ Alexandria แบบวันเดียว พลาดการเที่ยวชมป้อมแห่งนี้ เพราะหากไม่เช่าแท็กซี่เที่ยวในเมืองนี้ ก็จะมีเวลาไม่พอ และด้วยเหตุนี้เราจึงวางแผนไว้แต่แรกว่าเมื่อมาเมืองนี้เราจะเช่าแท็กซี่เที่ยว ตั๋วเข้าชมป้อมราคานักเรียน คนละ 10 EP. ป้อมนี้อยู่ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ลมเย็นสบาย และอากาศสดชื่นมากๆ เลย ป้อมนี้สร้างอยู่ตรงที่เคยเป็นที่ตั้งของประภาคารฟารอส ซึ่งสร้างขึ้นในปี 279 ก่อนคริสตกาล เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแห่งช่วงเวลานั้น ฟารอสทำหน้าที่เป็นประภาคารอยู่จนกระทั่งฐานจัตุรัสพังทลายอย่างสิ้นเชิงจากแผ่นดินไหวในศตวรรษที่ 14 จากนั้นสุลต่านแกย์ตเบย์ได้สร้างป้อมนี้ขึ้นเมื่อปี 1480 ซึ่งได้รวมซากของฟารอสเข้ามาอย่างเช่นเสาหินและกำแพงเก่าของป้อม เป็นชิ้นงานสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งมาก ภายในเราได้เห็นช่องสำหรับให้อากาศภายนอกเข้ามาภายในทำให้มีการถ่ายเทอากาศภายในตลอดเวลา ขณะที่เราเดินชมป้อมอยู่สังเกตเห็นมีนักเรียนมาทัศนศึกษาจำนวนมาก เด็ก ๆ ที่นี่เป็นมิตรกับชาวต่างชาติมาก มักจะมาทักทายและขอถ่ายรูปด้วย เราใช้เวลาที่นี่นานพอสมควร เดินจนทั่วทั้งภายนอกและภายในจนทั่ว
การจราจรใน Alexandria
หนุ่มสาวอียิปต์ริมทะเลเมดิเตอเรเนียน
Qaitbey
ด้านใน Qaitbey
ด้านนอก Qaitbey
แล้วก็เดินทางต่อไปยัง Catacombs หรือที่ชาวท้องถิ่นเรียกว่า คอมอัส-ชูคาฟาห์ ซึ่งเป็นสุสานใต้ดิน เส้นทางมาที่แห่งนี้ไม่เหมือนเส้นทางไปสถานที่ท่องเที่ยวเลย เพราะต้องผ่านตรอกซอกซอยแคบ ๆ มีบ้านคน ที่เลี้ยงสัตว์หลายชนิด มีตลาดนัดด้วย ตอนแรกยังนึกว่าคนขับแกล้งพาเราไปนอกเส้นทางหรือเปล่า ในที่สุดเราก็มาถึงทางเข้า ด้านในใกล้กับทางเข้าจะเป็นโลงศพหินขนาดใหญ่ที่ทำด้วยหินแกรนิตสีออกม่วง ๆ อย่างวิจิตรสี่โลง สุสานที่นี่ประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวกับพิธีศพในยุคโรมันที่ใหญ่ที่สุดในอียิปต์ และมีอายุย้อนหลังไป ถึงราวศตวรรษที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่ศาสนาแบบเก่าเริ่มเสื่อมถอยและรวมตัวกัน ดังนั้นเราจะเห็นได้จากการผสมผสานในรูปแบบคลาสสิกและอียิปต์ สุสานใต้ดินจะมี 3 ชั้น แต่น้ำท่วมชั้นล่างสุด ชั้นที่ 1 มีไว้ลำเลียงศพ ชั้นที่ 2 ไว้ฝังศพ ชั้นที่ 3 มีไว้สำหรับญาติจัดเลี้ยงกัน แนะนำให้เพื่อน ๆ ที่จะไปหาข้อมูลมาอ่านก่อน เพราะเข้าไปข้างในจะได้เจอสิ่งก่อสร้างอีกหลายอย่างที่แต่ละอย่างจะมีความหมายทั้งสิ้น เราไม่สามารถเขียนบรรยายได้หมดใน blog และก็ห้ามถ่ายภาพด้วย เลยไม่มีภาพประกอบให้ เราใช้เวลาที่นี่ประมาณ 45 นาที
รถรางใน Alexandria
รถแท็กซี่ที่พาเราเที่ยว Alexandria
สภาพทั่วไปของเมือง Alexandria
หลังจากนั้นก็ไปต่อกันที่ Pompey Pillar ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ที่นี่ เป็นเสาหินแกรนิตอัสวาน สีชมพู ซึ่งตั้งอยู่โดด ๆ สูง 30 เมตร มีสฟิงซ์ 1 ตัวหมอบอยู่ข้าง ๆ เป็นเพื่อนคลายเหงา เป็นสิ่งสำคัญในสมัยที่โรมันปกครองอียิปต์ Pompey เป็นเพื่อสนิทของจูเรียส ซีซาร์ ซึ่งภายหลังทั้งสองเป็นศัตรูกัน มีเรื่องเล่าว่า ซีซาร์เผาศีรษะของ Pompey ที่เสานี้ แต่ตำราอีกเล่าที่เราอ่านมาบอกว่าทั้งสองสิ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย เราออกจาก Pompey Pillar ไปถึงหน้าสถานีรถไฟประมาณ 14.40 น. คนขับรถจะพาเราไปที่ Roman theatre แต่เรากับสามีคุยกันว่าไม่ต้องไปดีกว่า เพราะไม่อยากไปขึ้นรถไฟในเวลาที่กระชั้นนัก อีกอย่าง Roman theater เราก็ดูมาหลายที่แล้ว ตั้งแต่จอร์แดน ไปรอรถไฟดีกว่า จะได้ไม่ต้องรีบร้อนนัก คนขับรถน่ารักมากพาเราไปส่งถึง Platform เลย แล้วยังโบกมือล่ำลาเราอีกด้วย รถไฟออกตรงเวลาเหมือนเดิม แต่คราวนี้ไม่จอดทุกสถานี เลยใช้เวลาแค่ 3 ชม. ก็มาถึงสถานีรามเสสแล้ว ลืมบอกไปว่าค่าตั๋วรถไฟขาไป 35 EP. แต่ขากลับ 46 EP. เราถามพนักงานโรงแรมว่าทำไมราคาต่างกัน เค้าบอกว่า เพราะขากลับไม่จอดทุกป้าย ใช้เวลาน้อยกว่าขาไป ไม่รู้จริงหรือเปล่านะ เรามาถึงสถานีรามเสสเวลา 6 โมงเย็น
Pompey Pillar
เห็นว่ายังมีเวลาเราเลยตัดสินใจลองใช้บริการรถไฟใต้ดินเป็นครั้งแรก เริ่มจากถามคนขายตั๋วว่าเราจะไปสถานี Nasser ไปอย่างไร โดยเราถ่ายรูปคำว่า Nasser จากบอร์ดเส้นทางรถไฟใต้ดินที่อยู่ข้างที่ขายตั๋วแล้วไปเปิดให้พนักงานขายตั๋วดู เขาก็แนะนำดีมาก ราคาตั๋วคนละ 1 EP. เท่านั้น เรานั่งไป 3 สถานีก็ถึงแล้ว แต่ตอนหาทางออกก็จะงงหน่อย เพราะทางออกจะมีหลายทางมาก แล้วแต่ว่าเราอยากจะไปโผล่ที่ไหน เราก็ต้องถามคนที่เดินอยู่แถวสถานีเอา ในที่สุดก็หาทางออกที่ต้องการเจอจนได้ พอโผล่ขึ้นไปก็เป็นร้านน้ำผลไม้ที่เมื่อวานมาแวะชิม วันนี้เลยลองสั่งน้ำแอ๊ปเปิ้ลมาชิมดูราคาเดียวกัน แต่เราว่าอร่อยกว่าเมื่อวาน ก่อนเข้าโรงแรมก็แวะไปหาอาหารกินก่อน โดยเดินไปทางซ้ายของโรงแรม ไปเรื่อย ๆ จนไปเจอลุง KEN เลยแวะทักทายหน่อย จ่ายค่าทักทายไป 25 LE. อิ่มแล้วไม่ลืมซื้อน้ำเปล่ากลับโรงแรมด้วย เพราะพรุ่งนี้เราจะไปเยี่ยมเยียนคุณสฟิงซ์แห่งกีซ่า ที่ยืนท้าทายแดด ลม มาหลายพันปี โดยรถแท็กซี่ที่ติดต่อกับโรงแรมไว้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงในราคา 140 EP. โดยเที่ยว 3 ที่ กีซ่า, ดาชูร์ และซักการาห์ ตั้งแต่ 8.00-16.00 น . ก่อนเข้าห้องไม่ลืมส่ง e-mail ถึงเพื่อนที่เมืองไทยว่ายังสุขกายสบายใจดี อ้อ..ลืมบอกไปว่าวันนี้เราพบว่าการใช้รถไฟใต้ดินที่ไคโรไม่ได้ยากเหมือนที่คิด แถมประหยัดและสะดวกอีกด้วย อีกอย่างนึง สิ่งที่ adventure มากที่สุดของไคโรน่าจะเป็นการข้ามถนนนะ เห็นคนอียิปต์เค้าข้ามกันง่าย ๆ ทุกที่ ทุกเวลา เราก็ใช้วิธีแอบข้ามข้าง ๆ เค้าแหละปลอดภัยดี
รถไฟใต้ดิน ตู้ผู้หญิงจะมีรูปตุ๊กตาผู้หญิงอยู่เหนือประตู ส่วนใหญ่จะอยู่ตู้กลาง ๆ ขบวน ส่วนตู้หัว ๆ ท้าย ๆ จะเป็นตู้รวม
ร้านค้าบนถนนหลังโรงแรม
การจราจรในไคโรยามค่ำคืน
Create Date : 11 พฤศจิกายน 2551 |
|
4 comments |
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2551 22:05:31 น. |
Counter : 1773 Pageviews. |
|
|
|